เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ (รอบปกติ)

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 พฤษภาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ (รอบปกติ)


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ถือว่าเป็นบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนรอบปกติ แต่เป็นรอบที่สองของวันนี้

    เพราะว่าเมื่อเช้าด้วยความเสียดายในบางสิ่งบางอย่างที่ได้พูด ได้บอก ได้กล่าวเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น จึงอยากจะที่จะให้ญาติโยมที่อยู่ทางบ้าน โดยเฉพาะที่อยู่ต่างประเทศได้รับฟังด้วย แต่คราวนี้บางทีท่านทั้งหลายก็ตั้งความหวังสูงจนเกินไป คือการจะกอบโกยเอาเพชรเอาพลอย เอาเงินเอาทองอยู่ทุกวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้

    การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการกินอาหาร มากเกินไปก็ย่อยไม่ทัน จึงต้องมีจังหวะ มีเวลาในการผ่อนบ้าง ในการเร่งบ้าง ตามแต่สถานการณ์ตรงหน้า แต่ว่าหลังจากการปฏิบัติธรรมแล้ว ที่เหลือก็คือ "หากินกันเอง"

    ก็แปลว่าให้ไปลองดูว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพได้สอนไปนั้น จะทำเองได้สักเท่าไร ? ไม่ใช่รอแต่ให้ลากให้จูงไปอย่างเดียว ซึ่งถ้ากระผม/อาตมภาพรอให้ลากรอให้จูงอย่างเดียว ชาตินี้ย่อมไม่มีทางมานั่งอยู่ตรงนี้ได้..!

    เพราะว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้น งานท่านมากกว่ากระผม/อาตมภาพหลายเท่า เฉพาะวัดที่ท่านให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ดูแลอยู่ก็ตั้ง ๔๓ วัด ของกระผมอาตมภาพเองยังดูแลตามหน้าที่รองเจ้าคณะอำเภอ ก็แค่เขต ๒ ตำบล ตีเสียว่า ๑๐ วัด ถ้าดูแลตามที่มีคนของเราไปเป็นเจ้าอาวาสอีก ๑๑ วัด รวมแล้วก็เพิ่งจะ ๒๑ วัด ขนาดนั้นยังแทบจะหาเวลาไม่ได้แล้ว

    แล้วส่วนหนึ่งที่บรรดาพระพี่พระน้อง ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายในยุคนั้นประมาท ก็เพราะไปคิดเอาเองว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะอยู่ถึงอายุ ๑๒๐ ปี..! ซึ่งเรื่องนี้ถ้าหากว่าสภาพร่างกายไปไม่ได้ ก็ไม่มีใครเขาอยากจะอยู่กัน เพราะว่าการทำหน้าที่ในความเป็นทิพย์ง่ายกว่าด้วยประการทั้งปวง ไม่ต้องแบกสังขารที่เต็มไปด้วยทุกข์โทษเวรภัยอยู่แบบนี้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    กระผม/อาตมภาพเองไม่เคยคิดเลยว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะอยู่ได้ถึงพรุ่งนี้ จึงได้ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้น อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า อย่างเก่งก็นอนคืนละ ๒ ชั่วโมง ถ้าเสียดายเวลาปฏิบัติธรรม บางทีก็ไม่นอนเลย

    ถ้าดินฟ้าอากาศผิดปกติ ฟ้าฝนคะนอง กระผม/อาตมภาพจะลุกขึ้นนั่งกรรมฐานดูทันทีว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไปหรือยัง ? กระผม/อาตมภาพจึงเป็นคนเดียวที่ยืนยันว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง มรณภาพวันที่ ๒๘ ตุลาคม ไม่ใช่ ๓๐ ตุลาคมอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน

    เหมือนกับรถที่เครื่องยนต์ดับ ก็คือดับตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม แต่แรงเฉื่อยที่รถวิ่งมาด้วยความเร็ว ก็ทำให้รถสามารถไหลไปได้อีกระยะหนึ่ง หมอถึงได้ประกาศว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมรณภาพวันที่ ๓๐ ตุลาคม

    แต่เรื่องนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงกัน เพราะว่าผลก็เหมือนกัน คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว โดยที่ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ยังเอาดีไม่ได้ เพราะว่าประมาท ตรงนี้จึงขอตักเตือนท่านทั้งหลายว่า ถ้ายังประมาทกันอยู่อีก พวกเราก็จะเอาดีไม่ได้เหมือนกัน


    แต่คราวนี้การ "เอาดี" ไม่ใช่การ "อยากดี" กระผม/อาตมภาพเห็นพระภิกษุสามเณรสมัยนี้แล้วบางทีก็ถอนใจ เพิ่งจะบวชเท่านั้นก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์ขลังแล้ว..!


