เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 กุมภาพันธ์ 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเพิ่งเดินทางกลับมาถึงวัดท่าขนุน ก็ต้องมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเลย เนื่องเพราะว่าได้เดินทางไปร่วมงานรดน้ำศพคุณแม่สำราญ ครุฑวงศ์ โยมแม่ของพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเสียชีวิตเมื่อเช้านี้ ด้วยอายุ ๙๙ ปี ถ้านับแบบจีนก็น่าจะ ๑๐๐ ปีถ้วนพอดี..!

    ในเรื่องของการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเสียชีวิตลงไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าธรรมเนียมประเพณีของบ้านเรา ก็คือยามเกิดไปแสดงความยินดี ยามตายก็ไปแสดงความเสียใจ โดยเฉพาะการตาย แขกเหรื่อที่ไปจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ผู้ตายมีคุณงามความดีมากน้อยเท่าไร ? อย่างวันนี้งานของคุณแม่สำราญ ครุฑวงศ์ เริ่มเปิดให้รดน้ำศพตอนบ่าย ๓ โมงครึ่ง ทั้งพระ ทั้งโยม หมดลงประมาณ ๕ โมงเย็น..! ขนาดพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ มาถึง ยังบอกว่า "ถ้าไม่รู้มาก่อนว่านี่เป็นงานศพ ก็นึกว่ามีงานรื่นเริงอะไร เพราะว่าคนมากเหลือเกิน"

    เรื่องนี้เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือลูกชายของคุณแม่สำราญ ครุฑวงศ์ ก็คือพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. เป็นเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี การที่คณะสงฆ์มาร่วมงานกันมาก ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

    ประการต่อไปก็คือคุณแม่สำราญ ครุฑวงศ์นั้น มีลูกอยู่ ๑๓ คนด้วยกัน ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ ๑๐ คนเท่านั้น ทุกคนมีครอบครัว เป็นปึกแผ่นแน่นหนา รักใคร่สามัคคีปรองดองกันดี แล้วคุณแม่สำราญก็สร้างความดีมาตั้งแต่ต้น จนได้รับรางวัลคุณแม่ดีเด่นตัวอย่างเสียด้วย ความที่อยู่มาด้วยอายุที่ยืนยาว และสร้างแต่คุณงามความดี จึงมีคนมาแสดงความอาลัยกันมากเป็นพิเศษ

    คราวนี้ในเรื่องของบุคคล ถ้าหากว่าเสียชีวิตแล้ว คนที่มาร่วมงานแสดงออกถึงคุณงามความดีนั้น ถ้ามีท่านใดทันนายแสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการ อสมท. ซึ่งเสียชีวิตเพราะว่าโดนมือปืนยิง งานศพของ ผอ.แสงชัยนั้น คนไปร่วมงานเป็นแสนเลย..! นั่นคือการแสดงออกที่บุคคลหนึ่งสร้างคุณงามความดีเอาไว้มาก

    สถานที่ใดที่บอกว่าเป็นแดนสนธยา ถ้าส่ง ผอ.แสงชัยเข้าไป จัดการได้เรียบร้อยหมด แม้แต่องค์การฟอกหนังที่มีแต่การขาดทุนมาตลอด พอท่านไปเป็นผู้อำนวยการ ก็ทำให้กลับฟื้นขึ้นมา มีกำไรได้ เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เราสามารถวัดได้อย่างคร่าว ๆ เหมือนกันว่า บุคคลที่เสียชีวิตนั้น มีคุณงามความดีเป็นที่ชาวบ้านรับรู้ได้มากน้อยเท่าไร
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ถ้าหากว่าจะนับในส่วนของพระภิกษุสงฆ์ของเรา กระผม/อาตมภาพขอยกตัวอย่างงานศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านมรณภาพลง มีการจัดงานสวดพระอภิธรรมถวาย ๑๐๐ วัน แต่ละวันมีเจ้าภาพนับสิบ ๆ ราย ตัวกระผม/อาตมภาพเองที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นหัวหน้าชุดขึ้นสวดพระอภิธรรมประจำวัน ต้องมานั่งทำลายสถิติตัวเอง ว่าวันนี้มีเจ้าภาพ ๒๐ ราย วันนี้มีเจ้าภาพ ๓๐ ราย เจ้าภาพ ๑ ราย แปลว่าเราต้องสวดพระอภิธรรม ๑ รอบ เริ่ม ๘ โมงเช้า บางที ๒ ทุ่มไปแล้วยังไม่หมดเจ้าภาพเลย..!

