เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พระราชพรหมยานสนทนากับเจ้ายี่พระยา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พระราชพรหมยานสนทนากับเจ้ายี่พระยา
    [​IMG]
    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ก็มาคุยกันเรื่องผีตามเดิม ความจริงก็หลายปีมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องผีนี้เขาไม่ค่อยจะเชื่อกันนัก แต่ว่าคนที่ไม่เชื่อว่ามีผีแต่ว่ากลัวผีนี่มันก็มีอยู่มาก เรื่องผีนี้เขาไม่ค่อยจะเชื่อกันนัก แต่ว่าคนที่ไม่เชื่อว่ามีผีแต่ว่ากลัวผีนี่มันก็มีอยู่มาก มันก็เป็นเรื่องแปลก สำหรับเรื่องนี้เป็นของธรรมดาของคน เพราะคนนี่แปลว่ายุ่ง ถ้าหากว่าจะเชื่ออะไรหรือไม่เชื่อก็ตาม มักจะไม่ค้นคว้าหาความเป็นจริง สร้างความยุ่งให้แก่ใจ ท่านจึงเรียกกันว่าคนวันนี้ คนพูดก็คนเหมือนกัน แล้วก็คนจอมยุ่งเหมือนกัน แต่ว่ายุ่งแปลก คือว่าถ้าสงสัยอะไรก็พยายามค้นคว้าหาความเป็นจริง หาให้พบให้ได้ ถ้าไม่พบไม่ยอมเลิก นี่ก็ยุ่งอีกเหมือนกัน ยุ่งหา ยุ่งค้น ค้นไปค้นมาก็เลยดันค้นไปเจอะผีเข้า คราวนี้ก็ยุ่งอีก ยุ่งตรงไหน ยุ่งที่ต้องมาเล่าให้ชาวบ้านฟัง ก็มีท่านพลตรี ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ ปัจจุบันเป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ คนนี้ก็คนอีกเหมือนกัน พอเล่าให้ท่านฟังแล้ว ท่านก็จำหัวข้อต่างๆ ได้ ท่านก็สร้างความยุ่ง หมายความว่ามาให้คนพูดยุ่ง รวมความว่าต่างคนต่างยุ่ง ก็ดีเหมือนกัน เรียกกันว่าพวกเราเป็นบริษัทยุ่ง วันนี้ก็เลยมายุ่งเรื่องผีต่อไป
    สำหรับผีวันนี้ จะเอาเรื่องผีท่านผู้ทรงศักดิ์สักหน่อยมาเล่าสู่กันฟัง คือ ผีเจ้ายี่ ท่านผู้ฟังเคยอ่านประวัติศาสตร์นครศรีอยุธยาบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ว่าคนที่ฟังนี่น่าสังเกตดูให้ดีแล้วจะมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีกว่าคนพูด ก็เลยไม่ต้องพูดกันละ บางทีจะไม่ต้องอ่าน เพราะว่าวิชาความรู้ของผู้ฟังทุกคนผ่นมหาวิทยาลัยมาแล้ว ผู้พูดก็ผ่านมหาวิทยาลัยเหมือนกัน หลายมหาวิทยาลัยผ่านมา แต่ไม่ได้แวะเข้าไปเรียน เดินผ่านไป ไอ้ที่เรีนจริงๆ นี่เป็นมหาวิทยาลัยศาลาวัด ก็เลยใกล้กับผีหน่อยวันนี้มาคุยกันถึงเรื่องผีเจ้ายี่ ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท เรื่องที่จะพบผีเจ้ายี่ ก็ขอพูดตอนต้นสักนิดหนึ่ง เพราะว่าก่อนที่จะไปพบเจ้ายี่ก็มีเรื่องระหว่างพระจังหวัดชัยนาทกับจังหวัดชัยนาทด้วยกัน ท่านสร้างความยุ่ง ความจริงท่านบวชพระแล้วท่านก็ไม่ละจากความเป็นคน เขาเล่าลือกันว่าพระผู้ใหญ่โกงพระผู้น้อย ทรัพย์สินวัดไหนก็ตามพอมีค่าขึ้นมา มีราคาขึ้นมา ที่มีกรุ พระในกรุของดีๆ ในกรุ พระเก่าๆ มีค่ามีราคา พระที่ท่านถือว่าตัวท่านใหญ่ แต่ความจริงไม่ใช่ตัวใหญ่ ใจใหญ่ ตำแหน่งใหญ่ ก็เลยโกงพระตำแหน่งน้อย พระตัวน้อย พระมีศักดิ์ศรีน้อย เอาเสียหลายวัด บางวัดก็ปล้ำ เขาขัดขืนไม่ปฏิบัติตามความต้องการก็ปล้ำแก้ผ้าแก้จีวรออก เอาผ้าขาวผ้าเขียวมานุ่งให้ เป็นอันถือว่าสึก แต่ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ถือว่าสึก พระองค์เดิม พระองค์นั้นมีสมณสัญญาไม่ขาด ทำยังไงก็ไม่ขาดจากความเป็นพระ นี่เรื่องราวมันมีมาอย่างนี้ เขาลือกันระหว่างนั้น ผู้พูดยังอยู่ในกรุงเทพฯ ฟังข่าวแล้วก็ทนไม่ไหว อยากจะรู้ว่าพระน่ะปฏิบัติตนเป็นยังงั้นจริงๆ รึ นักบวชจัดว่าเป็นปูชนียบุคคล ทำไมถึงทำตนเป็นโจรปล้นทรัพย์สินเขาแบบนั้น สงสัยคิดว่าข่าวนี้จะไม่จริง ครั้นเมื่อไปฟังข่าวเข้าจริงๆ พอเดินทางเข้าเขตชัยนาท ยังไม่ถึงดี นั่งไปในเรือของบริษัทสุพรรณขนส่ง คณะที่นั่งไปในเรือก็มีคนจังหวัดชัยนาทโดยสารไปด้วย เขาถามว่าจะไปไหน ก็บอกว่าจะไปจังหวัดชัยนาท เขาถามว่าทราบเรื่องราวของพระจังหวัดชัยนาทไหม ทราบเหมือนกันแต่ไม่เคยไป กำลังจะไปฟังข่าว เขาก็เลยบรรยายความตามไท้ให้ทราบ เป็นอันว่าเรื่องราวน่าฟังดี พอเดินทางมาถึงอำเภอสรรยาจังหวัดชัยนาทก็ขึ้นเรือตรงนั้น ขึ้นที่แพหน้าอำเภอ คนขายพุทราอยู่ก็เล่าเรื่องราวของพระจังหวัดชัยนาทให้ฟัง ฤดูนั้นเป็นฤดูน้ำมาก ถนนหนทางยังไม่ดี รถวิ่งไม่ได้ นั่งเรือจ้างไปอำเภอสรรค์บุรี นั่งเรือถ่อลัดทุ่ง คนถ่อเรือก็เล่าพฤติการณ์ของพระให้ฟัง เป็นอันว่าฟังแล้วทนไม่ไหว คิดว่าถ้าเป็นจริงอย่างนี้ก็ไม่น่าบูชาแล้วก็สงสัยว่าทำไมนะพระจึงทำอย่างนั้นได้ต่อมาก็ทราบเรื่องราวว่า พระที่ท่านว่าเป็นผู้ใหญ่ในจังหวัดนั้น ไม่ใช่เจ้าคณะจังหวัดนะ เวลานั้นท่านวัดสมอเป็นเจ้าคณะจังหวัดท่านไม่ได้ยุ่งด้วย แต่พระที่ยุ่งแย่งเจ้าคณะจังหวัดไปทำ ก็สงสัยอีกว่าทำมาจึงแย่งกันได้ สืบไปสืบมาฟังข่าวดู ก็ปรากฏว่าพระใหญ่ในกรุงเทพฯ สนับสนุนการกระทำของพระองค์นั้น เพราะพระองค์นั้นมีใจดี เอาพระทองคำมาให้บ้าง เอาเงินมาให้บ้าง ต้องการทรัพย์สินเท่าไรบอกไป หามาให้วิธีหามาให้ก็ไปหาพระเก่าๆ พระในกรุขายให้มา ขายได้แล้วก็เอาเงินมาให้ หรือเอาพระในกรุมาให้ตามชอบใจ อันนี้ก็เป็นข่าวเล่าลือเหมือนกัน จริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ อย่างพึ่งไปโทษท่านนัก เรื่องของข่าว เป็นอันว่าทราบได้ว่า พระที่ทำเป็นการใหญ่ โกงใครต่อใครได้ก็เพราะว่ามีพระใหญ่ในพระนคร คือกรุงเทพฯ ช่วยสนับสนุนอยู่ 2 องค์ เขาว่าอย่างนั้นนะ เป็นเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง ก็ไม่แน่นักหรอก อย่าไปเชื่อนักเลยไอ้เรื่องเล่า แต่ว่าเมื่อเข้ามาในจังหวัดชัยนาทแล้วก็พบปฏิปทาของท่านใหญ่จริงๆ เป็นอันว่าใครฟ้องร้องท่านเข้าไปในกรุงเทพฯ ท่านได้เลื่อนยศขึ้นมาทุกทีนี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ แทนที่จะมีความผิดกลับกลายเป็นคนดีไป น่าเห็นใจท่าน น่าโมทนาทีนี้มาดูความเป็นจริงที่เขาเล่าลือกันว่าวัดต่างๆ ถูกขุดกรุบ้าง แย่งทรัพย์สินบ้าง เพราะวัดมีรายได้ดี จะเข้าไปยึดอำนาจเอาทรัพย์สินส่วนนั้นๆ ถ้าเจ้าอาวาสไม่ยอมก็จับสึกจับถอดบ้าง ก็เป็นเรื่องที่เป็นความจริง คดียังคั่งค้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ฟ้องเข้าไปก็กลายเป็นเรื่องเงียบไปหมด ฟ้องร้องเข้าไปถึงกรุงเทพฯ ปรากฏว่าเรื่องนี้ไม่มี ไม่เกิดขึ้น พระองค์นั้นได้เลื่อนยศจริงๆ ในที่สุดก็ได้เลื่อนยศเป็นราชาคณะ น่าเลื่อมใสในบารมีของท่าน
