คลังเรื่องเด่น
-
หลวงปู่ตื้อพูดถึงพระพุทธบาทสี่รอย
=AZUdMs2daQAvsom6wHj_Ws2F1BJ4VEsb8k1CgjOWBGSwWYfTU-jo6bRJ0raJEE8T6UqtR58qdjkzqCV0vQWPTS-wP4nDBnahRwIpzVe6_fU2FbYnEGqg8b8w8HYlIq0r5e7MmS8GZMRAtNRH35E3SSAiQWUz_5ALLzxvNA1HjPRnLGco8hFGPgvv-t_fqihW3WA&__tn__=*NK-R']#หลวงปู่ตื้อพูดถึงพระพุทธบาทสี่รอย..!!
=AZUdMs2daQAvsom6wHj_Ws2F1BJ4VEsb8k1CgjOWBGSwWYfTU-jo6bRJ0raJEE8T6UqtR58qdjkzqCV0vQWPTS-wP4nDBnahRwIpzVe6_fU2FbYnEGqg8b8w8HYlIq0r5e7MmS8GZMRAtNRH35E3SSAiQWUz_5ALLzxvNA1HjPRnLGco8hFGPgvv-t_fqihW3WA&__tn__=*NK-R']#หลวงปู่ตื้อ_อจลธมฺโม_พระอริยเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อย่างยิ่งยวด
"... ท่านเคยเล่าประสบการณ์ การเดินธุดงค์
=AZUdMs2daQAvsom6wHj_Ws2F1BJ4VEsb8k1CgjOWBGSwWYfTU-jo6bRJ0raJEE8T6UqtR58qdjkzqCV0vQWPTS-wP4nDBnahRwIpzVe6_fU2FbYnEGqg8b8w8HYlIq0r5e7MmS8GZMRAtNRH35E3SSAiQWUz_5ALLzxvNA1HjPRnLGco8hFGPgvv-t_fqihW3WA&__tn__=*NK-R']พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้_เป็นรอยพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
... ด้วยเหตุนี้ แม้พระเดชพระคุณพระญาณสิทธาจารย์ หรือ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร แห่งสำนักสงฆ์ ถ้ำ ผาปล่อง อำ เภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่... -
"ผีโป่งกับพระกรรมฐาน" (หลวงปู่จันทา ถาวโร)
.
"ผีโป่งกับพระกรรมฐาน"
" .. แหม .. "เราเป็นเจ้าของโป่งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัย ศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสโปโน่น" เคยเป็นนายพรานใหญ่ มาล่าสัตว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่ "มีเสือตัวใหญ่ ยาว ๑๒ ศอกผ่านมาก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที่นี้" เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีมาเสาโป่งอยู่ที่นึ่
นั่นแหละ "พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคลํ้า ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ" เราก็รู้ว่าพระจำพวกนี้ "มีธรรมจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เรา ก็สู้ด้วยฤทธิ๋ด้วยคาถา" คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธึ๋ของเราก็ เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น "แต่เราก็สู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา"
นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น ฉะนั้นเรื่อง "ผีสางคางแดงคางดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิงใช้ทำ น้ำมนต์กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น" อันนี้ข้อสำคัญนั้นหมาย
ฉะนั้น "ขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็นอย่าให้ขาด" ไปไหนมาไหน ก็ภาวนาอย่างนั้น "ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๗ -
ถ้าไม่เจอปัญหา จะมานั่งปฏิบัติอย่างเดียว บารมีไม่เต็ม
หลวงพ่อ เคยปรารภไว้ว่า....
การก่อสร้างการเลี้ยงคน ต้องต่อสู้กับอารมณ์ทุกอย่าง
ต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ ทำให้บารมีเต็มเร็ว
หลวงพ่อ พูดว่า “มาคิดว่าสมัยหนุ่ม ๆ บวชแล้ว มัวแต่สร้างวัดมากมาย
คิดแล้วเสียเวลา มาคิดว่า รู้อย่างนี้ ไม่สร้างก็ดี เสียเวลา
เอาเวลามานั่งชำระจิต ตัดกิเลสอย่างเดียว ให้จบ ๆ ไป จะดีกว่า”
ปรากฏว่า....
