กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ตุลาคมครับ เป็นงานกฐินประจำปีครับ.
    เหมือนไปเที่ยวไปเมาส์มอยมากกว่าครับ ๕๕
     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่35) หน้า58 #ลำดับ1156
    หลวงพ่อภรังสี วัดภูพลานสูง จ.อุบลราชธานี

    :):(:oops::oops::oops::oops:o_O

    เรื่อง ไสยศาสตร์ VS วิทยาศาสตร์
    หลวงพ่อ...กราบคารวะครับ...เยี่ยมจริงๆ


    ....แม้แต่พระจันทร์ทรงกลด
    พระอาทิตย์ทรงกลดเหล่านี้
    มีผลกระทบต่อชาวโลกเหมือนกัน
    สุริยคราสจันทราคราส
    ก็มีผลกระทบต่อชาวโลกเหมือนกัน
    จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มีอยู่ในตำนาน
    นักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อ
    เขาศึกษาตามทฤษฏีตามเหตุตามผล
    สิ่งเหล่านี้ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งทางโหราศาสตร์
    ถ้าเราจะพิสูจน์อะไร
    เราก็ต้องตามไปศึกษาเรื่องเหล่านั้น
    จะเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ไสยศาสตร์
    มันคนละศาสตร์กัน กลายเป็นเรื่องปัญหาโลกแตก
    เราสงสัยศาสตร์ไหนก็ต้องไปศึกษาศาสตร์นั้น
    เราสงสัยพุทธศาสตร์เราก็ต้องมาศึกษาพุทธศาสตร์
    ไม่ใช่เอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์
    พุทธศาสตร์หรือไสยศาสตร์
    มันพิสูจน์ไม่ได้ มันคนละศาสตร์กัน

    จะเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์พระบรมสารีริกธาตุ
    มันจะพิสูจน์ตรงไหนได้
    ถ้าเราอยากรู้อยากเข้าใจ
    เราต้องมาศึกษาข้อมูลต่างๆในเรื่องเหล่านี้
    เมื่อเรายอมรับได้ เราก็เกิดศรัทธา
    เกิดความเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง
    มันเป็นเรื่องอจินไตยก็จริง
    แต่เมื่อเราศึกษาเข้าใจแล้ว
    เกิดศรัทธาว่าเป็นเรื่องจริงมีอยู่จริง

    เหมือนเหล็กไหลเราก็ต้องศึกษา
    มันเป็นศาสตร์ ศาสตร์แต่ละศาสตร์
    ไม่ใช่ว่าเราศึกษาศาสตร์เดียวแล้วจะรู้รอบ
    เราจะต้องศึกษาและยอมรับศาสตร์แต่ละศาสตร์
    คำว่าไสยศาสตร์คือสิ่งเร้นลับ
    ไสยศาสตร์เกิดมาตั้งแต่ปรโลกแล้ว
    ไม่ใช่เพิ่งมา เกิดวันสองวันนี้
    ยุคสมัยนี้จิตใจมนุษย์มันเสื่อม
    ของเดิมมันมีอยู่แล้วเราพัฒนาไม่ทัน
    สิ่งที่ไม่มีตัวตนสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    เช่นเหรียญนี้ขลัง เรามองเห็นหรือขลังเพราะอะไร
    พระสมเด็จที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นเพราะอะไร
    นั่นแหละสิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่รู้มันก็เป็นไสยศาสตร์
    สิ่งที่มองไม่เห็นตัวเป็นไสยศาสตร์
    แม้แต่เขาเสกของเข้าท้องเรา
    เราไปเอ็กซ์เรย์ดูก็ยังไม่เห็น
    เรื่องไสยศาสตร์
    วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ตรงนั้น
    เราพัฒนายังไม่ใกล้เคียงกับเขาเลย
    ไสยศาสตร์มีมาตั้งกี่พันล้านปี
    เราจะไปพัฒนาทันได้อย่างไร ไปไม่ถึงหรอก
    มนุษย์เราทุกวันนี้ศึกษาสิ่งแวดล้อมได้แค่หยิบมือเดียว
    มนุษย์เราศึกษาอวัยวะมือเราแค่มือเดียว
    ก็เขียนเป็นตำราเป็นหนังสือได้เป็นกอบกำ
    ยังเอาความรู้นั้นมาขายเป็นสิบยี่สิบล้าน
    มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา
    เราต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจ
    ในเรื่องต่างๆให้ชัดเจนเข้าถึงเรื่องนั้นๆให้ถ่องแท้


    หลวงพ่อภรังสี
    วัดภูพลานสูง
    อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี

    9@Phonlee, 4 กันยายน 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2024
  3. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่36) หน้า60 #ลำดับ1181
    :eek::eek::eek::eek::cool::cool::cool::cool::cool:

    เรื่องเล่าจากพันทิปอ่านแล้วกลายเป็นปริศนา

    "ขอเกาะกระเเส พญานาค หน่อยนะครับ
    อยากเสนออีกข้อมูลที่ให้ไปคิดลองกันดู"

