สะสมคำทำนายทุกท่านเมตตาบอก สงครามใหญ่ใช้นิวเครียร์มาก่อนภัยธรรมชาติใหญ่สึนามิ

ฟังเพลงคลายบ้าง

 

ธรรมะ
ไขปริศนาธรรมหลวงพ่อดำ
“อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย
คนสามบ้านกินน้ำบ่อเดียว เดินทางเดียวอย่าเหยียบรอยกัน
นะอยู่หัวสามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหนไปเอาที่นั่น”
“ได้แก่อะไรเอ่ย รับรองไม่ได้ทุกคน ท่านทั้งหลายตีปัญหาไม่ออก เพราะยังปฏิบัติกรรมฐานได้ไม่ถึงจุด

หลวงพ่อจรัญ จ.สิงบุรี แปลได้
“ได้แก่อะไรเอ่ย รับรองไม่ได้ทุกคน ท่านทั้งหลายตีปัญหาไม่ออก เพราะยังปฏิบัติกรรมฐานได้ไม่ถึงจุด
คนอันธพาลชอบเหยียบรอยกันเดินตามรอยกัน คนดีมีปัญญาเข้าจะไม่เหยียบรอยของใคร จะไม่ซ้ำแบบในอกุศลกรรม บัณฑิตที่มีพระจะไม่เหยียบเขา จะไม่ซ้ำรอยเขา จะเดินทางด้วยปัญญาที่มี บัณฑิตมีความคิดสูง
อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก การทอผ้าเป็นประการใด ยากเย็นเข็ญใจ กว่าจะได้ผ้าแต่ละผืนจะต้องทำอย่างไร ขอฝากไว้ไปคิด ถ้าปฏิบัติได้จะรู้ว่าทออย่างไร คันหูกเป็นประการใด ไหมเป็นประการใด กว่าจะมาทอเป็นผืนเป็นคืบเป็นศอก แสนจะลำเค็ญมิใช่น้อย ยังสามารถมาทำผ้าละเอียดอ่อน ยกดอกยกดวงได้สวยงามน่าทัศนาชม
อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย หมายความว่ากระไร อย่าลืมนะว่าเด็กเลี้ยงความนั้นโง่มาก่อน แต่แล้วมีิจิตเป็นกุศลเป็นประการใด จะทำถูกจากความโง่ให้เกิดผล เกิดปัญญา เฉลียวฉลาดปักไว้ในปัญญา จึงไม่เหยียบรอยใคร จึงไม่ว่าใคร ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยของใคร คนนั้นจะเดินทางถูก ปลูกสติ ดำริชอบ ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ ดังที่ได้ชี้แจงมา ณ บัดนี้...
จะทอหูกอย่างไร เขาต้องทอกันอย่างไร จิตใจของท่านจะละเอียดอ่อนเหมือนคันหูก ทำถูกคือเลี้ยงควาย มันะต้องโง่มาก่อน จึงจะหาความฉลาดปราดเปรียวในหัวใจ หาที่พึ่งทางใจคือธรรมะ ท่านจะทายปัญหานี้ได้ ท่านจะอธิบายได้ละเอียดอ่อน ที่พูดนี้เป็นเปลือกเท่านั้น..”
#พระธรรมสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
ภายหลังจากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ได้รับปริศนาธรรมบทนี้จากหลวงพ่อดำ ท่านก็พยายามค้นคว้าหาคำตอบ เพื่อที่จะตีความ อธิบายปริศนาธรรมนี้ให้ได้ ท่านเดินทางไปแสวงหาครูบาอาจารย์ เพื่อร่ำเรียนสรรพวิชาต่างๆมากมาย ท่านเรียนเกี่ยวกับเรื่องพลังอำนาจจิต ท่านเรียนรู้ไสยศาสตร์ ศึกษาวิชามายาศาสตร์ การฝึกสมาธิในรูปแบบต่างๆ เรียนคาถาอาคม เรียนวิชากสิน เรียนมโนยิทธิ เรียนวิชาธรรมกาย เรียนการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เรียนวิชาพยากรณ์ เรียนพระอภิธรรม ฝึกปฏิบัติสมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน
จนเมื่อกาลเวลาผ่านไป ในที่สุดท่านก็ได้ค้นพบคำตอบของปริศนาธรรมของหลวงพ่อดำ และได้นำหลักการปฏิบัติของพระพุทธองค์นั้นมาเป็นหลักสูตรแนวทางการสอนการปฏิบัติให้กับสำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีมาโดยตลอด และความหมายของปริศนาธรรมหลวงพ่อดำนั่นก็คือ
“หัวใจ ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔” นั่นเอง
................................................................................
อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก คือการปฏิบัติด้วยความอดทน เพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ปฏิบัติซ้ำไปซ้ำมา กลับไปกลับมา ด้วยความตั้งใจมั่น การทอผ้าไม่ได้สำเร็จภายในวันเดียว ต้องมีความพยายาม ความอดทน ความมานะอุตสาหะ ทอผ้าต้องทอกลับไปกลับมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาสามวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือเป็นระยะเวลาหลายปีก็ต้องเพียรพยายามต่อไป ยิ่งถ้าหมั่นเพียรทอซ้ำไปซ้ำมา อย่างมีสติ ใส่รายละเอียดให้ผ้าที่เราทอได้มากเท่าไหร่ เราจะได้ผ้าผืนใหญ่ที่งดงามสมกับความพากเพียรพยายามของเรา การปฏิบัติ ยิ่งถ้าปฏิบัติด้วยความเพียรต่อเนื่องสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ท่านผู้ปฏิบัติจะค้นพบจังหว่ะที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติของท่านเอง สมาธิจะรวมได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น มีความชัดเจนและชำนาญในการปฏิบัติมากยิ่งขึ้น จิตจะกำหนดได้อย่างรวดเร็วทันปัจจุบันได้ยิ่งขึ้น เหมือนท่านผู้ทอผ้าจนชำนาญแล้ว จะยกดอกยกดวงทำลวดลายอันแสนวิจิตรงดงามก็ง่ายขึ้นนั่นเอง
อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย คือ การปฏิบัติเพื่อใช้สติตามดู ตามควบคุมจิตให้ผสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นปัจจุบันให้ได้ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นหนึ่งได้เมื่อใด สติสัมพันธ์กับจิตได้เมื่อใด จะเกิดผลอันน่าอัศจรรย์ได้เมื่อนั้น
การที่สติ จะตามดูจิตให้เป็นปัจจุบันให้ได้นั้น สติต้องคอยตามควบคุมจิต จิตไปไหนให้เอาสติตาม จิตเกิดที่ไหนก็เอาสติตาม ตามไปดูโดยไม่ปรุงแต่งนึกคิดขึ้นมาเอง ไม่เอาตำราความรู้ความเข้าใจวิชาการต่างๆ เข้ามาวิเคราะห์วิจารณ์ ต้องทิ้งความรู้ความเข้าใจต่างๆไว้เสียให้หมดไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น คงเหลือไว้แต่สติที่เฝ้าตามดูจิต จิตเกิดขึ้นตรงไหน จิตไปไหนสติเราตามไปด้วย เหมือนเราจูงควาย ควายไปไหน เราก็เดินตาม ควายหยุดกินหญ้า เราก็หยุด ควายพาเดินเราก็เดิน ควายทำอะไรเราก็ตามดูมัน ถ้ามันหนีเตลิดออกนอกเส้นทาง เราก็ต้องตามไปดึงรั้งมันให้กลับมาอยู่ในการดูแลของเรา จะยืน เดิน นั่ง จะอยู่ในอิริยาบถไหน จะอยู่ในสภาวธรรมใด ใช้สติตามดูจิต ตามดูควายไปตลอด ระหว่างทางมีอะไรเข้ามากระทบก็กำหนด กำหนดอย่างต่อเนื่อง จะสามวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน เมื่อตั้งใจแล้วก็ขอให้ตั้งใจตามดูมันจริงๆ ให้ตามดูจิต โดยมีสติเข้าควบคุมไว้ให้ได้มากที่สุด
ซึ่งตอนแรกๆ เราก็ต้องใช้เชือกคอยดึง เพราะควายมันดื้อมาก ต้องคอยดึงคอยฉุดกระชาก เผลอๆ มันก็วิ่งเตลิดออกไปอีก ไม่สนใจควายหายเป็นเรื่องอีก ต้องมาเริ่มกันใหม่อีก แต่ต่อมาถ้าเราหมั่นปฏิบัติอยู่เสมอ ควายก็จะค่อยๆเชื่องลง จนในที่สุดก็ไม่ต้องใช้เชือกคอยล่าม ก็สามารถควบคุม ใช้สติควบคุมจิตให้อยู่กับปัจจุบันได้ ตรงนี้สำคัญมาก การพองหนอ ยุบหนอ การยืนหนอ การเดินจงกรม ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ หลวงพ่อท่านจึงเน้นให้ต้องพยายามทำให้ช้าๆเข้าไว้ก่อน เดินช้าๆเอาไว้ก่อน เพื่อให้สติตามจิตได้ทัน เพื่อให้สติรับรู้การยืนหนอได้ทัน ตามดูความเคลื่อนไหวของเท้าได้ทัน ตามรู้สึกการพองหนอ ยุบหนอหนอของท้องได้ทัน เมื่อสติกับจิตสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอได้เมื่อใด ประตูแห่งปัญญาความรู้ความเข้าใจจะเปิดออกได้ทันที
คนสามบ้านกินน้ำบ่อเดียว เดินทางเดียวอย่าเหยียบรอยกัน คือ การกำหนดทุกอิริยาบถให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ อยู่ในฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
