เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 พฤษภาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มาพูดถึงประเด็นร้อนในสังคมที่เกี่ยวข้องกับวงการสงฆ์ คือพระหนุ่มนักเทศน์ชื่อดังที่ไปมีสัมพันธ์สวาทกับสีกา แล้วมีการร้องเรียน จนกระทั่งสึกหาลาเพศออกไป ซึ่งตรงนั้นจะไม่ขอกล่าวถึง

    แต่ที่จะกล่าวถึงก็คือว่า อันดับแรกเลย...ท่านบวชแล้วเป็นพระใหม่แต่ว่าไปแสดงธรรมสั่งสอนผู้อื่น ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่า ตราบใดที่เรายังไม่สามารถกระทำสิ่งหนึ่งประการใดได้อย่างแท้จริง แล้วไปว่ากล่าวสั่งสอนผู้อื่น ก็จะอยู่ในลักษณะที่บางคนกล่าวว่า "จงทำอย่างที่ผมพูด แต่อย่าทำอย่างที่ผมทำ" ซึ่งมีแต่จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นทั้งกับตนเองและหน่วยงาน

    เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำอะไรได้แล้วนำไปสั่งสอนคนอื่นนั้น ประการแรก...จะสอนได้ง่ายมาก เพราะว่าคนทำมาแล้ว ย่อมรู้ว่าหนทางไหนจะเป็นทางที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด ประการที่สอง...คนที่ทำได้จริงนั้นจะมีความน่าเชื่อถือ มีความขลัง เพราะว่าพูดจริง ทำจริง

    อีกเรื่องหนึ่งที่จะกล่าวถึงก็คือว่า พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านนั้น ไม่ได้ให้การอบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างแท้จริงว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ปล่อยให้ท่านไปเปะปะ ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง จนกระทั่งเกิดความผิดพลาดใหญ่โตขึ้นมา สร้างความเสียหายบอบช้ำแก่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้ว พระอุปัชฌาย์ของท่านนั้น ผิดทั้งหน้าที่ทางโลกและผิดทั้งหน้าที่ทางธรรม

    เนื่องเพราะว่าในทางโลกนั้น ตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๗ ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ข้อที่ ๑๙ ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า พระอุปัชฌาย์เมื่อให้การอุปสมบทกุลบุตรแล้ว มีหน้าที่ต้องถือเป็นภารธุระปกครอง ดูแล สั่งสอน สัทธิวิหาริกของตนให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ ต้องขวนขวายให้ได้รับการศึกษาพระธรรมวินัย ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าในทางโลกพระอุปัชฌาย์ท่านก็กระทำไม่ถูกต้อง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ส่วนในทางธรรมนั้น พระอุปัชฌาย์ท่านเปรียบเหมือนกับพ่อผู้ให้กำเนิด ส่วนพระคู่สวดนั้น เปรียบเหมือนกับแม่หรือว่านางนมที่คอยเลี้ยงดูจนกว่าบุตร ก็คือผู้อุปสมบทนั้น จะเจริญเติบโตมั่นคงในพระพุทธศาสนา

    ในปัจจุบันนี้ พระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่เข้มงวดจริงจังกับลูกศิษย์นั้นมีน้อยมาก ขนาดทางวัดท่าขนุนกำหนดเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าบวชแล้ว อยู่ศึกษากับพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ครบ ๕ พรรษา จะไม่ปล่อยให้ไปอยู่ที่อื่น เนื่องเพราะว่าอาจจะทำผิด ทำพลาด สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา ทำให้ชื่อเสียงของพระอุปัชฌาย์อาจารย์เสียหายไปด้วย

    แต่ก็ยังมีบุคคลที่บอกว่า "ทางวัดท่าขนุนเข้มงวดจนเกินไป" โดยเฉพาะท่านที่เข้ามาบวชเอง หลายท่านมีการศึกษามาสูง จบปริญญาตรี ปริญญาโทในทางโลกมาแล้ว เป็นหัวหน้าหน่วยงาน บังคับบัญชาลูกน้องมาแล้ว มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ก็ออกจากวัดไปก่อนที่จะได้รับอนุญาต ก็คือยังไม่ได้นิสัยมุตตกะ คือ ยังไม่พ้นจากการดูแลของพระอุปัชฌาย์อาจารย์

    ตรงจุดนี้ท่านที่ไปก็นำเอาอาบัติ ก็คือศีลที่ขาดตกบกพร่องติดตัวไปอยู่ทุกวัน เนื่องเพราะว่าท่านทำผิดพระบรมพุทธานุญาต ผิดศีลข้อไม่เอื้อเฟื้อในพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า กุลบุตรที่อุปสมบทแล้ว ต้องอยู่ศึกษาพระธรรมวินัยจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ จนกว่าที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะเห็นว่าได้นิสัยมุตตกะ คือมีความสามารถพอที่จะดูแลตนเองได้ จึงจะให้พ้นจากการปกครองดูแลของพระอุปัชฌาย์อาจารย์