    ข้อมูลที่จะเสนอนี้ ตัวกระผมไม่ได้เป็นคนเห็นเอง
    เเต่เอามาจากคำบอกเล่าของคนในครอบครัว
    ที่ยืนยันว่าเขาเห็น เเละเป็นเรื่องธรรมดา
    ไม่ต้องเสียเวลามาพิสูจน์ ให้มันเหนื่อย
    เพราะถึงพญานาคมาอยู่ตรงหน้า
    มีเครื่องมือพันล้าน ก็ตรวจจับไม่ได้
    เเต่ก็แปลกที่หลายคนที่อ้างว่าเห็น
    ก็มักจะเห็นสิ่งเดียวกันอย่างมีนัยยะสำคัญ

    เข้าเรื่องเลย การเห็นสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัย
    ทิพย์จักษุ (เขาว่ามาอย่างนั้น)
    เป็นความสามารถที่มนุษย์สามารถพัฒนาได้(ยกเว้นผมมั้ง)
    ซึ่งคนที่มองเห็น ก็ไม่จำเป็นอะไรเลย
    ที่จะต้องไปถึงแม่น้ำโขง เพราะ
    แหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็มักจะมีพญานาคทั้งนั้น ขึ้นอยู่ว่ามากน้อย เป็นชนิดไหน ชั้นไหน
    และพญานาคสามารถขึ้นมาบนบก เลื้อยผ่านหน้าบ้านเรา
    บางตนก็มีขาสามารถเดินได้ โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
    พอเป็นที่สรุปได้เบื้องต้นว่า
    ไอ้ที่เห็นในคลิปวีดีโอต่าง ๆ น่าจะเป็นตัวอย่างอื่น
    จากที่ผมพยายาม ค้นคว้ามา ก็จะมาลงเอยที่คำว่า โลกทิพย์ หรือ มิติคู่ขนาด ถึงตรงนี้เเล้วก็ไม่รู้จะไปต่อได้ยังไง เกินวิสัย เเต่ถ้าสิ่งเหล่านี้(โลกทิพย์ หรือ มิติคู่ขนาด)มีอยู่จริง เขาก็อยู่ในโลกของเขา เราก็อยู่ในโลกของเรา ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางตรง ถึงจะรู้จะเห็นชีวิตเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง วงการวิทยาศาสตร์ก็เหมือนเดิม ส่วนตัวเราก็ต้องทำงานต่อสู้ดิ้นรนเหมือนเดิมอีก มิได้เจอท่านพญานาคแล้ว อ้อนวอนขอ
    แล้วท่านจะทำให้เราสำเร็จสมหวังในชีวิตได้
    เพียงเเต่รู้เห็นแล้วก็อาจจะได้เพื่อน (ต่างมิติ)
    ที่มีมิตรไมตรีเพิ่มขึ้นมา
    ให้ละลึกว่าตายแล้วไม่สูญเท่านั้นเอง

    แต่ผมก็เชื่อนะว่า คนที่เห็น ก็เห็นจริง อยู่ที่ไหนก็เห็น
    แต่เห็นเเล้วก็คือเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
    มิได้ไปจุดธูปทาแป้งขอหวย ยังสถานที่แปลกๆต่างๆ
    และสำคัญว่าเป็นเรื่องอภินิหารแต่อย่างใด

    ที่มา....พันทิปดอทคอม
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่37) หน้า60 #ลำดับที่1197
    เรื่อง เส้นผมบังภูเขาได้อย่างไร

    ;);););););););):oops::oops::oops:

    อจ.นพ(บุรุษไร้เงา) โพสต์

    เรื่องนามธรรมปกติไม่เล่าเลยดีที่สุด....
    ถ้าไม่มีคนถามหรือไม่เป็นประโยชน์ทางธรรมยิ่งไม่ควรเล่า...
    บางเรื่องเรารู้ของเราเองคนเดียวก็พอ...
    แต่ถ้าพอขำๆไม่ว่ากัน พอฮาๆ
    ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้

    เพราะกลจิตเป็นเพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้
    ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงในระดับ หลับตาเห็น
    หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วเห็นหรือแว๊บๆเห็น
    หรือทำสมาธิแล้วเห็น...ยิ่งยึดไม่ได้เลย
    ทำได้แค่เพียง พอฮาๆขำๆ
    เพราะไม่พูดบ้างก็ไม่ได้
    เด่วจะกลายเป็นเก็บกด ๕๕๕

    ไม่ยึดคือ ในเวลาปกติ ไม่สนใจเลยนั่นหละ
    คือเหมือนว่า ไม่เคยเกิดขึ้นในระบบจักรวาลนี้


    พุทธฯเราเรียนเข้าหาอนัตตาเพื่อให้หมดอัตตาตัวตน
    ถ้าเราเข้าถึง พวกอนัตตา ซึ่งเป็นนามธรรม ต่างๆได้
    ถือว่าเราได้เปรียบ แต่การได้เปรียบนี้หละ กลับกลายเป็นอัตตาได้
    อย่างคาดไม่ถึง คือเพราะเผลอไปดึงเข้ามาเป็นตัวตน
    หรือสร้างอนัตตาเหล่านั้นให้เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาด้วยการ
    การไม่รู้จักการปล่อยรู้ ไม่รู้จักการปล่อยวาง
    และไม่ตัดการไปรู้ นั่นหละ อนัตตามันเลยย้อนเป็นอัตตา
    สร้างเป็นตัวตนขึ้นมาได้อย่างหนึ่งนั่นเอง

