เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 พฤศจิกายน 2024 at 20:27.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกท่านส่วนใหญ่ก็งานหมดแล้ว แต่กระผม/อาตมภาพกับเลขาฯ พัฒน์ (พระมหาพัฒน์ ฐิตาจาโร ป.ธ. ๓) ยังงานท่วมหัวอยู่ ที่เห็นปึกใหญ่นี่ก็คือใบปิดหน้าซองใส่กระดาษใบตอบ กระผม/อาตมภาพยังไม่ได้เซ็นกำกับชื่อแม้แต่ใบเดียว..!

    อย่างที่พวกเราเคยทำกัน และที่กระผม/อาตมภาพเคยตักเตือนพวกเราอยู่เสมอก็คือ
    หลังงานแล้วต้องมาทบทวนว่ามีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้ปรับแก้กันในงานครั้งต่อไป แต่ปรากฏว่างานวันนี้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากพระของเราที่เป็นกรรมการคุมสอบเอง ก็คือด้วยความที่ไม่เคยงาน เป็นผู้ใหม่ จึงทำให้มีความผิดพลาด เด็กที่ไม่ได้ส่งข้อสอบแต่มีลายเซ็นว่าส่ง ส่วนเด็กที่ส่งข้อสอบกลับไม่มีลายเซ็น..!

    ซึ่งตรงนี้ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปโทษเด็กเลย โดยเฉพาะเด็กที่ส่งข้อสอบแล้วไม่เซ็นนี่เป็นเรื่องปกติ ก็คือถ้าเรารับเอาไว้โดยไม่ทักท้วงอะไร เขาก็จะไปเลย เพราะเขาถือว่าส่งแล้ว ปัญหาก็จะตกอยู่ที่เรา เพราะว่ามีลายเซ็นไม่ครบ

    ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่า
    พวกท่านส่วนหนึ่งก่อนที่จะมาบวช เคยรับผิดชอบงานสำคัญต่าง ๆ มาก่อน เห็นว่าเรื่องง่าย ๆ แค่นี้ ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดอะไร ก็เลยกลายเป็นเรื่อง "หญ้าปากคอก" พลาดไปจนได้..! ขนาดกระผม/อาตมภาพย้ำว่า "ให้เซ็นชื่อในฐานะกรรมการคุมห้องสอบ ในบัญชีรับใบตอบทั้งหน้าแรกและหน้าสุดท้าย" แต่ส่วนใหญ่ก็เซ็นมาแค่หน้าแรกใบเดียว..!

    นี่ยังดี..เพราะว่าสมัยก่อนบัญชีทุกหน้าจะต้องมีลายเซ็นกรรมการ ทางกองธรรมสนามหลวงปรับให้ทำงานได้ง่ายขึ้น จึงแค่ให้เซ็นกำกับหัวท้ายเท่านั้น แต่พอบอกไปก็ "เหมือนกับลมผ่านหู" เพราะคิดว่า
    เรื่องแค่นี้ไม่มีอะไรยาก แล้วงานง่ายก็กลายเป็นงานยากจนได้..!

    ที่ให้ท่านสองคนจับคู่กัน คนหนึ่งทวนหมายเลขในบัญชีรับใบตอบ อีกคนหนึ่งทวนหมายเลขใบตอบที่ได้รับมา สองท่านพออยู่ใกล้กัน ใบตอบที่รับมาคนละห้องก็ปนกันมั่วไปเลย..! กระผม/อาตมภาพต้องไปแยกออกให้ เราอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่าย เคยทำงานใหญ่กว่านี้มา แต่ไม่ใช่..เราต้องทำตัวเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอสำหรับทุกงาน ต้องไม่ประมาท ไม่อย่างนั้นแล้วปัญหาที่ไม่น่าเกิดก็จะเกิดขึ้นแบบนี้..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    อย่างวันนี้ที่อยู่ ๆ ลมก็พัดบัญชีรับใบตอบปลิวไปติดขนมที่ทางโรงเรียนเตรียมเอาไว้ให้เป็นอาหารเพล แล้วเจ้าประคุณเถอะ..เหนียวยิ่งกว่ากาวอีก กว่าจะแกะออกมาได้ บัญชีใบนั้นก็เละเทะไปทั้งใบ..! จนท้ายที่สุดเลขาฯ พัฒน์ต้องแก้ปัญหาด้วยการไปปริ๊นท์มาใหม่ แล้วให้เด็กเซ็นใหม่ คือเรื่องที่ไม่น่าเกิด ถึงเวลาก็เกิดขึ้นได้เสมอ