ในการปฏิบัตินั้นการกำหนดอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง(คนสามบ้าน คือเรือนร่าง ขณะ ยืน เดิน นั่ง) สามารถปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันได้ สามารถกำหนดให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กันเหมือนกรอด้ายเข้ากระสวย ยืนเสร็จมาเดิน เดินเสร็จมานั่ง นั่งเสร็จมายืน ยืนเสร็จมาเดิน เดินเสร็จมานั่ง นั่งเสร็จมายืนให้ต่อเนื่องกันไป (การนอนให้มีสติอยู่กับปัจุบัน เป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ยากมาก ในข้อนี้ผมคิดว่าคงมีแต่พระอริยบุคคลเท่านั้น ถึงสามารถนอนมีให้มีสติอยู่กับปัจจุบันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยังทำไม่ได้ และยังไม่เข้าใจ และจะขอพยายามนำไปปฏิบัติเพื่อค้นคว้าหาคำตอบให้ได้ต่อไป)
น้ำบ่อเดียว คือ บ่อแห่งกาลเวลา คือปัจจุบัน ไม่ย้อนอดีต ไม่นึกคิดไปถึงอนาคต มีแต่ปัจจุบัน จึงไม่เหยียบรอยกัน (ไม่รื้อฟื้นอดีต ไม่คิดหาเรื่องไปก่อน ก็ไม่มีเรื่อง)
เมื่อท่านผู้ปฏิบัติหมั่นใช้สติ กำหนดอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง ให้เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอได้เมื่อใด จิตท่านจะค่อยๆคุ้นเคยกับการกำหนดให้เป็นปัจจุบัน ท่านจะเข้าใจความหมายของการ “กำหนดได้อย่างอัตโนมัติ” เมื่อผลของปัญญาแสดงออกมาเมื่อใด เมื่อท่านอยู่กับสภาวะปัจจุบันได้เมื่อใด เมื่อท่านเข้าใจความหมายของปัจจุบันได้เมื่อใด ท่านจะตามรู้ตามดูทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมดาที่สุด ท่านจะเข้าใจความหมายของทุกสรรพสิ่ง
นะอยู่หัวสามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหนไปเอาที่นั่น คือ การกำหนดอายตนะ ทั้งอายตนะภายใน และภายนอก จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส อารมณ์ที่เกิดจากใจ ต้องกำหนด
นะคืออะไร นะคืออายตนะ(อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฎิจสมุปบาท ๑๒) เป็นหัวใจของการปฏิบัติ เมื่อจิตเกิดขึ้นทางอายตนะทางใด ก็ต้องใช้สติตามไปควบคุม จิตเกิดขึ้นทางไหนก็ต้องตั้งสติตามไปกำหนดตรงนั้นไว้ให้ได้ มีสภาวธรรมเกิดขึ้นทางใด กายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อนแข็ง อารมณ์ที่เกิดจากใจ ต้องกำหนดทั้งนั้น
สามตัวอย่าละ คือ อย่าละการพิจารณาเข้าสู่หลักพระไตรลักษณ์ คือหลักแห่งสัจจะธรรมความจริงทั้ง ๓ ประการ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทุกอย่างหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย เมื่อผู้ปฏิบัติหมั่นกำหนดพิจารณาเข้าสู่หลักสัจจะธรรม หลักธรรมชาติ ความจริงแท้แน่นอนที่สุดทั้ง ๓ ประการ จิตของท่านจะไม่ยึดมั่นในอุปาทาน สังขารจะไม่ปรุงแต่ง จะเข้าใจฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ท่านจะเข้าใจเรื่องรูปนามขันธ์ ๕ ท่านจะแยกออกได้โดยปัญญาจากการปฏิบัติ
เมื่อผู้ปฏิบัติได้หมั่นเพียร ปฏิบัติได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย สามารถปฏิบัติให้มีสติคอยควบคุมจิตได้อย่างปัจจุบัน ปฏิบัติยืนเดินนั่งได้อย่างต่อเนื่อง สภาวธรรมใดเกิดขึ้นก็กำหนดได้อย่างเป็นปัจจุบัน และนำเข้าพิจารณาเข้าสู่หลักพระไตรลักษณ์ได้ดังนี้ จิตใจของผู้ปฏิบัติจะสัมผัสได้ถึงความจริงของสภาวธรรมต่างๆ ความจริงตามธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ในความธรรมดา เมื่อมีเกิดขึ้น เกิดการตั้งอยู่ ย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา
สุดท้ายนี้ขอความวิสุทธิแห่งปัญญา จงบังเกิดแก่ผู้ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอความเจริญในธรรมสัมมาปฏิบัติจงบังเกิดแก่ผู้ยึดมั่นในคำสอนครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อดำ และบูรพาจารย์ทุกองค์ ขออำนาจความกตัญญูต่ออุปัชฌาย์อาจารย์คือหลวงพ่อจรัญจงส่งผลให้ทุกท่านได้เข้าถึงทางแห่งอริยมรรค มีความสำเร็จตามความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการนี้ด้วยเทอญ #น.สุภาการ

