เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ช่วงบ่ายที่ประชุมคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุนและเครือข่าย เพื่อติดตามงานโครงการต่าง ๆ ที่ได้ยื่นต่อสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี กระผม/อาตมภาพได้ฝากทุกคนไว้ว่า ถึงแม้จังหวัดกาญจนบุรีของเราจะเป็น ๑ ใน ๑๓ จังหวัดนำร่อง ที่ให้เลิกใส่หน้ากากอนามัยตั้งแต่เมื่อวาน คือวันที่ ๑ มิถุนายนเป็นต้นมา แต่ขอให้ทุกคนใส่หน้ากากกันต่อไป จนกว่าจะสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี ๒๕๖๖ ส่วนเหตุผลอะไรนั้น ไม่ต้องถามถึง

    ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตย้อนหลังจะเห็นว่า ช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดใหม่ ๆ แล้วทาง ศบค.ขอให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ
    กระผม/อาตมภาพไม่ได้ให้พวกเราใส่หน้ากากเลย จนกระทั่งผ่านไปถึงเดือนที่สอง ถึงได้สั่งให้พวกเราใส่ และใส่มาจนถึงทุกวันนี้

    จะเห็นว่าวัดอื่น ๆ ที่บิณฑบาตอยู่ในตลาด ไม่ว่าจะเป็นวัดทองผาภูมิ วัดเวฬุวัน วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ วัดจวบจันทร์วนาราม ติดโควิดกันหมด แต่วัดท่าขนุนของเราที่มีจำนวนพระภิกษุสามเณรมากที่สุด กลับไม่มีใครเป็นอะไรเลย

    เรื่องพวกนี้บางอย่างพูดไปก็เกินความรู้ความสามารถของคนทั่ว ๆ ไป แต่ว่าการแพร่ระบาดใหญ่ ๕ รอบที่ผ่านมา พวกเรายังรักษาตัวรอดมาได้ตลอด ก็ขอให้เชื่อกระผม/อาตมภาพอีกสักครั้งหนึ่ง ก็คือ อย่าเพิ่งทิ้งหน้ากากอนามัย เพราะว่าเท่าที่ทุกคนมีอยู่ คาดว่าพอใช้ไปเกินเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าแน่นอน ขอให้ทนใช้กันต่อไป แล้วหลังจากนั้น เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นอย่างแท้จริง ถึงเวลาก็เหมือนกับเป็นไข้หวัดใหญ่ รักษาเองโดยไม่ต้องพึ่งหมอก็ได้

    จะว่าไปแล้ว ทุกอย่างถ้าเราดำรงตนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอกาสที่จะเกิดโทษ เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามก็จะน้อยมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือพวกเรามักจะประมาท

    ถ้าหากว่าเป็นในเรื่องของเวรยามทั่ว ๆ ไป พอถึงเวลาประมาท ข้าศึกหรือขโมยขโจรก็แทรกซึมเข้ามาได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของโรคภัยแล้วประมาท เขามาตอนไหน น้อยคนที่จะรู้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ขอให้ทนลำบากกันต่อไปอีกหน่อย เพราะว่าเป็นความเคยชินไปแล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    สำหรับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทางวัดของเราก็จัดให้มีการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ์ พระบรมราชินี ก็แปลว่าวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์นี้ เราจะมีกิจกรรมปฏิบัติธรรมกันต่อไป

    ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ก็ยังมีการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราทำจนชิน ก็ย่อมส่งผลดีต่อตัวเราและคนรอบข้าง อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า ต่อให้ทำไม่จริงไม่จัง แต่ถ้ายังมีการทำอยู่บ้าง ถึงจะเดือดร้อน ก็เดือดร้อนน้อยกว่าคนอื่นเขา ถ้าคนอื่นเขาเดือดร้อน หาทางไปไม่ได้อย่างไร เราก็พอถูไถเอาตัวรอดไปได้


    แต่ถ้าท่านทั้งหลายทำจริงขนาดกระผม/อาตมภาพ ก็จะเป็นที่สบายใจได้ว่า ต่อให้ภาวะโรคระบาดและสงครามทำให้เกิดข้าวยากหมากแพง ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำขนาดไหนก็ตาม เราก็ฝ่าฟันจะไปได้

    พวกท่านจะสังเกตว่ากระผม/อาตมภาพเซ็นสัญญาสร้างตลาดชุมชนริมฝั่งแม่น้ำแควน้อยไป ๑๔ ล้าน ๕ แสนบาท ต่อด้วยสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนอีก ๑๕๕ ล้านบาท แล้วในภาวะเช่นนี้ คิดว่าคนที่ทำงานรอบคอบระดับกระผม/อาตมภาพจะทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้ไหม ?


