เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 เมษายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,652
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,549
    ค่าพลัง:
    +26,386
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,652
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,549
    ค่าพลัง:
    +26,386
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของทางที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร คือ มีการวางศิลาฤกษ์เรือนวิริยะ ที่เป็นอาคารอเนกประสงค์เพิ่มเติมขึ้นมาจากส่วนอื่นที่มีอยู่แล้ว

    ในส่วนที่เราท่านทั้งหลายได้ร่วมบุญ ร่วมกันสร้างสถานที่นี้มาตั้งแต่ต้น สิ่งที่ทำสำเร็จไปแล้วก็คือพระวิหารสมเด็จองค์ปฐม และ วิหารหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร แล้วส่วนหนึ่งก็คือกุฏิที่พัก แต่ว่ายังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้น...ในวันนี้ที่พวกเราจะมาพร้อมใจร่วมใจกันสร้างถาวรวัตถุ เป็นวิหารทานในพระพุทธศาสนาอีกชิ้นหนึ่ง ก็คือเรือนวิริยะที่จะเป็นอาคารเอนกประสงค์ไว้ใช้งาน

    ความจริงจะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพเกรงว่า จะไม่ทันกับสภาวะของบ้านเมือง หรือว่าของโลกเราในปัจจุบัน เพราะว่าในช่วง ๓ ปี ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๒ เป็นต้นมา เกิดภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ทำให้กิจกรรมของวัดต่าง ๆ ต้องสะดุดหยุดยั้งลง แม้กระทั่งการทำมาหากินของญาติโยมทั้งหลายก็มีอุปสรรค ทำให้เราไม่สามารถที่จะสนับสนุน เสริมสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มที่

    แล้วมาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เกิดภาวะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งจะว่าไปแล้ว นั่นก็คือว่าที่สงครามโลกครั้งที่ ๓ ซึ่งก่อให้เกิดสภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ หนักขึ้นไปอีก โดยเฉพาะพวกพลังงานต่าง ๆ ราคาแพงขึ้นไปอีกมาก ในเมื่อเราใช้เงินเท่าเดิม แต่ซื้อสิ่งของไม่ได้มากเท่ากับในอดีต ความยากลำบากในความเป็นอยู่ก็จะมีมากขึ้น

    จากแต่เดิมที่หลวงพ่อนิลท่านได้ปรารภไว้ ก็คือจะใช้สถานที่นี้ในการทำการเกษตร ลักษณะของเกษตรทฤษฎีใหม่ตามรอยศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อเอาไว้รับภาวะสงครามที่จะเกิดขึ้น แต่ด้วยความที่ทุกอย่างช้ากว่าความตั้งใจ ทำให้ภาวะสงครามเกิดขึ้นก่อน แต่ว่าถาวรวัตถุที่เราตั้งใจไว้นั้นไม่เสร็จ หรือว่าเสร็จไม่ทันตามที่ตั้งโครงการไว้ ดังนั้น...ก็เลยจะทำให้สิ่งต่าง ๆ ต้องล่าช้าลงไปอีก

    ตรงส่วนนี้นั้น ญาติโยมทั้งหลายอย่าได้ตั้งความหวังไว้กับวัดวาอารามที่ใดที่หนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ว่าถ้าใครมีที่มีทางที่เว้นว่างอยู่ ให้พยายามปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่อะไรไว้บ้าง ถึงเวลาการขาดแคลนอาหารขยายตัวแผ่กว้างออกไป อย่างน้อยเราก็พึ่งพาตัวเองได้ในส่วนหนึ่ง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,652
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,549
    ค่าพลัง:
    +26,386
    เรื่องบางอย่างถ้าหากว่าบอกเร็วเกินไป บางทีเราท่านทั้งหลายก็จะไม่เฉลียวใจ โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพ บางทีบอกเพื่อนฝูงไปเขาก็ไม่ฟัง อย่างเช่นทางวัดสี่แยกเจริญพร ที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหา บอกเขาให้หยุดการก่อสร้างตั้งแต่ ๒ ปีที่แล้ว แต่ก็ยังดื้อทำมา ทำให้กระผม/อาตมภาพต้องไปแบกภาระแทนอยู่ ๒ ปีเต็ม ๆ แล้วปีนี้ก็มานั่งบ่นเข้าหูอยู่เกือบทุกเดือนว่า "วัดเงียบเป็นวัดร้างเลย..!"