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ตรัสกับองค์หลวงพ่อว่า
“ไม่มีทาง.... ถ้าไม่ทำอย่างนี้ บารมีไม่เต็ม
เมื่อบารมีไม่เต็ม การตัดกิเลสก็ไม่มีผล”
ถ้าไม่เจอปัญหา จะมานั่งปฏิบัติอย่างเดียว บารมีไม่เต็ม
เจอปัญหามาก ๆ มันตัดของมันเอง แล้วจะเบา
ต้องเอาใจคนหลายประเภท บารมีเต็มเร็ว
---------------------------------------------------
จากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)
จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 1-2 บันทึกโดย พระปลัดวิรัช โอภาโส
ที่มา : http://palungjit.org/showthread.php?t=99009 -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๗ -
ความสุข ก็เป็นแค่ความทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้นเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้นั่งทำงานอยู่ข้างบน ก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่มีชาวตะวันตกหลายรายบอกว่า การทำความดีตามหลักพระศาสนาก็เพื่อความสุข แต่ทำไมพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข์ ? แสดงว่าฝรั่งเขาไม่เข้าใจว่า สิ่งที่คิดว่าเป็นความสุขนั้น จริง ๆ แล้วก็คือความทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้น
ความจริงแล้วเรื่องของทุกข์ไม่มีใครอยากได้ ก็เลยพลอยผลักไสปฏิเสธไปด้วย แต่ว่าหลักของพระพุทธศาสนานั้นเป็นการย้อนทวนกระแส ความสุขทำให้คนหลงยึดติดได้ง่าย เพราะเห็นว่าสุขจึงรับเอาไว้ด้วยความยินดี หารู้ไม่ว่ามีโทษยิ่งกว่าความทุกข์อีก โดยเฉพาะบุคคลถ้าหวังความหลุดพ้น ไม่ว่าจะติดสุขหรือว่าติดทุกข์ก็ไปไม่รอดทั้งคู่
ในเรื่องของความทุกข์นั้น ความจริงแล้วเป็นของที่มีค่ามหาศาล พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เกิดจนนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราคำนวณว่าแต่ละชาติใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนเงินเท่าไร บวกลบคูณหารออกแล้วรับรองว่าจะได้ตัวเลขมหัศจรรย์ที่อ่านออกมาไม่ได้ เพราะมหาศาลจริง ๆ
ทั้งหมดที่พระองค์ท่านเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ใช้ทรัพยากรไปจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๗ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ -
ไม่มีอะไรยั่งยืนสืบไป นอกจากความดีความชั่วเท่านั้น
กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่คราวนี้ฤดูร้อนตามพระวินัยของเราก็คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จะตกอยู่ราว ๆ วันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ก็แปลว่า เรายังมีอุโบสถที่จะต้องลงในส่วนของฤดูหนาว ทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนแทบตาย..!
จะว่าไปแล้วเรื่องของฤดูกาล บางประเทศก็กำหนดเอาไว้ถี่มาก อย่างของประเทศจีน กำหนดเอาไว้ ๒๔ ช่วงด้วยกัน ถ้าหากว่าเป็นทางตะวันตก พวกยุโรป อเมริกา เขาก็จะมี ๔ ฤดู ก็คือฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว แล้วก็ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนบ้านเราถือตามแบบวัฒนธรรมอินเดีย ก็มีฤดูกาลหลักแค่ ๓ ฤดูกาล คือฤดูร้อน ฤดูฝน แล้วก็ฤดูหนาว แต่บางคนเขาก็บอกว่ามีแต่ฤดูร้อนกับร้อนฉิบหาย..!
ที่มากล่าวถึงตรงนี้กันก็เพราะว่า พวกเราส่วนหนึ่ง จะใช้คำว่า "ส่วนหนึ่ง" ก็น่าจะไม่ถูกต้อง ก็คือส่วนใหญ่ไปฝืนธรรมชาติกัน อย่างเช่นว่าพอร้อน เราก็เข้าไปในห้องปรับอากาศ หรือว่าเปิดพัดลม หนาวมาก ๆ ก็ยังมีเครื่องทำความอุ่น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพร่างกายของเราจึงไม่ได้ปรับตัวตามสภาพอากาศ ถึงเวลาเจอสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเร็วเข้า บางทีร่างกายก็รับไม่ไหว
คราวนี้สภาพร่างกายกับสภาพจิตใจก็เหมือนกัน... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๗ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๗ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๗ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๗ -
จิตปรุงกิเลส กิเลสปรุงจิต" (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
.
