คลังเรื่องเด่น
-
ในวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
ในวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
คัดจากโครงการหนังสือบูรพาจารย์
ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้เขียนบรรยายตามที่ท่านได้ฟังมาจากหลวงปู่มั่นโดยตรงดังนี้
ในเวลาไม่นานนักนับแต่ท่าน(หลวงปู่มั่น) ออกรีบเร่งตักตวงความเพียรด้านมหาสติมหาปัญญา ซึ่งเป็นสติปัญญาธรรมจักรหมุนรอบตัวและรอบสิ่งที่เกี่ยวข้องไม่มีประมาณตลอดเวลา
ในคืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัด ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่ชายภูเขาที่มีหินพลาญกว้างขวางและเตียนโล่ง อากาศก็ปลอดโปร่งดี
ท่านว่าท่านนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงต้นเดียวมีใบดกหนาร่มเย็นดี ซึ่งในตอนกลางวันท่านก็เคยอาศัยนั่งภาวนาที่นั้นบ้างในบางวัน...นับแต่ตอนเย็นไปตลอดจนถึงยามดึกสงัดของคืนวันนั้น ท่านว่าใจมีความสำผัสรับรู้กับปัจจยาการคือ อวิชชาปัจจยาสังขาร เป็นต้นเพียงอย่างเดียว ทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนาจึงทำให้ท่านสนใจจุดนั้น โดยมิได้สนใจกับธรรมหมวดอื่นใด ตั้งหน้าพิจารณาอวิชชาอย่างเดียวแต่แรกเริ่มนั่งสมาธิภาวนา โดยอนุโลมกลับไปกลับมาอยู่ภายใน อันเป็นที่รวมแห่งภพชาติ กิเลสตัณหา มีอวิชชาเป็นตัวการ
เริ่มแต่สองทุ่มที่ออกจากทางจงกรมแล้วเป็นต้นไป... -
แสงแห่งปัญญา มีอานุภาพยิ่งใหญ่
ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา
ปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา ดังนั้นผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมความคิดมิให้ก่อให้เกิดความทุกข์ได้ นั่นคือผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามรถพาใจหลีกพ้นความเศร้าหมองของกิเลสได้ ผู้ไม่มีปัญญาหาทำได้ไม่
ความทุกข์ทั้งหลายหลีกไกลด้วยปัญญา
ปัญญามีอำนาจเหนือความคิด ก็คือปัญญาที่มีอำนาจเหนือกิเลสนั่นเอง เพราะเมื่อปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดก็จะไม่ปรุงแต่งไปกวนกิเลสที่มีอยู่เต็มโลก ให้โลดแล่นเข้าประชิดติดใจ จึงเป็นการควบคุมกิเลสได้พร้อมกับควบคุมความคิด
ความเกิดเป็นทุกข์ เพราะความเกิดนำมาซึ่งความเกิด ความแก่ ความตาย ความพรัดพรากจากของรักของชอบใจและความไม่ประจวบด้วยสิ่งที่ปรารถนาทั้งปวง
ความทุกข์เหล่านี้หนีไม่พ้น เพราะเป็นผลตามมาของ ความเกิดอย่างแน่นอน ความทุกข์ทางกาย หนีพ้นได้ด้วยการไม่เกิดเท่านั้น ส่วนความทุกข์ทางใจ หนีได้ด้วยความคิด
อนุภาพแห่งแสงปัญญา
สติต้องรู้ก่อนว่า กิเลสคือโลภะ หรือราคะ โทสะ โมหะ ตัวใดกำลังเข้ามาประชิดติดใจ เมื่อมีสติรู้ก็ให้ใช้ “ปัญญาวุธ” คือใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ด้วยความคิดง่ายๆ ว่า... -
เรื่องการถอดจิต
คำถาม: อยากรู้เรื่องการถอดจิตน่ะครับ....จะฝึกอย่างไร ? และมีอันตรายหรือเปล่าครับ ?
