เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 พฤศจิกายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้ไปทำหน้าที่อำนวยการที่สนามสอบนักธรรมชั้นโท-ชั้นเอก (สนามหลวง) ของคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ณ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นการสอบวันสุดท้าย

    โดยธรรมเนียมแล้วก็จะมีการเจริญจิตภาวนา เพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งว่ากันไปแล้วก็คือ ผู้มีพระดำริในการสร้างตำรานักธรรมขึ้นมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้ว ให้พวกเราได้ศึกษาเล่าเรียนกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใด ๆ เลย..!

    หลังจากทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้เดินทางกลับมายังวัดราษฎร์ประชุมชนาราม หรือว่าวัดท่ามะขาม เข้าที่พักแล้วก็หมดสภาพ ตั้งใจว่าจะหลับตาพักผ่อนเล็กน้อย ปรากฏว่าวูบหายไปจากโลก..! มารู้ตัวอีกทีก็เลยเวลาบันทึกเสียงไปไม่น้อยเลยทีเดียว ต้องบอกว่าในลักษณะอย่างนี้ก็คือมโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจนั้นหมดลง เพราะเห็นว่างานนั้นได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

    ถ้าหากว่าญาติโยมทั้งหลายที่ศึกษาพระพุทธศาสนามามาก ก็จะทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงกล่าวถึงอาหารของสรรพสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ ประกอบไปด้วย

    ข้อที่หนึ่ง กวฬิงการาหาร ก็คืออาหารทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นว่า ข้าว กับข้าว น้ำ ขนม อย่างนี้เป็นต้น

    ข้อที่สอง ผัสสาหาร อาหารคือลมหายใจเข้าออก

    ข้อที่สามคือวิญญาณาหาร อาหารที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ซึ่งเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นเครื่องช่วยชูใจของเรา หรือว่าค้ำจุนจิตใจของเราให้อยู่ได้ ถ้าขาดวิญญาณาหาร คือสัมผัสต่าง ๆ นี้ลงไปเมื่อไร เราจะเห็นว่าบางทีนักโทษเด็ดขาดที่โดนขังเดี่ยว ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน เฉาตายไปเลย เพราะว่าขาดอาหารชนิดนี้

    อาหารชนิดสุดท้ายคือมโนสัญเจตนาหาร อาหารคือความมุ่งมั่นของใจ ตราบใดที่กำลังใจยังมุ่งมั่นผูกอยู่กับภาระงานต่าง ๆ ก็จะทำให้เรายังคงสามารถที่จะอยู่ได้ ถ้าหากว่าภาระตรงนี้หมดลงไปเมื่อไร บางคนก็ถึงกับสิ้นชีวิตไปเลยเช่นกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    อย่างเช่นนาย Pheidippides ผู้ส่งสาส์นชาวกรีก ที่วิ่งส่งข่าวเรื่องการชนะศึกกองทัพเปอร์เซียที่เมืองมาราธอน ไปบอกที่กรุงเอเธนส์ เมื่อส่งข่าวเสร็จแล้วก็ล้มตายลงไปเลย เพราะว่าวิ่งไปถึงประมาณ ๔๐ กิโลเมตร นอกจากจะเหนื่อยมากแล้ว ความมุ่งมั่นของใจที่จะไปทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้นนั้น เมื่อได้แจ้งข่าวซึ่งชัยชนะแล้วกำลังใจก็คลายลง จึงถึงแก่ความตายไปเลย หรือว่าบุคคลที่เกษียณอายุแล้ว บางคนก็เฉาตายไปเลย เพราะว่ามโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นของใจนั้นหมดลง

    กระผม/อาตมภาพนั้นอายุกาลผ่านวัยเลยเกษียณมาหลายปีแล้ว เมื่อต้องกรำงานหนักติด ๆ กันหลายวัน พอรู้สึกว่างานนี้หมดลง เกิดเผลอสติ คลายกำลังใจออกตอนไหนก็ไม่ทราบ ? รู้อยู่อย่างเดียวว่าร่างกายเพลียมาก คิดว่าจะนอนภาวนาเอาแรงสัก ๒๐ - ๓๐ นาที แล้วลุกขึ้นมาทำงานทำการของตนเองต่อไป แต่ปรากฏว่าวูบหายจากโลกไปเกือบ ๒ ชั่วโมงเต็ม..! ตื่นขึ้นมานึกได้ว่าวันนี้ยังมีงานของตนเองค้างอยู่

    ประการแรกก็คือ ต้องเข้าร่วมรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม ซึ่งได้ลงทะเบียนเข้าร่วมรายการไว้ทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๓ ทุ่ม ปรากฏว่าเลยเวลาไปประมาณ ๑ ชั่วโมง แต่ก็ยังดีที่เข้าร่วมรายการได้ทันท่วงที

    แล้วขณะเดียวกัน ท่านผู้บรรยายก็ไม่ได้คุ้นเคยกันมาก ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะมีการเรียกหา "พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร." บางท่านก็ชวนสนทนาขอความคิดเห็นเป็นระยะเวลานาน ๆ เลยทีเดียว ในเมื่อเข้าระบบซูมเพื่อร่วมรายการเรียบร้อยแล้ว ค่อยมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเป็นลำดับต่อไป

    ในทุกวันของการสอบนักธรรมสนามหลวงทั้งชั้นโทและชั้นเอกนั้น บรรดาพระสังฆาธิการต่าง ๆ ได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพล มีลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ก็คือพระทศพล สุภทฺโท ท่านเป็นเลขานุการของเจ้าคณะตำบลหนองปลาไหล ทางด้านอำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรีนี่เอง มาทำหน้าที่แทนผู้บังคับบัญชาของตน

