เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายที่ช่วยกันดูแลเรื่องการงานต่าง ๆ ภายในวัด โดยเฉพาะช่วงนี้การจัดเตรียมสถานที่ เพื่อรอเปิดตัว ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรม ซึ่งเป็นงานที่กระชั้นมาก พวกเราก็พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด

    กระผม/อาตมภาพกลับมาถึงก็ไปดูการจัดสถานที่ก่อน ปรากฏว่าเวทีอยู่คนละข้างกับแผนที่ซึ่งร่างเอาไว้ แต่ก็เป็นการดี เพราะว่าทางด้านข้างสามารถใช้ตั้งเต็นท์งานสาธิตต่าง ๆ ของชุมชนของเราได้

    ก็เห็นท่านภีม (พระกวีวัธน์ สทฺธาธิโก) พาน้อง ๆ ไปลุยงานกันอยู่ กว่าจะเสร็จงาน ถ้าไม่เป็นลมแดดไปเสียก่อน ก็คงจะไหม้ไปตาม ๆ กัน..! ต้องรออีกอย่างน้อยสองวัน เพราะว่าทั้งลูกศิษย์ ทั้งอาจารย์ที่ต้องไปงานสอบบาลีรอบสอง กว่าจะกลับมาก็ยังต้องมีสอบพรุ่งนี้อีก ๑ วัน

    ช่วงพิธีเปิด กระผม/อาตมภาพก็เรียนถวายพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ แล้ว ว่างานสอบบาลีรอบสองมาได้วันนี้วันเดียว เพราะว่าอีกสองวันที่เหลือจะติดงานเปิดตัว ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรม ท่านก็ยังบ่นเหมือนกันว่า "งานอย่างนี้ยุ่งจะตายชัก" ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เห็นด้วย

    แต่ว่าในเรื่องของส่วนราชการ เราท่านทั้งหลายจะต้องเข้าใจว่า เป็นการบริหารงบประมาณด้วยการจ่ายให้น้อยที่สุด แล้วได้ผลงานได้มากที่สุด ซึ่งส่วนที่สามารถทำให้จ่ายให้น้อยที่สุด แล้วได้ผลงานได้มากที่สุด ส่วนใหญ่ก็คืองานที่เกี่ยวเนื่องกับวัด เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว ทางวัดก็จะเป็นผู้จ่ายเอง จะไปตำหนิทางราชการก็ไม่ได้

    สมัยที่อยู่ส่วนเผยแผ่จริยธรรมของกรมป่าไม้ กระผม/อาตมภาพเคยบ่นว่า "สตางค์ก็ไม่มีให้สักบาท แต่งานก็จะเอา" ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกตรง ๆ ว่า "หลวงพ่อครับ งานแบบนี้ ปกติพวกผมต้องขอเงินจากหลวงพ่อด้วยนะครับ" พูดง่าย ๆ ก็คือเอาแต่งานนี่ ถือว่าเบามากแล้ว ฟังแล้วก็ออกอาการ "น้ำตาจิไหล..!"

    ประเทศไทยของเรา สิ่งหนึ่งประการใดที่ควรจะลงถึงประชาชน หรือว่าชุมชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็มักจะ "ตกเรี่ยเสียราด" กันไปหมด..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อสักครู่นี้ก็ได้ปรึกษาหารือกับท่านสมมารถ คำถนอม วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรีกับคณะ ซึ่งมีคุณทวีป พัฒนมาศ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม กับคุณพรพนิต ผดุงสงฆ์ ผู้อำนวยการกลุ่มกิจกรรมพิเศษ แล้วก็น้อง ๆ อีกร่วมสิบคน เนื่องเพราะว่ากำหนดการโดนปรับเปลี่ยนเกือบทุกชั่วโมง ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า ตัวประธานเองบางทีไม่รู้เรื่องเลย ไอ้ที่ปรับเปลี่ยนก็คือบรรดาลูกน้องหรือ "ทนายหน้าหอ" ไอ้โน่นต้องอย่างนั้น ไอ้นี่ต้องอย่างนี้