    สมัยที่กระผมอาตมภาพบวชใหม่ ๆ ได้ทำหน้าที่ต้อนรับพระอาคันตุกะอยู่ที่วัดท่าซุง ต้องประจำอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร ปรากฏว่ามีพระอาคันตุกะแบกกลด สะพายบาตร จีวรลากพื้นไปครึ่งผืน มาขอที่พัก กระผม/อาตมภาพบอกว่า "คุณ...ห่มผ้าให้ดีเสียก่อน" ท่านบอกว่า "รบกวนหลวงพี่ห่มให้ผมหน่อยครับ ผมเพิ่งจะบวชวันนี้ บวชเสร็จออกจากโบสถ์มา ผมก็ธุดงค์เลย..!"

    ไอ้พวกกลัวว่าประวัติจะไม่สวย..! โดยที่ไม่รู้ว่าการที่ตนเองบวชแล้ว อยากให้ประวัติสวย รีบออกธุดงค์นั้น ก็คือการแบกอาบัติติดตัวอยู่ทุกวัน เพราะว่ายังเป็นพระใหม่ ไม่ได้นิสัยมุตกะ ยังต้องอยู่ในการดูแลของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ แต่ด้วยความที่ใจร้อน ใจเร็ว เผื่อดังแล้วประวัติจะได้สวย กูก็ออกธุดงค์ตั้งแต่ออกจากโบสถ์เลย ไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าธุดงค์นั้นคืออะไร ?!!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    แล้วการแบกอาบัติติดตัวไปตลอดเวลา เพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ยังไม่ให้นิสัยมุตกะ ยังไม่ให้การพ้นจากการปกครอง ก็เท่ากับว่าเราผิดศีลอยู่ทุกวัน ดังนั้น...ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ที่วัดท่าขนุนนี่ถ้าไม่ได้ ๕ พรรษาไปแล้ว กระผม/อาตมภาพจะไม่ปล่อยให้ไปอยู่ที่อื่น ยกเว้นว่าสถานที่นั้นเป็นสาขาเดียวกัน และมีพระภิกษุที่พ้นจาก ๕ พรรษาไปแล้วดูแลอยู่ พอที่จะช่วยอบรมสั่งสอนได้ กระผม/อาตมภาพถึงจะให้ไปอยู่ที่นั่น แต่ไม่ให้ไปอยู่ที่อื่นไกลเกินกว่านั้น

    บางท่านก็ว่ากระผม/อาตมภาพโหดจนเกินไป เพราะว่าส่วนหนึ่งท่านทั้งหลายก็เรียนมาสูง มีตำแหน่ง
    หน้าที่การงานสูง มีความมั่นใจตัวเองมาก กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าเรื่องทางโลกเอามาใช้กับเรื่องทางธรรมไม่ได้

    เนื่องเพราะว่าพระธรรมวินัย คือสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้นกับหมู่สงฆ์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึงต้องสำรวมระวัง และระมัดระวังเป็นอย่างสูง อย่าได้เห็นศีลเป็นของเล่น

    จะอาบัติเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ก็คือการที่เราล่วงละเมิดศีล แล้วกิเลสนั้นมีมายามาก เมื่อถึงเวลาก็จะมีช่องอ้างได้ว่า "คราวที่แล้วยังได้เลย" แล้วเราเองก็จะตกอยู่ในสภาพ "ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้" เพราะว่าไปเปิดช่องให้กับกิเลสก่อน

    ยิ่งครูบาอาจารย์สมัยนี้บวชเพื่อที่จะเอาซองปัจจัยอย่างเดียวมีมาก ก็จะยิ่งทำให้พระภิกษุสามเณรรุ่นหลัง ๆ น่าสงสารมาก เพราะว่าหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ตั้งหน้าตั้งตาอบรมจริง ๆ ไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็กลัวว่า ถ้าหากว่าดุมากเกินไป เดี๋ยวจะไม่มีใครอยู่ด้วย

    ซึ่งตรงนี้สมัยที่พระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทโธ ป.ธ. ๔) ท่านยังเป็นพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้ตักเตือนกระผม/อาตมภาพว่า "อาจารย์เล็ก ถ้าระเบียบโหดแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้อยู่คนเดียว" แล้วท่านทั้งหลายเคยเห็นกระผม/อาตมภาพอยู่คนเดียวไหม ?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เพราะว่าคนเราต้องใฝ่ดี ปรารถนาดี ถึงจะเข้ามาบวชแบบจริงจัง บวชแบบจะหวังเอาความดีใส่ตัว ก็ย่อมต้องแสวงหาสถานที่ซึ่งคิดว่าสามารถทำให้ตนเอาดีได้อย่างที่หวัง

    ทุกวันนี้พระเถระในกรุงเทพฯ พอได้ยินว่าวัดท่าขนุนมีพระอยู่ ๓๐-๔๐ รูป ส่วนใหญ่ตกใจกันทั้งนั้น เพราะว่าต่างจังหวัดไกล ๆ โดยเฉพาะติดชายแดนพม่าอย่างของพวกเรา ส่วนใหญ่ออกพรรษาแล้วก็เหลือแค่เจ้าอาวาสรูปเดียว หรือไม่ก็เหลือแค่เจ้าอาวาสอยู่กับสามเณรอีกหนึ่งรูป หรือบางทีก็หนักกว่านั้นอีก เป็นเจ้าคณะตำบลแต่ว่าอยู่แค่รูปเดียว ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ปกครองวัดอย่างน้อยก็ ๕ วัดในเขตนั้น แต่หาคนอยู่ด้วยไม่ได้ ทองผาภูมิของเราเคยมีมาแล้ว..!