"จิตปรุงกิเลส กิเลสปรุงจิต"
" .. กระผมได้อ่านประวัติการปฏิบัติธรรมของ หลวงปู่เมื่อสมัยเดินธุดงค์ว่า หลวงปู่เข้าใจเรื่องจิตได้ดีว่า "จิตปรุงกิเลส หรือว่ากิเลสปรุงจิต" ข้อนี้ หมายความว่าอย่างไร ..
หลวงปู่อธิบายว่า ..
"จิตปรุงกิเลส" คือการที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจกระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้ดี ให้เลว ให้เกิดวิบากได้แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
"ส่วนกิเลสปรุงจิต" คือการที่สิ่งภายนอก เข้ามาทำให้จิต เป็นไปตามอำนาจของมัน แล้วยึดว่ามีตัวมีตนอยู่ สำคัญผิดจากความเป็นจริง อยู่รํ่าไป ..
"หลวงปู่ฝากไว้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗ -
เราปฏิบัติธรรมจนถึงระดับที่เอาชีวิตเข้าแลกแล้วหรือยัง ?
การสมาทานกรรมฐานของเรานั้นเป็นสัจจะอธิษฐานอย่างหนึ่ง เราสมาทานว่า “อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจัชชามิ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตนี้ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
คำว่า มอบกายถวายชีวิต นั่นคือ แม้จะต้องตายลงไปในการปฏิบัติธรรม เราก็ยินดีที่จะเอาชีวิตเข้าแลก แต่อยากจะให้ทุกท่านลองสังเกตดูหรือถามใจตนเองว่า เท่าที่ผ่านมานั้น การปฏิบัติธรรมของเราอยู่ในระดับที่เอาชีวิตเข้าแลกหรือไม่ ? หรือว่าเมื่อยหน่อยก็เลิกแล้ว หรือว่าอึดอัดหายใจไม่ออกหน่อยก็เลิกแล้ว หรือเกิดอาการน้ำตาไหล ร่างกายโยกไปมา หรือดิ้นตึงตังโครมคราม กลัวขึ้นมาก็เลิกอีก
หรือรู้สึกว่าตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด ตัวลอยขึ้น เกิดความกลัวขึ้นมาก็เลิก ถ้าอย่างนั้น ที่เราให้สัจจะไว้ว่าเรามอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นการที่เราทั้งหลายเอ่ยแต่ปากเท่านั้น
แม้กระทั่งการรักษาศีลทุกสิกขาบทของเรา เราก็ต้องถามตนเองว่า ถ้ามีโอกาสฆ่าสัตว์ เรางดเว้นได้หรือไม่ ? มีโอกาสหยิบฉวยลักขโมยข้าวของของคนอื่น เรางดเว้นได้หรือไม่ ? มีโอกาสประพฤติผิดในกาม มีโอกาสในการโกหกหลอกลวงผู้อื่น มีโอกาสในการดื่มสุราเมรัย... -
"สำคัญอยู่ที่จิตใจอันเดียว" (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
"สำคัญอยู่ที่จิตใจอันเดียว"
" .. "ความดีอย่างอื่นนั้น ก็เปรียบเหมือนยอดไม้กิ่งไม้ใบไม้ ต้นไม้" ถ้าเราไม่ได้อบรมในทางจิตใจ เราก็จะได้รับความดี เสมอส่วนภายนอกเท่านั้น "หากภายในจิตเป็นของบริสุทธดี ภายนอกก็ย่อมดีไปตามกันหมด"
เช่น มือเราสะอาด เมื่อเราจับสิ่งใด ของเหล่านั้นก็ไม่เลอะ "แต่ถ้ามือเราสกปรก แม้จะไปจับผ้าที่สะอาด ผ้านั้นก็จะพลอยให้เสียไป ด้วยอำนาจแห่งความเปือนเปรอะของมือ" ฉะนั้น
"เมื่อจิตเศร้าหมองเสียอย่างเดียว มันเศร้าหมองไปหมดทั้งสิน แม้ทำความดี ศวามดีนั้นก็ยังเศร้าหมองอยู่" เพราะอำนาจสูงสุดในโลก ที่จะดี จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ทั้งมวล "มันสำคัญอยู่ที่จิตใจอันเดียวเท่านั้น" .. "
พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) -
หลวงพ่ออธิษฐาน
หลวงพ่ออธิษฐาน
ผู้ถาม : เวลาลูกมาปฏิบัติพระกรรมฐานที่บ้านสายลม เห็นคนนำถาดใส่เงินถวายหลวงพ่อ ลูกสงสัยว่าบางครั้งหลวงพ่อประนมมือหลับตา ไม่ทราบว่าหลวงพ่อพิจารณากรรมฐานอย่างไรครับ ?