    อย่างที่มีสมัยหนึ่ง ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ แล้วก็มีพันเอกท่านหนึ่งมาประสานงาน ขอให้เจ้านายมากราบถวายสังฆทานกับหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน แต่เที่ยวมาชี้นิ้วสั่งการว่าตรงนั้นต้องจัดอย่างนั้น ตรงนี้ต้องจัดอย่างนี้ รายนั้นก็เลยโดนหนักหน่อย เพราะกระผม/อาตมภาพบอกว่า "มึงไปนั่งห่าง ๆ แล้วหุบปากเงียบ ๆ ไว้ เรื่องพวกนี้พระรู้ดีที่สุด เจ้านายเขาไม่ได้เรื่องมาก มึงนั่นแหละเรื่องมาก..!" พอโดนแบบนี้เข้าก็เลยเหี่ยวไป..!

    เพราะว่าบรรดาลูกน้อง บางทีก็หวังดีแต่ประสงค์ร้าย ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่เหมาะ ไม่สมกับเกียรติยศของเจ้านาย มึงแหกตาดูหรือเปล่าว่าที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ? ที่นี่ก็คือชายแดนไทย - พม่า กูมีที่ให้พัก มีที่ให้กินก็บุญโขแล้ว จะเอาไอ้โน่น จะเอาไอ้นี่ จะเอาไอ้นั่น มึงก็ทำเองสิวะ..! เสียดายไม่ได้เจอด้วยตนเอง แต่ว่าผู้ที่เครียดก็คือวัฒนธรรมจังหวัดของเรา เพราะว่าเป็นเจ้าของงานโดยตรง อาตมภาพก็เลยมีหน้าที่แหย่ให้หัวเราะกัน

    ท่านทั้งหลายโปรดทราบว่า ถ้าสมาธิของเราไม่ดี จะเครียดง่าย เพราะว่ากำลังไม่พอที่จะสู้กับ รัก โลภ โกรธ หลง ที่ประดังเข้ามา ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า
    ที่กระผม/อาตมภาพด่าไปบางคน ก็เพื่อให้สำนึก แล้วคราวหน้าก็อย่าเสือกทำแบบนั้นอีก ไม่ใช่ด่าเพราะไม่พอใจเนื่องจากความเครียดจากงาน เป็นคนละเรื่องเดียวกัน เรื่องนี้ถ้าหากว่าเรารู้จักสังเกตอารมณ์ใจตัวเอง ท่านทั้งหลายก็จะรู้ว่า เราเครียดแล้วหรือเปล่า

    ตอนนั้นน่าจะประมาณปี ๒๕๓๐ กระผม/อาตมภาพถวายการรับใช้อยู่ข้างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ในศาลา ๔ ไร่ ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ปรากฏว่าญาติโยมทั้งหลายส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ดูว่าตรงหน้าเขาเป็นอย่างไร เขาเดินผ่าน ทำบุญ แล้วก็เลยไป เดินผ่าน ทำบุญ แล้วก็เลยไป คนหนึ่งมีโอกาสอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อท่าน ๒ - ๓ วินาทีเท่านั้น

    ส่วนหลายคนเคารพมาก กูต้องลงไปกราบงาม ๆ ๓ ครั้งก่อน แล้วค่อยควักเงินทำบุญ กระผม/อาตมภาพตะครุบได้ก็หิ้วลอยออกไปเลย ถ้าหากว่ามึงอยากช้านัก ก็ไปอธิษฐานข้างนอก ไปต่อท้ายแถวยาว ๓ กิโลเมตรโน่น..! แล้วค่อยเข้ามาใหม่
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แต่สังเกตได้ว่าเสียงของตัวเองดังขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าดังขึ้นเรื่อยนี่แปลว่าเครียดแล้ว..! พอรู้ตัวก็ต้องรีบดึงคนอื่นมารับหน้าที่ตรงนั้นแทน แล้วก็ไปเข้าส้วม ความจริงก็ไม่ได้ไปถ่ายหนักถ่ายเบาอะไรเลย หากแต่ไปนั่งภาวนา รักษาอารมณ์ใจจนทรงตัว แล้วก็ออกมาสู้กับงานใหม่

