รวบรวมรายชื่อสถานที่หลบภัยในช่วงภัยพิบัติ

แต่จะให้พูดว่า "ภัยพิบัติไม่มีทางเกิดได้หรอก" ดูแล้วผมว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกินครับ..ตอนนี้จิตสำนึกของผู้นำประเทศเกือบทั่วโลก มุ่งแต่จะเอาชนะ คิดการมุ่งแต่ผลประโยชน์กันอยู่แบบนี้ ภาพในอนาคตมีให้เห็นค่อนข้างชัด..จริงไหมครับ? บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หรือพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ท่านก็ไม่อาจนิ่งดูดาย เมื่อทราบเหตุการณ์บนโลกมนุษย์เช่นนี้ ด้วยความเมตตาต้องมาบอกกล่าวกับมนุษย์ที่ยังใฝ่ดีบางส่วนช่วยกับบอกข่าวเหล่านี้ แต่คนส่วนมากก็มองว่า งมงาย พิสูจน์ไม่ได้ หรือถูกหลอกแน่นอน เป็นธรรมดาครับ มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆครับ

แต่ลึกๆผมทราบว่าท่านเหล่านั้นไม่ได้พูดเล่นๆแน่นอน ไม่เช่นนั้นสัจจะ ที่กล่าวไปจะมีใครนับถืออีกต่อไป ไม่ใช่เรื่องเล่นๆครับ..รีบบำเพ็ญกันนะครับ...

ที่ทราบมานี่การชำระนี่รวมทั้ง 3 ภพเลยนะครับ โลกมนุษย์ นรก สวรรค์ เดือดร้อนกันหมดทั่วหน้า เทพ เทวดาบางองค์ยังต้องแฝงร่างมนุษย์มาขอรับธรรมะกันเลยครับ..คือเร่งสร้างบารมีกันทุกหมดทุกภพ ไม่นิ่งดูดาย เหมือนโลกเราครับ มนุษย์โลกดูจะเป็นภพที่เฉื่อยชา ไม่รู้สึกรู้สาที่สุดนะผมว่า...

ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยหลอกคน มีแต่คนเท่านั้นที่หลอกตัวเองเพราะฉะนั้นใครเลยจะเชื่อว่า โลกนี้จะถึง...วันนั้น

​

 

ที่คุณเกษมบอกไว้ อาจเป็นไปได้ครับ...

เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดภัย
ภัยที่จะเกิดมีทั้งสิ้น 81ครั้ง ตามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกกล่าวไว้เป็นนันย์ แรกสุดน่าจะเป็นระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกที่ประเทศใดก็ตาม รู้สึกที่จีนก็จะโดนครับใกล้บ้านเรามาก(ไม่นับที่ฮิโรชิมา กับนางาซากิ) ตามด้วยภัยพิบัติจากธรรมชาติ

เก้าเก้า คือวันเวลาถ้าเดาแบบพื้นๆ ก็อาจจะเป็นเดือนเก้า หรือวันที่เก้า หรือวันที่ 99 ก็ได้ครับ ซึ่งจะเกิดในช่วง เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน

ก่อนหน้า เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า ก่อนที่ฟ้าจะมิดมิด สองสามวันบรรยากาศของโลกจะดูสงบนิ่งไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเงียบสงัดก่อนพายุฝนจะกระหน่ำ มักเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ
ทัดใดนั้น ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีจากสีฟ้าสว่าง เป็นแดงฉาน และกลายเป็นสีเทาขาว จนกระทั่งโลกทั้งหมดก็ตกอยู่ในความมืดมิด
ลมมหาประลัยทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และสัตว์ ทำให้กลายเป็นจุลมหาจุลลงในพริบตา...จากนั้นพายุฝนกระหน่ำฝนเป็นเม็ดสีแดงๆ มีน้ำหนักคลายเศษแก้ว ทะลุทะลวงผนังปูนเข้ามาได้...

บรรยายจากร่างสามคุณ ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นิมิตรให้เห็นภาพอนาคต ภัยครั้งนี้หากยั้บยั้งไว้ไม่ได้ ก็สาหัสที่เดียวครับ...