    ทีนี้ เรื่องที่เดินทางมาจังหวัดชัยนาทคราวนั้น เรื่องที่กำลังพัวกันกันอยู่มากก็คือ ระหว่างพระองค์ใหญ่กับพระที่อำเภอสรรค์บุรี อำเภอสรรค์บุรีเขาเรียกกันว่าวัดศีรษะเมืองคือหัวเมือง หรือว่าวัดมหาธาตุปัจจุบัน อันนี้เดิมเป็นที่ตั้งด่าน เมืองด่านสมัยโบราณสมัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวง เมืองด่านก็มีเมืองชัยนาท เมืองสรรค์บุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองสุพรรณบุรีก็มีเจ้าอ้าย เจ้าอ้ายเป็นพระยาเป็นเจ้าเมือง เป็นนายด่าน เมืองสรรค์บุรีก็เจ้ายี่น้องชายเป็นนายด่าน เมืองชัยนาทก็เจ้าสามพระยาเป็นนายด่าน คือ ด่านกันพม่าและด่านกันสุโขทัย พอไปถึงวัดมหาธาตุหรือวัดศีรษะเมืองเดิม ก็ไปถามเจ้าอาวาสบรรดาประชาชนคนทั้งหลายเข้าทราบว่าพระขึ้นมาจากรุงเทพฯ เขาก็สนใจมานั่งคุยกันประมาณ 200 คนเศษ เล่าพฤติการณ์ให้ฟังว่าพวกเขาถูกข่มเหงอย่างไรๆ บ้าง ก็เลยบอกกับเขาว่าการมานี่ไม่มีอำนาจหน้าที่อะไร นอกจากจะมาฟังข่าวตามความเป็นจริงเมื่อได้รับข่าวแล้วก็ไม่มีอำนาจจะไปทำอะไรใครเหมือนกัน แต่พวกเขาก็บอกว่าสบายใจที่มีพระกรุงเทพฯ มารับฟังข่าวไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็ช่างเถอะ ให้ได้ระบายความเป็นจริงให้ทราบ ก็เห็นใจเขา คนที่มีความกลุ้ม คนที่มีความเดือดร้อนตานี้ เวลาบรรดาประชาชนกลับไปแล้ว เวลาเย็นแล้วสัก 5 โมงเย็น ก็ไปนั่งที่ศาลาการเปรียญของวัดมหาธาตุ มีเด็กตัวเล็กๆ ผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้างมาฝึกปั่นจักรยานกัน ขี่จักรยาน ตัวเองนั่งที่ๆ นั่งที่เขาจัดไว้ไม่ได้ ก็ยืน ยืนดูเขาปั่นกันไปปั่นกันมาในบริเวณลานวัด ก็ชอบใจ มานั่งนึกในใจเออเด็กพวกนี้มีความสามารถมากกว่าเรา อายุไม่ทันจะถึง 10 ขวบ ก็สามารถขี่จักรยานได้ ชอบใจนั่งดูเพลินไป ดูไปดูมามันก็ใกล้ค่ำ หรือค่ำแล้วก็ไม่ทราบ บรรดาเด็กทั้งหลายกลับกันหมด แต่ก็มองเห็นอากาศมันยังไม่มืด เลยนั่งอยู่คนเดียว คิดอะไรต่ออะไรเพลินไป ไปดูหลักฐานการขุดทรัพย์ของพระใหญ่โกงพระน้อย มองดูแล้วว่าวัดนี้เป็นวัดที่มีโบราณวัตถุมาก นั่งดูเพลินขณะที่นั่งดูอยู่นั่นเองก็ปรากฏผี 2 ผี แต่งตัวเป็นนายทหารโบราณทรงเครื่องเรียกว่าแต่งตัวกันเต็มยศ มีผ้ายก มีเสื้อสวยมากก็แล้วกัน แพรวพราว อีกคนหนึ่งแต่งตัวสวยน้อยลงไปนิด ท่าทางองอาจสมส่วนลักษณะเป็นคนสวย ทั้งคู่เป็นผู้ชายสวย เดินเข้ามาหา ผู้พูดกำลังนั่งอยู่ เมื่อท่านยืนเลยต้องยืนพูด เวลายืนขึ้นไปปรากฏว่าหัวนี่นะ อยู่ต่ำกว่าราวนมของท่านประมาณสัก 4 - 5 นิ้ว รู้สึกว่าท่านทั้งสองนี่ใหญ่โตมาก ก็เลยถามว่านี่เป็นผีหรือเป็นคน แกก็ตอบว่าเป็นผี ก็เลยถามว่าทำไมถึงสวยล่ะ เขาว่าผีนี่ไม่สวยนี่ แกก็ยิ้ม ผีนี่มีทั้งสวยและไม่สวย ก็เลยคุยกันอย่างคนธรรมดา ก็ถามท่านที่แต่งตัวสวยอีกคนหนึ่ง ถามว่าท่านเป็นใคร ท่านก็ตอบว่าผมนี่แหละที่เขาเรียกกันว่าเจ้ายี่ สำหรับคนนี้เป็นทหารคู่พระทัยเป็นพระยา จำไม่ได้เสียแล้ว่าชื่อพระยาอะไร ทั้งสองคนดูหน้าตาดี เป็นคนไม่ดุก็เลยถามว่าที่มานี่มาในลักษณะผี หรือรูปร่างใหญ่โตแบบนี้ หรือมาในรูปร่าลักษณะคนที่มีชีวิต ท่านเจ้ายี่ก็ตอบว่าผมมาในลักษณะของคนที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างหน้าตาผมแบบนี้แหละครับ ผมทำเหมือน แล้วก็ใหญ่เท่านี้ เลยมานั่งนึกดูว่าโอ้โฮ คนสมัยนั้นนี่ใหญ่จริงๆ เครื่องศาสตราวุธถึงได้ใหญ่ แขนขาใหญ่ นิ้วใหญ่ หน้าตาก็ใหญ่ ใหญ่ทั้งตัว แต่ก็สมส่วน สมลักษณะเป็นผู้ชายสวย ท่าทางองอาจ ถามท่านว่ามาทำไม ท่านก็เลยถามว่ามาทำไมล่ะ ก็เลยบอกว่าอยากจะมารู้เรื่อง เขาว่ากรุที่นี่มีของศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีพระบรมสารีริกธาตุ จริงไหม ท่านก็เลยบอกว่าจถามว่าคนที่เขามาขุดเอาพระไปนี่ พบพระบรมสารีริกธาตุไหม ท่านก็บอกว่าไม่พบ ถามว่าทำไมจึงไม่พบ ท่านบอกว่าไม่ต้องการให้พบ ถ้าขุดพบแล้วก็นำพระบรมสารีริกธาตุออก จะตายกันหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่เป็นหัวหน้านั้น ก็ต้องตาย ความจริงก็น่าเสียดายเหมือนกันนะ ท่านยุ่งๆ แบบนี้ก็น่าจะตายเสีย แต่ความจริงก็ไม่ต้องไปทำให้ท่านตายเวลานั้นหรอก เวลานี้กำลังพูดนี่เดือนมกราคม พ.ศ. 2506 วันนี้วันที่ 24 และก็ทราบว่าพระใหญ่องค์นั้นนอนป่วยมาแล้ว 2 ปี หนังข้างด้านหลังน่ะเป็นแผลหมด เหวอะหวะไปหมด นอนพลิกตัวก็ไม่ไหวขยับตรงไหนก็ไม่ได้มันเป็นแผลต้องนอนตะแคงทั้ง 2 ข้าง เป็นการทรมานตน พูดก็ไม่ได้ กินอะไรก็ไม่ถนัด ได้แต่ชี้โบ๊ชี้เบ๊ ยกมือยกแขนยกขาก็ได้ไม่ถนัด เรียกว่ามีอาชีพนอน อันนี้ก็เห็นจะเป็นกรรมเพราะทำลายพระพุทธรูป ทำลายเจดีย์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ ท่านก็ทุบเสีย เอาของข้างใน เจดีย์ก็ขุดเสียมาก ขุดเอามาแล้วได้ทรัพย์สินมากๆ ก็ไม่เคยบูรณปฏิสังขรณ์ปล่อยสภาพไปตามนั้น
    พระเก่าๆ ที่ได้มาก็ขายไป จ้างเขาทำใหม่คล้ายๆ แบบพระ ปลอมแล้วเอารักทาเข้าไว้ ถ้าใครเขามาถามก็บอกว่าพระเก่า แต่ว่าทารักเข้าไว้ จะได้สวยๆกันเขาดูเนื้อ นี่เป็นวิธีการของท่าน แต่กว่าเรื่องนี้จะเป็นตัวหนังสือพิมพ์ออกมาได้ก็เข้าใจว่าคงจะตายไปนานแล้ว นี่เป็นเรื่องของท่าน ช่างท่านนะ ไม่ต้องมีใครไปทำท่านก็ตายของท่านเองหมดเรื่องไป คือคนเราไม่ต้องไปแช่งกัน ไม่ต้องไปกลั่นแกล้งให้เขาตาย เขาเกิดมาแล้วก็ต้องตาย
    ทีนี้มาว่าเรื่องต่อกันไป ถามท่านว่ามีอะไรดีๆ อีกไหม ท่านบอกว่ามีเลยชวนไปดูของดี ก็เดินตามท่านไป สองท่านก็เข้าไปในวิหารเก่ามีพระพุทธรูปเขาปั้นไว้เยอะทำด้วยปูน แต่มีพระองค์หนึ่งคอหักท่านก็ชี้ให้ดูบอกว่าพระองค์นี้คอหัก ท่านช่วยต่อให้ทีเถอะครับ หักมานานแล้ว ความจริงทุนรอนในการต่อน่ะไม่มาก แต่ไม่มีใครเขาสนใจทำ มองดูแล้วก็เห็นจริงตามท่าน ถ้าจะลงทุนก็ปูนสักกะลาเดียว ไม่ถึงกะลาหรอก นิดเดียว เอาปูนซีเมนต์มาละลายน้ำทาๆ เอาคอชนเข้าไปก็สามารถจะติดกันได้ แต่ไม่มีใครเขาทำก็น่าแปลก เป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆ พระสงฆ์ในพุทธศาสนานี่ไม่รู้ว่าบวชกันยังไง ถือแต่ความสำคัญของตัวเป็นใหญ่ เรื่องของพระศาสนาแม้แต่พระพุทธรูปองค์เล็กๆ ซึ่งคอหักก็ไม่มีใครต่อให้นี่จะเรียกกันว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชนนักก็ไม่ค่อยจะได้ ฟังได้หรอก แต่เชื่อไม่ได้ เพราะปฏิปทาไม่เป็นไปตามนั้น เมื่อท่านชี้ให้ดูก็บอกว่านี่ฉันเป็นคนมาใหม่นะ ไม่มีสตางค์ สตางค์ในประเป๋านี้เหลืออยู่ 30 บาท กะเอาไว้ว่าจะเดินทางกลับก็พอเท่านั้นเอง ค่าเรือประมาณ 20 บาทเศษๆ เหลืออีก 10 บาทเป็นค่าอาหาร ท่านหาสตางค์มาช่วยซี ท่านบอกว่าดูที่อกพระองค์นี่ซี พอท่านเจ้ายี่ชี้ให้ดูก็ปรากฏว่ามีเลข 25 ตัวใหญ่มาก ชัดเจน ถามว่าอะไร เลขอะไร ท่านบอกว่าเลขท้าย 2 ตัว ล๊อตเตอรี่นิมนต์ท่านไปซื้อ บอกว่าแหมตั้งแต่บวชมานะ พระเขาห้ามเล่นการพนัน