คำตอบ : ถามสั้นๆ.....แต่ผมชอบตอบยาวๆ
1.การ "ถอดจิต" นั้น จริงๆใครก็ทำได้.....ถ้ามีการฝึกที่ดี เพราะตามปรกติจิตกับกายก็เป็นคนละส่วนกัน แต่มาอยู่ด้วยกัน เมื่อมีการฝึก...จิตก็จะแยกจากกายได้
2.การ "ถอดจิต" ทำได้ 3 วิธี (เท่าที่นึกได้)
- เกิดจากการฝึกสมาธิ ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าสมาธิระดับไน จะได้ฌาณระดับไหน...อย่าไปใส่ใจเลย เมื่อเป็นสมาธิ และสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย (เช่น...ความเงียบ สถานที่ที่มีพลังงานมาก เช่น ตามวัด หรือหน้าพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ) จิตก็พร้อมจะถอดเอง สำคัญอยู่ว่า เวลาที่ทำสมาธิ อย่านึกว่าจะ "ถอดจิต" เพราะความยากเป็นกิเลส ไม่สามารถทำได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือ อธิษฐานก่อนทำสมาธิ แล้วทำไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจคำอธิษฐาน เมื่อถึงเวลาที่จิตสงบ..จิตกับกายจะแยกออกจากกันเองโดยอัตโนมัติ
- เกิดจากผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน มานาน มีพลังงานมากและเคยถอดจิตได้ เป็นผู้ "ดึง" กายทิพย์ของคนอื่นหรือลูกศิษย์ออกไป เพื่อเป็นการศึกษา ปัจจุบันนี้มีคนทำได้อยู่ แต่ท่านมักไม่ทำให้ใคร นอกจากจำเป็น
-... -
ถามเรื่องการทำกสิณ 10
ถาม : วันก่อนที่ถามเรื่องการทำกสิณ จดไม่ทันค่ะ กลับไปที่บ้านแล้วอ่านก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง รบกวนด้วย ?
ตอบ : กสิณ แปลว่า การเพียรเพ่งอยู่เฉพาะหน้า กสิณมีทั้งหมด ๑๐ กองด้วยกันแบ่งเป็นธาตุกสิณ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นวรรณะกสิณ ๔ ก็คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง สีเขียว แล้วก็มีอีก ๒ อย่างเป็น อากาศกสิณกับอาโลกกสิณ คือ กสิณของความว่างกับกสิณแสงสว่าง เราจับอันใดอันหนึ่งขึ้นมาก่อน โดยตั้งวัตถุนั้นอยู่ตรงหน้าเรียกว่า ดวงกสิณ
อย่างเช่นถ้าหากว่าจะทำปฐวีกสิณ ก็ต้องกำหนดต้องทำดวงกสิณขึ้นมาก่อนเพื่อที่เราจะได้มองได้ เพ่งได้ กำหนดใจได้ การทำดวงกสิณในสมัยโบราณท่านใช้ผ้าสะดึง ก็คือว่าขึงผ้าให้ตึง เสร็จแล้วดวงกสิณของท่านก็จะเอาดินซึ่งสมัยก่อนเขาใช้ดินขุยปู ซึ่งเขาเรียกดินสีอรุณ คือค่อนข้างจะออกไปทางสีส้มอ่อน เอามาละเลงเป็นวงกว้างประมาณ ๒ คืบ ๔ นิ้วเบ้อเร่อเลย แต่ว่าของเราเองไม่จำเป็นต้องทำให้ลำบากขนาดนั้น ถ้าเราหากดินสีอรุณได้ เอามาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอเหมาะพอใจของเราก็ได้ ตั้งดวงกสิณนั้นเอาไว้ในภาชนะหรือว่าสถานที่ ๆ เรานั่งตัวตรงแล้วมองได้สบาย ๆ อยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป... -
ตารางเปรียบเทียบ ประเภทนรกขุมใหญ่ เรียงลำดับจากเบาไปหนัก
ตารางเปรียบเทียบ ประเภทนรกขุมใหญ่ เรียงลำดับจากเบาไปหนัก
ความหมายของ 1 ปีนรก
1 ปีมี 12 เดือน เดือนละ 30 วัน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับปีมนุษย์
ความหมายของ 1 กัป
สมมติให้มีกล่องที่ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็มเวลาผ่านไป 100 ปี หยิบออก 1 เมล็ด จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น 1 กัป
นรกขุมใหญ่ ต้องโทษเพราะไม่เคารพ และผิดใน กรรมบถ 10
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 1 สัญชีพนรก
ลักษณะพื้นเป็นเหล็กหนา เผาไฟจนแดงโชน ขอบด้านข้าง 4 ขอบก็เช่นกัน มองออกไปไม่แลเห็นขอบบ่อ
มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะหาที่ว่างเว้นจากไฟไม่ได้เลย
ระหว่างไฟจะมีสรรพาวุธต่างๆ เช่น หอก ดาบ ฯลฯ สารพัดจะมี ถูกไฟเผาแดงจนมีความคมจัด
สัตว์ นรกที่อยู่ในนั้นจะวิ่งพล่าน เพราะเท้าเหยียบไฟ ร่างกายก็จะถูกเผาไฟติดไฟตลอดเวลา เวลาวิ่งไปก็จะไปกระทบกับหอก ดาบ ฆ้อน หรืออาวุธต่างๆ มาฟัน แทง สับ ร้องครวญครางดิ้นเร่าๆ แต่พอร่างกายขาดแล้ว ก็จะมาต่อติดกันใหม่โดยทันที มาทรมานต่อไป ไม่มีวันตาย
สรุปว่ามีไฟเผากายตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 2 กาฬปุตตะนรก
มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก... -
สัมปจิตฉามิ
ผู้ถาม : "เวลาท่องคาถา "สัมปจิตฉามิ" ท่องไปไม่เกิน ๑๐ ครั้ง มีความรู้สึกว่าเงียบหายไปทุกที เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ทำใหม่ก็ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้อีก ก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร และจะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคุ..?"