​

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ครับ เป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม และพลังงานของกรรมชั่วที่มนุษย์บนโลกได้กระทำสืบทอดสะสมกันมา เมื่อพลังงานของกรรมชั่วได้เพิ่มมากขึ้นจนเกินสมดุลของโลกจะทานไว้ได้ ก็มีการชำระล้างกันอีกรอบหนึ่งครับ เหตุที่มีการรู้สึกว่ามีการเลื่อนมา หลายปีนั้น ท่านบอกว่า มีมนุษย์เท่านั้นที่ติดสมมติเรื่องเวลา และภาษา ในโลกของจิตวิญญาน มีเพียงเหตุเป็นตัวกำหนดผลที่จะตามมาครับ นั้นคือกฏแห่งกรรมครับ ครั้งนี้มนุษย์โลภโมโทสัน และทำลายธรรมชาติยิ่งกว่ายุคสมัยใด ผมบอกได้เต็มปากเลยว่า เป็นความผิดของทุกคนบนโลก รวมทั้งตัวผมเองด้วย ในความเลวความชั่วแม้เพียงเล็กน้อยของเรา มันกลายมาเป็นผลของกรรมที่มาทำให้ต้องมาเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ครับ เรามาทำจิตของพวกเราให้บริสุทธ์และมีพลังเพื่ออย่างน้อยก็ให้มีโลกใบนี้หลงเหลืออยู่ มีประเทศไทยไว้สืบต่อพระศาสนาให้ครบ 5000ปีครับ แล้วก็เก็บประสบการณ์ที่ผิดพลาดนี้ไว้เล่าให้ลูกหลานของเราได้ฟังครับ

 

เมื่อคืนวันจันทร์ผมฝันครับว่า เห็นภาพซากทารกจากการทำแท้ง เป็นภาพสีสดๆชัดเจน จากนั้นพอตื่นพอจะเคลิ้มๆ ก็มีนิมิตรเห็นเด็กเล็กๆคลานเต็มไปหมด แล้วได้ยินเสียงเด็กเล็กๆร้องว่า"โอ้ย ลำบากจัง ลำบากจัง" ก็เลยนึกได้ว่าพวกเค้าลำบากมีทุกข์กันแสดงภาพในฝันอย่างเดียวกลัวผมลืม เลยมาคอนเฟิร์มในนิมิตรอีกรอบ ผมเลย แผ่เมตตาให้ตามระเบียบ ที่ควรปฏิบัติ ในนิมิตรก็เห็นพวกเค้าสบายขึ้น พอกลางคืนมาสวดมนต์นั่งสมา ลองใช้จิต ดูก็ พบว่า ในปัจจุบันในเวลาไม่กี่ปีมานี้ เฉพาะในประเทศไทยมีการทำแท้งไปไม่น้อยกว่าแสนรายแล้ว ภาวะของกรรมมีการสะสมตัวมากจน Overload แล้ว ดังนั้นทางหนึ่งที่จะช่วยได้ก้คือ พวกเราพยายามแผ่เมตตาเพื่อช่วยสลายแรงกรรมแรงพยาบาทให้เบาบางลง ทำความดี สร้างบุญกุศล บารมี ทำจิตใจของเราให้บริสุทธ์เพื่อช่วยสร้างสมดุลของพลังและเพื่อการเร่งการปฏิบัติเพื่อความดีของตัวเราเองครับ

 

สำหรับการเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อรับมือกับภัยพิบัตินี้ เราควรทำตัวอยู่ในสองมิติให้สมดุลครับ คือ ในฐานะของคนปกติใช้ชีวิต ทำอาชีพการงานตามปกติไม่ตื่นตระหนก บอกคนอื่นเรื่องนี้บ้าง เตือนบ้างตามโอกาสและกาลเทศะที่เหมาะสม ถ้าคนเค้าเชื่อเราค่อยแนะนำต่อ ถ้าเค้าไม่เชื่อก็เฉยๆ ให้วางใจเป็นอุเบกขาอย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจกับพวกเขา กรรมใครกรรมมัน ให้เราระลึกไว้ว่าพวกเราไม่สามารถช่วยทุกคนบนโลกนี้ได้(ถึงแม้เราอยากจะทำอย่างนั้นก็ตาม) เพราะ กฏแห่งกรรม และพวกเขาเหล่านั้นต้องช่วยตัวเองด้วยครับ
ส่วนในอีกมิติของพวกเราก็จงเป็นผู้ฝึกฝนตนเอง ทั้งร่างกาย และจิตใจ ให้มีพลังขึ้น มีความตั้งมั่นขึ้น มีความบริสุทธ์สูงขึ้น อย่าลืมว่าเกณฑ์ในการสงเคราะห์ของเบื้องบนนั้นท่าน เลือกผู้มีความเมตตา มีคุณธรรม มีจิตใจที่บริสุทธ์ครับ เพราะโลกในยุคสมัยหลังมีหลงเหลือแต่คนดี คนมีศีลธรรมครับ ยุคนั้น พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองคล้ายสมัยพุทธกาล มากด้วยผู้บรรลุธรรมและพระอริยเจ้าครับ น่าชื่นใจจัง

 

ตอนนี้ดูเหมือนว่า พระสงฆ์ในยุคนี้จะมีหน้าที่ หรือมีบทบาทน้อยลงกว่าสมัยก่อนมากนะครับ หลังจากมีข่าวมากมายทำให้คนเริ่มเสื่อมศรัทธา และไม่ค่อยเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ไม่ให้เวลาสนใจทางจิตกันเหมือนเมื่อก่อน จะเหลือแค่งานประเภททำงานพิธีบวช งานแต่ง หรือปลุกเสก หรือด้านอิทธิปาฎิหารย์ เท่านั้นที่ผู้คนส่วนใหญ่จะเข้าไปหากัน

จะหาพระปฎิบัติดีๆต้องไปหาในป่าในเขากันแล้ว ท่านก็ไม่ยุ่งทางโลก เน้นสันโดษ การเข้าหาก็ยากขึ้นเท่าตัว เหมือนพุทธทำนายท่อนหนึ่งที่บอกคล้ายๆว่า "พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองล้วนหนีหายเข้าป่ากันหมดในช่วงกึ่งพุทธกาลนี้"
แล้วพระพุทธศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเหมือนสมัยแรกๆแห่งพุทธกาล

จริงๆการที่พระพุทธองค์ทำนายในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น นับเป็นพันๆปีได้นี่ แสดงให้เห็นว่าแนวโนม้ของธรรมชาติมนุษย์นี่เป็นไปในทิศทางเสื่อมลงๆโดยตลอด ยากต่อการเยียวยาจริงๆ ด้วยจักษุทิพย์ของท่านการคาดหมายต่างๆในอนาคตจึงแม่นยำสูงมาก

ที่นี้การยกยอสืบพระศาสนาก็อยู่ที่ฆราวาสด้วยเหมือนกันน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากครับ คาดว่าโลกวิไลที่สดใสคงใกล้มากแล้ว ถ้าไม่ใช่เหตุการณ์แบบนี้แล้วอะไรจะเปลี่ยนแปลงโลกได้มากมายขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ภัย..เพื่อดึงจิตคนให้หันกลับสู่พุทธภูมิเช่นเดิมได้...มันมีเหตุมาจริงๆครับ

 

ขอแนะนำหลัก สิกขาบท 7 ประการ ที่นักรบแห่งแสงสว่างพึงใช้
เป็นหลักปฎิบัติง่ายๆ แบบที่ฆราวาสสามารถนำไปใช้ได้กับชิวิตประจำวันครับ (จริงๆแล้วที่หลบภัยที่ดีที่สุดคือตัวเราเองครับ..)

สิขาบทที่ 1 "ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ"
* ปรับความคิด คำพูด และการกระทำให้สอดคล้องกับธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ ที่เป็นตัวตนแก่นแท้ของเรา (ความมีสัจจะแห่งจิตวิญญาณ)

สิขาบทที่ 2 "ก้าวสู่สนามรบ"
*ปรับพลังงานในตัวเราและกายเนื้อ ให้สัมพันธ์สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมธาตุแห่งพุทธะทำได้โดย "การเพ่งเบาๆบริเวณที่ตาที่สาม" เป็นประจำเพื่อปรับกระแสพลังงานใหม่

สิขาบทที่ 3 "สมาธิ"
*การดำรงรักษาความเป็นหนึ่ง และตรวจสอบตนเองเสมอว่า..
เราต้องยึดถือ "จิตสำนึกทางธรรม" ไม่ใช่ "จิตสำนึกทางร่างกาย"
เพื่อไม่ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น หรือเกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา

สิขาบทที่ 4 "ลั่นกลองรบ"
* การทำลายล้างกิเลส และยกระดับจิตวิญญาณของตนเอง สู่สุญญตาภาวะ
ทำได้โดยการใช้ "หลักวิปัสนาญาณ" ให้เกิดปัญญาญาณอย่างแท้จริง
และหว่านเมล็ดแห่งกุศลพันธุ์ ลงในนาบุญ

สิขาบทที่ 5 "จิตดุจแสงอาทิตย์"
*การปรัปทิศทาง และกระแสแห่งพลังงานความรักความเมตตา
ทำโดยการตั้งความมุ่งมั่นใน"ปณิธานเดิมแท้ของเรา"
และการแผ่เมตตาจากจิตสำนึกแท้จริงของเรา เหมือนดั่งดวงอาทิตย์ที่แผ่พลังงานออกไปอย่างทั่วถึง


สิขาบทที่ 6 "ชีวิต"
*การ "เจริญสติ" ด้วยการใช้ลมหายใจ หมุนธรรมจักร ปรับลมปราณ เป็นเครื่องช่วยกำหนดการปฎิบัติ ทั้งขณะที่นิ่งสงบ และยามเคลื่อนไหว เพื่อปรับร่างกายและจิตใจให้สมดุล ฟื้นฟูสุขภาพ และเกิดความพร้อมที่สุด

สิขาบทที่ 7 "มงคลวาจา"
*การใช้พลังแห่งวาจา..สร้างความถี่แห่งพลังอำนาจ
ในการประทานพร ให้อภัย เกื้อหนุน..สิ่งที่เป็นมงคล
โดยถูกจังหวะเวลา และเหตุปัจจัย ย่อมเอื้อความเป็นมงคลสูงสุด
สิ่งเกื้อหนุน คือ "บทเจริญพระพุทธมนต์"

"พลังแห่งการสวดมนต์"
ตั้งใจสวดมนต์เพื่อความเป็นมงคล..เช่นว่า
"ขอให้เราได้อุทิศ และพัฒนาจิตใจ ขยายสู่โพธิจิตที่ยิ่งใหญ่"
"ขอให้ความงามแห่งความรักความเมตตา
และปัญญาของชีวิตเราจงงอกงามในทุกทุกมิติเสมอ

หมายเหตุ*
- นักรบแห่งแสงสว่าง คือมนุษย์ทุกคน ที่ปรารถนาจะบำเพ็ญธรรมเพื่อให้เกิดแสงสว่างในชีวิต
โดยเป็นแนวทางที่เรายังสามารถดูแลครอบครัว พ่อแม่พี่น้องได้ เหมือนเดิมทุกประการ โดยไม่ต้องออกบวช เพราะยุคนี้เบื้องบนให้โอกาสปุถุชนทั่วไปในการบรรลุธรรมแล้ว
- นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง คือผู้อาสามาทำหน้าที่ค้ำจุนระบบโลก เช่นนักบวชหรือพระสงฆ์ที่ปฎิบัติเพื่อให้รู้จริง รู้แจ้ง

 

"ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด" ของนักรบแห่งแสงสว่าง
รับเอาอาวุธยุทธ์ภัณฑ์นักรบทั้งหมด..เป็นยุทธภัณฑ์ฝ่ายจิตวิญญาณเพื่อจะได้ต่อต้านวิญญาณอกุศลชั่วร้าย และเราจะได้อยู่อย่างมั่นคงปลอดภัย พร้อมทั้งทำหน้าที่ได้อย่างลุล่วง...