ไม่เคยซื้อล๊อตเตอรี่เลย บอกให้คนอื่นซื้อได้ไหมท่านก็บอกว่าได้ ถามว่าใครล่ะ ท่านก็บอกชื่อให้ ไม่บอกชื่อในที่นี้นะ ท่านบอกชื่อให้แล้ว ตอนเช้ามาพบเขาก็บอกเลขเขา เขาก็ไปซื้อ 20 บาท ไอ้ 20 บาทนี่นึกว่าเขาจะซื้อล๊อตเตอรี่ 2 ใบ เปล่า เขาไปพิมพ์เอง เขาเล่นห้วยใต้ดินน่ะ ความจริงไอ้หวยบนดินหวยรัฐบาลออกนี่น่ะ เขามีเจ้ามือจ่ายต่างหาก เล่น 20 บาท ปรากฏว่าได้เงิน 1,400 บาท เขาก็เอามาถวาย บอกว่าไม่เอาหรอกต้องการให้ไปซ่อมพระองค์นั้น แล้วเขาก็จัดการซ่อมให้ดี น่าโมทนาทีนี้เมื่อดูพระองค์นั้นแล้ว ก็เลยถามว่าที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ตรงไหน ท่านก็พาไปที่สถูป คือเจดีย์เก่ารอยเขาขุด ท่านก็ชี้ให้ดูว่าพระบรมสารีริกธาตุอยู่ตรงนี้ พอชี้ให้ดูคล้ายๆ กับไม่มีอะไรบังเลย เห็นชัดถนัด เหมือนกับตั้งอยู่ในอากาศ มีพานทองคำขนาดใหญ่ 1 ลูก ประดับเพชร แล้วก็มีพานทองคำขนาดย่อมกว่านั้น อีก 1 ลูก พานนั้นใหญ่มาก ตั้งซ้อนพานทองคำลูกใหญ่ แล้วก็มีมณฑปทองคำมีผอบใส่พระบรมสารีริกธาตุทองคำประดับเพชร แล้วก็มีสร้อยเพชรเป็นพวงๆ อยู่ 2 สาย มีมีดหมออยู่ 2 เล่ม ฝักทองคำด้ามทองคำ ก็เลยถามท่านว่าพานทองคำนี่ขอได้ไหม ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก แล้วเลยบอกว่าเอางี้ก็แล้วกัน ท่านช่วยชุดนะขุดนิดหน่อยก็ถึง แล้วก็เอาพระบรมสารีริกธาตุออกมา ผมถวายมีดกับถวายสร้อยเพชร 2 สายเอาไปขาย ขายได้ราคาเป็นล้านๆ แล้วช่วยทำเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้ใหม่ เลยถามท่านว่า ทำไมไม่บอกเจ้าอาวาสท่านทำล่ะ ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก เจ้าอาวาสนี่ยังมีความโลภโมโทสันมาก ถ้าได้สมบัติขนาดนี้แล้วเดี๋ยวก็สึกก็เลยบอกว่าฉันน่ะทำไม่ได้หรอก ฉันไม่ใช่เจ้าของวัดนี้ ไปขุดเข้าเดี๋ยวก็โดนดีเข้า ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ผมจะช่วย บอกช่วยก็ไม่ไหวแล้ว ก่อนจะถูกฟ้องก็ตายก่อนแล้ว ท่านถามว่าตายเพราะอะไร บอกว่าตายเพราะไอ้พวกโจรมันจะทุบเอาน่ะซี ได้พานทองคำตั้ง 2 ลูก ได้มณฑปทองคำ ได้ตลับทองคำมีสร้อยเพชรพวงใหญ่ๆ ถึง 2 พวง มีมีดหมอฝักทองคำด้ามทองคำ ไม่ทันจะเอาไปกุฏิ ไม่ทันจะยกก็ตาย เพราะว่าไอ้คนที่มันรู้เข้ามันจะทุบตายแย่งของไป ท่านก็ยิ้ม ท่านก็เลยบอกว่าเมื่อกลัวตายก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้ากลัวตายก็เลิกไม่ต้องทำ ถ้าไม่กลัวตายเมื่อไรนิมนต์มาเอาไปได้ แล้วทำเจดีย์บรรจุให้ก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่าพับกันไปเรื่องนั้น ที่ยืนคุยอยู่กับท่านนี้ เข้าใจว่ามันไม่มืด อากาศมันสว่าง เห็นอะไรต่ออะไรเหมือนกลางวัน แต่พอดีขณะที่คุยถึงเรื่องนี้ใกล้จะจบเห็นไฟฉาย 5 ดวง เขาฉายมา คน 5 คนเดินไปถือไปฉาย ปรากฏว่าเป็นพวกตำรวจ พอเห็นคนเดินมา ท่านก็บอกพวกตำรวจเขามาตามแล้ว นิมนต์กลับเถอะครับ ผมก็ขอลา วันหลังพบกันใหม่ พอท่านบอกลาเท่านั้นอากาศมืด แปลกที่คุยกับผีไม่มืด ผีมีอำนาจ พอดีพวกตำรวจเขามาถึง ถามว่ามาทำไม เขาบอกมืดมากแล้วครับ ประมาณ 3 ทุ่ม แล้วท่านผู้บังคับกองผสมห่วงท่าน เกรงว่าใครจะทุบให้ผมมาตาม ก็เลยบอกว่าโอ้โฮ ฉันยืนคุยกับผีอยู่ กำลังยืนคุยอยู่เห็นแสงสว่างๆ ดี พอพวกท่านมาเท่านั้นแหละ แกบอกลามือเลย เขาก็บอกว่านั่นน่ะซีครับอากาศมืดแล้ว ท่านผู้บังคับกองกับพวกตำรวจมาคอยอยู่นานแล้ว อยากจะพบท่าน ก็เลยไปหาท่านผู้บังคับกอง ท่านผู้บังคับกองคนนี้คือ ร.ต.อ. บุญสม นามสกุลยังไงจำไม่ได้ เป็นคนใจดีมาก เป็นพุทธศาสนิกดี ตำรวจทุกคนเรียกว่าพ่อ ใครๆ เขาเรียกว่าคุณพ่อ ท่านใจดี เป็นอันว่าผีเจ้ายี่ตอนนี้หมดไปตอนหนึ่ง แต่ยังไม่หมด เลยเล่ากันตอนต่อไป
