เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 มกราคม 2025 at 17:37.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,616
    ค่าพลัง:
    +26,476
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,616
    ค่าพลัง:
    +26,476
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่อำเภอทองผาภูมิอยู่ที่ ๑๖ องศาเซลเซียส มีญาติโยมบางท่านถามว่า "ทำไมถึงต้องบอกวันเวลา บอกสภาพอากาศซ้ำ ๆ กันทุกวัน ?" พูดง่าย ๆ ก็คืออยากจะให้เข้าเนื้อหาเรื่องเล่าไปเลย

    ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพทำอยู่นี้ อีกไม่นานก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ดังนั้น..ควรที่จะมีรายละเอียดให้อ้างอิงได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่า วันนั้นเวลานั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราทั้งหลายจะมาทำตัวเป็น "วัยรุ่นใจร้อน" จะให้เข้าเนื้อหาที่ต้องการบอกต้องการกล่าวไปเลย ในลักษณะแบบนั้น โบราณท่านใช้คำว่า "หัวมังกุท้ายมังกร" ก็คือขาด ๆ เกิน ๆ หาความพอดีไม่ได้

    ระยะนี้ก็มีญาติโยมที่ไปเที่ยวเมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่งการเดินทางของท่องเที่ยวของตนเองลงสื่อโซเชียลต่าง ๆ แล้วก็ระบุเอาไว้ว่าอากาศหนาวสุด ๆ โยมท่านหนึ่งไปเจออากาศ -๑๙ องศาเซลเซียส ที่ลานแสดงการแกะสลักน้ำแข็ง บอกว่า "ถอดถุงมือออกมาก็รู้สึกว่ามือหายไปเลย..!"

    โยมอีกท่านหนึ่งบอกว่าเจออากาศ -๒๘ องศาเซลเซียส เดินอยู่ข้างนอกไม่ถึง ๓ นาที ต้องวิ่งเข้าไปในร้านกาแฟเพื่อหาที่หลบหนาว แต่ว่าเพื่อนฝูงไข้จับไปเรียบร้อยแล้ว ต้องไปซื้อหายาในประเทศจีน เพื่อมารักษาอาการที่เหมือนกับไข้หวัด ปวดศีรษะ มีน้ำมูกไหลอยู่ตลอดเวลา ดีที่รายนี้สามารถสื่อสารภาษาจีนได้คล่องแคล่ว จึงสามารถที่จะบอกอาการและซื้อหายาที่ตนเองต้องการได้

    แต่ว่าตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยอยู่ว่า "เขาไปที่เดียวกันกับเราหรือเปล่า ?" เนื่องเพราะว่าอากาศสูงสุดที่กระผม/อาตมภาพเจอมาบนยอดเขาต้าทูติ่งจือ ก็คือ -๓๑ องศาเซลเซียส อากาศส่วนใหญ่
    เกือบทุกวันจะอยู่ที่ประมาณ -๒๓ องศาเซลเซียส..!

    โดยเฉพาะตอนที่เดินอยู่ในลานนิทรรศการแกะสลักน้ำแข็งนั้น นอกจากจะไม่รู้สึกว่าหนาวแล้ว ยังเดินจนร้อน เหงื่อเปียกหลังไปเลย..! จึงทำให้ตนเองพยายามที่จะดูว่า "เขาไปคนละปีกับเราหรือเปล่า ? ไปคนละสถานที่กับเราหรือเปล่า ?" แต่ก็ปรากฏว่าไปที่เดียวกัน ปีเดียวกัน แล้วสิ่งที่กระผม/อาตมภาพเจอมาคืออะไร ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,616
    ค่าพลัง:
    +26,476
    เมื่อนึกถึงการอนุเคราะห์สงเคราะห์ของ "ต้าเหนียง" และบริวารแล้ว จึงได้ถาม "ต้าเหนียง" ท่านว่า "ถ้าหากว่าบุคคลอื่นเรียกหา "ต้าเหนียง" และบริวารให้ช่วยเหลือ จะต้องช่วยเขาหรือไม่ ?" "ต้าเหนียง" ยิ้มแบบคนแก่ใจดี บอกว่า "ท่านต้องไม่ลืมว่า ใคร ๆ ส่วนใหญ่ก็มี "ต้าเหนียง" กันทั้งนั้น ดังนั้น..การเรียกหาคำนี้ ถ้าหากว่าไม่ใช่ลูกหลาน หรือว่าบุคคลที่มีบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์กันมาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะไปยุ่งเกี่ยวช่วยเหลือเขาได้" สรุปว่าคำว่า "ต้าเหนียง" ในที่นี้ไม่ใช่รหัสบอกฝ่าย หากแต่เป็นคำเรียกหาเฉพาะของกระผม/อาตมภาพเท่านั้น คนอื่นเรียกไปก็ไร้ประโยชน์..!