    ถ้าเราเผลอไปสร้างไปสนใจตรงนี้
    มันจะขวางกระบวณการ
    ไปรู้ต้นตอแห่งการเกิดได้อย่างคาดไม่ถึง

    จะยกตัวอย่างเปรียบให้ฟัง
    เหมือนเรารู้ว่า นี่ต้นมะนาวรู้จากสัญญาอาจจะได้ยินมา
    อ่านมา รู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร มะนาวพันธ์อะไร
    มันมีหนามนะ ลูกมันสีเขียวๆนะ เวลาสุกก็ออกสีเหลืองนะ
    มันมีประโยชน์อะไรบ้าง
    มันเอาไปทำอะไรได้บ้าง...แต่เราจะไม่รู้ว่า
    มันเกิดได้อย่างไร
    หรือพูดง่ายๆว่า
    เราจะรู้แต่ ต้นมะนาว ที่มันเกิดไปแล้ว
    จากสายตาที่เรามองเห็น
    หรือการระลึกได้ถึงต้นมะนาว...ถ้ายังเริ่มๆเกท
    แต่น่าจะเกทได้มากว่า ก็ มาต่ออีก

    ในทำนองเดียวกัน เราเห็นผีตนหนึ่งเป็นนามธรรม
    จัดเป็นอนัตตา หรือ เราเห็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    ทางนามธรรม ถ้าเราไม่เผลอไปสร้างให้มีตัวตน
    เราควรจะเล่าได้ว่าเหตุที่เราเห็นแบบนั้นได้
    เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ด้วยตัวเราเอง
    เหมือนเราควรจะรู้ว่า ต้นมะนาวมันเกิดได้อย่างไร


    ถ้าเราเผลอไปสร้างให้มีตัวตน
    เราจะไปรู้แต่กระบวณการนามธรรมนั้นที่มันเกิดไปแล้ว
    ก็คือ รู้เห็นเริ่มต้นจากการเป็นภาพผีตนนั้น เรียกถูกว่าผีเหมือนกัน
    จากการได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านมา เหมือนที่กำลังมอง
    หรือระลึกถึงต้นมะนาว
    และไปรู้รายละเอียดผีตนนั้น เรียกว่าผีอะไร ระดับไหน
    เรื่องราวต่างๆจากสภาพแวดล้อมที่ผีตนนั้นปรากฏตามสถานที่ต่างๆ
    ประเภทของผีที่เป็นชื่อเรียกเฉพาะ
    กำลังบุญ ฯลฯ
    แต่เราก็จะไม่รู้ว่า
    ภาพผีนั้นเกิดได้เพราะอะไร
    เหมือนที่ไม่รู้ว่า ต้นมะนาวมันเกิดได้อย่างไร......

    ซึ่งมันช่าง อิสสะบังเอิญเหลือเกินว่า
    มันช่างสอดคล้อง กับเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง
    เหลือเกินว่า เมื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันเกิดมาแล้ว
    เหมือนเรากำลังมองต้นมะนาวหรือระลึกถึงต้นมะนาว หรือ
    เรากำลังเห็นภาพนามธรรมขึ้นมาแล้วหรือระลึกถึงภาพนามธรรมอยู่
    ถ้าเรามัวไปปรุงต่อ ไปสร้างเรื่องต่อ
    ด้วยการไม่รู้จักการปล่อยตัวไปรู้ ไม่รู้จักการปล่อยวางเรื่องเหล่านั้น
    และไม่ตัดการไปรู้เรื่องเหล่านั้น
    ก็จะเหมือนเราไปรู้ในกระบวณการที่ มันเกิดไปแล้ว
    มันได้เกิดมีขึ้นแล้ว เหมือนเรารู้เรื่องต้นมะนาว
    เหมือนเราไปรู้ภาพนามธรรม
    แต่เรากลับไม่รู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง
    มันเกิดได้อย่างไรนั่นแหล


    ปล. นี่หละ เค้าเรียกว่า เส้นผมบังภูเขา.......
    และมันบังภูเขาได้อย่างไร ^_^ พอเกทเนาะ

    อจ.นพ(บุรุษไร้เงา) โพสต์
    7 กันยายน 2518
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่37) หน้า61 ลำดับที่#1203
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง "ยุคพระบรมสารีริกธาตุปรากฏ"