หลวงพ่อ : "เป็นเพราะมันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องแก้ไขอย่างไร ก็ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะจิตเข้าถึงฌานที่ ๒ ขึ้นไป ตอนที่ภาวนาอยู่ จิตอยู่ที่ฌาน ๑ พอจิตเข้าถึงฌานที่ ๒ ก็ตัดภาวนา อันนี้ดีมากนะ ไม่ใช่เลว เก่ง! คนนี้ต้องถือว่าเก่งมาก เข้าถึงฌาน ๒ ตัวไม่ภาวนาคือ ฌาน ๒ , ๓ , ๔ นี่ไม่ภาวนา ให้มันตัดเองนะ เราอย่าไปช่วยตัดเข้า อย่างนี้ดีมาก ปล่อยตามนั้นนะ ทำจิตเป็นฌานไม่ช้าจะเป็นผลในที่สุด ยังไงจะไปวัดท่าซุงไม่ต้องใช้รถก็ได้ ถ้าถึงที่สุด.."
ผู้ถาม : "ไปได้หรือครับ?"
หลวงพ่อ : "ได้แน่! อันนี้ตรงเป๋ง!"
ผู้ถาม : "แหม..ได้ตอนนี้ก็ดี น้ำมงน้ำมันแพง แป๊บเดียวถึง..."
หลวงพ่อ : "ถ้าถึงขั้นนั้น อภิญญาเข้าทั้งหมด ถือว่าเป็นคาถาอภิญญาของท่าน ถ้าทำถึงจุดปลายทางนะคือ อภิญญาห้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเป็นอภิญญหก นี่ท่านมาแนะนำให้ อย่างพวกเราเคยผ่านมาแล้ว เป็นของสำหรับคนที่ได้มาแล้วจึงจะมีผล คนที่ทำไปเรื่อย ๆ ตามนั้นนะ... -
เสียงธรรม หนีนรกตอนที่ ๑ - ๒๔
หนีนรกตอนที่ ๑ - ๒๔ -
ระวัง! กรรมจากการล่วงเกิน " ผู้มีธรรม "
ระวัง....การล่วงเกิน " ผู้มีธรรม "
เมื่อเขียนเรื่องการใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" แล้ว ก็เลยอยากจะเขียนถึงเรื่อง "การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วย การใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" นั้น ก็เป็นสิ่งไม่ควรอยู่แล้ว แต่การล่วงเกิน "ผู้ทรงธรรม" หรือ "ผู้มีธรรม" นั้นหนักกว่า บาปมากกว่า เพราะเป็นการล่วงเกิน เป็นการทำร้าย "ผู้ทรงธรรม" ไม่ว่าจะเป็นทั้งกายหรือใจ หรือจะด้วยเจตนาและไม่เจตนาก็ตาม
เพราะ "ผู้มีธรรม" และ "ผู้ทรงธรรม" นั้น คล้ายกันในความหมาย ก็คือเป็นผู้ที่ยึดถือการกระทำความดี เป็นชีวิตจิตใจ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งและเป็น "คนดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
คำว่าเป็นคนดีนั้น หมายความว่า....
1. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อตนเอง
2. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อคนอื่น
3. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อตนเอง
4. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อคนอื่น
ต้องทำให้ได้ครบ 4 ข้อ เราจึงเรียกว่า " ความดี "
"ผู้มีธรรม"....ต้องทำ "ความดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
"ผู้มีธรรม" นั้นมีทั้งภิกษุ สงฆ์ ผู้ทรงศีล นักบวช และฆราวาสที่มี "จิต" ดี
เราไม่มีโอกาสจะทราบได้อย่างแน่ชัด 100... -
หญิงสองร่างนางสองชาติ... โดย หลวงพ่อจรัญ
เรื่องมาสร้างกุฎิกัมมัฎฐานโดยหญิงสองร่าง นางสองชาติ อาตมาเคยคิดว่ามันจะมีอย่างไรเรือ่งนรกสวรรค์ แต่ก็มีประสบการณ์กับที่วัดเรานี่เอง
เมื่อตอนที่อาตมาอยู่ที่วัดนี้ พ.ศ. 2499 พอดี 2500 กุฎิกัมมัฎฐานไม่มีเลย ยังไม่ได้มาเริ่ม เริ่มมาจากที่อื่น สอนกัมมัฎฐานมาเมื่อ 2495 สอนมานาน เมื่อสอนแล้วมาอยู่ที่วัดนี้ มาเป็นเจ้าอาวาส มาประสบการณ์กับหญิงสองร่าง นางสองชาติ จึงได้สร้างกุฎิกัมมัฎฐานต่อเนื่องมาตามลำดับจนบัดนี้
เล่าถึงประวัติ นายปุ่น นางสอิ้ง นายปุ่น บวช 2-3 พรรษา สวดปาติโมกข์ได้รุ่นเก่าแก่นานมาแล้ว
แล้วเจริญกัมมัฎฐาน เมื่อสึกแล้วก็มาแต่งงานกับแม่สอิ้ง อยู่ด้วยกันมีลูก 2 คน ตาปุ่นเป็นคนร่ำรวยอยู่ในอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ นายปุ่น นี้จิตใจเป้นมหากุศล สวดมนต์ไหว้พระตลอด แต่นางสอิ้ง ใจบาปหยาบช้า มีร่างกายที่เขียนรูปไว้ นุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อเตี่ยว มีผมก็ทัดหู มีสร้อยใส่..ไปบ้านใครต้องลักขโมยตลอดเวลา.....
แล้วมาวันหนึ่ง นางสอิ้ง ไปช่วยงานหลานตาปุ่นบวชในพระศาสนา นางสอิ้ง ก็ลักทอง ลักสร้อยแล้วก็บุ้ยใบ้ไปโทษหลานตาปุ่นที่ยากจนกว่า ตีเสียหัวร้างข้างแตก แล้วยัดเยียดให้เป็นคนขโมย... -
คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์
สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่ยังเป็น อนิยตะโพธิสัตว์ ที่สร้างบารมีสมบูรณ์แล้ว จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็น
ครั้งแรก ต่อพระพักตร์พุทธเจ้า ต้องมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์ จึงได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้า ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น ก็กลายเป็น นิยตะโพธิสัตว์ ทันที
คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้
ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ
1. ได้เกิดเป็นมนุษย์
2. เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นกระเทย
3. มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน(ถ้าเกิดเปลียนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)
4. ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อพระพักตร์
5. ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤาษี ดาบส หรือปริพาชก
ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสผู้ครองเรือน
6. ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ
7. เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
8. ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง... -
ดงพญาไฟ ประสบการณ์ขนหัวลุกจากตำบลมวกเหล็กในอดีต
"ป้าผ่อง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตำบลมวกเหล็กในอดีต