    แล้วงานนั้นนั่นแหละ ที่ทำให้เห็นว่ากำลังของตนเองไม่พอสู้กับงาน เนื่องเพราะว่ายังมีการเลือกที่รัก มักที่ชัง ยังดูว่าคนนี้มีท่าทางว่าเป็นคุณหญิงคุณนาย ร่ำรวย คนนี้เป็นตาสีตาสา ยายมียายมาจากบ้านนอก ถ้าหากว่าลักษณะนี้ แปลว่ากำลังใจของตนเองแย่มาก เพราะว่าสงเคราะห์คนได้ไม่เสมอหน้ากัน ก็ถือว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้ เพราะถือว่าขาดอัปปมัญญาพรหมวิหาร

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงตั้งใจว่า เราจะต้องหาอัปปมัญญาพรหมวิหารมาใส่ใจตนเองให้ได้ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือออกธุดงค์ เนื่องเพราะว่าการอยู่ในป่านั้น เราไม่มีอะไรที่จะสู้รบปรบมือ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย ภูตผีปิศาจ หรือว่าเทวดาที่มากลั่นแกล้ง นอกจากแผ่เมตตาอย่างเดียว

    ในเมื่อตั้งใจเช่นนั้น จึงได้กราบขออนุญาตพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านออกธุดงค์ ท่านก็ปรารภว่า "ความรู้ของแกก็พอคุ้มตัวได้แล้ว นักธรรมชั้นเอกก็จบแล้ว สมาธิสมาบัติก็พอที่จะคล่องตัวอยู่บ้าง เพราะฉะนั้น..อนุญาตให้ออกธุดงค์ได้" ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าอยู่วัดท่าซุงก็คือ ๕ พรรษาเหมือนกัน กว่าที่จะออกจากวัดได้ แต่ด้านของกระผม/อาตมภาพถือเป็นกรณีพิเศษ คือพรรษาที่ ๔ เท่านั้น

    สถานที่ซึ่งตั้งใจไปก็คือเมืองลับแล ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย กับอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ตรงช่วงนั้นเป็นป่าดงดิบผืนใหญ่มหึมา แรก ๆ พอได้ยินว่ากระผม/อาตมภาพจะออกธุดงค์ พระพี่พระน้องก็อาสาติดตามกันใหญ่ รวมได้ ๗ - ๘ รูป แต่พอรู้ว่าจะไปที่ไหน ทุกคนถอนตัวหมด พูดง่าย ๆ ว่ามึงไปตายคนเดียวเถอะ..!

    ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าผืนป่านั้น กระผม/อาตมภาพก็เข้าใจว่าทำไมคนอื่นไม่กล้ามา เพราะว่าเด็ก ๆ เคยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมาก่อน รอยเท้าวัวควายที่เต็มคอกเป็นอย่างไร ป่าที่เพิ่งก้าวเข้าไป รอยเท้าสัตว์แบบนั้นเลย..! ก็คือมากจนประมาณไม่ถูกว่าสัตว์มีสักเท่าไร ?!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แล้วต้นไม้ก็เหมือนกับเสาในศาลาของเรา ก็คือสูงชะลูดขึ้นไป ๓๐ - ๔๐ เมตร ไปมีใบอยู่บนยอดหน่อยหนึ่ง เนื่องเพราะว่าแย่งอากาศ แย่งแสงแดดกัน ต้องต่างคนต่างสูงเอาไว้ มองไปทีหนึ่งได้ไกลลิบเลย เพราะว่าข้างล่างมีแต่ต้น ต้นไม้ใบหญ้าเล็ก ๆ ก็แทบจะไม่มีขึ้น เพราะว่าแดดส่องลงมาไม่ถึง เดินไป..เดินไป แทนที่จะได้ตัวเมตตาพรหมวิหาร กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน ก็คือเหลือแต่ความคิดเดียวว่า "ตายแน่..ตายแน่..ตายแน่..!"