    ในวันหลังต่อมาเวลาจะไปที่นั่นก็นึกถึงเจ้ายี่ ท่านก็มาเยี่ยมทุกคราว คืนหนึ่งไปนอนอยู่หอสวดมนต์ของวัดมหาธาตุ ตอนหัวค่ำประมาณสัก 3 ทุ่ม นอนอยู่คนเดียวปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาเดินอยู่ข้างๆ แต่เห็นไม่เต็มตัว เห็นแต่อกไปถึงหน้า ผิวสวยหน้าตาสวย มีหน้าตาอิ่มเอิบ เนื้ออิ่มเนื้อเต็ม เรียกว่าอยู่ในลักษณะของคนสวย เดินวนไปวนมาแล้วก็ยิ้ม ก็คิดว่าใครหนอคนนี้ ไมใช่คนแน่ เป็นผี เครื่องประดับก็สวย ก็เลยบอกเขาว่า นี่ให้เห็นครึ่งตัวทำไมเล่า ขอเป็นเต็มตัวได้ไหม แกเลยทำให้เห็นเต็มตัว ลีลาการเดินสวยมาก แสดงความเป็นผู้ดีอย่างหนัก ก็สงสัย เลยเรียกเขา ความจริงเป็นสาวนะ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถามว่าโยม โยมคือใคร ทีนี้แกก็เลยนั่ง เพราะผีเล่าให้ฟังกำลังนอนอยู่ ขอโทษ แกก็เลยเลิกเดิน นั่งลงมาพนมมือ บอกว่าฉันนี่น่ะ เป็นชายาของเจ้ายี่ อ้าว ยังงั้นหรอกรึ คิดว่าสาวๆ ที่ไหน
    ถามว่ารูปร่างที่แสดง นี่แสดงในสมัยที่เป็นผีหรือเป็นคน แกบอกว่าแสดงภาพที่เป็นคน บอกว่าเป็นคนนี่ สวยอย่างนี้เชียวรึ แกก็ยิ้ม ถามว่าสวยรึ ตอบว่าสวย แกก็เลยถามอีกทีว่าพระน่ะเป็นผู้หญิงสวยรึ บอกว่าพระน่ะเห็นผู้หญิงไม่สวยหรอก แต่ทว่าเท่าที่พูดว่าสวยเพราะลักษณะท่าทางแบบนี้ชาวโลกเขานิยมกันว่าสวย แกก็เลยยิ้ม ถามโยมซักแบบนั้นทำไม แกก็ว่า ถ้าหากว่าท่านเห็นผู้หญิงสวยละ ฉันก็ไม่อยากรู้จักกับท่านหรอก แล้วก็จะไม่คุยกะท่านต่อไป แต่นี่ท่านพูดว่าชาวโลกเขาชม ก็ยกประโยชน์ให้แก่ชาวโลกไป ไม่เป็นไร แล้วก็นั่งคุยกัน เลยถามว่า โยม เจ้ายี่ไม่มาเรอะ บอกมา ยืนอยู่ข้างหลัง ยังไม่ได้แสดงตัว ก็เลยบอกว่า เชิญท่านแสดงตัวซี ท่านก็ปรากฏตัว บอกว่าโยมทำไมไม่ให้เห็นตัวล่ะ ตอบว่าผมอยากจะสอบใจท่านน่ะซี คิดว่าท่านจะเกี้ยวเมียผมบ้าง ถามว่า อ้าวแล้วก็เพื่อประโยชน์อะไร ท่านก็เลยบอกว่าถ้าเกี้ยวเมียผมเมื่อไร ผมก็เลิกคบกับท่าน เป็นเสียอย่างงั้น ผีส่งเมียมาล่อเสียได้ เป็นอันว่าวันนั้นก็คุยกันพอสมควร
    ต่อมาอีกประมาณปีหนึ่ง ก็ขึ้นไปบ่อยๆ นะ ปีที่เริ่มต้นไปน่ะ เป็นปี 2503 ตานี้มาปี พ.ศ. 2504 ชาวบ้านเขาบวชนาคกันเขาก็มานิมนต์ไปสวดนาค ขณะนั้นก็ปรากฏว่าไม่ค่อยสบาย เป็นไข้ ไปนอนอยู่ที่กุฏิพระเทียม พระนะชื่อเทียมนะ พระสงฆ์ ไปนอนอยู่ หัวค่ำปรากฏว่ามีผีตนหนึ่งมายืนอยู่ที่ปลายเท้า รูปร่างหน้าตาดี เอายังงี้ก็แล้วกัน คล้ายๆ รัชกาลที่ 5 มีหนวดเหมือนกัน ทำหน้าสั้นบ้าง หน้ายาวบ้าง ประเดี๋ยวก็หน้ายาวตั้งศอก ประเดี๋ยวก็หน้าสั้นจี๋ เดี๋ยวก็หน้าใหญ่ ทำท่าแบบนี้เห็นท่าจะไม่ดี ข้างๆ วัดมีการบวชนาคกัน ก็เลยเรียกท่านเจ้ายี่ บอกโยมท่านเจ้ายี่ไปไหน เชิญมาหาอาตมาประเดี๋ยว ขอให้มาเดี๋ยวนี้ ท่านกับนายทหารคนสนิทก็มาพร้อมกัน ภาพผีนั้นก็หายไป ท่านถามว่ามีธุระอะไรขอรับ ก็เลยบอกท่านว่า เมื่อกี้นี้มีผีตนหนึ่งมาทำหน้าสั้นบ้าง หน้ายาวบ้าง เวลานี้อาตมาก็ไม่ค่อยสบาย ประเดี๋ยวจะตกใจ ขอโยมอยู่เป็นเพื่อนตลอดคืนนะ ประเดี๋ยวผีพวกนั้นมันจะทำให้ตกใจแล้วก็จะยุ่ง แต่ความจริงถ้าไม่ป่วยไข้ ไม่สบาย ก็ไม่ใช่ของแปลก
