เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 29 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพมีรายจ่ายใหญ่ ๆ เล็ก ๆ หลายอย่างด้วยกัน แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่จำเป็น อย่างเช่นว่า เงินงบประมาณตามโครงการสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดท่าขนุน หรือว่าแม้กระทั่งการจ่ายค่าเทอมให้กับนิสิต ประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ห้องเรียนวัดปรังกาสี

    หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องไปจ่ายให้กับเขาด้วย ? เนื่องเพราะว่าวัดปรังกาสีของพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เปิดห้องเรียนขึ้นมาเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์บรรดานิสิตที่อยากเรียนแต่ไม่มีเวลาเดินทาง คราวนี้การเปิดห้องเรียนขึ้นมา ผลงานก็เป็นของหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอ ทำไมกระผม/อาตมภาพต้องไปจ่ายค่าเรียนให้เขา ? ก็คือถ้าคิดได้แค่นี้ก็จบ..ไม่ต้องคุยเรื่องอื่นกันต่อไป..!

    ถ้าทุกท่านสังเกต จะเห็นว่าต่อให้เป็นการเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ก็ตาม ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรของทางอำเภอทองผาภูมิทุกรูป กระผม/อาตมภาพก็จ่ายค่าเดินทางให้รูปละ ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือน

    เนื่องเพราะว่าถ้าโดยหน้าที่แล้ว ในฐานะผู้บังคับบัญชาหรือว่าในฐานะพระอุปัชฌาย์ ระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องสนับสนุนเรื่องการศึกษาของพระภิกษุสามเณร และถ้าหากว่าโดยจิตสำนึกทั่วไป กระผม/อาตมภาพเองอยากเรียนแต่ไม่มีโอกาสเรียน เพราะว่าทางบ้านฐานะยากจน ในเมื่อเรามีโอกาสแล้ว สามารถช่วยคนอื่นได้ก็ควรที่จะช่วย

    เพราะว่าสิ่งที่สำคัญก็คือ เป็นแบบอย่างให้กับคณะสงฆ์อำเภออื่น ๆ เผื่อว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงเห็นควร ก็จะได้ช่วยในเรื่องของการเรียนการศึกษาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองบ้าง หรือว่าเมื่อพระภิกษุสามเณรท่านเรียนจบมาแล้ว ก็มาช่วยกันสร้างความเจริญให้กับคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิของเราเอง

    ดังที่ท่านทั้งหลายจะเห็นอยู่แล้วว่า ปัจจุบันนี้กองงานเลขานุการคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ แทบจะเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทั้งหมดแล้ว ทำให้เรื่องของงานเลขานุการสะดวกขึ้น เพราะว่าทุกคนเรียนมาเหมือนกัน มีความผูกพันกันในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น หรือว่าเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง ถึงเวลาการทำงานก็สามารถที่จะประกอบกันขึ้นมาเป็นทีมงานที่เข้มแข็งได้

    ทุกท่านจะเห็นว่า เมื่อถึงเวลาที่ทางจังหวัดหรือว่าทางภาคทวงงานมา อำเภอทองผาภูมิของเราไม่เคยมีปัญหาให้ต้องทวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเรื่องของการศึกษาคณะสงฆ์จึงเป็นเรื่องที่ใครที่พอมีความสามารถ ก็ควรที่จะสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นธรรมทานซ้อนธรรมทาน ก็คือเราได้อานิสงส์ธรรมทานในการส่งเสริมการศึกษา เมื่อพระภิกษุสามเณรมีความรู้ นำไปเผยแผ่ต่อ อานิสงส์ธรรมทานของท่านส่วนหนึ่งก็เท่ากับเป็นของเราไปด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกเรื่องหนึ่งที่จะกล่าวถึงก็คือ วันนี้กระผม/อาตมภาพได้ตรวจงานเกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดียในพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน ซึ่งกระผม/อาตมภาพย้ำแล้วย้ำอีกว่า พิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนไม่ใช่พิพิธภัณฑ์วางสิ่งของ หากแต่เป็นพิพิธภัณฑ์ แสง สี เสียง เป็นการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการที่จะสื่อให้บุคคลเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของพุทธประวัติก็ดี เกี่ยวกับงานที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจมาตลอด ๗๐ ปีครองราชย์ หรือว่าเกี่ยวกับประวัติของครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่สายก็ตาม