*จงเป็นหนึ่งเดียวกับศูนย์กลางพลังงานสูงสุด
ธรรมะสูงสุดในการเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐคือ "ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ"

*จงสวมชุดแห่งความรักความเมตตา
คุณธรรมแห่งความรักความเมตตา เป็น "ลมหายใจแห่งชีวิต"

*มั่นคงเอาความจริงเป็นเข็มขัดคาดเอว
หมั่นตรวจสอบ "สภาวะธรรม" ของตนเอง ให้เสมอต้นเสมอปลาย

* นำความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก
คือรู้หน้าที่ กำหนดชีวิตตัวเองให้สมดุล มีความยุติธรรมและมีคุณธรรม

*นำข่าวอันประเสริฐแห่งสันติสุข มาสวมเป็นรองเท้า
ข่าวอันประเสริฐ คือ"การรับวีถีธรรมและเรื่องราวแห่งธรรมะ" อันเป็นรากฐานและเหตุที่สำคัญต่อการทำให้เกิดสันติสุข

*นำศรัทธามาเป็นเกราะ
ความเชื่อความศรัทธาเป็นโล่กันภัย ดับลูกศรเพลิงของวิญญาณอวมงคล ด้วยการมีขันติที่เปี่ยมด้วยกระแสเมตตาและการให้อภัย กระทำคุณต่อไปอย่าเป็นธรรมชาติ

*นำพุทธะภาวะเป็นหมวกป้องกันศรีษะ
ดำรงความเป็นหนึ่งเดียวกับจิตเดิมแท้ของตนเสมอ ยึดปณิธานกำหนดเป็นสัมมาวิถี

*ถือพระแสงของพระวิญญาณบริสุทธิ์
หมายถึงการใช้"พระธรรมเป็นหลักสำคัญ"ในการตัดสินใจปฎิบัติการใดๆ หรือการใช้ปัญญาแยกแยะข้อมูลข่าวสารให้กระจ่างชัด จากจิตพุทธะในจิตวิญญาณของตนเองนั้น

ทั้งนี้ จงระมัดระวังตัวในความเพียรทั้งหลาย หมั่นกราบพระขอขมาสำนึกบาป เปลี่ยนแปลงตนเองให้ก้าวหน้าไปในทางดี และรู้จักขอบคุณหรืออฐิษฐาน ให้เบื้องบนประทาน "ปัญญา"บอกหนทางแก้ไข ด้วยความคิดวูปแรกที่เกิดขึ้นให้น้อมนำไปปฎิบัติแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองในที่สุด....

เอามาฝากจากสำนักอนุตรธรรม และอาจารย์ปริญญา ตันสกุลครับ..
ในโอกาสที่ได้ไปบรรยายร่วมกันครั้งหนึ่ง และถ่ายทอดข้อมูลมีความคล้ายคลึงกันมากทีเดียวในวันนั้น..

 

ส่วนใครที่จะไปฟังบรรยายที่ศูนย์สิริกิตต์ วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 49 นี้
ควรไปล่วงหน้า ก่อนบ่างโมง จะดีที่สุดครับ ลงทะเบียนและจองที่นั่งไว้ก่อน ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ (เอาสมุดจดบันทึกไปวางบนที่นั่ง แล้วลุกเดินมาคุยกันก่อนได้ครับ)
ส่วนมากอาจารย์ปริญญา ท่านจะเริ่มบรรยายราว บ่ายโมงครึ่ง หรือบ่ายสอง เสร็จก็ประมาณ 6โมงเย็น (บางทีก็มีเบรคพักครึ่ง)
แต่ไม่ต้องคาดหวังว่าท่านจะบอกเรื่องวันเวลาเรื่องภัยเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องธรรมะและความรู้ซะเป็นส่วนใหญ่ เรื่องภัยท่านจะเล่าให้ฟังเป็นของแถม

จะเป็นห้องประชุมย่อยและมีป้ายเขียนไว้หน้าห้องเกี่ยวกับ"จิตจักรวาล"หาไม่ยากครับ..(สำหรับท่านที่ไม่เคยไปฟัง บอกได้ว่าไม่ใช่ลัทธิแน่ๆครับ ที่นี่มีแต่ความรู้ใหม่ๆมาเติมเต็มความรู้เดิมครับส่วนจะจริงหรือไม่ อันนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ..) ส่วนผมจะไม่ได้อยู่แจ้งข่าวช่วง 10 -19 สิงหาครับ ติดงานยาว แต่จะหาจังหวะแวะเข้ามาดูในเวป แต่วันนั้นไปแน่ครับ..แล้วพบกัน (เอ..คุณคนานันท์ คุณเกษม และท่านอื่นๆไปกันด้วยรึเปล่าครับ..)