    ถ้าหากว่าเราดูจากสภาพปัจจุบัน บางทีจะเห็นว่าเรื่องของสงครามนั้นเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด เพราะว่าในสภาพของโลกาภิวัตน์ การสื่อสารทุกอย่างสามารถถึงกันในระยะเวลาไม่นาน เมื่อเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนของมุมโลกก็ตาม ก็จะทำให้มีผลกระทบต่อส่วนอื่นไปทั้งหมด


    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นอกจากการเตรียมพร้อมแล้ว ก็คือถ้าสามารถปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ รอเอาไว้บ้างก็ให้ทำ หรือถ้าบางท่านจะเก็บเสบียงอาหารแห้งบางส่วนเอาไว้ ก็ค่อย ๆ ทยอยเก็บไป โดยเฉพาะถ้าเป็นข้าวสาร ก็ให้ซื้อหาที่เป็นการบรรจุแบบสูญญากาศ เพราะว่าจะเก็บได้นานกว่า


    แต่ว่าส่วนที่จำเป็นที่สุดสำหรับพวกเราก็คือ ความมีสติ มีสมาธิที่มั่นคง เพื่อที่เวลาเกิดอะไรขึ้น จะได้ไม่แตกตื่นจนถึงขนาดขาดสติจนทำอะไรไม่ถูก ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลาย

    ต้องเน้นในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญาเป็นหลักไว้ จากที่เคยทำเล่น ๆ แบบแก้บน ก็ควรที่จะต้องทำจริงจังกันได้แล้ว


    โดยเฉพาะถ้าหากว่าสภาวะฉุกเฉินแผ่กว้างไปทั่วโลก พระภิกษุสามเณรหรือแม้กระทั่งแม่ชีก็จะต้องเป็นที่พึ่ง เป็นหลักให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ ก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องขัดเกลา ฝึกฝน ให้กาย วาจา ใจ ของเราอยู่ในกรอบของไตรสิกขา คืออยู่ในกรอบของศีล ของสมาธิ ของปัญญา โดยเฉพาะการเจริญในพุทธานุสติ ควบกับอานาปานสติ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,652
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,549
    ค่าพลัง:
    +26,386
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยอานาปานสติ สร้างกำลังสมาธิหรือฌานสมาบัติให้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าทำได้ในเบื้องต้นก็คุ้มครองตัวเองได้ ทำได้ในเบื้องกลาง นอกจากคุ้มครองตัวเองแล้ว ยังคุ้มครองหมู่คณะได้ ถ้าทำได้เต็มที่ นอกจากคุ้มครองตัวเอง คุ้มครองหมู่คณะแล้ว บางทียังถึงขนาดคุ้มครองประเทศชาติ หรือคุ้มครองโลกได้

    ส่วนในเรื่องของพุทธานุสตินั้น เราหมายเอาธัมมานุสติ และสังฆานุสติเอาไว้ด้วย ก็คืออาศัยบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นต้นเป็นประธาน ทำให้พรหมเทวดาทั้งหลายไม่อาจจะปฏิเสธที่จะดูแลรักษาสถานที่ของเราหรือว่าตัวบุคคลอย่างเรา

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พรหมเทวดามีความเคารพในพระรัตนตรัยเป็นปกติ เมื่อที่ใดที่หนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน แล้วยึดถือคุณพระรัตนตรัยเป็นใหญ่ ท่านก็ต้องช่วยคุ้มครอง เหมือนอย่างกับเป็นภาคบังคับ

    ตรงจุดนี้ ถ้าท่านทั้งหลายดูในบทสวดที่เขาเรียกว่า สวดแจง ซึ่งกล่าวถึงสุปปิยปริพาชกกับลูกศิษย์ของท่านเอง ที่เดินตามคณะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ปรากฏว่าปริพาชกแค่ไม่กี่คน ส่งเสียงโวยวายไปตามกำลังใจของตน แต่พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์หมู่ใหญ่ถึง ๕๐๐ รูป แม้ว่าเสด็จไปมากขนาดนั้น ก็สงัดเงียบประหนึ่งไม่มีผู้คน

    เมื่อถึงเวลาเข้าสู่ที่พัก สุปปิยปริพาชกก็ชวนพรหมทัตมาณพที่เป็นลูกศิษย์ว่า "เราเข้าไปพักอยู่ใกล้ ๆ พระสมณโคดมกันเถอะ" พรหมทัตมาณพก็สงสัย ถามอาจารย์ของตนเองว่า "อาจารย์ด่าพระพุทธเจ้ามาตลอดทาง แต่ทำไมเวลาพักจะเข้าไปพักบริเวณเดียวกัน ?" สุปปิยปริพาชกตอบแบบน่าเตะมาก บอกว่า "สมณโคดมอยู่ที่ไหน พรหมเทวดาก็รักษา เราไปอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยปลอดภัยไปด้วย..!"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,652
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,549
    ค่าพลัง:
    +26,386
    ดังนั้น...ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องทำความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธ์บริบูรณ์ พยายามสร้างสมาธิให้เกิดแก่ตนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    และท้ายที่สุดต้องระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ไม่ใช่ว่าจะต้องตายเพราะภาวะสงครามหรือว่าโรคระบาดที่ยังมาไม่ถึง แต่อาจจะต้องตายลงไปตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ในเมื่อเราจะต้องตาย สิ่งเดียวที่เราควรจะยึดไว้เป็นหลัก ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

    ถ้าใครสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกา ดังที่กระผม/อาตมภาพกล่าวมาแต่ต้นนี้ ก็จะช่วยให้ท่านทั้งหลายสามารถผ่านพ้นภาวะของโรคระบาดและสงครามใหญ่ไปได้ ต่อให้ลำบากก็จะไม่ลำบากมากเหมือนกับคนอื่นเขา

    วันนี้จึงอาศัยเวลาที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนี้ บอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายได้ทราบแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...