    ผีเป็นของธรรมดา นี่กำลังป่วยอยู่ ท่านก็เลยบอกไอ้เจ้าของงานข้างๆ วัดนี้น่ะตั้ง 4 - 5 รายขอรับ มันกำลังจัดงานบวชพระ มันก็เลยเชิญผมให้ไปช่วยคุมงาน ถ้าไม่ไป มันก็จะมีเรื่องกัน มันกินเหล้าเมายากัน ผมอยู่กับท่านตลอดคืนไม่ได้ บอก เอ ถ้ายังงั้นไม่ได้แล้วโยม โยมก็ไปไม่ได้ เพราะว่าดีไม่ดีอาตมาจะมีอันตรายจากผี ท่านก็ยืนนิ่งประเดี๋ยวหนึ่ง เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ท่านบอกจริงครับ ผมก็ห่วงท่าน เอายังงี้ก็แล้วกัน พวกบ้านผมเขาเก่ง ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวจะให้พวกบ้านผมเขามาเฝ้า มานั่งอยู่ยามคอยป้องกัน ท่านไม่ต้องกลัวนะขอรับ เขาเก่งมาก พอท่านพูดเท่านั้นก็ปรากฏว่าชายา คือ ภรรยาของท่านมา คนเก่าน่ะ รู้จักกันดีแล้ว ท่านก็บอกอ้าวพวกบ้านผมมาแล้ว ผมลาละครับจะไปเที่ยวคุมงาน ก็บอกไปได้โยม โยมผู้หญิงมาแล้วก็ไปได้ เมื่อท่านเจ้ายี่กับท่านทหารคนสนิทไปแล้วชายาของท่านก็บอก นิมนต์คุณจำวัดให้สบาย ฉันจะนั่งอยู่ข้างเตียงคุณตลอดคืน รับรองว่าไม่มีผีอะไรมาทำอันตรายคุณได้ เมื่อแกพูดจบก็เลยถามว่า โยมผีเมื่อกี้นี้น่ะเป็นใคร ท่านก็เลยบอกให้ทราบว่าผีเมื่อกี้นี้คือพวกบรรดาเจ้าเมืองเก่าๆ ก่อนพวกฉันมาอยู่ ตั้งแต่สมัยโบราณ คนนั้นแหละเขาเป็นคนตั้งเมืองตรงนี้คนแรก เพราะว่าท่านมาที่นี่คราวไร ท่านก็ไม่เคยบอกให้เขาทราบ บอกแต่พวกฉัน ตานี้พวกเก่าๆ เขาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏ ก็เลยบอกว่า ถ้าแสดงตัวแบบคนก็ไม่เป็นไร นี่มาทำหน้าสั้นบ้างหน้ายาวบ้าง ท่านก็เลยบอกว่าเขาล้อเล่นน่ะคุณ บอกล้อแบบนี้ไม่เป็นเรื่อง แกก็บอกว่าคุณกำลังไม่สบาย อย่าคุยมากเลย นิมนต์จำวัดให้สบายเถอะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งหมด ฉันจะป้องกันให้ เมื่อท่านบอกยังงั้นก็วางใจ เลยจับอานาปานัสติกรรมฐาน นอนหลับไปภายใน 2 นาที ตื่นขึ้นเช้า เวลาเช้ามืด เวลาได้อรุณ ท่านก็เลยบอกว่าหมดภัยแล้ว ท่านลาละ ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกัน
    นี่ก็เป็นเรื่องผีที่มีประโยชน์ต่อมาปลายปี วัดนั้นเขาจะมีงานประจำปี เขาก็เลยให้ผู้พูดไปเป็นประธานในงานอีก เรื่องมันยุ่งก็ไป ตอนนี้กำลังเป็นไข้จับสั่นพอดีเลย แต่ว่าเวลาที่เขามาเชิญน่ะมันไม่เป็นไข้ ก็รับปากเขาไว้ เขาก็ไปประกาศว่าผู้พูดน่ะจะไปเป็นประธานในงาน ถึงเวลางานเข้าจริงๆ ป่วยไข้ไม่สบายก็เกรงว่าจะเสียสัจจะก็เลยต้องไป เมื่อไปถึงแล้วไข้มันก็แผลงฤทธิ์เป็นวันเริ่มงานพอดี ก็นอนคลุมผ้าอยู่ ขณะที่นอนคลุมผ้าก็บอกหมดละอีคราวนี้ ไม่เอาแต่เฉพาะเจ้ายี่ละ ว่าท่านผู้ใดก็ตามที่เป็นเจ้าผู้ครองนครพระนครนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล จนถึงสมัยท่านเจ้ายี่เป็นที่สุด ข้าพเจ้าขอถวายความเคารพ ขอทุกท่านจงเมตตาข้าพเจ้าให้ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง แล้วก็ช่วยงานนี้ให้เป็นไปด้วยดี แล้วก่อนที่จะนอนลงไปก็เห็นวัดนั้นไม่มีรั้วไม่มีกำแพง