    พวกท่านจะเห็นว่าถ้าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น กระผม/อาตมภาพจะเฉย ๆ เสมอ ก็คือแก้ไขไปตามหน้างาน ไม่เสียเวลาไปโทษใคร และไม่เสียเวลาไปด่าใคร เพราะว่าการทำงานทุกอย่างต้องมีข้อผิดพลาด ต้องมีปัญหาให้แก้ไขที่หน้างานเสมอ อย่างที่ย้ำกับท่านทั้งหลายไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วว่า "เรารักษากำลังใจของเราเอาไว้ได้ตลอดงานหรือไม่ ?" ไม่ใช่พอช่วงท้าย ๆ เด็กห้องเราช้า ทำให้เราได้รับใบตอบคืนช้า เราก็เริ่มโกรธเด็กแล้ว..!

    เนื่องเพราะว่างานการทุกอย่างนั้น เป็นการขัดเกลาและฝึกฝนตนเองทั้งสิ้น ถ้าเรามัวแต่คิดว่าแค่มานั่งสมาธิเท่านั้น ถึงจะเป็นการฝึกกำลังใจตนเอง ถ้าแบบนั้นขอให้ทราบว่าเข้าใจผิด วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง เรามีเวลามานั่งขัดเกลาจิตใจตัวเองกี่ชั่วโมง ? แล้วเวลาส่วนใหญ่เราก็ลอยตามกิเลสไป ถ้าแบบนั้นโอกาสที่จะชนะกิเลสไม่มีเลย แต่ถ้าหากว่าเราขัดเกลาตัวเองด้วยงานทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า โอกาสที่เราจะชนะกิเลสก็จะมีขึ้นได้


    ดังที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเคยบอกพวกกระผม/อาตมภาพว่า "งานคันถะธุระ ไม่ว่าเป็นการศึกษา เล่าเรียน หรือว่าก่อสร้างก็ตาม ใครรับงานแล้วทำใจได้ วางกำลังใจได้ถูก โอกาสได้มรรคผลจะเร็วมาก" เพราะว่านั่นคือของจริงที่มาทดสอบเราเลย

    จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักเอาไว้ว่า ปัญหามีเอาไว้แก้ แต่ถ้าหากว่าเกินกำลังของเรา กระผม/อาตมภาพได้ยินผู้รู้บางท่านบอกว่า ถ้าเกินกำลังที่เราจะแก้ได้ไม่เรียกว่าปัญหา ฟังดูก็เข้าท่าดี แต่ตั้งแต่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพยังไม่เห็นว่าปัญหาไหนเกินกำลัง ก็เลยต้องมีแต่ปัญหาให้แก้อยู่ตลอดมา..!

    คราวนี้การที่เราท่านทั้งหลายแบกมานะเข้ามาในชีวิตนักบวช ส่วนที่พึงระวังที่สุดก็คือก่อนที่จะพ้นจากความเป็นพระนวกะ พ้น ๕ พรรษาขึ้นไป อย่าได้เอาประสบการณ์ตอนเป็นฆราวาสมาใช้ด้วยความมั่นใจว่าเราเอาตัวรอดได้ เพราะว่าการกระทำบางอย่างของเรา พลาดแล้วโอกาสแก้ตัวไม่มี ก็คือต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปเลย..!

    อย่างวันก่อนที่กระผม/อาตมภาพบอกว่า "พระเรามาใช้วิธีอธิษฐานว่าตนเองต้องอาบัติหนักหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าต้องอาบัติหนัก หลวงพ่อต้องตักเตือน" ปรากฏว่าพอด่าไปก็มีผู้มาสารภาพ แล้วก็สอบถามต่อหน้า ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,379
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เราขาดจากความเป็นพระง่ายมาก แล้วถ้าหากว่าขาดโดยต้องอาบัติปาราชิก ก็แปลว่าการปฏิบัติของเราในชาตินี้ โอกาสที่จะได้ดีแทบจะไม่มีอีกเลย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไปหมกหมุ่นกับความผิดพลาดที่ตนเองทำความชั่วเอาไว้ ก็ทำให้เกิดวิปฏิสาร คือเดือดเนื้อร้อนใจอยู่เสมอ สภาพจิตไม่สามารถที่จะสงบได้ โอกาสที่จะไปสุคติจึงมีน้อย ดังนั้น..ไม่ว่าเราจะเคยเป็นใคร ทำหน้าที่การงานอะไร มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแค่ไหนก็ตาม เข้ามาบวชก็ให้กองทิ้งไปเลย เริ่มต้นทำตัวเป็นพระใหม่ทันที

