ใจของใครคนนั้นต้องขัดเกลาเอง ครูบาอาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    IMG_6552.jpeg

    เรื่องของการปฏิบัติธรรม จุดที่สำคัญที่สุดก็คือสร้างสติให้เกิด ให้ตัวเราตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับและตื่นมีสติรู้เท่ากัน ถ้าทำยังไม่ถึงจุดนี้ การปฏิบัติธรรมของเราแทบจะไม่มีผล เนื่องเพราะว่าสิ่งที่เราระมัดระวังรักษาเอาไว้ในช่วงกลางวัน จะไปหลุดหมดเกลี้ยงตอนกลางคืน

    บางคนกิเลสงอกงามมากกว่าปกติอีก กลางวันระมัดระวังศีลทุกสิกขาบท แม้แต่มดยังพยายามที่จะเลี่ยงไม่เหยียบ กลางคืนเผลอหน่อยเดียว ฝันว่าเขาฆ่าเขาทั้งกองทัพเลย..! บางคนกลางวันสำรวมมาก แม้แต่เพศตรงข้ามยังไม่กล้ามองตรง ๆ กลางคืนฝันว่าปล้ำลูกชาวบ้านเขาไปเรียบร้อยแล้ว..!

    นั่นคือการที่เราขาดสติ ถ้าหากว่าสติเราสมบูรณ์อยู่ หลับและตื่นจะมีความรู้สึกเท่ากัน หลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองตอนนี้กำลังหลับ หลายคนได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย..! เพียงแต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ให้ต่อเนื่องตามกัน ถ้าเผลอสติหลุดไป เดี๋ยวสภาพจิตที่โดนเก็บกดมาตอนกลางวัน ก็จะไปอาละวาดอีก..!

    บุคคลที่ทำได้คล่องตัวแล้วจึงได้ชื่อว่า พุทโธ คือ ผู้ตื่น ภัทเทกะรัตโต คือ ผู้มีราตรีอันเจริญ เพราะว่าสภาพจิตอยู่กับคุณงามความดีตลอดเวลา ไม่ปรุงแต่งไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง ถึงเวลาสามารถควบคุมร่างกายได้ตลอดทั้งหลับและตื่น หลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองหลับ

    ถ้าสังเกตตนเองตั้งแต่ต้น จะสังเกตว่าสภาพจิตของเรานั้น เหมือนกับดวงไฟที่ค่อย ๆ หรี่ลง หรี่ลง ไปเรื่อย จนถึงระดับหนึ่งที่ถ้าปล่อยมากกว่านั้นไฟนั้นก็จะดับ ผู้ปฏิบัติก็จะรักษากำลังใจหรือ "ล็อก" กำลังใจเอาไว้ตรงจุดนั้น

    อาการภายนอกทั้งปวงเหมือนกับคนหลับ แล้วค่อนข้างจะหลับลึกด้วย เพราะว่าถ้าใช้การตรวจทางการแพทย์บางทีก็หาลมหายใจไม่เจอ หาชีพจรไม่เจอ

    คราวนี้เมื่อเราทำได้ก็ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ แล้วซักซ้อมบ่อย ๆ จนสามารถตั้งเวลาได้ตามที่ต้องการ ก็คือตั้งใจไว้ก็พอว่าต้องการพักผ่อนนานกี่ชั่วโมง ถึงเวลาร่างกายก็จะตื่นเองโดยอัตโนมัติ

    ประสาทความรู้สึกจะกระจายออกไปจากศูนย์กลาง เคลื่อนไปจนถึงปลายมือปลายเท้า เมื่อรู้สึกตัวทั่วพร้อม ก็จะบอกตนเองว่า "ตื่นได้แล้ว ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่ง" ขั้นตอนต่าง ๆ ในความรู้สึกของเราจะช้ามาก เหมือนอย่างกับหุ่นยนต์ แต่คนภายนอกจะเห็นว่า เราลืมตาปุ๊บก็ลุกขึ้นปั๊บเลย..!

    คนประเภทนี้สังเกตได้ง่าย ต่อให้ดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหนก็ตาม ตื่นขึ้นมาไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนเหมือนคนทั่วไป แล้วการพักผ่อนแบบนี้ พักน้อยก็เหมือนกับได้พักมาก เนื่องเพราะว่าคนทั่ว ๆ ไปร่างกายพัก แต่จิตใจฟุ้งซ่านไปเรื่อย สมองทำงานไปเรื่อย

    ทางการแพทย์เขาตรวจสอบแล้วว่า เวลาหลับอยู่ก็จริง แต่ว่าดวงตากลอกไปมาตลอดเวลา จะใช้คำว่าอยู่ในภาวะความฝันก็ใช่ แต่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมาก เหมือนกับคนที่ตื่นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น..ถึงจะนอนไปทั้งคืน ลุกขึ้นมาแล้วก็รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเพลีย เหมือนอย่างกับพักผ่อนไม่พอ เนื่องเพราะว่าเราพักแต่ร่างกาย จิตใจไม่ได้พักด้วย

    แล้วถ้าหากว่าเราขาดสติ ในขณะที่หลับบางคนก็ทำเรื่องราวต่าง ๆ ไปโดยที่ไม่รู้ตัว ที่โบราณเรียกว่า "ไหล" ก็คือ "หลับไหล" หลับแล้วก็ยังไปเรื่อย ๆ บางคนลุกขึ้นมาหุงข้าว ต้มแกง ทำความสะอาดบ้านเรือน จนเสร็จเรียบร้อย กลับไปนอนใหม่ แล้วไม่รู้ว่าตัวเองทำ..!