    ทุกครั้งที่มาก็จะหอบเอาข้าวหลามอร่อยของทางด้านนั้นมาร่วมถวายเพลทุกครั้ง ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะนำมาถวายพระอาจารย์เล็กทุกครั้ง ๆ ละ ๑ ห่อใหญ่ กระผม/อาตมภาพเมื่อรับมาแล้วก็นำไปแจกจ่ายลงในวงฉัน วงละ ๑ กระบอกไล่ไปจนกว่าจะหมด
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    มาวันนี้กระผม/อาตมภาพโดนท่านทักท้วงว่า "หลวงพ่อน่าจะเก็บเอาไว้ฉันเองบ้าง" กระผม/อาตมภาพบอกกับท่านว่า "สิ่งหนึ่งประการใดที่ได้มา ผมไม่นิยมในการเก็บเอาไว้ใช้สอยหรือว่าบริโภคแต่เพียงผู้เดียว"

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้น ท่านสั่งสอนเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่บวชว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มา ให้คิดเสมอว่าเป็นสังฆทาน เพราะว่าพวกท่านทั้งหลายจำนวนมากที่ไม่มีความคล่องตัวในเจโตปริยญาณ ท่านก็จะไม่รู้ว่า ผู้ถวายนั้นอธิษฐานไว้ว่าเป็นสังฆทานหรือเปล่า ? จึงควรที่จะประกันความเสี่ยงด้วยการตั้งความคิดเอาไว้แต่แรกว่า เขาถวายเป็นสังฆทาน แล้วอย่างน้อย
    เราก็ต้องนำไปแจกจ่ายให้พระภิกษุสงฆ์อื่น ๔ รูปขึ้นไป

    ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าไม่ใช่ปาฏิปุคคลิกทาน คือการถวายเฉพาะตน แล้วเราไปกินไปใช้อยู่คนเดียว ก็จะเกิดโทษใหญ่แก่เราได้ ต่อให้เขาตั้งใจถวายจำเพาะเจาะจงตัวของเรา ก็อย่าได้คิดว่าเป็นของส่วนตัว เพราะว่าเราได้มาเนื่องจากครองเพศสมณะ ก็คือห่มผ้ากาสาวพัสตร์ อธิษฐานถือเพศนักบวชของตนอยู่ ไม่ใช่ได้มาเพราะว่าเสน่หาทั่วไปแบบชีวิตฆราวาส จึงต้องคิดอยู่เสมอว่า แม้เขาถวายเป็นส่วนตัว เราก็จะยึดเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ได้"


    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง กระผม/อาตมภาพจึงถนัดและเคยชินในการแบ่งปัน จนกระทั่งไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ว่าบางท่านก็ยังคิดอยู่ว่า "ในเมื่อถวายครูบาอาจารย์เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตา แต่ว่าครูบาอาจารย์กลับเอาไปให้คนอื่นจนหมด"

    ในส่วนนี้จะว่าไปแล้ว ก็ยังเป็นการวางกำลังใจที่ผิด ก็คือยังขาดอุเบกขาในจาคานุสติและทานบารมี ถ้าหากว่าท่านที่วางอุเบกขาเป็น ถวายไปแล้วก็แล้วกัน จะไม่ตามไปตรวจสอบว่าผู้ที่ได้รับไปนั้น ได้กิน ได้ใช้สิ่งของเราหรือเปล่า ถ้ายังติดตามตรวจสอบอยู่ แปลว่ากำลังใจของท่านยังเข้าไม่ถึงอุเบกขาในจาคานุสติและทานบารมี

    ดังนั้น..ไม่ว่าสิ่งที่ญาติโยมถวายมา โดยกระผม/อาตมภาพรับต่อหน้าก็ดี หรือว่าที่ท่านทั้งหลายส่งทางไปรษณีย์ไปยังวัดท่าขนุนก็ตาม กระผม/อาตมภาพไม่เคยเก็บเอาไว้เป็นส่วนตัวเลย หากแต่ว่าจะนำเข้ากองกลางเสมอ สิ่งใดที่ไม่เกินกำลังก็แจกจ่ายด้วยตนเอง สิ่งใดที่เกินกำลังก็มอบหมายให้เลขานุการวัดท่าขนุนบ้าง ฆราวาสซึ่งทำหน้าที่และได้รับความไว้วางใจจากกระผม/อาตมภาพบ้าง นำไปเข้ากองกลาง หรือว่าช่วยแจกจ่ายให้แก่พระภิกษุสามเณร

    โดยเฉพาะวัดของเรานั้น มีการแจกจ่ายอยู่เดือนละ ๒ ครั้ง จนกระทั่งทางพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และฆราวาสได้บอกกล่าวกันในลักษณะขำ ๆ ว่า "วันเงินเดือนออก" บ้าง "วันเปิดร้านสะดวกซื้อ" บ้าง

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทางวัดท่าขนุนของเรานั้น ได้ดำเนินตามรอยของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัด สิ่งหนึ่งประการใดที่ได้รับคำสั่งสอนมา ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติกันตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าทำไปครั้งสองครั้งแล้วก็เลิก ถ้าเป็นไปในลักษณะเช่นนั้น แปลว่า กำลังใจของท่านยังขาดความมุ่งมั่นต่อหน้าที่การงาน ขาดความมุ่งมั่นในการที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านก็ไม่ใช่บุคคลที่ควรแก่การบรรลุมรรคผลเลย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...