 

ไปถึงกันก่อนสักพอสมควรก็ได้ครับ กินข้าวกินปลาให้เรียบร้อย จะได้พูดคุยรวมกลุ่มทำความรู้จักกันก่อนครับ หลังสัมมนาจะมีพิเศษนอกรอบหรือไม่ค่อยว่ากันวันนั้นครับ ขอให้พวกเราช่วยกันขอบคุณในการติดต่อประสานงานของคุณMead ด้วยครับ

 

วันนี้ดูข่าว CNNตอนเช้าเห็นทางอเมริกาแถลงว่ากลุ่มเเขก มีการส่งอาวุธ เคมี อาวุธชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์เข้าไปในเลบานอนแล้วครับ ดูแล้วน่าจะเป็นการหาเรื่องเพื่อความชอบธรรมในการส่งกองกำลังทหารเข้าไปยึดประเทศของชาวบ้านเค้าแบบกรณีอิรัคครับ แต่ถ้ามีการส่งอาวุธจากกลุ่มประเทศมุสลิมเข้าไปจริง เหตุการณ์ต่างๆจะยิ่งเร่งให้เกิดเร็วขึ้น จนน่าตกใจครับ อาจแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวกันเลย

 

20 สิงหา ไปแน่นอน 19 สิงหา ก็จะเดินทางออกจากโคราช
ที่งานน่าจะมีหนังสือ ของอ.ปริญญา มาขายด้วย ราคาถูกกว่าร้านทั่วไป

 

ขออัพเดทสถานที่หลบภัยเพิ่มเติมครับ
วัดถ้ำป่าไผ่ อำเภอลี้ จ.ลำพูนครับ
วัดพระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ครับ ถ้าได้ข้อมูลเพิ่มเติมจะมาเพิ่มให้ครับ

 

อ.ลี้ นี่เคยไปครับ จำได้ว่าเส้นทางไปคดเคี้ยวทีเดียวครับ อยู่ในเทือกเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลหลายเมตร น่าจะเป็นบริเวณที่เอื้ออำนวยในการหลบภัยดีทีเดียวครับ
ถ้าอาคารที่อยู่อาศัยไม่แข็งแรงพอ ดูแล้วต้องอาศัยภูมิประเทศประเภทหุบเขานี่ล่ะครับ อย่างน้อยก็ป้องกันเรื่องลมพายุ แต่ก็ต้องระวังเรื่องดินถล่มด้วย..

 

สถานที่หลบภัยหากมีเหตุร้าย วัดเขาค้อพัฒนาราม อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
มีพื้นที่โดยประมาณ 700 ไร่

 

พอดีได้คุยกับคุณ kananun ทางโทรศัพท์ คือ ตกลงวันที่ 20 เจอกันที่งานของอาจารย์ปริญญาแน่นอน แต่ดิฉันมีความเห็นว่าน่าจะมีโอกาสไปที่อื่นกันด้วยเพราะหลายท่านมาจากต่างจังหวัด เมื่อเสร็จธุระแล้วก็คงต้องรีบกลับ ก็เลยคิดว่าไหน ๆ ก็มากันแล้วน่าจะไปให้หลายที่หน่อย

1. เท่าที่คุณ mead เสนอมาว่าตอนเช้าเราอาจจะแวะไปหาอาจารย์เทพพนมกันก่อน ไม่ทราบว่าสมาชิกคนอื่นจะเห็นด้วยประการใด พอดีคุณ kananun ได้ให้เบอร์ของอาจารย์เทพพนมเอาไว้แล้ว แต่ว่าจะขอความคิดเห็นเพื่อน ๆ กันก่อน ถ้ามีคนสนใจก็จะได้โทรไปนัดอาจารย์เทพพนม เอาเป็นซัก 9 โมงเช้าดีมั้ยคะ ว่าแต่จะนัดเจอกันที่ไหนดี คุณ mead ช่วยเสนอความคิดเห็นด้วยค่ะ

2.คุณ mead เคยให้ข้อมูลว่าไปสำนักอนุตตรธรรมที่ดอนเมืองควรไปวันอาทิตย์ดีที่สุด ไม่แน่ใจว่าวันนั้น งานสัมมนาของ อ.ปริญญา จะเสร็จซักกี่โมง ถ้ามีเวลาเราจะแวะไปสำนักอนุตตรธรรมกันต่อดีหรือไม่ หรือถ้าวันนั้นนัดอาจารย์เทพพนมไม่ได้ เราก็ไปสำนักอนุตตรธรรมกันก่อนตอนช่วงเช้าแล้วก็ค่อยไปงานสัมมนาของ อ.ปริญญา ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ มีความคิดเห็นประการใดคะ