    แล้วในเวลาที่ใกล้เคียงกัน มีสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งมรณภาพ มีเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมถวายเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น นี่คือสิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่าสมเด็จพระราชาคณะรูปนั้นท่านไม่มีคุณงามความดี เนื่องเพราะว่าท่านเป็นระดับ "พระทองคำ" เช่นกัน แต่คุณงามความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ปรากฏชัดต่อมหาชนมากกว่า ของหลวงพ่อสมเด็จฯ รูปนั้น คุณงามความดีท่านปรากฏส่วนใหญ่อยู่ในคณะสงฆ์ ในเมื่อบุคคลที่มีการช่วยเหลือต่อบุคคลอื่น เป็นการสาธารณะก็ดี มีการสอนธรรมเป็นสาธารณะด้วยก็ตาม ย่อมมีบุคคลที่เข้าถึงได้มากกว่า

    ขณะเดียวกัน กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ตั้งแต่ศึกษาหลักธรรมมา เมื่ออายุยังน้อยอยู่ จนกระทั่งมาพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ได้รับคำสอนจากท่านตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ เป็นต้นมา ยังไม่เคยเจอครูบาอาจารย์ที่สอนธรรมะท่านใด สอนแล้วฟังง่าย ปฏิบัติตามได้เดี๋ยวนั้นเลยแบบหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง

    ก่อนหน้านี้สมัยวัยรุ่น กระผม/อาตมภาพติดหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่ามากกว่า โดยเฉพาะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม ซึ่งตอนหลังท่านย้ายไปอยู่วัดป่าอุดมสมพร แต่ครูบาอาจารย์สายวัดป่า ท่านสอนกันแบบดิบ ๆ เหมือนกับส่งกระดูกทั้งแท่งให้ไปนั่งแทะเอาเอง อย่างเช่นบอกว่า "ไปทำเอา ไปภาวนาเอา ติดขัดตรงไหนแล้วมาถาม" แต่ทำอย่างไร ภาวนาอย่างไร ท่านไม่ได้บอก เหมือนอย่างกับบอกว่า มีผักมีหญ้าอยู่ในทุ่งนาป่าเขา เนื้อต่าง ๆ ก็อยู่ในทุ่งนาป่าเขา ไปหามาทำกินเอาเอง แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านสอนเหมือนกับท่านปรุงอาหารเสร็จแล้ววางไว้ตรงหน้า เรามีหน้าที่แค่ตักกินเท่านั้น

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลเข้าถึงได้ง่ายกว่า ถึงเวลาก็มีศรัทธามากกว่า ทำให้ตลอด ๑๐๐ วันของการสวดพระอภิธรรมถวายท่าน มีเจ้าภาพมากมายนับไม่ถ้วน พระวัดท่าซุงในยุคนั้นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นสวดพระอภิธรรม เพื่อฉลองศรัทธาของญาติโยม ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเวรประจำวันไหน ก็โดนลากเช้ายันค่ำทุกเวร..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    คราวนี้ในเรื่องของความตาย เราท่านทั้งหลายจะลืมไม่ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า สัตว์โลกเกิดเท่าไรก็ตายหมดเท่านั้น ก็คือมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามจะต้องตายทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าการเกิดนั้นใช้เวลาประมาณ ๙ เดือน ๑๐ เดือน กว่าจะตายใช้เวลาหลายปี จึงทำให้รู้สึกว่ามีคนเกิดมากกว่าคนตาย โดยเฉพาะถ้าคุณแม่สำราญ ครุฑวงศ์ก็มีอายุถึง ๙๙ ปี ดังนั้น..เราจึงมักจะประมาท ลืมในเรื่องของความตาย โบราณท่านถึงได้สอนว่า เมื่อเห็นผู้อื่นเสียชีวิตลงไป เราไปร่วมงานศพ ก็ให้นึกอยู่เสมอว่า อีกไม่นานเราก็จะเป็นเช่นนั้น

    หรือถ้าหากว่าพิจารณาจากการที่พระพิจารณาผ้าบังสุกุล ก็คือ อนิจจา วะตะสังขารา
    สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ อุปาทะวะยะ ธัมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วย่อมมีดับเป็นธรรมดา เตสังวูปะสะโม สุโข การเข้าถึงความสงบระงับจากกิเลสนั่นแหละ เป็นความสุขที่แท้จริง

    ก็แปลว่าถ้าตามหลักของพระพุทธศาสนา ความตายไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม ถ้าหากว่าเราสะสมบุญกุศลเอาไว้เพียงพอ การเดินทางไปสู่โลกหน้าก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิดเดียว ยกเว้นท่านที่ประมาท ไม่ประกอบกองบุญการกุศลเอาไว้ ถึงเวลาย่อมต้องหวั่นหวาดต่อโลกหน้าเป็นปกติ

    ยิ่งถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่ชำระใจให้หมดจากกิเลสได้ เห็นความเป็นธรรมดาในทุกเรื่อง แม้กระทั่งความตาย ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็จะไม่รู้สึกหวาดหวั่นอะไร ไม่ได้อยากตาย แต่ว่าพร้อมที่จะตายเสมอ เพราะรู้ดีว่าตนเองตายไป ก็เป็นอันว่าสิ้นภพจบชาติกันแต่เพียงเท่านั้น ดังนั้น..บุคคลที่จะไม่กลัวตายอย่างแท้จริง จึงมีแต่บุคคลที่สิ้นกิเลสแล้วอย่างสิ้นเชิง ก็คือพระอรหันต์เท่านั้น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...