เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 พฤษภาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อวานนี้ในขณะที่รับสังฆทานและตอบปัญหาธรรมนั้น มีพระสงฆ์มาสอบถามปัญหาหลายข้อที่ควรจะพูด จะกล่าวถึงในที่นี้

    ข้อแรกเลยเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ท่านถามว่า หลวงพ่อเคยบอกว่า ในสังฆกรรมนั้น ถ้ามีพระภิกษุต้องอาบัติปาราชิกหรือว่าสังฆาทิเสสเข้าไปอยู่ด้วย ก็จะทำให้สังฆกรรมนั้นเสียหาย ทำไปก็ไม่เป็นสังฆกรรม เป็นต้น

    จุดที่ถามก็คือว่า "การที่พระให้ปริวาสกรรมหรือว่าสวดอัพภานนั้น บุคคลที่ไปรับปริวาสกรรมคือบุคคลที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือว่าบุคคลที่จะมารับอัพภาน คือบุคคลที่ต้องออกจากอาบัติสังฆาทิเสสนั้น เป็นบุคคลที่ต้องอาบัติหนัก ศีลไม่ครบถ้วน สังฆกรรมนั้นย่อมเสียหายไม่ใช่หรือครับ ?"

    ถ้าฟังดูแล้วก็น่าจะเป็นไปตามที่ท่านสงสัย แต่ท่านลืมไปว่า สังฆกรรมนี้ไม่ว่าจะเป็นการให้ปริวาสกรรมเพื่อให้บุคคลที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสไปอยู่ปริวาส เก็บมานัตต์จนกว่าจะครบตามโทษานุโทษของตน แล้วจึงออกมาขออัพภาน ก็คือให้คณะสงฆ์อย่างน้อย ๒๑ รูป สวดรับตนเองคืนสู่หมู่นั้น เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กำหนดพิธีกรรมเอาไว้

    ในส่วนที่บุคคลต้องอาบัติแล้วไปอยู่ร่วมในสังฆกรรมนั้น ก็คือคณะสงฆ์ผู้ให้ปริวาส หรือว่าคณะสงฆ์ผู้สวดอัพภานคืนความเป็นสงฆ์ให้ ไม่ใช่บุคคลที่ไปขอปริวาสกรรมหรือว่าไปขอให้สวดอัพภานคืนความเป็นสงฆ์

    ถ้าหากว่าเป็นเช่นที่ท่านสงสัยนั้น การอุปสมบททุกครั้งก็จะไม่เป็นสังฆกรรม บุคคลที่อุปสมบทก็จะไม่เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะว่าบุคคลที่เข้ามาอุปสมบทนั้นมีศีลอย่างเก่งก็แค่ ๕ หรือว่า ๘ ข้อเท่านั้น เท่ากับว่าเป็นอนุปสัมบัน คือบุคคลที่ศีลน้อยกว่า แล้วเข้าอยู่ในสังฆกรรมนั้น ทำให้สังฆกรรมไม่เป็นสังฆกรรมเช่นกัน ก็คือท่านไปเข้าใจผิดว่าบุคคลที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถือว่าเป็นอนุปสัมบันในสังฆกรรมนั้น แล้วก็จับแพะชนแกะ เอามาผสมปนเปรวมกันกับคณะสงฆ์ผู้ให้สังฆกรรม

    จึงได้ชี้แจงไปอย่างชัดเจนแล้วว่า สังฆกรรมนั้น ถ้าหากว่าคณะสงฆ์ไม่เป็นบุคคลที่ต้องอาบัติหนักในปาราชิกหรือว่าสังฆาทิเสส ก็ย่อมเป็นสังฆกรรมที่สมบูรณ์ เนื่องจากว่าได้รับพระบรมพุทธานุญาตให้กระทำเช่นนั้นในเขตสีมา เช่นเดียวกับการอุปสมบทกุลบุตรผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้เข้าอุปสมบทนั้น ย่อมมีศีลน้อยกว่าเป็นปกติอยู่แล้ว

    เราต้องพิจารณาให้ดี ไม่ใช่ว่าฟังคำแล้วก็จับเอาไปชนกันชนิดที่มั่วไปหมด ถ้าเข้าใจผิดเช่นนั้นแล้วไม่มาสอบถาม ก็อาจจะสั่งสอนสัทธิวิหาริกอันเตวาสิก คือบรรดาลูกศิษย์ของตนแบบผิดพลาดต่อไป จนกระทั่งอาจจะกลายเป็นอาจริยวาท ก็คือยึดถือคำสอนของครูบาอาจารย์เป็นใหญ่ ซ้ำยังเป็นการยึดถือในทางที่ผิดอีกด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    อีกข้อหนึ่งที่ท่านถามก็คือว่า "ในการฝึกมโนมยิทธินั้น เมื่อสามารถฝึกแบบครึ่งกำลังได้แล้ว ทำอย่างไรที่จะพัฒนาเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ครับ ?" จึงได้ตอบไปว่า "ท่านรู้จักมโนมยิทธิดีแค่ไหน ?"