 

ประมาณ ประสูติ 16 เม.ย. อาทิตย์ -563
ตรัสรู้ 18 เม.ย. พฤหัสฯ -528
ปรินิพพาน 3 เม.ย. อังคาร -483
ขอบันทึกข้อความจากคุณwebsnow เก็บไว้ด้วยครับ ขอขอบคุณ
ปี พ.ศ. 2560 คือ กึ่งพุทธกาล ครบ 2,500 ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
การใช้ พ.ศ. ของประเทศไทยคลาดเคลื่อน

1). The Cambridge and Oxford histories of India ยอมรับว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน 483 ปีก่อน คริสตศักราช

ปีนี้ 2017 + 483 = ปี 2500
พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี

พ.ศ. ของไทย ปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2560 เท่ากับว่า พ.ศ.ไทยเรา เร็วไปกว่า 60 ปี

The Cambridge and Oxford histories of India accept 483 B.C as the date of Buddha’s nirvana.
He was 80 years old when he died, so this puts his birth year at 563 BCE

2). ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บอกว่า การเรียก พ.ศ.ผิดนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตามชินกาลมาลีปกรณ์ ระบุว่า พระเจ้าอโศกเสวยราชย์ ระหว่าง พ.ศ.214-255
ที่ทราบว่าผิดความจริง ก็เพราะพระองค์ส่งสมณทูตไปตามเมืองต่างๆ (กระทั่งสุวรรณภูมิ) เมืองเหล่านี้มีศักราชจดไว้แน่นอน เทียบศักราชดูแล้ว พบว่า นับ พ.ศ.มากเกินไป 1 รอบ คือ 60 ปี

3). ถ้า พ.ศ. ของไทยคลาดเคลื่อนตามเหตุผลข้างต้น
ปี พ.ศ. 2560 เท่ากับ 2,500 ปี
ดังนั้นปี พ.ศ. 2560 ครบ 2,500 ปี ที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน เป็นยุคกึ่งพุทธกาลของ 5,000 ปี

 

เพื่อธรรมะบ้าง

 

ธรรมะ

 

ธรรมะ

 

ธรรมะ

 

ธรรมะ

 

ธรรมะ

 

สังเกตุ พศ.2569 หรือ คศ.2026 มะเมีย บอกมี ดาวใหญ่ผ่านมาจริงหรือเปล่าต้องดูกัน