เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 5 เมษายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    ญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลาย วันพุธนี้ มีโอกาสมาพบกับ บรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ แต่ทว่าสำหรับเสียง อันนี้เอาแน่ไม่ได้นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลายเรื่องเสียงนี่ก็ต้องขออภัย ถ้าหากมันดีบ้างไม่ดีบ้างกระแอมกระไอ ขอได้โปรดทราบ ว่าคนพูดอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ท่าทางไม่ดี คำว่าท่าทางไม่ดีในที่นี้ ก็หมายถึงว่าร่างกายมันไม่ดีหลังจากป่วยใหญ่มาแล้ว จนกระทั่งเวลานี้ ร่างกายยังไม่ปกติ จนกระทั่งปีนี้งานก่อสร้างต่างๆ ต้องเพลามือลง เพราะว่า ถ้าขืนทำตามความประสงค์ที่ทำไป ร่างกายทนไม่ไหว การควบคุมงานเป็นไปไม่ได้ตามปกติ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p> เอาละเรื่องส่วนตัวขอระงับ จะเป็นที่รำคาญของท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้ก็จะพูดเรื่องเปรต จะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมเปรตสักนิด ชมกันสัก ๒๐ นาทีเศษๆ อย่าชมมากเลยนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าขืนชมกันมากก็แค่นั้นแหละ คือ เป็นเปรต แล้วอาตมาเองก็ไม่ทราบชัดนัก สภาวะของเปรตเป็นยังไง จะเล่าให้ฟังโดยละเดียดมันไม่ได้ เพราะตำราหาย ได้บอกมาตั้งแต่วันพุธก่อนแล้วนี่ว่า ตำราเปรตเรียงลำดับ ๑๒ จำพวกมันหายไป ก็เลยมาคุยกันอย่างคร่าวๆ ก็แล้วกัน<O:p></O:p>
    วันนี้จะเล่าเรื่องราวของเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร รู้สึกว่ามีเรื่องราวน่าฟัง ที่ว่าน่าฟังก็เรียกว่ามีต้นเหตุ แล้วก็ไล่เบี้ยจากนรกขึ้นมาจนกระทั่งถึงเป็นเปรต สำหรับเปรตพวกอื่นก็เหมือนกัน ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอยากจะทราบก็ถือว่ามีอาการคล้ายคลึงกัน จะเล่าให้ฟังละเอียดนักก็ไม่ได้<O:p></O:p>
    ลองมองไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยมโลกียนรก นั่นเป็นแดนของเปรต ถ้าจะดูสภาพของเปรตแล้วก็จะเห็น เห็นว่าเปรตสะพรั่งไปหมด มีดินแดนสุดลูกหูลูกตา แต่ทว่า จะอธิบายให้ฟังได้ยังไง ทั้งนี้เพราะว่าไม่เข้าใจเรื่องราวของเปรต เอากันยังงี้ดีกว่า มาคุยกันถึงเรื่องเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร เพราะมีลำดับดีที่พระพุทธเจ้าตรัส ความจริงเรื่องเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารนี่เล่ามาหลายครั้ง แต่ไม่มีการบันทึกไว้แน่นอน วันนี้เรามาพูดกันให้ละเอียดสักหน่อยว่า ในสมัยหนึ่ง จำชื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระนามว่าอะไรท่านบอกไว้ชัด แต่อาตมาจำไม่ได้ ขอยกไปก็แล้วกัน ขืนมานั่งพรรณนากันอยู่ก็เป็นที่น่ารำคาญ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชามีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และลูกชายก็เลื่อมใสด้วย เวลาที่พระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระพุทธสาวกมาพักในพระราชนิเวศน์เขตพระราชฐาน พระราชโอรสทั้ง ๔ ท่านก็เลี้ยงดูพระด้วยความเลื่อมใส แต่ว่างานเลี้ยงพระเป็นงานใหญ่ ด้วยพระที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนหมื่นจำนวนแสน การเลี้ยงพระต้องมีงานหนัก ฉะนั้นพระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์จึงได้มอบงานเลี้ยงพระให้แก่นายเสมียน สมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นนี้ ก็เคยเป็นพระสหาย เป็นนายเสมียน นายเสมียนสมัยนั้น สมัยนี้ควรเรียกว่าเลขานุการ เป็นผู้แทนจัดงานเลี้ยง จัดเงินในคลังออกมาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงพระเลี้ยงคนของพระตามเท่าที่จะมี เรียกว่าเลี้ยงกัน ก็เลี้ยงอย่างดี เมื่อนายเสมียนใช้คนอื่นเขามาทำงานเขาก็ช่วยด้วยดี ทีนี้ต่อไปก็เห็นว่าถ้าเราได้ญาติของเรามาช่วยในการนี้จะดีมาก ความจริงนายเสมียนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์บริสุทธิ์ ไม่คิดคดไม่คิดโกง หมายความว่า ไม่กินข้าวพระ ไม่กินสบงพระ ไม่กินจีวรพระ ไม่กินบาตรพระ ไม่กินรองเท้าของพระ แล้วก็ไม่กินกุฏิวิหารการเปรียญของพระ ไม่กินโบสถ์ของพระ ไม่เหมือนพระบางประเภท พระบางประเภทกินกัน บางวัดกินหอสวดมนต์เข้าไปตั้ง ๑๐ ปี บางวัดกินโบสถ์ กินศาลาการเปรียญ กินอะไรต่อมิอะไร อันนี้รู้สึกว่าขากรรไกรดีมาก ฟันดี กินอิฐ กินปูน กินทราย กินไม้ท่อน กินไม้เลื่อย กินกันได้ทุกอย่าง แต่ว่านายเสมียนคนนั้น ฟันไม่ดี ขากรรไกรไม่ดีกินไม่ไหว เลยไม่อยาก แต่ต่อมาเอาญาติเข้ามา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านี้ซิ เป็นคนฟันดี ขากรรไกรดี ในตอนต้นก็ช่วยงานด้วยดี ด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ พอชักนานๆ เข้า ความเชื่องมันเกิด ความชินมันมี ก็คิดถึงว่าได้เรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ไม่มีความหมาย นรกอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่ไหนฉันมองไม่เห็น คนตายแล้วก็แล้วกันไป แต่เวลาที่เรามีชีวิตอยู่นี้ให้มันมีความสบายก็แล้วกัน นี่ ตัวมิจฉาทิฐิแปลว่าเห็นผิด มองกันแต่ปัจจุบัน เมื่ออารมณ์ของแกเป็นยังงี้แกก็เริ่มจัดการตามระเบียบ เงินที่เขาให้มาเลี้ยงพระ ก็กันเข้ากระเป๋าเสียบ้าง ของราคา ๑ บาท ก็มาแจ้งว่าราคา ๖ สลึง หรือ ๒ บาท ของซื้อมา ๑๐ ชิ้น ก็แจ้งว่าซื้อมา ๕ ชิ้น เวลาเขาทำของให้พระ กลิ่นมันดี หอมดีรสอร่อย ก็กินเสียก่อนบ้าง ให้ลูกหลานกินก่อนบ้าง กีดกันเอาของพระไปไว้บ้านบ้าง เวลาพระฉันแล้วก็ดี หรือยังไม่ได้ฉันก็ดี เอาแอบใส่หม้อใส่ไห เอาข้าวใส่กระบุง ใส่หม้อใหญ่ เอาแกงใส่หม้อย่อม เอาไปกินที่บ้าน เอาไปเลี้ยงกันเป็นส่วนตัว ที่ทำมาแบบนี้ปกติไม่ต้องบรรยายมากนัก เป็นอันรู้กันว่าทุจริตก็แล้วกัน คดโกงของสงฆ์ เมื่อบรรดาบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ตาย ตายแล้วนะ นายเสมียนไปเป็นเทวดา แล้วต่อมานายเสมียนก็มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร นี่คนที่เอาเข้ามานะเขาไม่รู้ไม่เห็นด้วย ไม่เหมือนสมภารบางวัดกับทายก มีความเห็นร่วมกัน กีดกันเงินที่เขาเรี่ยไรมาได้ เอามาเป็นสมบัติส่วนตัว มาแบ่งกันเสียบ้าง แล้วก็เอาไปทำบ้าง บางทีก็ไม่ทำเลย มีงานบอกว่าขาดทุน ขาดทุนก็เล่นเงินกรรมการเข้าไปอีก เรียกว่าเอา ๒ ชั้น เงินที่ได้มาก็โกง เงินที่เขาสำรองทุนมาก็โกง นี่แบบเดียวกัน จะเล่าตัวอย่างให้ฟัง<O:p></O:p>