    ผู้เขียนเรียนถามหลวงพ่อว่า
    ทำไมยุคนี้จึงมีพระบรมสารีริกธาตุเกิดขึ้นมากมาย
    หลวงพ่อได้เมตตาอธิบายให้ผู้เขียนฟังว่า
    ยุคพระบรมสารีริกธาตุปรากฏก็คือยุคเราเนี่ยแหละ
    ยุคนี้เป็นยุคศิวิไลซ์
    เป็นยุคที่พระบรมสารีริกธาตุมาปรากฏมากที่สุด
    ถ้าเราย้อนไปในอดีต
    เมื่อประมาณสองพันกว่าปียังไม่เคยมีปรากฏ
    แต่มาในยุคนี้พระบรมสารีริกธาตุปรากฏมากมาย
    และทุกสิ่งทุกอย่างก็มาเกิด
    เมื่อพระพุทธองค์มาอุบัติมาเกิดขึ้นทุกสิ่งก็มาเกิด
    ก่อนที่พระพุทธองค์จะมาบังเกิด
    สิ่งของที่จะมารองรับก็มาเกิดก่อนล่วงหน้า
    เป็นการปูทางไว้ก่อน
    เช่นพระนารายณ์ก็มาเกิด พระพรหมก็มาเกิด
    พระแม่ธรณีก็มาเกิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มาเกิด
    พระบรมสารีริกธาตุก็มาเกิดมา
    เพชรพญานาคเกิด ไม่เกิดคนก็สร้างมาให้เกิด
    หลวงปู่โมคคัลลานะก็มาเกิดโดยบารมี
    หลวงพ่อสเก็ตซ์ภาพหลวงปู่โมคคัลลานะ
    ภาพหลวงปู่โมคคัลลานะก็เกิด
    อดีตผ่านมาแล้วตั้ง ๒พันกว่าปี
    พอสเก็ตซ์ภาพท่านก็เกิด
    เกิดโดยบารมีของหลวงปู่โมคคัลลานะ
    ด้วยศรัทธาที่หลวงพ่อมีต่อพระโมคคัลลานะ
    ต่อมาพระสรีรังคาร
    พระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์ก็เกิด ตรงนี้เป็นหลัก
    เพชรพญานาคเกิด มันบันดาลให้เกิด ไม่เกิดก็สร้างขึ้นมาให้เกิด
    เพราะพระบรมธาตุเหล่านี้ทุกองค์ล้วนแล้วแต่เป็น องค์เอก คือข้อพระหัตถ์ก็ใหญ่ พระเขี้ยวฝางก็ทั้งองค์พระพุทธโลหิตก็ทั้งองค์ล้วนแต่เป็นองค์เอกทั้งนั้น
    ในยุคนี้ถ้าพระบรมสาริริกธาตุของพระพุทธองค์ยังบังเกิดขึ้น สร้างขึ้นมาสวดขึ้นมาก็เกิดขึ้น ฯลฯ
    ศาสนาอยู่ได้เพราะพวกเราปฏิบัติบูชารักษาไว้
    บางคนพูดว่าแล้วพระพุทธเจ้าทำไมไม่เทศน์
    พระองค์จะเทศน์ทำไม
    ในเมื่อพระไตรปิฎกมีอยู่แล้ว
    พระองค์เทศน์มาแล้วตั้งสองพันกว่าปีที่ผ่านมา
    พระพุทธเจ้าไม่เคยหยุดเทศนาเลย
    พระองค์เทศนามาตลอด
    หลวงพ่อก็อาศัยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มีเพียบพร้อม
    ดังนั้นพระบรมสารีริกธาตุจึงปรากฏในยุคนี้
    ยุคศิวิไลซ์ยุคใดก็ตาม สมมุติว่ายุคนี้มันหมดไป
    ต่อไปยุคใหม่มีพระบรมสารีริกธาตุอุบัติเกิดขึ้น
    นั่นคือบารมีของพระพุทธองค์มาปรากฏขึ้น
    เพื่อประกาศพระศาสนาของพระองค์ต่อไป อีกเป็นช่วง ๆ

    บทความจาก
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี


    9@Phonlee โพสต์ 8 กันยายน 2018



     
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่37) หน้า61 ลำดับที่#1215
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    เรื่อง สัตบงองอาจบาตรพญานาค
    สัตบงองอาจบาตรพญานาคที่หลวงพ่อได้มา
    ก็เป็นเรื่องแปลก
    อยู่ๆก็มีโยมชื่อสันติอยู่ที่จังหวัดระยองเขานำมาถวาย
    ของชิ้นนี้เป็นของคนรุ่นเก่าแก่
    เป็นคนมอญอยู่ข้างๆบ้านโยมสันติ

    วันหนึ่งโยมสันติไปเห็นเข้าเกิดอยากได้ขึ้นมา
    ร้องห่มร้องไห้จะเอาให้ได้ของเก่าชิ้นนี้

    เจ้าของเขาถามว่าจะเอาไปทำอะไร
    คุณโยมสันติตอบว่าจะเอาไปถวายวัด
    จะไปถวายวัดทำไม
    ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยากได้เอาไปถวายวัด
    คุณกล้าซื้อหรือราคา ๓ แสน
    โยมสันติตอบว่าไม่มีเงิน
    ผู้ขายยื่นข้อเสนอให้ผู้ซื้อยืมเงิน ๒ แสน
    ยืมเงินมาซื้อของเขา โยมสันติก็เอา