สมัยก่อน ดิฉันเป็นเด็กอยู่ตลาดมวกเหล็ก สระบุรี ไข้มาลาเรียชุมมากค่ะ ชาวบ้านเรียกไข้ป่า มีคนเจ็บป่วยล้มตายมากๆ สมัยสงคราม เพราะขาดแคลนยาควินินที่ใช้ป้องกันและรักษา ป่าดิบดงดำที่นั่นจึงมีชื่อน่ากลัวว่า "ดงพญาไฟ"
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "ดงพญาเย็น" ก็ยังไม่วายมีคนตายด้วยไข้ป่าตามเดิม
เมื่อสงครามสงบ ความเจริญก็เริ่มต้นขึ้นช้าๆ เพราะการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน มีรถไฟเป็นพาหนะอย่างเดียวเท่านั้น ที่ติดต่อระหว่างภาคอีสานกับภาคกลาง
ถนนมิตรภาพยังไม่ได้สร้าง คนที่ต้องไปค้าขายหรือติดต่อเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่กันก็ต้องขึ้นรถไฟระยะสั้นๆ อย่าง หินลับ-ทับกวาง-ผาเสด็จ หรือไม่ก็ล่องไปสระบุรีบ้าง ขึ้นโคราชบ้าง
ไข้ป่ายังคร่าชีวิตคนไปบ่อยๆ เพราะยาควินินยังหายากและราคาแพง ชาวบ้านมักอาศัยหมอกลางบ้าน ใช้ยาหม้อบ้าง กินน้ำมนต์บ้าง เป็นไข้จับสั่นกันเสียส่วนมาก หน้าเหลืองตัวเหลืองกันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกที่ต้องออกไปทำไร่ข้าวโพด และไร่น้อยหน่า มักจะหนีไข้ป่าไม่ค่อยพ้น
ทำงานได้วันสองวันก็จับไข้นอนซม หนาวสะท้าน พอทุเลาก็ต้องออกไปทำไร่อีกแล้ว หลายๆ... -
ศีลโพธิสัตว์ 58 ข้อ
ศีลบารมี ในมหายานนั้นมีสิกขาบท 250 ข้อ ศีลโพธิสัตว์ 58 ข้อ ซึ่งแบ่งเป็นครุกาบัติ 10 ข้อ และลหุกาบัติ 48 ข้อ จากหนังสือพระพุทธศาสนามหายานของคณะสงฆ์จีนนิกาย
ครุกาบัติ 10
1. ผู้ฆ่าชีวิตมนุษย์ให้ตายด้วยมือตนเอง ใช้ผู้อื่นกระทำ หรือเป็นใจสมรู้ ตลอดจนฆ่าชีวิตสัตว์เล็กใหญ่ให้ตาย ต้องสถานโทษหนัก
2. ผู้ถือเอาของผู้อื่น มีราคา 5 มาสก ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
3. ผู้เสพเมถุน นำนิมิตล่วงเข้าไปในทวารหลัก ทวารเบา หรือทางปากของผู้ชาย หรือผู้หญิงตลอดจนสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย ต้องสถานโทษหนัก
4. ผู้อุตตริมนุษยธรรม อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
5. ผู้ผลิตสุราเมรัยน้ำเมา ตลอดจนยาดองสุราที่ไม่ใช่รักษาโรคโดยตรง กระทำหรือผลิตเองหรอใช้คนอื่นกระทำหรือผลิต ต้องสถานโทษหนัก
6. ผู้กล่าวร้ายบริษัทสี่ ใส่ไคล้อาบัติชั่ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศึกษามานะ (สิกขามานา) สามเณร และสามเณรี โดยไม่มีมูลด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
7. ผู้ยกตนข่มท่าน... -
แม่ห่วงสมบัติ
ผู้ถาม
หลวงพ่อเจ้าขา คุณแม่ของลูกเป็นคนห่วงสมบัติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่วงทุกๆ อย่าง ไม่เคยทำบุญ แกก็ยังบอกว่ายังไม่สบายใจ ลูกเกรงว่าแม่ตายแล้วจะตกนรก เพราะไม่ค่อยได้ทำบุญ ขอคำแนะนำจากหลวงพ่อด้วยเถิดเจ้าค่ะ...
หลวงพ่อ
ความจริงถ้าคนไม่มีศรัทธานะ ถ้าไปกวนใจมากเกินไป จิตจะวุ่นวายมาก อันตรายหนัก ทางที่ดีทำให้ท่านมีศรัทธา เอาอย่างนี้แล้วกันนี่ เราก็เอาสตางค์ให้ท่าน แล้วขอสตางค์ท่านบามสองบาท เก้าบาทสิบบาท บอกจะเอาไปซื้อโน่นซื้อนี้ แล้วเราก็เอาไปทำบุญ อย่าให้มากนักนะ มากนักด้วยท่านจะสะเทือน ไปร่วมกับสังฆทาน วิหารทานก็ได้ ไม่ต้องมาก
ว่างๆ ท่านสบายใจก็บอกแม่ สตางค์ที่ขอวันนั้นเอาไปทำบุญแล้ว ขอแม่โมทนานะ ทางที่ดีก็หาพระสูตรเกี่ยว กับอานิสงส์ถวายสังฆทาน การสร้างวิหารทาน อ่านให้ฟังเป็นนิทานไปเรื่อยๆ อย่างนี้พอจะมีประโยชน์บ้างนะ
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 5
http://www.praruttanatri.com/member/htm/mhsb.html
หน้า 412 ของ 412