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่บกพร่องทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ย่อมไม่สามารถที่จะสั่งสอนให้สัทธิวิหาริก คือลูกศิษย์ที่อาศัยตนนั้น มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง เหมือนอย่างกับว่าปล่อยให้ไปตาย..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านไม่ได้อบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์รู้ตัวว่า ควรที่จะทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดได้ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    อีกประการหนึ่งก็คือว่า พระอุปัชฌาย์อาจารย์นั้น ท่านอาจจะสั่งสอนแค่ผิวเผิน ไม่ได้ตอกย้ำอย่างจริงจัง เหมือนอย่างกับพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ท่านได้สอนกับลูกศิษย์ว่า เมื่อบวชไปแล้ว ให้ระวังเสือ ๒ ตัวเป็นอย่างยิ่ง เสือ ๒ ตัวนี้ก็คือ สตรี ๑ กับ สตางค์ ๑

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเพศตรงข้ามนั้น ถือว่าเป็นศัตรูอย่างยิ่งของพรหมจรรย์ ถ้าหากว่าใกล้ชิดสนิทสนมไป โดยที่ตนเองยังไม่สามารถที่จะรักษากำลังใจให้มั่นคงได้ ก็จะเกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าจะมีการเผลอใจ


    อันดับแรกก็อาจจะแค่คำพูดหรือความคิด แต่ต่อไปถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเปิดโอกาสให้ ก็จะเป็นการกระทำ แล้วก็เกิดความเสียหายขึ้นมาได้อย่างที่เห็นอยู่ เพราะว่าผู้หญิงกับผู้ชายนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดกันโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะมีเจตนาที่ดีขนาดไหนก็ตาม การอนุเคราะห์สงเคราะห์ก็ต้องมีขอบเขต


    ดังที่พระอานนท์ได้ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "พระภิกษุในธรรมวินัยนี้จะปฏิบัติต่อมาตุคามอย่างไรถึงจะเหมาะสม ?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ไม่รู้ไม่เห็นได้เลยเป็นดี"


    พระอานน์ทูลถามว่า "ถ้าหากว่าจำเป็นต้องรู้เห็นเล่า ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าหากว่าต้องรู้เห็นก็อย่าพูดด้วย"

    "ถ้าหากว่าจำเป็นต้องพูดด้วยเล่า ?" "ถ้าหากว่าจำเป็นต้องพูดด้วยก็ให้พูดโดยธรรม" ก็คืออย่าพูดชักชวนไปในทางโลก ซึ่งมีแต่จะทำให้ฟุ้งซ่านหนักเข้าไปอีก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    แต่ว่าในยุคนี้สมัยนี้ การปฏิบัติตนของพระภิกษุและผู้หญิงนั้น ก็ปราศจากสิ่งที่เรียกว่า "จารีตประเพณี" มากีดขวางเอาไว้ ถ้าเป็นสมัยก่อนนั้น แม้แต่การพบเพศตรงข้ามก็เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง เพราะว่ามี พ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวด คอยควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตน

    แต่สมัยนี้นั้น บรรดาลูก ๆ ของตนเองก็มักจะเป็นผู้ที่ประท้วง แล้วขณะเดียวกันก็ทำในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเอง ไม่ฟังบุคคลที่เป็นพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ จึงทำให้เกิดความเสียหายได้ง่ายมาก โดยเฉพาะการแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมไปในวัดในวาต่าง ๆ เป็นต้น

    อีกประการหนึ่งที่จะสร้างความเสียหายให้ก็คือสตางค์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงได้สอนพวกกระผม/อาตมภาพที่บวชอยู่กับท่านว่า "พระของเรามีราคาแค่ ๙๙ สตางค์ ถ้าหากว่าถึงบาทเมื่อไร อาจจะต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปเลย"


    ดังนั้น...ท่านจึงให้กระผม/อาตมภาพปฏิญาณตนตั้งแต่วันแรกที่บวชว่า "เราจะรับเงินรับทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย แต่จะไม่นำมาเป็นของส่วนตัว จะใช้เฉพาะในส่วนที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะผลักเข้าในกองบุญการกุศล เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"


    คำว่า ใช้สมควรแก่สมณสารูปนั้น เมื่อกระผม/อาตมภาพได้กราบเรียนสอบถามแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวว่า ใช้เป็นค่ารถ ใช้เป็นค่าอาหาร ใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลตนเอง หรือว่าช่วยเหลือผู้อื่น ตลอดจนกระทั่งช่วยเหลือสัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ

    ส่วนที่เหลือ ต่อให้เขาระบุว่าเป็นเงินส่วนตัว ก็อย่าถือว่าเป็นเงินส่วนตัว เนื่องจากว่าเราได้มาในขณะที่เป็นพระภิกษุ จำเป็นต้องคิดอยู่เสมอว่าเป็นเงินสังฆทาน ให้นำลงไปกองบุญการกุศลต่าง ๆ เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย


    ในเมื่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์บอกกล่าวเช่นนั้น แทนที่กระผมจะฟังเป็นคำสอน ก็ฟังเป็นคำสั่ง คือท่านสั่งอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น แต่ถ้าเราฟังเป็นคำสอน ก็อาจจะคิดว่า เรารอไว้ทำเมื่อไรก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ความเสียหายใหญ่โตจะเกิดขึ้นกับตนเองก็มี เนื่องเพราะว่าถ้าผิดพลาดไป แม้แต่บาทเดียว เราก็อาจจะขาดความเป็นพระได้เลย
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ในเมื่ออดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง ผิดพลาดใน ๒ ส. ก็คือสตรีและสตางค์ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือว่าโดนล่อลวงก็ตาม ก็ต้องถือว่าท่านไม่ได้มีพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ให้ความเข้มงวดในการสั่งสอน และไม่ได้ตีกรอบของตนเองเพื่อระมัดระวังตัวให้สมกับที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส

    การตีกรอบตนเองนั้นต้องขีดเส้นให้ชัดเจน อย่างเมื่อสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเป็นพระใหม่อยู่นั้น ถ้าหากว่าผู้หญิงเข้าใกล้ ก็จะไล่เตลิดเปิดเปิงไปเลย จนกระทั่งมาได้สติ เพราะมีโยมท่านหนึ่งนำเอาของขวัญปีใหม่มาให้ ตอนนั้นน่าจะประมาณพรรษาที่ ๔ เมื่อรับเอาไว้แล้วก็บอกว่า "ขอให้มีความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังตลอดปีนะจ๊ะ" แล้วโยมก็ตอบกลับมาว่า "หลวงพี่ก็พูดดี ๆ กับคนอื่นเป็นเหมือนกันด้วยหรือ !!?"

    เมื่อนึกย้อนหลังไปแล้วก็ตกใจ เพราะว่าก่อนหน้านั้น ถ้าหากว่าผู้หญิงมาใกล้ ก็จะโดนไล่เตลิดเปิดเปิง ถ้าหากว่าใครดื้อก็อาจจะโดนด่าไปเลย ลืมไปว่าเรานั้นอยู่ในสภาพของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่ควรจะเจริญศรัทธาแก่ญาติโยม ไม่ใช่ไปขับไล่ด่าว่าในลักษณะอย่างนั้น แต่ว่าด้วยความที่ตั้งใจระมัดระวังป้องกันตนเอง จึงได้ใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไปบ้าง จึงได้ขอโทษญาติโยมทั้งหลาย แล้วก็ปรับตนเองใหม่

    ในปัจจุบันนี้ คนทองผาภูมิกล่าวว่า "พระอาจารย์เล็กนั้นดุอย่างกับหมา และตรงเวลาจนน่าเกลียด" ซึ่งตรงนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายฟังดู ก็อาจจะคิดว่ากระผม/อาตมภาพนั้น โหดร้ายกับญาติโยมจนเกินไป แต่เราก็ประมาทไม่ได้ว่าตนเองอายุมาก พรรษามาก มีประสบการณ์มาก เพราะว่าเพศตรงข้ามนั้นมีมารยา ๕๐๐ เล่มเกวียน ตามที่โบราณกล่าวเอาไว้ ถ้าเราพลาดเมื่อไรก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเสียหายทั้งตนเองและพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขีดวงของตนเองอย่างชัดเจนว่าอะไรได้ อะไรไม่ได้ เป็นต้น

    ดังนั้น...ตรงจุดนี้ขอให้พระภิกษุสงฆ์สามเณรของเราระมัดระวังอย่างเต็มที่ เราจะไปหวังให้คนอื่นเมตตาปล่อยให้เราอยู่รอดปลอดภัยในพระพุทธศาสนานั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราเองก็จะต้องระมัดระวังตนเองด้วย

    ในเรื่องของเพศตรงข้ามก็ดี ในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองก็ตาม จะอยู่ในลักษณะว่าตบมือข้างเดียวย่อมไม่มีวันดัง ยกเว้นว่าเราจะยื่นหน้าไปให้เขาตบเสียเอง..! จึงต้องระมัดระวังกาย วาจา และใจของตนเองอย่างที่สุด พลาดเมื่อไร นอกจากตนเองเสียหายแล้ว วัดวาอารามก็เสียหาย พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็เสียหาย โดยเฉพาะในส่วนของพระพุทธศาสนานั้นจะเสียหายมากที่สุด

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...