หลวงพ่อ : ขอสงวนเป็นความลับนะ
ผู้ถาม : ปีใหม่ไม่เปิดเผยหรือครับ ?
หลวงพ่อ : เผยไม่ได้ราคามันแพง (หัวเราะ)
ไอ้นี่เขาโมทนานะ โมทนาด้วย ขอพรพระท่านด้วย ให้ช่วยสงเคราะห์ทุกคนที่เป็นเจ้าของ ให้ลูกหลานทุกคน ทุกคนที่เป็นเจ้าของของที่ส่งมาก็ดี ไม่ใช่เจ้าของก็ดี ทุกคนตั้งใจทำความดี แ ละขอให้พระช่วย ช่วยหลายๆแบบนะ
ผู้ถาม : ยังงั้นลูกหลานที่อยู่ใกล้ๆ ยกมือโมทนาก็พลอยได้รับด้วยซิครับ
หลวงพ่อ : ก็โมทนาด้วยก็ได้ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการโมทนา ใช่ไหม คือว่าให้พระท่านสงเคราะห์ ขอร้องท่าน
ในเมื่อท่านตั้งใจสงเคราะห์ เราประนมมือยอมรับ อันนี้ได้รับผลแน่นอน
***ถึงแม้เวลานี้เราดูคลิปวิดีโอเวลาหลวงพ่อรับสังฆทาน เราโมทนากับเขาเราก็ได้รับพรพระท่านด้วยเช่นกัน***
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 84 เดือนกุมภาพันธ์ 2531 หน้า 12) -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๗ -
"เครื่องเศร้าหมองของจิต" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"เครื่องเศร้าหมองของจิต"
" .. "กิเลสแปลว่า เครื่องเศร้าหมอง" ตรัสว่า "เป็นอาคันุกะ คือสิ่งที่จรมาอาศัย" เหมือนอย่างแขกคือผู้ที่มาหา "ไม่ใช่เจ้าของบ้านและที่เรียกว่าเครื่องเศร้าหมอง" ก็เพราะมาทำให้จิตใจที่ผุดผ่องอยู่โดยธรรมชาติต้องเศร้าหมอง "เหมือนอย่างผงธุลีที่ปลิวมาทำน้ำที่ใสสะอาดให้สกปรก"
เมื่อกิเลสไม่ใช่เป็นเจ้าของบ้าน "คือไม่ใช่ธาตุแท้หรือเนื้อแท้ของจิต เป็นเพียงสิ่งที่จรมาอาศัย" แม้จะอาศัยอยู่นานสักเท่าไร มาถือสิทธิครอบครองอย่างไร ก็คงไม่สามารถละลายธาตุแท้ของจิตได้ "ฉะนั้น จึงอาจขัดเกลาชำระจิตให้พ้นจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงได้" .."
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๗ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๗ -
"ถือธรรมเป็นที่พึ่ง" (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี)
.