    การฝึกมโนมยิทธินั้น ความจริงแล้วไม่มีครึ่งกำลัง ไม่มีเต็มกำลัง แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้น ท่านแบ่งออกเป็นครึ่งกำลังกับเต็มกำลัง เพื่อที่จะได้เข้าใจกันง่าย ๆ ว่า มโนมยิทธิครึ่งกำลัง ก็คือการที่ท่านทั้งหลายสามารถรู้เห็นได้ด้วยอุปจารสมาธิ มโนมยิทธิเต็มกำลังนั้น คือท่านที่ออกไปด้วยกำลังของฌาน ๔


    แต่ความจริงแล้วมโนมยิทธิที่แท้จริงไม่มีการแบ่งอย่างนี้ แต่เป็นการแบ่งตามความชัดเจนของสิ่งที่ท่านรู้เห็น ซึ่งขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีเดิมของท่านว่าได้รับการฝึกฝนอบรม สั่งสมเป็นปุพเพกตปุญญตามามากน้อยเท่าไร ก็จะรู้เห็นได้ชัดเจนมาก ชัดเจนน้อย ต่างกันไปตามวาสนาบารมีที่ตนเองได้สั่งสมมา


    แต่เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านนำมาแบ่งแล้ว ขอให้เข้าใจว่า ถ้าท่านเห็นได้เท่านั้นจึงจะเรียกว่ามโนมยิทธิครึ่งกำลัง แต่ถ้าท่านสามารถไปถึงสถานที่ต่าง ๆ นั้นได้ ถือว่าเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังแล้ว แบ่งออกแค่ "เห็น" กับ "ไปได้" ถ้ามีการซักซ้อมให้คล่องตัวขึ้น การไปของท่านก็จะมีความรวดเร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น มากขึ้น ไปตามสิ่งที่ท่านได้ซักซ้อมและกระทำมา


    แต่ก็ยังต้องเป็นคนช่างสังเกตและระมัดระวังด้วยว่า เรื่องทั้งหลายที่ท่านไปรู้เห็นนั้น ท่านสามารถที่จะรู้เห็นจริง ๆ แต่สิ่งที่ท่านรู้เห็นนั้นอาจจะไม่จริง อาจจะเป็นเรื่องที่หลอกลวงกัน เพราะว่ามีการทดสอบกำลังใจอยู่เสมอ ท่านใดที่รู้เห็นชัดเจนมากเท่าไร ก็อาจจะโดนหลอกลวงได้ง่ายเท่านั้น เพราะว่าเราจะมีทิฐิ คือความเห็นเฉพาะตัวอยู่อย่างหนึ่ง ที่บางทีตนเองก็ไม่รู้ตัว นั่นก็คือว่า "กูเห็น..กูจึงเชื่อ"


    ในเมื่อท่านเห็นแล้วปักใจเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น จึงอาจจะโดนชักจูง หลอกลวง ให้รู้เห็นผิดพลาดไปเรื่อย แล้วท้ายที่สุดก็จะเตลิดเปิดเปิง เป็นสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "เฝือ" ก็คือรู้เห็นแล้วผิดพลาด
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ในส่วนอื่น ๆ ที่ท่านถามนั้น บางทีก็เป็นการถามในลักษณะที่ว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กระผมจะสั่งสอนลูกศิษย์ได้อย่างไร ?" ด้วยความที่ท่านเป็นพระใหม่ เพิ่งจะบวช จึงได้เตือนไปว่า "เราจะต้องฝึกฝนจนกระทั่งเกิดความคล่องตัวที่มั่นใจ ก็คืออยากรู้เรื่องอะไรก็สามารถที่จะรู้ได้เดี๋ยวนั้น แล้วมีการทดสอบอยู่เสมอว่าสิ่งที่เรารู้นั้นถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะในเจโตปริยญาณ คือรู้ความคิดของลูกศิษย์ ว่าตอนนี้ลูกศิษย์นั้นมีกำลังใจถึงระดับไหน กำลังคิดว่าอะไร"

    "ถ้าสามารถรู้ตรงนี้ได้อย่างชัดเจน ถึงจะตั้งตนเป็นบุคคลที่สั่งสอนลูกศิษย์ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะพาคนอื่นให้ผิดพลาด เตลิดเข้าป่าเข้าดงไป ในลักษณะของ "คนตาบอดขี่ม้าตาบอด" มีแต่จะพากันตกเหวตกห้วย บาดเจ็บล้มตายไปเอง"


    "ถ้าหากว่าท่านยังไม่มีความสามารถถึงระดับนี้ เมื่อลูกศิษย์ต้องการที่จะฝึกฝน ก็ควรที่จะแนะนำว่า สถานที่ใดที่สมควรจะไปฝึกฝนตนเอง ให้มีความรู้ความสามารถในด้านมโนมยิทธิ ไม่ใช่เป็นผู้นำในการฝึกฝนด้วยตนเอง ทั้งที่ไม่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง"