    แต่คราวนี้ในส่วนของการทำความดีความชั่ว แล้วเราจะต้องไปเกิดใน ๓๑ ภพภูมิ ตามบุญตามบาปที่เราทำ แม้ว่าจะมีแค่บางส่วน แต่กระผม/อาตมภาพก็ได้ทักท้วงไปแล้ว อย่างเช่นว่าพุทธประวัติตอนตรัสรู้ ขาดในส่วนของโสตถิยพราหมณ์ถวายหญ้าคา ๘ กำแก่มหาบุรุษ หญ้าคา ๘ กำนี้เมื่อปูลาดลงเป็นอาสนะ ปรากฏเป็นรัตนบัลลังก์ตามบารมีของพระมหาโพธิสัตว์ กลายเป็นข้ออ้างที่พญามารมาแย่งชิง ขับไล่เจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งตอนนั้นก็คือนักบวช เพราะว่าไม่ต้องการให้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    เมื่อพระองค์ท่านนั่งลงไป ก็ทรงอธิษฐานว่า
    แม้เลือดเนื้อร่างกายนี้จะเหือดแห้งไปก็ตามที ถึงชีวิตินทรีย์นี้จะตักษัยลงไปก็ตาม ถ้าไม่สามารถบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ พระองค์ท่านจะไม่ทำลายซึ่งบัลลังก์นี้ ก็คือจะไม่ลุกขึ้น

    นี่เป็นส่วนสำคัญที่สุดในพุทธประวัติที่ขาดไม่ได้ เพราะว่าทั้งสัจจบารมีและอธิษฐานบารมีแบบนี้แหละ ที่เราท่านทั้งหลายควรจะเลียนแบบและทำตาม พูดง่าย ๆ ก็คือปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา แบบเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่ลำบากนิดก็ถอย ลำบากหน่อยก็ไม่เอา

    เราจะได้เห็นตัวอย่างอย่างชัดเจนว่าองค์สมเด็จพระบรมครูของเรา ทรงตั้งกำลังพระทัยไว้อย่างไร จึงสามารถที่จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ เป็นสิ่งที่พวกเรา ถ้าอยากจะบรรลุมรรคผลกับเขาบ้าง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลียนแบบและทำตาม

    ส่วนอื่น ๆ นั้น บางส่วนกระผม/อาตมภาพก็ต้องอะลุ้มอล่วยตามที่เขาทำสื่อมา อย่างเช่นในส่วนของยันตปาสาณนรก เขาทำเป็นรูปภูเขาบีบเข้าหากัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะว่าของจริงนั้นเป็นภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาไล่ทับสัตว์นรก จากเหนือไปใต้ จากตะวันออกไปตะวันตก จากใต้มาเหนือ จากตะวันตกไปตะวันออก หมุนวนกันไม่รู้จักจบจักสิ้น

    พอกลิ้งผ่านไปแล้ว ลมกัมมัชวาตพัดมา สัตว์นรกก็ฟื้นคืนมา แล้วโดนไล่ทับต่อไป นรกขุมนี้เหมาะสำหรับนักคอรัปชั่น ลงไปถ้าเจอหน้าคุ้น ๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจ แต่คราวนี้จะให้คนที่ลงไปแล้วเห็นได้ชัดเจน มาบอกให้เขาสร้างสื่อแบบนั้น ก็เป็นเรื่องยาก จึงจำเป็นที่จะต้องอะลุ้มอล่วยตามที่เขาทำมาได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    หรือว่าอย่างเทวสภา เขาทำมาเป็นอาคารสามยอด คล้าย ๆ กับวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรของวัดท่าซุง นั่นก็ไม่ใช่อีก เพราะว่าเทวสภาหลังเดียวมียอดเป็นพัน สร้างกันไม่หวาดไม่ไหว จึงเอาแค่นั้นแหละ..พอแล้ว

    หรือว่าจุฬามณีเจดียสถาน สร้างเป็นเจดีย์ทองขึ้นมา จุฬามณีเจดียสถานเป็นเจดีย์แก้วอินทนิล แถมยังมีธงชัยอยู่บนยอดด้วย อันนี้เป็นเจดีย์ทองล้วน ๆ ก็คือถ้าไม่รู้ก็ไม่เครียด..ว่าอย่างนั้นเถอะ รู้มากเกินไปก็ไม่ค่อยดี

    อีกส่วนหนึ่งก็คือสภาวะพระนิพพาน การที่เราสร้างพระแก้วประจำพิพิธภัณฑ์ แล้วมีรูปพระวิสุทธิเทพประกอบอีกอย่างน้อย ๘๐ องค์ เพื่อแทนอสีติมหาสาวก เขาจะต้องสร้างเอาไว้ในห้องกระจก คราวนี้กระจกที่เขานำมานั้น กระผม/อาตมภาพดูแล้วอย่างไรก็ใช้ไม่ได้ แต่ก็ต้องอะลุ้มอล่วยตามไป เพราะว่าสภาวะพระนิพพาน สะอาด สว่าง สงบ ทุกมุมล้วนแล้วแต่สว่างรุ่งเรืองไปหมด