    บางคนก็สงสัยว่ากินหน่อยเดียว ทำไมอ้วนเอาอ้วนเอา ? จนกระทั่งหมอต้องสั่งให้ติดกล้องวงจรปิดพิสูจน์ตัวเอง แล้วก็เห็นว่าตอนที่หลับอยู่ ลุกขึ้นมาเปิดตู้เย็นหาของกินทุกคืน แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่าขาดสติ..!

    ตอนสมัยกระผม/อาตมภาพยังเด็ก ๆ อยู่ มีรุ่นพี่อาวุโสน่าจะรุ่นประมาณป้าแล้ว ตกน้ำตายเพราะว่าไหลแบบนี้..! ก็คือไปหาบน้ำที่ท่าน้ำทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ ไม่ใช่ผีเจ้าเข้าสิงอะไรทั้งนั้น แต่ว่าเป็นการทำไปตามจิตใต้สำนึกที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า subconsciousness เคยทำอะไรก็ทำแบบนั้น เคยทำความสะอาดบ้าน ถึงเวลาก็ไปทำความสะอาดบ้าน เคยทำครัว ถึงเวลาก็ไปทำครัว เคยตักน้ำใส่ตุ่ม ก็ไปตักน้ำ แต่คราวนี้ท่าน้ำลื่น ตนเองตกลงไปในภาวะหลับ เลยจมน้ำตาย..!

    นี่คือการขาดสติ การฝึกกรรมฐานของเราส่วนที่สำคัญที่สุดเพื่อให้เรามีสติ รู้เท่าทันกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ แล้วก็หาทางระงับยับยั้ง ลด ละ จนกระทั่งเลิกได้ ที่จะไม่กระทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น แต่ถ้าหากว่าตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงสุด เราก็ต้องหวังว่าพ้นจากกิเลส เข้าสู่พระนิพพาน

    ส่วนใหญ่แล้วพวกเราตั้งเป้าไว้สูง แต่การกระทำต่ำมาก เหมือนกับตั้งเป้าไว้ว่าเราจะซื้อที่พร้อมบ้าน ๖๐ ตารางวา แต่ทำงานวันละ ๓๐ นาที ถ้าไม่ได้ระดับ CEO ของ Apple คงไม่มีทางที่จะทำได้..!

    เนื่องเพราะว่ากิเลสนั้นกินเราอยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งยืน ทั้งนั่ง แต่เราเองที่ปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น นั่งกรรมฐานเช้า ๓๐ นาที เย็น ๓๐ นาที รวมแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืนที่มี ๒๔ ชั่วโมง เราเจริญกรรมฐาน ๑ ชั่วโมง เทียบบัญญัติไตรยางค์แบบเด็ก ป. ๑ ก็รู้อยู่ว่าขาดทุนตลอดเวลา..!

    เนื่องเพราะว่าการต่อสู้กับกิเลสเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เราว่ายทวนน้ำ ๑ ชั่วโมง แล้วปล่อยไหลตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วปล่อยไหลตามน้ำไปอีก กลายเป็นคนขยันทำกรรมฐานทุกวัน แต่หากำไรอะไรไม่ได้สักนิดเดียว..!

    บางคนก็ยังมาบ่นว่า "ปฏิบัติธรรมมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ไม่เห็นมีความก้าวหน้าเลย" แล้วสิ่งที่เราทำ สมกับสิ่งที่เราหวังหรือไม่..?

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพไม่มีหน้าที่ไปเคี่ยวเข็ญทุกคนว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ว่าคุณสมควรที่จะบวชได้แล้ว "มันเรื่องของกูหรือวะ..?!" จะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง เพียรพยายามด้วยตนเอง

    แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังตรัสว่า "อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น" พระพุทธเจ้ายังแค่บอก แล้วเราทำตามหรือไม่ทำตาม พระองค์ท่านก็ไม่สามารถที่จะเคี่ยวเข็ญเราได้

    จึงเป็นเรื่องของบุคคลที่ใฝ่ดีและหวังสูง ต้องเร่งรัดการกระทำด้วยตนเอง ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเราได้ ต่อให้ไปเชื่อมจิตกี่ครั้งก็ช่วยไม่ได้..! ในบาลีระบุไว้ชัดแล้วว่า

    สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตน
    นาญโญ อัญญัง วิโสธเย บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์ หาได้ไม่
    อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

    ไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้กับเราได้ เปลี่ยนชื่อก็ช่วยไม่ได้ สะเดาะเคราะห์ก็ช่วยไม่ได้ ต่อลายมือก็ช่วยไม่ได้ เชื่อมจิตก็ช่วยไม่ได้ "โมฯ" หน้าใหม่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าทั้งหมดอยู่ที่การกระทำภายใน คือชำระใจของตน ให้กิเลสลดน้อยถอยลง และในที่สุดก็หมดไปจากใจของเรา

    ใจของใครคนนั้นขัดเกลาด้วยตนเอง ครูบาอาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้แนวให้เดินเท่านั้น สิ่งอื่นล้วนแล้วแต่เป็นภายนอกทั้งสิ้น ไม่มีหนทางลัด มรรคแปดที่ย่อเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางตรงที่สุดแล้ว

    ใครจะไปอาบแสงทิพย์อริยธรรมเพื่อเลื่อนชั้นความเป็นพระอริยเจ้าก็เชิญ ใครคิดว่าเชื่อมจิตแล้วจะประสบความสำเร็จก็ตามสบาย แต่หนทางแห่งมรรคแปดนั้น ต้องเดินด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากให้กำลังใจ หรือบอกทางถูกให้

    ถ้าขี้เกียจ..หนทางก็ยังอีกยาวไกล..ก็แปลว่าทุกข์อีกนาน
    ถ้าขยัน..หนทางก็สั้นลง..ทุกข์น้อยลง
    หรือว่าเดินสุดทางในชาตินี้เลย..ก็เป็นอันว่าเลิกทุกข์กันที
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...