    ในการแนะนำไปเช่นนั้น บางทีท่านอาจจะไม่ชอบใจก็เป็นได้ เพราะว่าพระภิกษุสามเณรในสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วใจร้อน ใจเร็ว อยากที่จะมีชื่อเสียง อยากที่จะมีบริษัทบริวารมาก ในเมื่อท่านทั้งหลายไปผูกตัวเองไว้กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ทำให้เป้าหมายในการบรรพชาอุปสมบทของท่านนั้นผิดพลาดตั้งแต่แรกแล้ว

    เพราะว่าในการอุปสมบทนั้น เราต้องกล่าวว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา เป็นต้น เรารับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มาเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน นี่จึงเป็นวัตถุประสงค์ในการบรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ไม่ใช่ว่าเราบรรพชาอุปสมบทเข้ามา เพื่อที่จะมาเป็นพระอาจารย์ใหญ่ เพื่อที่จะเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีความขลัง เพื่อที่จะมีบริวารที่มียศศักดิ์ มีอำนาจ มีเงินทอง เป็นต้น

    ถ้าหากว่าท่านตั้งเป้าหมายผิด ก็เหมือนกับบุคคลที่กลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก มีโอกาสที่จะกลัดกระดุมนั้นผิดทั้งแถว ก็คือผิดพลาดตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ก็ย่อมพาให้เดินทางผิดพลาดไปตลอดทาง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ท่านที่มาสอบถามนั้น ต้องถือว่ายังเป็นบุคคลที่สั่งสอนได้ ก็คือเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นยังไม่รู้จริง ไม่รู้แท้ในข้อใด ก็หาบุคคลที่ตนเองมั่นใจว่ารู้มากกว่ามาสอบถาม เพื่อความกระจ่างและมาขอคำแนะนำในแนวทางการปฏิบัติ เพื่อที่ตนเองจะได้กระทำได้ถูกต้อง ถือว่าท่านสมกับเป็นกุลบุตรที่อุปสมบทมาเพื่อความหลุดพ้น ก็คือป้องกันตนเอง รักษาตนเอง ไม่ให้เดินผิดพลาด ไม่ให้ทำผิดพลาด จนกระทั่งตนเองนั้นสูญเสียอย่างมหาศาล ก็คือสูญเสียหนทางแห่งการพ้นทุกข์ไป โดยไปหลงติดอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไปหลงติดอยู่กับหน้าที่การงานของตน

    ตรงจุดนี้ท่านก็ได้สอบถามว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้กระทำหน้าที่สมควรแก่การเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?" ก็ได้เรียนถวายท่านไปว่า "บุคคลที่จะกระทำหน้าที่โดยสมบูรณ์บริบูรณ์นั้น ต้องทำตนให้เป็นเกาะ ให้เป็นฝั่งเสียก่อน จึงจะเป็นที่อาศัยของบุคคลอื่นได้"


    "ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านนั้นไม่สามารถเป็นเกาะ ไม่สามารถเป็นฝั่งให้แก่ตนเอง แล้วไปกระทำหน้าที่ ท่านจะเอาเกาะเอาฝั่งที่ไหนให้บุคคลที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารได้อาศัยพึ่งพิง" ในเมื่อได้ทำการชี้แจงแสดงเหตุไปแล้วท่านก็ลากลับไป ส่วนกระผม/อาตมภาพก็ต้องรบกับญาติโยมท่านอื่นต่อไป


    โดยเฉพาะการลงมาครั้งนี้ ทางคณะมาลัยจากฟ้าซึ่งอยู่ที่ตัวจังหวัดสงขลา ไม่ได้อยู่ที่ตัวอำเภอหาดใหญ่นั้น ได้บอกว่า "ในปัจจุบันนี้มาลัยจากฟ้านั้น เหลือริบบิ้นเท่านั้น..!" ตัวของดอกไม้ที่จะมาร้อยเป็นมาลัยก็กระจัดกระจายไป พลัดพรากไปตามอายุกาลที่มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยจนมาไม่ไหวบ้าง ล้มหายตายจากไปบ้าง จึงทำให้ปีนี้หรือว่าครั้งนี้ ไม่ได้นิมนต์กระผม/อาตมภาพไปจนถึงที่อยู่ของตน

    กระผม/อาตมภาพก็ได้บอกกล่าวปลอบใจกันไปตามเพลงว่า ถ้าหากยังไม่ล้มหายตายจากกันหมด ไม่สามารถที่จะนิมนต์ให้ไปยังสถานที่ของตนได้ เมื่อครั้งต่อ ๆ ไป ถ้ากระผม/อาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถลงมาถึงได้ ก็ให้ลูกให้หลานนำพามายังหาดใหญ่ก็แล้วกัน

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดี ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...