3. ที่คุณ mead เคยพูดเรื่องพี่ผู้หญิงที่ทราบเรื่องเทพ พรหม ที่อยู่ตรงสุขุมวิท 26 สะดวกจะไปพบวันอังคาร จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะไปพบท่านวันอังคารที่ 22 สิงหาเลย ไม่ทราบว่าเพื่อนคนอื่นจะสะดวกไปหรือไม่ ถ้างัยต้องรบกวนคุณ mead ถามท่านอีกทีว่าจะสะดวกให้พวกเราไปหาได้วันไหนบ้างนะคะ

 

ถ้าเห็นว่าโปรแกรมแน่นเกินไป จะนัดวันเสาร์ที่ 19 ด้วยก็ได้นะคะ

 

ถ้าคุณ soonyata กับเพื่อนบางคนอยู่ต่างจังหวัด เอาแบบนี้ดีไหมครับ...

*โปรแกรมวันอาทิตย์ 20 ส.ค. 49*
- ช่วงเช้าถ้าใครอยากชมภาพแปลกๆ นัด ดร.เทพนม ได้ครับ (แต่ผมอาจติดงานอยู่ครับ..)
- ช่วงบ่าย อาจารย์ปริญญา เริ่มบรรยาย บ่ายครึ่ง-หกโมงเย็น


*โปรแกรมวันอังคาร 22.ส.ค. 49*
- ซอยสุขุมวิท 26 (ช่วง1ทุ่ม-5ทุ่ม เตรียมชุดขาวไปด้วยครับ)
นัดเจอกันที่เอ็มโพเรี่ยม ก่อน ราวๆ 1ทุ่ม แล้วค่อยเข้าไป ที่นี่ท่านเหล่านั้นจะเน้นเรื่องภัยพิบัตินี้เป็นหลักครับถ้ามีโอกาสก็สอบถามได้ทุกเรื่อง (ที่นี่ค่อนข้างปิดตัว รู้กันในกลุ่มต่างชาติ และคนไทยไม่กี่คนครับ) และกำลังเตรียมทำสถานที่หลบภัยกันอยู่

- สำนักอนุตรธรรม ไปวันธรรมดาได้ครับ..(คนไม่เยอะ) ไปพูดคุยกับผู้ดูแลสถานธรรมได้ทุกเวลาครับ แต่ต้องนัดก่อนครับ (หรือเป็นวันอังคารราวบ่าย 3โมงก็ได้ถ้าว่างกัน..)

หรือใครมีที่อื่นๆ แนะนำได้ครับ..
-อาจารย์อาขวิน (ตาที่สาม) ก็น่าไปนะครับ..

 

พระมหาสิงห์ วิสุทโธ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน เมตตาสูงครับ (พระท่านบอกหรือครับคุณ kananun ว่าที่นี่ปลอดภัย)

 

จากที่พี่ mead บอกว่าเมฆดำปกคลุมทั่วโลกนั้น อาจเป็นจากควันของระเบิด
นิวเคลียร์หลายลูกมาก และยิงในช่วงติดต่อกัน ควันสามารถลอยได้สูงถึง10กิโลเมตร นานได้ประมาณ 1-7เดือน

ตัวอย่าง นิวเคลียร์ที่นางาซากิ
อำนาจทำลายล้างของนิวเคลียร์ที่นางาซากิ นั้นเท่ากับดินระเบิดประมาณ60,000ตัน ความร้อนภายใน 0.4วินาที สูงถึง 4,000-6,000 องศา
อานุภาพของรังษีนิวเคลียร์ ไกลได้กว่า 100 กิโลเมตร อำนาจทะลุทะลวง
สามารถทะลุผ่านคอนกรีตได้

ปัจจุบันในโลกมีนิวเคลียร์ประมาณ 20,000 กว่าลูก และอำนาจทำลายล้างสูงกว่าลูกที่นางาซากิหลายเท่าตัว