    พอคุณโยมเอามาไว้ที่บ้าน เขาบอกว่า
    มีอะไรก็ไม่รู้บอกเขาให้เอาไปถวายวัดภูพลานสูงให้ได้
    เขาไม่เชื่อไม่ยอมเอาไปถวายวัด
    เขาโดนพญานาคลงโทษพาตัวเขาไปนอนแช่น้ำทะเล๗ วัน ญาติ ๆ ไปตามเจอพามาอาบน้ำอาบท่าเสร็จ
    เขาจึงบอกญาติๆว่า
    พญานาคบอกให้เอาบาตรไม้นี้ไปถวายวัดภูพลานสูง
    เขาไม่รู้ว่าเป็นสัตบงองอาจบาตรพญานาค
    เขานั่งรถตระเวนหาวัดภูพลานสูงหลงไปถึงนครสวรรค์ สอบถามเส้นทางจึงวิ่งกลับมาที่วัดภูพลานสูง
    อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
    เมื่อเขาถวายหลวงพ่อเป็นพุทธบูชาแล้ว

    หลวงพ่อจึงบอกเขาว่า
    นี่คือสัตบงองอาจบาตรพญานาค
    พญานาคสร้างถวายพระพุทธองค์
    เป็นบาตรไม้แกะสลักสวยงามติดกระจกฝังมุขสวยงาม
    เป็นของโบราณเก่าแก่

    บทความจาก
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี


    (9@Phonlee, 10 กันยายน 2018)

     
  7. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    (ปักหมุดที่39) หน้า62 ลำดับที่ #1229
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง ข้าวสารดำ


    ข้าวสารดำเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์
    เมตตามหานิยม เทวาอารักษ์
    แม้แต่สัตว์ต่างๆ ก็ไม่กล้ารบกวน

    การได้มาซึ่งข้าวสารดำ
    อาจเกิดจากการฝันหรือเทพนิมิต
    เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจ
    ปรารถนาให้ไปขุดค้นเพื่อนำมาบูชา


    ------------------------------

    (บ้านพุทธคุณ มหานิยม(ใหญ่)

    บันทึกวันที่ 12 เมษายน 53
    วันนี้จะขอเล่าถึง ข้าวสารดำ)


    ในความเชื่อที่ได้อ่านมาจากหนังสือ กายสิทธิ์ “ยุคอภิญญา” ที่เขียนโดยอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    อนุภาพข้าวสารดำแก้คุณไสย
    อีกทั้งรับประทานแก้โรคปัจจุบันและโรคที่ไม่ทราบสาเหตุปรากฏว่าสิ่งที่เป็นอยู่หายไปอย่างน่าอัศจรรย์


    หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
    ผมได้อธิษฐานขอเมื่อปลายเดือนเมษายน 2552
    จนกระทั้งเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนี้
    ผมได้ข้าวสารดำโดยบังเอิญพบที่บ้านผมเอง
    จำนวนหนึ่งได้นำมาเป็นมวลสาร
    ผสมสร้างพระผงจักรพรรดิที่ผมทำแจกและถวายพระ
    เมื่อเห็นว่าเหลือน้อย จึงอยากจะออกตามหาบ้าง


    ช่วงสงกรานต์ว่าง คืนวันที่ 11 เมษายน 53
    ผมได้ทำการอธิษฐานขอเพื่อนำมาช่วยคนที่โดนคุณไสย
    และนำมาผสมสร้างพระต่อไป


    และได้ทำการเสี่ยงทายเหรียญ หากออกหัว สามครั้งติดกัน เป็นการยืนยันว่าเดินทางไปหาครั้งนี้จะได้ข้าวสารดำกลับมา ผลคือโยนได้หัวสามครั้งติด

    วันรุ่งขึ้นผมได้เดินทางไปอยุธยา
    กราบหลวงปู่ทวดที่วัดแค
    และเดินลัดเลาะไปหาวัดข้าวสารดำ


    ระหว่างเดินเข้าไปนั้นถามลุงคนหนึ่ง
    แกได้ชวนคุยแล้วก็พาไปวัดข้าวสารดำ
    ซึ่งวัดที่ว่ามีเพียง พระพุทธรูป สามองค์
    แล้วก็ เพิงมุงหลังคาสังกะสีเทพื้น
    ขนาด 2 เมตรคูณ 4 เมตรเท่านั้น


    ลุงแกเล่าให้ฟังว่า แกไม่รู้ประวัติอะไรนักหรอก
    รู้แต่ว่าพี่ชายลุงสร้างไว้บอกว่าเป็นวัดข้าวสารดำ