    ในเมื่อเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ การที่เราเข้มงวดกับตัวเองนั้น จะช่วยให้เราสามารถกอบโกยความดีใส่ตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


    ซึ่งเป็นสิ่งที่พระใหม่ทั้งหมดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบทำเอาไว้ เพราะว่าถ้างานมาถึงเมื่อไร ถ้ากำลังใจของเรายังไม่มั่นคง โอกาสที่จะพังกลางคันมีสูงมาก แต่ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามั่นคงแล้ว งานหนักแค่ไหนก็สู้ได้ แล้วก็อย่าไปอ้างว่า วัดโน้นไม่เห็นโหดอย่างนี้ วัดนี้ไม่เห็นเข้มงวดอย่างนั้น ถ้าคุณเจอประสบการณ์เดียวกับ
    กระผม/อาตมภาพแล้วถึงจะซาบซึ้ง

    ก็คือเมื่อพระวัดหนึ่งเดินบิณฑบาตผ่านมา โยมที่อุ้มขันข้าวอยู่รีบหันหลังให้ รอจนกระผม/อาตมภาพเดินไป ถึงหันกลับมาใส่บาตร ถ้าเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น ต้องบอกว่าอับอายขายหน้าไป ๓ โลก..! ทำอย่างไรโยมถึงไม่ยอมใส่บาตรให้ฉัน ? อย่าไปคิดว่าสมัยนี้สามารถใช้แอพฯ สั่งอาหารได้ ไอ้นั่นมักง่าย..!

    พระพุทธเจ้าท่านให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์หรือว่าพระคู่สวดบอกตั้งแต่วันบวชว่า ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตอย่างหนึ่งคือการเที่ยวบิณฑบาต ไม่ได้บอกให้ไปซื้อกิน ก็สำคัญอยู่ที่ว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์จะสอน จะสั่ง จะเข้มงวดกับพวกเราหรือเปล่า ?


    แล้วขณะเดียวกัน พวกเราคิดจะเอาดีหรือไม่ ? ถ้าไม่เอาดี ต่อให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ปากเปียกปากแฉะ พูดจนปากฉีกถึงหู ก็เอาดีไม่ได้ เพราะไม่คิดที่จะทำอยู่แล้ว
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,582
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องสังวรระวังกันเอง โดยเฉพาะญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรม อย่างที่พูดไปเมื่อเช้าว่า ตี ๓ ครึ่ง ตี ๔ พระอาจารย์นำปฏิบัติธรรม อยากจะไปพระนิพพานเดี๋ยวนั้นเลย ปรากฏว่า ๖ โมงเช้าโผล่ไปตลาด ความตั้งใจหายเกลี้ยง..ขอช็อปปิ้งก่อน..! เห็นหรือยังว่ากิเลสมีอำนาจมากแค่ไหน ?

    เราเคยชินกับฝ่ายต่ำมามากกว่า จึงต้องระมัดระวังและเพียรพยายามที่จะตะกายขึ้นที่สูงให้ได้ อย่างน้อย ๆ ถ้าเข้าถึงมรรคถึงผลไม่ได้ ก็ให้ทางในการเวียนว่ายตายเกิด สั้นลงมากที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ ถ้าไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องทรงฌาน ทรงสมาบัติให้ได้

    ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็กลายเป็นหัวขโมย ก็คือญาติโยมเขาทำบุญใส่บาตร ด้วยหวังความดีจากเรา แต่เราไม่มีความดีให้ กลายเป็นหัวขโมย กอบโกยปัจจัย ๔ จากญาติโยมมาบำรุงบำเรอตัวเอง โดยที่ไม่มีอะไรตอบแทนเลย ถ้าหากว่าเป็นตามภาษาบาลีก็คือ อิณบริโภค การกินแบบเป็นหนี้ ถ้าหนี้สินล้นพ้นตัวเมื่อไรก็ล้มละลาย..!

    ขอให้พวกท่านทั้งหลายมั่นใจว่าพระธรรมวินัยนี้เปรียบเหมือนคลื่น อะไรที่เป็นของสกปรก ไม่ช้าก็เร็วจะโดนซัดขึ้นฝั่ง ไม่มีทางที่จะอยู่ในทะเลแห่งธรรมะที่แท้จริงได้

    วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (รอบปกติ)
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...