    ถ้ากล้าทำก็แปลว่าเราต้องมั่นใจว่าจะสามารถหาเงินมาได้ เพื่อที่จะจ่ายให้แก่บรรดาผู้รับเหมาเขาทุกเดือน ซึ่งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ก็จะมีรายจ่ายเฉพาะการก่อสร้าง ๒ อย่างนี้เดือนละประมาณ ๑๐ ล้านบาท..! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย


    ดังนั้น...ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่า ถ้าเราทำถึงจริง ๆ ในเรื่องของพระคาถาเงินล้าน ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น เพียงแต่ว่าพวกเรามีกำลังใจทุ่มเทพอไหม ? ไม่ต้องถึงขนาดนอนคืนละ ๒ ชั่วโมงอย่างที่กระผม/อาตมภาพทำก็ได้ เอาแค่ภาวนาวันละ ๑๐๘ จบจริง ๆ จัง ๆ ก็พอ ถ้ากลัวว่าจะมากเกินไปก็แบ่งเป็น ๓ ช่วง เช้า - กลางวัน - เย็น ช่วงละ ๓๖ จบ ครบ ๓ ช่วงก็ได้ ๑๐๘ จบแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ลักษณะเดียวกับการแนะนำให้บรรดาผู้ที่ยังร่ำเรียนอยู่ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ แล้วก็มีพวกช่างวิตกวิจารณ์ถามว่า "ถ้าหากว่าเด็กไม่อ่านหนังสือแล้วจะไม่โง่หรือ ?" พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านตอบชัดมากว่า "ข้อสอบออกอะไรมาเด็กก็ทำได้ แล้วแบบนี้โง่ไหม ?"

    ในเรื่องของพระคาถาเงินล้านก็เหมือนกัน ในเมื่อทำแล้ว มีความคล่องตัวในชีวิตทุกอย่าง แล้วท่านทั้งหลายไม่คิดที่จะลงทุนทำ ก็ถือว่าสร้างกรรมเอาไว้เยอะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นประเภทซาโดมาโซคิสม์ ชมชอบความเจ็บปวด ต้องให้ยากลำบากประมาณเบ้าตากระเด็น ถึงจะสะใจตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแล้วแต่รสนิยมประจำตัวของท่านไป

    ตัวอย่างที่ชัดเจนมี เราไม่เลียนแบบและทำตาม ก็ถือว่าเป็นเรื่องของบุคคลที่เบาปัญญามาก ถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ก็ประมาณว่าเข็นไม่ไหว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบุคคลที่เป็นอุคฆฏิตัญญูหรือวิปจิตัญญูนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำไปพระนิพพานเกือบหมดแล้ว

    ส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ก็มักจะเป็นพวกเนยยะ ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะกันอยู่ทุกวัน หรือไม่ก็เป็นพวกเก่งเกิน ประเภทปทปรมะ ขอยืนยันว่าปทปรมะไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนที่ฉลาดเกินไปจนไม่ยอมรับความคิดคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้วอยู่เสมอ ต่อให้ยื่นของดีไปขนาดไหน ก็ประมาณวานรได้แก้ว ไม่รู้จะใช้ประโยชน์อะไร เพราะว่าเห็นผลไม้ในมือของตัวเองมีราคามากกว่า

    ถ้าว่ากันตามรากศัพท์ ปทปรมะ คือ ผู้มากด้วยบทบาท มีข้ออ้างได้เสมอ อย่างที่ว่า อ้างว่าหิวนัก อ้างว่ากระหายนัก อ้างว่าสายเสียแล้ว อ้างว่ายังเช้าอยู่ ฟังดูแล้วไปตรงกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลที่หลงอยู่ในอบายมุขเลย ก็คือเกียจคร้านการทำงาน คือตอนนี้ยังหิวอยู่ ไม่มีแรงทำ ตอนนี้กระหายมากเลย ถ้าได้สตาร์บัคส์หรือชานมสักแก้วถึงจะพอมีแรง ตอนนี้ยังเช้าเกินไป จะรีบไปไหน นี่ก็สายเกินไป จะฉันเพลแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มีความสุขความเจริญกันไปถ้วนหน้า เพราะว่าชีวิตนี้ก็คงจะเอาดีไม่ได้..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ความจริงวันนี้ไม่ได้คิดจะพูดเรื่องนี้ แต่ยาวมาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ต้องบอกว่า ถ้าหากว่า "สิ้นสติ" เมื่อไรก็จะออกอาการแบบนี้เสมอ

    เพียงแต่ว่าช่วงหลายวันนี้ที่เราปฏิบัติธรรมอยู่ ระยะเวลาก็ไม่ได้มากมาย เพราะว่าพรุ่งนี้ถ้างานที่อำเภอเสร็จเร็ว ก็คงจะเปิดปฏิบัติธรรมตามเวลาปกติ แต่ถ้าหากว่าเสร็จช้าก็อาจจะล่าช้าลงไปหน่อย แต่กระผม/อาตมภาพก็คงจะไม่ได้บิณฑบาต เพราะว่าเขานัดพร้อมกัน ๗ โมง ๑๕ นาที ถ้ามีอะไรช้าแม้แต่นิดเดียวแล้วกลับมาไม่ทัน ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงคนอื่นเขา

    แต่ว่าเท่าที่สังเกตดู แม้ว่ากระผม/อาตมภาพจะสายขนาดไหนก็ตาม ก็มักจะต้องไปรอคนอื่นอยู่ดี เพราะว่ามักจะมีคนที่สายกว่า จะว่าไปแล้ว บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นคนที่มีเวลามาก ก็คือต้องเกิดอีกมาก จึงรู้สึกว่าตัวเองมีเวลาเหลือเฟือ ส่วนกระผม/อาตมภาพเป็นคนมีเวลาน้อย มีอะไรก็ต้องรีบทำ เพราะไม่รู้ชีวิตจะสิ้นลงไปในวันนี้หรือเปล่า

    ในเมื่อความคิดและการกระทำไปคนละแนวทางกัน บางทีก็ไปด้วยกันยาก ยกเว้นอย่างเดียวก็คือวางอุเบกขา ทางใครทางมัน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ แม้กระทั่งการภาวนาคาถาเงินล้านก็ภาวนาแทนกันไม่ได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...