    แล้วลุงแกก็เดินเข้าไปหยิบข้าวสารดำมาให้ผม 10 กว่าองค์ได้ หลังจากดูแกก็บอกว่า มอบให้ผม คุยกับแกสักพักใหญ่ ๆ
    ผมก็ถึงเวลาเดินทางกลับ
    ตามความรู้สึก สถานที่แห่งนี้ที่เรียกว่า วัดข้าวสารดำ
    คงจะอยู่ในสมัยอยุธยา หรือก่อนหน้านี้
    ส่วนข้าวสารดำนั้นจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาหรือไม่
    ผมไม่ทราบ รู้สึกเพียงแต่ว่า
    ที่แห่งนี้ยังมีอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนอยู่
    และสิ่งที่สร้างข้าวเหนียวดำนี้
    น่าจะเป็นข้าวของเมืองบังบด
    ทำให้เรื่องราวโยงใยถึงปู่
    ซึ่งผมเรียกว่าปู่ ท่านอายุ 85 ปีแล้ว
    ยังแข็งแรงเดินไปมาได้สบาย
    เมื่อตอนที่ผมกลับไปเชียงคาน สร้างพระบาทสี่รอยนั้น
    ผมนำข้าวสารดำไปด้วย
    ปู่บอกเคยมีคนเล่าว่า ทุกเดือนห้า
    ที่แห่งหนึ่ง(ขออภัยจำไม่ได้ว่าที่ไหน)
    ผีเมืองบังบดจะทำสร้างหรือว่าเก็บเกี่ยวข้าวสารดำ
    (เมืองบังบดกับเมืองลับแล ประเภทเดียวกัน)
    ผมจึงเข้าใจว่า
    ที่ลุงบอกว่าจะเจอข้าวสารดำตอนฝนตกนั้น
    น่าจะมาจากชาวเมืองบังบดได้ทำนา
    และข้าวสารได้หล่นลงพื้นดิน คือมิติปัจจุบัน
    เพราะระหว่างเดินผ่านวัดแค รู้สึกว่าตรงข้างๆโบสถ์
    จะมีประตูมิติอยู่ ทั้งขาไปและขากลับ
    จริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบเพียงแค่รู้สึกอย่างนั้น
    ไว้ผมจะกลับไปหาคำตอบอีกครั้งหนึ่งเมื่อถึงหน้าฝน


    ขอขอบคุณ
    บ้านพุทธคุณ มหานิยม(ใหญ่)
    บันทึก 12 เมษายน 53


    โพสต์โดย9@Phonlee, 11 กันยายน 2018


    (ปักหมุดที่40) หน้า62 ลำดับที่ #1230
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    เรื่อง เส้นผมบางตา กับ มารผจญ

    *บ่อยครั้งผมก็ถูกเส้นผมบางตา*


    อย่างกรณีเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นข้างล่างนี้
    ไม่ทราบว่าเข้าข่าย “มารผจญ”
    หรือเป็นเพราะ "วิบากกรรม"
    หรือมันก็อันเดียวกัน

    ...เช้าวันเสาร์ที่ 8-9-61
    ผมจะไปร่วมงานบุญครบรอบ 79 ปี

    ลพ.มาลัย วัดบางหญ้าแพรก สมุทรสาคร

    ขณะที่เตรียมตัวจะออกจากบ้าน
    พอถึงหน้าบ้านเห็นน้ำในบ่อปลาคร๊าฟ
    ...เหลือน้ำแค่ 2 ฝ่ามือ


    ผมอุทานเบาๆ...งานเข้าละสิ
    วันไหนไม่เกิด ดันเกิดเอาวันนี้
    แล้วผมจะได้ไปงานบุญไหมเนียะ


    จึงรีบค้นหาสาเหตุที่น้ำหายเกือบเกลี้ยง
    ทีแรกคิดว่าก้นบ่อหรือผนังรอบๆรั่วซึม


    คงเป็นงานช้างที่จะซ่อมแซมเสร็จในวันนี้
    หรือถ้าเป็นเพราะข้อต่อต่างๆ...คงพอเสร็จทัน
    จึงทำใจไว้แล้ว “อดไปงานลพ.แน่นอน”


    ใช้เวลาคลำหาอยู่ร่วมชั่วโมง
    สุดท้ายไปเจอสาเหตุกล้วยๆ
    (สู้อุตส่าห์คิดได้ตอนสิ้นหวัง)
    เหมือน *เส้นผมบังภูเขา*
    ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน


    คือตะไคร่น้ำบนขอบบ่อกรอง+ใบไม้
    กลายเป็นทางเดินน้ำไหลออกนอกบ่อตลอดแนว
    บังเอิญเป็นผนังบ่อกรองด้านที่มองไม่เห็น


    น้ำล้นออก...ตั้งแต่เย็นถึงสว่าง
    เหลือน้ำในก้นบ่อเพียง 2 ฝ่ามือ


    พอได้ให้ปลาคร๊าฟ 9 ชีวิต
    ตัวขนาดโลครึ่ง ถึง 2 โล
    ว่ายไปมาพยุงชีวิตรอดได้ในค่ำคืนนั่น
    ต่างกับเจ้าของปลา...นอนหลับสบายๆ


    ....พอแก้ปัญหาบ่อปลาเสร็จ
    ....เติมน้ำไปครึ่งบ่อชั่วคราว


    ผมรีบเร่งขับรถออกจากหมู่บ้าน
    เวรกรรม...ไปเจออุปสรรคระลอกสอง
    รถติดในซอยนานอีก..นานแสนนาน
    ทั้งที่ปกติซอยนี้รถไม่เคยติดเลย


    ฮึกๆ...ผมแทบจะเลี้ยวรถกลับบ้าน
    ใจหนึ่ง...กลัวว่าจะเป็นลางบอกเหตุ
    สุดท้าย สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินทางต่อ


    "แม้น้ำเชี่ยวกราดก็จะฝืนพายเรือไปให้ได้"

    ไปถึงงานบุญลพ.ประมาณ11.00 น.สายไปจริง
    ....ผู้มีจิตศรัทธาล้นหลาม


    แม้มาถึงงานช้ามาก
    แต่วันนั่นเป็นวันที่ผมประจักษ์ได้ว่า...