"ถือธรรมเป็นที่พึ่ง"
" .. "เราพุทธบริษัทควรจะเคารพอะไรให้เป็นหลักของใจ" จึงจะได้ชื่อว่าเรายึดถือหลักพุทธศาสนาเป็นเครื่องดำเนินในชีวิตประจำวันของเรา
"เบื้องต้นเราต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม" เราทำกรรมอะไรไว้ด้วยกาย วาจา และใจ ในที่ใด ๆ มากหรือน้อยไว้แล้ว "ผลกรรมนั้นต้องตกมาเป็นของตัวอย่างแน่นอน" ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง คนอื่นจะมารับแทนไม่ได้
"เมื่อเชื่ออย่างนี้แล้วผู้นั้นไม่สามารถจะกระทำ กรรมอันเป็นบาปได้เด็ดขาด" จะทำ แต่กรรมที่เป็นบุญเป็นกุศลตลอดเวลา "ได้ชื่อว่าถือธรรมเป็นที่พึ่ง" .. "
"เทสรังสีอนุสรณ์"
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี) -
บนขายบ้านกับหลวงปู่ปาน
บนขายบ้านกับหลวงปู่ปาน
การบนนี่ในสมัยก่อนโน้น มีคนเขาปลูกบ้าน ดูจะเป็นหมู่บ้านเมืองทองหรืออะไรนี่แหละ
นานแล้วแหละ มันเกือบ 20 ปี แกขายไม่ออก
แกไปถาม บอกว่านี่แกไปหาหลวงปู่ปานก็แล้วกัน ไปตกลงกับท่านจะถวายหลัง
ละเท่าไหร่ ให้ท่านมีหุ้นส่วน
พอถามท่าน ท่านบอกว่า "คุณอย่าถาม มันเรื่องของคุณ ให้คุณสบายใจ 5 บาท 10 บาท ก็ได้"
ผลที่สุดไม่ช้าแกไปแก้บน แกไปบนไว้หลังละ 1,000 เราบอกไป 10 บาทหรือ 5 บาท หลังละพันเขาให้มากนะ หลวงพ่อปานท่านได้กำไรมากนะ
รวมแล้วแก้บน 2 หมื่นกว่า
ถามว่า คุณทำไมบนเท่าไร ไม่มากเกินไปหรือ แกบอกว่า ไม่มากครับ อันนี้
เป็นเรื่องของคุณ ฉันถามน่ะบนอะไร แป๊บเดียวไม่ยาก คือว่าถ้ากรณีจำเป็น ท่านช่วยเหลือ
มีคราวหนึ่งคนที่อยู่ด้านกบินทร์บุรี สมัยนั้น ผ.ก.ค.มาก แกขายที่เท่าไรก็ไม่ได้ ทีนี้มาบนหลวงพ่อปาน บนหลวงพ่อปานกลับไปได้ไม่กี่วัน ก็มีคนมาวางมัดจำ
วางมัดจำแล้วก็ปรากฏว่าไม่มาเอาทิ้งมัดจำ หนักๆเข้าแกก็ทนไม่ไหว
แกก็มาบอกว่าเขาไม่มาเอา บอกบนไม่ได้ต้องการอย่างนั้น นี่ต้องการขายได้จริงๆ กลับไปบนใหม่ บนขอให้ขายได้เร็วๆด้วย เพราะ ผ.ก.ค. มันเต็มมาก
แกก็ไปบนใหม่ได้... -
ซื้อปลา
ซื้อปลา
ผู้ถาม : ลูกสั่งแม่ค้าเอาปลาดุก "ที่หั่นแล้ว 3 กิโลนะ" เจตนาเป็นปกติธรรมดา ไม่ปรารถนาเบียดเบียนซึ่งกัน อย่างนี้ลูกจะต้องมีเวรมีกรรมหรือเปล่าเจ้าคะ
หลวงพ่อ : เขาหั่นไว้ก่อนหรือเปล่า
ผู้ถาม : ก็ เอ๋ สงสัย
หลวงพ่อ : แม่นแล้ว แบบยายชีกินปลา ไปเจอะไอ้ปลาช่อนตัวใหญ่ พุงโต มีไข่ คลำไปคลำมา
แม่ค้าถามว่าซื้อไหมล่ะ บอกว่าซื้อไม่ได้หรอกมันเป็น กินไม่ได้หรอกมันบาป
ก็เลยเดินหลีกไป พอกลับมาใหม่ไอ้ปลาตัวนั้นตายพอดีเรียบร้อย
ถ้าเขาหั่นเป็นชิ้นๆอยู่แล้วไม่เป็นไร ถ้าไม่มีเขาเอาปลาเป็นมาหั่นแน่
หรือเห็นปลาตายบอกนี่หั่นเป็นชิ้นๆด้วยนะ จะเอาปลาตัวนี้แหละ อย่างนี้ไม่เป็นไร
ถ้ามีแค่ปลาเป็นแล้วทำแบบยายชี เขาถือว่าทำนิมิตให้ปลาตาย
ผู้ถาม : เอ๊ะ หลวงพ่อหากเราถามว่าปลาตายๆมีขายหรือเปล่า แล้วก็เดินผ่านเลย
หลวงพ่อ : สบายมาก พวกเดียวกันนั่นแหละ มีที่หวังได้แน่นอน คือ สัญชีพนรก สบาย
(จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 66 หน้า 131-132) -
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุเม
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุเม
หลวงพ่อ : ความจริง คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ใช้กันอยู่นี่ เวลาขายของเขาพรมของตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็จะพรมหน้าร้านตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
อาจารย์ยกทรง : น้ำมนต์ทำตอนกลางคืนหรือฮะ
หลวงพ่อ : ตอนล้างหน้า ทำตอนนั้นนะ หยิบน้ำจะมาล้างหน้า ก็เสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเลย เสกแล้วก็พอล้างหน้าเสร็จก็น้ำพรมๆ ว่าไปด้วยนะ
แล้วเคยทำกัน น้ำหนักของเพิ่ม น้ำหนักนี่ไม่ได้โกง ไม่ได้เอาทรายใส่ แต่น้ำหนักนี่เพิ่ม เขาไปใช้ก็ไม่ขาด นี่เขาลองกันมาแล้วนะ คาถามหาลาภ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง
วันนั้นเที่ยวมา ไปๆมาๆ ไปโผล่ที่วัดพนัญเชิง นานแล้ว หลายปี 10 ปี 20 ปีกว่า แล้วก็ไปดูว่าที่เลือกพระองค์นี้ ทำไมคนจึงบูชามาก ก็เลยมีภาพปรากฏ นี่ภาพเก่าก็หายแล้วเหลือพระองค์หนึ่งหน้าตักประมาณ 4 ศอก
ท่านบอกว่าวัดนี้เขาเรียก พระนางเชิญ ไม่ใช่ พนัญเชิง
ถามว่าเพราะอะไร ก็พระองค์นี้เศรษฐีนีเขาจับเชิญ สร้างขึ้นมา เชิญขึ้นมา แล้วก็เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมๆ ดำๆ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้อยู่ 3 ปี วัดนั้นจึงมีลาภมาก
แล้วต่อมา สมเด็จโต หรือใครก็ไม่ทราบ ไปสร้างครอบใหญ่โตทีเดียว
ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร... -
หลวงปู่ปานจะลงมาตรัสในกัปนี้
หลวงปู่ปานจะลงมาตรัสในกัปนี้
ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ หลวงปู่ปาน มีพระธาตุไหมคะ
หลวงพ่อ : ไม่มี..มีแต่กระดูก
ผู้ถาม : มีกระดูกหรือคะ
หลวงพ่อ : มีกระดูก
ผู้ถาม : กระดูกของท่านเก็บไว้ที่ไหน
หลวงพ่อ : เก็บไว้ที่วัดน่ะสิ เอามาได้รึ ทำไมต้องไหว้กระดูกล่ะ ไหว้รูปท่านก็ถึง นึกถึงตัวท่านนะ ท่านเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : รอที่จะลงมาบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 รองจาก พระศรีอาริย์
ผู้ถาม : อย่างนั้นพระองค์เดียวกันใช่ไหมเจ้าคะ หลวงปู่ที่เป็นช้าง
หลวงพ่อ : ไม่ๆ หลวงปู่ปานเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล
ผู้ถาม : พระเจ้าปเสนทิโกศล
หลวงพ่อ : เมืองนี้ชื่อ ปเสนทิโกศล เหมือนกันหมด เมืองนี้พระราชาชื่อเดียวกันหมด พระราชินีชื่อ มัลลิกาเทวี เหมือนกันหมด
ผู้ถาม : องค์เดียวกัน
หลวงพ่อ : องค์ไหนๆอะไรอีกล่ะ ชื่อเดียวกันทุกคน เราต้องดูองค์ไหน ถ้าสมัยนั้นเขาเรียก มหาโกศล
(จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 500)
หน้า 21 ของ 413