    แต่ก็ทำให้กระผม/อาตมภาพใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เนื่องเพราะว่าไปที่อื่น ๆ แล้วมาบอกกล่าวว่า เจ้าที่เจ้าทางที่ท่านสงเคราะห์เป็นใคร ? มาจากไหน ? บุคคลซึ่งไปทีหลังพอรู้เข้า ก็ไปเรียกหาท่านกันวุ่นวายไปหมด..! ประมาณว่า
    ใช้งานเขาโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าตนเองมีต้นทุนอะไรบ้าง ? จนกระทั่งเจ้าพ่อหลักเมืองสองพี่น้องของประเทศศรีลังกา ท่านต้องบอกอย่างชัดเจนว่า "ห้ามบอกชื่อของกระผมสองพี่น้องกับลูกศิษย์ของท่านเป็นอันขาด เพราะว่าลูกศิษย์ของท่านไปสร้างความวุ่นวายให้กับที่อื่นมามากแล้ว กระผมกับน้องไม่อยากเจอเรื่องแบบนั้น" ในเมื่อเป็นคำขอแบบนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องคล้อยตามท่านไป

    ในเรื่องของเจ้าที่เจ้าทางนั้น ท่านทั้งหลายไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จักชื่อเสียง รู้จักว่าท่านเป็นใคร หากท่านมี "อปจายนมัย - รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนอื่น" เสียดายว่าท่านทั้งหลายเกิดไม่ทันยุคสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ สมัยนั้นรอบบ้านเป็นป่าใหญ่ไพรกว้าง มีแต่สัตว์เสือต่าง ๆ มากมาย บุคคลจะเข้าป่า ไม่ว่าจะหาของป่า จะล่าสัตว์ หรือว่าไปตัดไม้หาหวายมาก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางทั้งสิ้น

    แม้กระทั่งพรานล่าสัตว์ เมื่อตั้งเครื่องสังเวย มีข้าวเล็กน้อย กับข้าวเล็กน้อย และเหล้าสักจอกหนึ่ง ก็ยังบอกกล่าวกับเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขาว่า "ขอสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต เพื่อให้ลูกหลานได้เอามาต่อชีวิตของตนสักตัวหนึ่ง ถ้าล่าได้แล้วก็จะกลับออกจากป่า ไม่ไปล้างผลาญชีวิตสัตว์อื่น ๆ อีก" และพรานทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นผู้ที่มีสัจจะ โดยเฉพาะในเรื่องของการทำมาหากิน พูดคำใดก็เป็นคำนั้น เขาทั้งหลายจึงสามารถเข้านอกออกในป่าใหญ่ดงทึบได้โดยไม่มีอันตรายเกิดขึ้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,616
    ค่าพลัง:
    +26,476
    บุคคลที่จะเข้าไปหาของป่าก็จุดธูปบอกกล่าวว่า "ตนเองเป็นใคร ? มาจากไหน ? ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายเข้าไปหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มา เพื่อที่จะอาศัยค้าขายเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว ขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาอนุเคราะห์สงเคราะห์ อะไรเกินจากสิ่งที่ตนเองต้องการ จะไม่นำติดตัวออกมาเลย" บุคคลที่มีสัจจะในลักษณะอย่างนี้และรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน บอกกล่าวต่อเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ก็มักจะได้รับความสะดวกปลอดภัยทั้งสิ้น

    อีกส่วนหนึ่งที่ไปล้มหายตายจากภายในป่าทึบนั้น เมื่อสอบถามบุคคลร่วมเหตุการณ์แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นประเภทผิดสัจจะ บอกว่าต้องการสัตว์ใหญ่ชนิดนี้ แต่ถึงเวลาเจอสัตว์อื่นก็ไปยิงไปฆ่า หรือว่าต้องการข้าวของชนิดนี้ เพื่อไปจำหน่ายเลี้ยงชีวิตตนเอง แต่บังเอิญไปเจอสิ่งที่มีราคาสูงกว่า ก็ไปเก็บ โดยลืมนึกถึงสัจจะของตนเอง จึงประสบอุบัติเหตุบ้าง โดนงูกัดบ้าง โดนเสือโดนหมีทำร้ายเอา บาดเจ็บสาหัสล้มตายไปบ้าง

    เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายควรที่จะสังวรระวัง ไปไหนก็บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ไม่รู้จักชื่อก็นึกถึงท่าน เรียกว่า "พ่อปู่ - แม่ย่า" ไปได้เลย เพราะว่าส่วนใหญ่อายุขัยของท่านในภพภูมินั้นเพียงวันเดียว ก็ตก ๕๐ ปีของมนุษย์แล้ว ถ้าท่านอยู่มา ๒ วัน เราเรียก "พ่อปู่ - แม่ย่า" ก็ไม่ได้เกินเลยไป ขอให้ท่านอนุโมทนาส่วนกุศลที่เราได้สร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เราได้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นชั่วครั้งชั่วคราว ขอ "พ่อปู่ - แม่ย่า" และบริวารทั้งหลาย ช่วยปกปักรักษาให้ได้รับความสุขความสะดวกสบายด้วย เหล่านี้เป็นต้น

    ถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่สร้างบ้านใหม่เรือนใหม่ โบราณเขาให้จัดพานเล็ก ๆ ใส่หมากพลูคำหนึ่ง ใส่เงินบาทหนึ่ง และดอกไม้ธูปเทียนตามแต่จะหาได้ อาศัยมุมหนึ่งของพื้นที่นั้น จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายว่า "ลูกขออาศัยพื้นที่นี้ในการตั้งบ้านสร้างเรือน ขอเชิญให้ท่านช่วยเป็นผู้ปกปักรักษาครอบครัวของลูกด้วย ถ้าหากว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่ลูกทำแล้วเป็นบุญเป็นกุศล ก็ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้อนุโมทนาโดยไม่ต้องให้เสียเวลาบอกกล่าวกัน"

    ส่วนใหญ่คนที่ทำในลักษณะอย่างนี้ก็มักจะที่จะได้รับความสุข ความสะดวกสบาย ไม่ได้ตั้งศาลเจ้าที่เสาเดียวสี่เสาอย่างไรก็อยู่เย็นเป็นสุข ส่วนเงินที่ใส่ไปในพานนั้น ส่วนใหญ่ใส่ลงไป ๑ บาท ก็มักจะนำไปสร้างกองบุญการกุศลให้กับเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายเหล่านั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,616
    ค่าพลัง:
    +26,476
    สิ่งพวกนี้เท่ากับว่าเราเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยอปจายนมัย รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งที่เรามองไม่เห็น การเชื่อถือหรือว่าไม่เชื่อถือนั้น ทำให้เรามีแต่กำไรกับเสมอตัวอย่างหนึ่ง กับเสมอตัวและขาดทุนอย่างหนึ่ง ก็คือ ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง เราก็กำไร เพราะว่าทำดีพลีถูก แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มี เราก็เสมอตัว ได้เพียงความสบายใจว่าบอกเล่าเก้าสิบกันแล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไม่ทำในลักษณะนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าไม่มี เราก็แค่เสมอตัว แต่ถ้ามีโอกาสที่พวกเราขาดทุนก็จะสูงมาก..!

    ดังนั้นเราจะเห็นว่า..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ความจริงเป็นภูมิปัญญาโบราณที่บรรพบุรุษของเราตกผลึกมา แล้วถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา เพียงแต่ว่าคนรุ่นใหม่นั้นมักจะขาดความเชื่อถือศรัทธา อะไรก็ต้องการที่จะพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกสิ่ง

    เนื่องเพราะว่าหลายอย่างนั้นต้องอาศัยใจของเรารับรู้ ถ้าหากว่าขาดศรัทธา กำลังใจไม่เปิด ก็เหมือนกับคนปิดประตูหน้าต่าง ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ว่าภายนอกมีอะไร ศรัทธาของเรายิ่งมากเท่าไร ก็เท่ากับเราเปิดประตูหน้าต่างกว้างขวางมากเท่านั้น โอกาสที่เราจะได้รู้เห็นสัมผัสสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ก็มีมากขึ้นไปยิ่ง ๆ ตามลำดับความศรัทธาของเรา

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...