    แต่พอเรามองผ่านกระจก กลายเป็นว่ามีเงามืดเงามัว ก็ต้องบอกว่า เทคนิคทำได้ดีแค่ไหนก็คงต้องเอาแค่นั้น เพราะว่าแค่สภาวะพระนิพพานเขาก็เถียงกันจะเป็นจะตายแล้ว ว่านิพพานสูญบ้าง นิพพานไม่ได้มีสภาพเป็นรูปบ้าง ก็ปล่อยให้พวกนักวิชาการเขาเถียงกันไป

    อีกส่วนหนึ่ง ถ้าเกี่ยวภับภพภูมิของเทวดานางฟ้า ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน กระผม/อาตมภาพในฐานะคนที่เห็นนางฟ้ามาก่อน ขอบอกว่านางฟ้าปลายแถว ประมาณคนรับใช้ สวยกว่านางงามจักรวาลบ้านเราเยอะเลย แต่คราวนี้ถ้าใช้คำว่าสวยก็ไม่ได้ สวยหรือว่าน่ารักมันใช้ได้แต่โลกมนุษย์ ของเทวดานางฟ้าต้องใช้คำว่างาม งามด้วยบุญ งามด้วยบารมี ยิ่งชั้นสูงเท่าไร ก็ยิ่งงามมากเท่านั้น

    แต่เป็นความสวยที่ต้องเรียกว่าเป็นบุญราศี เป็นความสวยที่
    ด้วยกำลังใจคนทั่ว ๆ ไปของคนเรา ไม่คิดที่อยากจะกล้ำกลาย ประมาณว่าถ้าผู้หญิงสวยตรงหน้า ผู้ชายอาจจะเกิดความใคร่ เกิดกามารมณ์ขึ้นมาได้ แต่ของเทวดานางฟ้าไม่ใช่อย่างนั้น เราอาจจะมัวแต่ตกตะลึงในสง่าราศีของท่าน จนลืมทุกเรื่องไปหมดเลย..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เรื่องพวกนี้คุยไปก็เท่านั้นแหละ กระผม/อาตมภาพก็อาจจะบ้า บ่นเพ้อไปอยู่คนเดียว รอพวกท่านทั้งหลายไปเจอเอาตอนตาย หรือไม่ก็ใครมีความสามารถที่จะตะกายขึ้นไปได้ตอนเป็น ๆ แล้วค่อยมาคุยกัน เพราะว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าไม่มีพยาน พระองค์ท่านก็ยังไม่ตรัสเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ยังดีที่ลูกศิษย์สายวัดท่าขนุนหลายคนยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ว่าหลายคนก็ติดอุปาทานมากเกินไป ในเมื่อไปคิดว่า คาดว่าจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาท่านก็ไม่เป็นให้ตามนั้น

    กระผม/อาตมภาพขึ้นไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ครั้งแรก ไม่เจอพระอินทร์ เจอแต่ลุงกำนันอ้วนพุงปลิ้น นุ่งกางเกงขาสามส่วน มีผ้าขาวม้าคาดพุงผืนหนึ่ง พาดไหล่ผืนหนึ่ง แถมสูบบุหรี่มวนโตเกือบเท่าท่อนแขน..! ไปนั่งมองงง ๆ ว่า "นี่หรือพระอินทร์ ?" จากท่าที่ท่านนั่งเอนพิงหมอนขวางอยู่ ท่านก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ถามว่า "แกอยากเห็นแบบไหน ?" ภายในพริบตาเดียว ท่านเปลี่ยนให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบ แล้วท้ายที่สุดก็คือแบบที่เราคิดว่าใช่ ก็คือแต่งตัวเหมือนลิเก แล้วก็ต้องตัวเขียว ๆ ด้วย

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ แต่ละคนที่ไปเห็นมา ถ้าบอกกล่าวต่างกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าท่านสามารถทำให้เห็นได้แบบนั้น เพียงแต่ว่าส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ เราทำอารมณ์อย่างไรให้สามารถรู้เห็นได้ชัดเจน และถูกต้องตามความเป็นจริง ส่วนนั้นนักฝึกมโนมยิทธิทุกคนจำเป็นที่จะต้องจดจำ แล้วรักษาอารมณ์ช่วงนั้นเอาไว้ให้ได้ ถ้าจำได้เมื่อไรก็ทำถูกเมื่อนั้น

    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า มโนมยิทธินั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนแต่คนฉลาดเท่านั้น และต้องเป็นคนฉลาดแบบโง่ ๆ ด้วย..! ก็คือบอกอย่างไรให้ทำตามอย่างเดียว พวกคิดมากเมื่อไรก็โดนหลอกหัวทิ่มหัวตำเมื่อนั้น..!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้พูดไปก็เหนื่อย เอาไว้ถึงเวลาพิพิธภัณฑ์ของเราเสร็จแล้ว คนอาจจะชื่นชมว่าสวยอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่กระผม/อาตมภาพก็คงนั่งถอนใจว่า "คงจะทำได้แค่นี้แหละ..!" ได้สัก ๒ - ๓ เปอร์เซ็นต์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...