    ถ้าเราศึกษาประวัติเจ้าศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ที่ออกบวชพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นพระอานนท์ก็ดี พระภัคคุก็ดี พระกิมพิละก็ดี ไล่ไปถึงนายอุบาลีที่เป็นช่างภูษามาลา ปรากฏว่าบรรดาเจ้าศากยะสำนึกตนว่ามีมานะกษัตริย์หนักมาก คราวนี้การบวช ใครบวชก่อนถือว่าเป็นพี่ จึงให้นายอุบาลี ผู้เป็นช่างภูษามาลา ก็คือช่างตัดผมบวชก่อน จะได้เป็นพี่ให้ตนไหว้ได้ เท่ากับว่าเป็นการลดมานะไปในตัว

    ก็เพราะว่าความมานะถือตัวถือตนนี่แหละ ที่ทำให้ศากยวงศ์ โดนเจ้าชายวิฑูฑภะกวาดล้างจนแทบไม่เหลืออะไรเลย ส่วนที่หนีรอดไปก็เป็นท้าย ๆ ของเชื้อสายแล้ว ไม่ใช่ต้นสายที่มีความเข้มข้นในสายเลือดสูงมาก

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านไปประเทศเนปาล เจอญาติโยมมารายงานตัวแล้วบอกว่านามสกุลศากยะ นั่นก็คือบรรดาท่านที่หนีสงครามไป แม้แต่บ้านเรา ท่านเจ้าคุณพระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์, ดร. (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) หรือท่านเจ้าคุณอนิลมาน นั่นก็มาจากศากยะสกุล เขามานะถือตัวถือตนจนกระทั่งล่มชาติล่มแผ่นดินกันมาแล้ว..!

    ถ้าพวกเราทั้งหลายแบกมานะเข้ามาในความเป็นนักบวชของเรา ก็อาจจะทำให้เราเสียหาย สูญไปจากความดี จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง อะไรที่เป็นพุทธบัญญัติ ปฏิบัติเอาไว้เถิด มีแต่จะเกิดผลดีแก่ตัวเรา เนื่องเพราะว่าชีวิตนักบวชนั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่เราไม่คุ้นเคย ถ้าไม่ศึกษาให้ดี โอกาสพลาดจะมีสูงมาก โดยเฉพาะญาติโยมฝ่ายฆราวาส หลายต่อหลายท่านตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตมาก แต่พอเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรม สามารถที่จะลดตัวลงมาคบค้าสมาคมกับคนอื่นได้แบบไม่ถือตัว นั่นถือว่าท่านวางตัวโดยถูกต้อง

    แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่แบกมานะไว้อย่างเต็มที่เลย กระผม/อาตมภาพไปเจอในสายอื่น ๆ ของพรรคพวกเพื่อนฝูง ถึงเวลาเดินทางก็มีการตั้งแง่กระทบกระทั่งกันตลอด ประมาณว่าฝ่ายตนไฮโซ ฝ่ายคุณโลโซ อย่าเสนอหน้ามาคบหากับฉัน ขนาดเรียกป้านี่ตวาดใส่เลยว่า "เธอเป็นญาติเป็นโยมอะไรกับฉัน ถึงบังอาจมาเรียกป้า..!" กระผม/อาตมภาพเจอมาเองแล้ว ถ้าหากว่าแบกมาในลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่จะเอาดีจะยากมาก

    แต่คราวนี้ในเรื่องของฆราวาสนั้นยกให้เขา เพราะในฐานะปุถุชนต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ในฐานะนักบวช ไม่ว่าพระภิกษุ สามเณร หรือว่าแม่ชีต่างหาก ที่เราอยู่ในฐานะของปูชนียบุคคล คนอื่นเขาให้ความเคารพ แล้วเราอย่าทำตัวเคยชิน ต้องนึกถึงคำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระโมคัลลานะว่า "จงอย่าชูงวงเข้าไปในสกุล" ก็คืออย่าแบกกิเลสนำหน้าไป ให้ทำตัวเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เราทำก็มีแต่จะย้อนกลับมาทำร้าย หรือว่าทำลายตัวของเราเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...