ก็คิดไว้ในใจว่าวัดนี้ควรจะมีรั้วมีกำแพงเป็นหลักฐานเพราะเป็นวัดในอำเภอ เป็นวัดอยู่ในเขตอำเภอใกล้ๆ กับตัวอำเภอ แล้วก็ติดตลาด ตลาดก็ตั้งอยู่ในเนื้อที่ของวัด วัดควรจะสวย แต่สภาพของวัดเวลานั้นดูไม่ได้เลย กุฏิใครเดินขึ้นไปก็ต้องเดินแบบสุภาพ ถ้าไม่สุภาพก็หล่นใต้ถุน เพราะมันผุไปหมด กุฏิก็โย้ๆ เย้ๆ ใกล้จะพังหมด ก็แปลกใจเหมือนกันเงินทองวัดนั้นก็ดีนี่ แต่วัดไม่ดี มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก แปลกจริงๆ วัดอยู่ใกล้ไม้ ใกล้หิน ใกล้ปูน ใกล้ทราย แต่วัดไม่สวย เพราะอะไรก็ไม่ต้องบอก ไม่ต้องพูดกัน
    ในเมื่อนอนบอกเรียบร้อยหมดทุกท่านแล้ว ไม่ได้ออกชื่อทั้งหมดเพราะไม่รู้ว่าใครบ้าง ก็ปรากฏว่ามีทุกท่านมายืนเรียงกันอยู่เป็นแถว ประมาณ 10 ท่านเศษๆ มีเจ้ายี่ยืนท้ายแถว ก็เลยพูดกับท่านว่าโยม คณะโยมทั้งหมดน่ะ อาตมาตั้งใจจะทำรั้วกำแพงวัดนี้เรียกว่าจัดเป็นห้องประมาณ 60 ห้องเศษๆ เอากันแค่ 60 ห้องก็แล้วกัน อาตมาจะบอกบุญกับชาวบ้าน ขอให้โยมช่วยด้วย ทีนี้จำได้ว่าท่านองค์ที่มาทำหน้าสั้นหน้ายาวนั่นแหละเป็นคนพูดคนเดียว บอกได้ขอรับ ผมจะช่วย ถามว่าโยมจะช่วยน่ะ จะหาสักกี่วันจะครบ จะหาเงินสักกี่วัน เอาแค่คนเขารับจะให้ แล้วไปจ่ายกันเวลาตรุษสงกรานต์แล้วขอให้ได้จริง ท่านบอกว่าถ้าประกาศหาละก็ งานนี้มัน 3 วัน 3 คืนขอรับ ได้ภายในงานนี้แหละเรียกว่างานนี้ไม่ทันเลิกจะครบ 60 ห้อง ก็เลยบอกท่านว่า ถ้าโยมช่วยยังงี้ก็เป็นความดี แล้วตอนเดือน 4 เดือน 5 ตอนตรุษสงกรานต์น่ะ ขอให้ชาวบ้านเขามาช่วยให้ครบถ้วน ที่เขารับปากไปแล้ว
    ท่านก็บอกว่าใจตอนนั้นจริงๆ จะได้มากกว่านี้ จะได้มากกว่า 60 ห้อง ท่านก็ถามว่าจะให้ได้เงินก่อนหรือจะทำก่อน ตอบว่าถ้าเขารับปากจะทำก่อน ถ้ายังงั้นยิ่งดีใหญ่ ผมรับรองว่าได้มากกว่า 60 ห้องแน่ถ้าทำก่อน ก็เลยรับปากท่านว่า อาตมาไม่ว่าทำอะไรก่อนได้เงินเสมอ ท่านก็เลยบอกว่าเอาละขอรับ ผมจะให้ลูกน้องมาควบคุมท่านคือป้องกันอันตราย พอท่านจะกลับก็บอกว่า โยมจะกลับหมดไม่ได้นะ ช่วยคุมงานด้วย งานนี้ให้ได้เงินดีๆ ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ท่านก็รับคำ แล้วทุกท่านก็ลากลับ ผู้พูดก็หลับ หลับไปสักชั่วโมง ตื่นมาปรากฏว่ามีคนเขามาเยี่ยมประมาณ 12 คน เห็นจะเป็น 12 คน จำได้ยังงั้นนะ ถ้าพลาดก็ขอโทษด้วย ลืมตาขึ้นมาก็เลยพูดเรื่องกำแพงรอบวัด เมื่อพูดจบก็บอกว่าฉันก็เป็นคนไม่มีเงิน เวลานี้ฉันมีเงินติดตัวอยู่ประมาณ 60 บาท จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ มันมี แต่ว่าฉันอยากจะทำกำแพงรอบวัดมีรั้วเป็นเหล็ก คิดราคาประมาณห้องละ 350 บาท แต่ความจริงแพงกว่านั้น เอากันเท่านี้ก็แล้วกัน ฉันรับ 1 ห้อง แล้วใครจะรับสักคนละกี่ห้อง ปรากฏว่าคนที่นั่งอยู่นั่น 12 คน ได้ช่วยกำแพง 16 ช่อง 17 ทั้งของผู้พูด ตานี้ เมื่อได้รายชื่อแล้วก็ส่งให้กองอำนวยการเขาโฆษณา ประเดี๋ยวก็มีคนมารับช่อง 2 ช่องเรื่อยๆ จนกว่าจะครบงานปรากฏว่าได้ 60 ห้องเศษ เมื่องานประจำปีผ่านไป พอมีทุนอยู่บ้างก็เลยบอกให้เจ้าอาวาสทำเลย บอกว่าถ้าเงินไม่พอก็ให้ซื้อวัตถุเป็นสินเชื่อ ทำไปถึงเวลาตรุษสงกรานต์จริงๆ ปรากฏว่าได้ประมาณเกือบ 70 ช่อง นี่เป็นอานุภาพของผีนะท่านผู้ฟัง
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...