    "หลวงพ่อมาลัย"เจโตปริยญาณ
    หยั่งรู้วาระจิตคน...ผมไม่สงสัยเลย


    สุดท้าย...ผมขอรบกวนถาม
    ท่านอจ.นพว่า...เหตุการณ์ที่เล่ามา
    เข้าข่าย “มารผจญ” หรือไม่


    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ)โพสต์
    ส่วนตัวไม่ได้เรียกมารผจญ
    เรียกว่า การทดสอบ กำลังใจ...
    เป็นธรรมดา ถ้ากำลังจะทำดี มักจะเจอ...
    เจอแบบนี้ได้ ทางปฏิบัติถือว่าดี...


    9@Phonlee, 11 กันยายน 2018


    (ปักหมุดที่41) หน้า61 ลำดับที่ #1213

    :cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool:

    เรื่อง ประสบการณ์หลวงพ่อมาลัย
    **เจโตปริยญาณ**หยั่งรู้วาระจิตคน


    เมื่อวานผมได้มีโอกาสไปร่วมงานบุญ
    ครบรอบ 79 ปี หลวงพ่อมาลัย อุทโย
    วัดบางพญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร
    เกจิอาจารย์ชื่อดังในด้านหยั่งรู้วาระจิตคน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ช่วงเวลาเที่ยงๆ...
    หลังจากผมทำบุญไหว้พระตามจุดต่างๆ
    รู้สึกหิวขึ้นมา อยากเข้าแถวรับข้าวสักจาน
    ...แต่ไม่สะดวกเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมาก
    คงทำได้แค่หยิบกล้วยทอด 1 ถุง
    ...4-5 ชิ้นมารองท้องกับกาแฟเย็น 1 แก้ว

    พอบ่ายๆ ได้เวลาญาติโยมผู้ศรัทธา
    เข้าไปกราบขอพรหลวงพ่อเป็นกลุ่มๆ

    เมื่อหลวงพ่อประพรมพุทธมนต์เสร็จ
    ...กลุ่มแรกก็ลุกออกไป
    ...ผมอยู่ในกลุ่มที่ 2
    มีคนรวมๆประมาณ 15 คน
    พอผมก้มลงกราบหลวงพ่อมาลัย
    ขณะที่เงยหน้าขึ้นมา
    เห็นลพ.มองมาที่ผม
    ...ยิ้มด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตา
    ถามผมว่า "ทานข้าวอิ่มหรือยัง?"

    ผมจึงตอบไปตามความจริงว่า...
    "ข้าวยังครับ...แต่ทานขนมไปแล้ว"

    ความน่าฉงนใจอยู่ตรงที่ว่า...
    ญาติโยมกลุ่ม1 กับกลุ่ม2
    รวมกันน่าจะกว่า 30 คน
    ทำไมลพ.มาลัย ท่านเจาะจงถามผม

    ...ท่านคงทราบดีว่าทุกคนอิ่มกันหมดแล้ว
    ...ยกเว้นผมที่รองท้องด้วยกล้วยทอด

    [​IMG]
    (หลวงปู่ใหญ่ พระพุทธรูปเก่าแก่)


    เรื่องที่2ที่จะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
    น้องสะใภ้(แซ่ลิ้ม)ไปวัดบางหญ้าแพรกครั้งแรก


    ได้มีโอกาสไปกราบขอพร ลพ.มาลัย
    ท่ามกลางญาติโยมที่นั่งอยู่ 20-30 คน

    ช่วงหนึ่งลพ.มาลัยท่านเปรยออกมาว่า...
    “คนแซ่ลิ้ม มาด้วยเหรอ”

    น้องสะใภ้สะดุ้ง...นั่ง*งง*สักพัก
    เพื่อความแน่ใจ...จึงหันไปดูรอบๆ

    ...ว่าหลวงพ่อหมายถึงตนเองหรือไม่ ?

    หลวงพ่อรีบชี้ไปที่น้องสะใภ้บอกว่า...

    “โยมนั่นแหละ..นั่นแหละ”

    9@Phonlee โพสต์
     
  8. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,884
    ค่าพลัง:
    +4,719
    เหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก


    ผู้เขียนได้เรียนถามหลวงพ่อว่าทำไมจึงเกิดภัยพิบัติขึ้นทั่วโลก หลวงพ่อบอกว่าเหตุที่ภัยธรรมชาติบังเกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน เกิดขึ้นด้วยอำนาจของสุริยะธาตุ เกี่ยวเนื่องด้วยสุริยะธาตุปรากฏ มันจะเกิดดินโคลนถล่ม แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ น้ำท่วมไปทั่ว ที่ไม่เคยท่วมก็ท่วมขนาดที่สูง ๆ น้ำยังท่วม นี่แหละคืออำนาจของพระพุทธองค์ ผลสุดท้ายจะเหลือแค่เพียง ๓ ร่มโพธิ์ศรี คือถ้าใครยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธองค์ สิ่งเหล่านั้นก็จะเหลือ ยกตัวอย่าง ที่ภาคใต้ดินโคลนถล่ม เจ้าของบ้านบอกว่าจะให้ลูกบวชในพระพุทธศาสนาดินโคลนที่ถล่มก็แยกเลยบ้านเขา ไป เขาก็รอดพ้นจากภัยพิบัติ อีกรายอธิษฐานว่าถ้าบ้านเขาไม่เป็นไร เขาจะจัดผ้าป่าไปทอดไปทำบุญถวายเขาก็ไม่เป็นอะไร นี่พระพุทธองค์ประทานให้เป็นตัวอย่างแก่สายตาชาวโลกว่า นี่คือพระพุทธองค์ให้ ในยุคนี้แค่น้อยนิดพระพุทธองค์ยังให้อย่างเต็มที่ เหมือนในอดีตพระพุทธองค์ประกาศศาสนาใหม่ๆ ในยุคนั้นพระองค์ต้องประกาศศาสนาให้เร็วที่สุด พระองค์ประสงค์สงเคราะห์มวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมทุกแห่ง คนมักจะสำเร็จกันเร็ว เพราะพระพุทธองค์ประสงค์จะนำพามนุษย์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ในยุคนี้ก็เหมือนกันพระพุทธองค์ต้องการให้พวกเราเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ ศาสนาให้พากันเตรียมการ เตรียมการรับเสด็จยุวกษัตริย์หลานของพระพุทธองค์ พระองค์ประสงค์จะมอบให้พวกเรา พวกเราขออะไรได้หมดถ้าเราทำงานถวายพระพุทธองค์ เหมือนคนมาขอหลวงพ่อ ขอตำแหน่ง ขอลูกหลานได้หมด หลวงพ่อเป็นผู้ทำงานแทนพระพุทธองค์เป็นผู้มอบให้เมื่อเราได้สำเร็จแล้วก็มา ทำโน่นทำนี่ถวาย นี่คือพระประสงค์ พระองค์มีพระประสงค์ที่จะมอบให้พวกเรา ขอให้พวกเราเตรียมการรับเสด็จยุวกษัตริย์ ถ้าเราไม่เตรียมสร้างถวาย เตรียมการรับเสด็จยุวกษัตริย์หลานพระพุทธองค์แล้ว พวกเราจะถึงซึ่งความวิบัติภัยพิบัติจะเกิดขึ้นวุ่นวายไปหมด แต่ถึงอย่างไรก็ตามด้วยพระบารมีของพระพุทธองค์สามารถควบคุมดูแลให้คนเกิด ศรัทธาสร้างสิ่งต่างๆขึ้นไว้ในพระพุทธศาสนา เช่น สร้างพระพุทธรูป เจดีย์เก่าๆ ก็มีการบูรณะซ่อมแซมขึ้น วัดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นใหม่ใหญ่โตมโหฬาร ต่อไปในอนาคตเบื้องหน้าเรามองไปที่ไหนจะเห็นพระเจดีย์ สถูป พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆทั้งนั้น มันกำลังจะเกิดขึ้นในยุคนี้ พระพุทธรูปหน้าตัก ๔๐-๕๐ เมตร พระบรมสารีริกธาตุไม่เคยมียุคไหนที่เกิดขึ้นมากที่สุดเท่ายุคนี้ คือในยุคสุริยะธาติปรากฏ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าเราเห็นพระธาตุอุบัติขึ้นที่ไหนมากมาย นั่นคือพระพุทธองค์ยังทรงประกาศพระศาสนาของพระองค์ นั่นคือพระพุทธองค์ประกาศด้วยพระธาตุ พระสารีริกธาตุปรากฏ แต่ด้วยสุริยะธาตุประดิษฐานเป็นประมุขเป็นประธาน คือ ข้อพระหัตถ์เบื้องขวานั่นแหละเป็นองค์เอก ล้วนแต่เป็นองค์เอก พระพุทธองค์บอกว่าล้วนแต่เป็นองค์เอก เช่น พระเขี้ยวฝางก็ทั้งองค์ พระพุทธโลหิต พระสรีรังคารก็ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ข้อพระหัตถ์ก็ใหญ่ ทุก ๆ องค์ล้วนเป็นองค์เอก พระพุทธบาทก็เต็มองค์ รอยพระพุทธหัตถ์ก็เต็มองค์ พระเขี้ยวฝาง พระพุทธโลหิตเป็นพระธาตุที่ยังไม่ถูกเผา เป็นของสด เป็นองค์แทนพระพุทธองค์ ถ้าผู้ใดเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็จะทรงประทานให้ทุกอย่างในยุคสมัยนี้

    ขอขอบคุณแหล่งที่มา
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี

    (หมายเหตุจาก9@)
    “หลวงพ่อภรังสี” ทำนายทายทักนี้น่าจะประมาณ 10ปีที่แล้ว

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2024 at 10:50

แชร์หน้านี้

Loading...