    แม้กระทั่งหลุดไปอยู่กลางดงควายป่า ๓๐ - ๔๐ ตัว ความจริงไม่ใช่ควายป่าแท้ แต่เป็นควายที่ชาวกะเหรี่ยงเขาปล่อยเลี้ยงไว้ในป่า บางคนเรียกควายปละบ้าง ควายเพลิดบ้าง พวกนี้พออยู่ป่าไป สัญชาตญาณสัตว์ป่ากลับคืนมาหมด เหมือนกับควายป่าดี ๆ นี่เอง หลุดเข้าไปอยู่กลางดงควายป่า ๓๐ - ๔๐ ตัว ก็ต้องเหลือแต่ "ตายแน่" แล้ว ไม่เหลืออะไร ตอนนั้นความสามารถมีเท่าไร ต้องงัดออกมาใช้จนหมด จึงกลายเป็นว่าไม่ได้อัปปมัญญาพรหมวิหารอย่างที่ต้องการ แต่เลยเถิดไปยันสังขารุเปกขาญาณ ไม่บรรลุในป่าก็บุญโขแล้ว..!

    ระหว่างที่อยู่ข้างในนั้น ก็โดนทั้งผีทั้งเทวดากลั่นแกล้ง เล่นงานอยู่ทุกวัน สภาพจิตทรงตัวเปรี๊ยะ ไม่หลุดเลยทั้งกลางวันกลางคืน ภาวนาเองโดยอัตโนมัติเพราะความกลัว ขอยืนยันว่าเป็นความกลัว เพราะพยายามดูตัวเองแล้วว่าไม่กลัวไม่ใช่หรือ ? ปรากฏว่ายังมีเย็นสันหลังวาบ ๆ อยู่ แปลว่ายังกลัวอยู่ เพียงแต่กลัวแบบมีสติ คือเจอแล้วไม่หนี เจอผีก็กล้าคุยกับผี เจอสัตว์ร้ายก็กล้าเผชิญหน้า แต่ว่ากลัว..!

    เมื่ออยู่ข้างในนั้นครบ ๕ วัน ค่อยเดินทางกลับออกมา ปรากฏว่าสภาพจิตที่อยู่กับการภาวนาทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืน ทั้งนั่ง ไม่เคยหลุดจากสมาธิเลย ออกมาถึงจุดนั้น จำได้ว่าเดินจากตรงนี้ไป ไม่เกินสองชั่วโมง จะถึงหมู่บ้าน สมาธิหลุดตอนไหนไม่รู้ ? จากที่อยู่กับการภาวนา ก็ไปชมนกชมไม้แทน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แล้วคราวนี้อากาศยามเช้า ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว ช่วงประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน หมอกลงแล้วก็มีแสงแดดลอดใบไม้มาเป็นลำ ๆ ดูสวยมาก ดันไปนึกถึงเพลงที่เคยชอบสมัยฆราวาส "ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย..หายลับไปกับตะวัน..ฯลฯ"

    ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเมตตาถีบตูมเข้าเต็มหลัง..! หัวทิ่มลงไปในลำห้วย เปียกหัวถึงตีนเลย แล้วอากาศกลางป่าหนาว ๆ ด้วย เดินสั่นแหง็ก ๆ อย่างกับมาลาเรียกินออกมา ต้องมาอาศัยบ้านกะเหรี่ยงเขาตากผ้าอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าที่จะแห้ง..!

    จะได้เห็นว่ากำลังใจของเราจริง ๆ นั้นเชื่อไม่ได้ ถ้ามีที่ให้กลัว มีที่ให้เกรง ก็จะภาวนาเอง เพราะว่ากลัวตาย แต่พอรู้สึกว่ากูไม่ตายแล้ว เพราะว่าใกล้ชาวบ้านแล้ว ดันหลุดจากการภาวนาเองเฉยเลย..!

    เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องระวังให้ดี ขณะเดียวกัน ทำงานก็ให้สังเกตตัวเองด้วยว่าเครียดหรือยัง ? ถ้าประเภทปวดหัว วิ่งไปหาพาราฯ บ้าง ยาแก้แพ้บ้าง หรือว่าเสียงดัง "วีน" ใส่เพื่อน รู้ไว้เลยว่าเครียดแล้ว ยอมรับเสียแต่โดยดี รีบภาวนาตอนนั้นยังทัน แต่ถ้าหากว่าออกปาก หรือว่าหลุดมือหลุดไม้ไปแล้ว เอาคืนไม่ทัน มักจะพังไปเป็นเดือน..! จึงเป็นเรื่องที่พวกเราควรจะรับรู้เอาไว้ว่า ถ้าเครียดแปลว่ากำลังสมาธิยังไม่พอใช้งาน ต้องเร่งรัดตนเองมากขึ้น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...