    เมื่อนายเสมียนไปเป็นเทวดา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้นไปไหน? โน่น ย่องไปนรก ไปสู่อเวจีมหานรกสิ้นระยะกัปหนึ่ง นี่ลงไปจริงๆ ไม่ได้ทำท่าจะลงอย่างท่านสุปติฎฐ ทีนี้เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุมก็แล้ว เมื่อพ้นนรกบริวาร ๔ ขุมแล้ว ก็มายมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ไล่ตามลำดับ แกเอาหมด คนประเภทนี้แล้วมีจิตอย่างนี้ไม่เหลือ นรกมีกี่ขุมลงหมด พ้นจากนรก ๑๐ ขุมนั่นแล้วก็มาเป็นเป็นคนอีก ๑๒ จำพวก เป็นเปรตระดับมีบาปหนักโทษหนัก พ้นแล้วก็มีโทษเบาขึ้นมาทีละน้อยๆ ในที่สุดในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าพระปทุมุตตระ อันนี้แน่หรือไม่แน่ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่ใช่พระปทุมุตตระ ก็วิปัสสี ๒ องค์ จำไม่ได้ถนัด อันไหนที่จำได้ก็บอก ที่จำไม่ค่อยได้ก็ไม่บอก รับกันตรงๆ เพราะอาตมาเองก็ไม่ญาณพิเศษ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า หรือไม่ใช่พระสาวกองค์สำคัญ จึงจะได้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกเสมอไป บางทีแน่ใจเหมือนกันแต่ไม่กล้าพูด เกรงว่าจะผิดตำรา เพราะเวลาพูดนี่ไม่ได้เขียนหนังสือมา ไม่ได้เอาตำรามาอ่าน ดูไว้หลายปีแล้วจำได้ ก็เลยนำมาพูดเท่าที่จำได้ ถ้ามันขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ขออภัยท่านผู้รับฟังด้วย<O:p></O:p>
    ในเมื่อเป็นเปรต ๑๑ จำพวกแล้ว ก็มาเป็นเปรตจำพวกสุดท้ายเรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต เข้าใจว่าสมัยนั้นเป็นสมัยพระปทุมุตตระทศพลพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เข้าใจว่านะ ถ้าผิดไปก็ขออภัยด้วย บรรดาปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนั้นความจริงเป็นเปรตมีกรรมเบาแล้ว เปรต ๑๑ จำพวกได้บอกมาแล้วว่าไม่มีโอกาสจะโมทนาส่วนกุศล หรือสัตว์นรกก็เหมือนกัน คนที่ตายแล้ว ถ้าเลยลงไปนรก หรือเป็นเปรต ๑๑ จำพวก บรรดาญาติโยมที่อยู่ในชาตินี้หรือคนที่มีความหวังดีคิดจะสงเคราะห์ทำบุญส่วนกุศลอุทิศไปให้ อันนี้ไม่มีโอกาส ไม่มีทางที่จะได้โมทนา โปรดจำไว้ด้วย เรียกว่าโมทนาไม่ไหว เพราะว่าไม่มีโอกาส มันทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน ทั้งเจ็บทั้งปวดทั้งร้อน ไม่มีเวลายินดีกับอะไรทั้งหมด ตานี้พอมาถึงปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้มีกรรมไม่มาก ไม่มีหนอนกิน ไม่มีไฟไหม้ ไม่มีหอกเสียบแทง แต่ทว่าต้องเดินหิว ไปทางไหนๆ หาอะไรกินไม่ได้ รออย่างเดียว คือใครเขาจะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง ถ้าใครเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ได้รับการโมทนาก็มีความสบาย ฉะนั้น เวลาทำบุญ หากว่าท่านทั้งหลายที่ทำบุญแล้วเปล่งวาจาเฉพาะญาติใครเขาทำบุญที่ไหนก็ตาม ต้องเป็นคนที่ทำบุญแล้วได้บุญนะ ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ เปรตพวกนี้ก็ไม่ไปล้อมอยู่สะพรั่งรอบๆ บริเวณนั้น คอยโอกาสที่ได้รับโมทนา ตอนนี้ท่านพุทธบริษัทอาจจะสงสัยว่าทำบุญประเภทใดได้บุญ ทำบุญประเภทใดไม่ได้บุญ บางคนทุนเป็นหมื่นเป็นแสน ทำแล้วไม่ได้บุญ แล้วบรรดาเปรตไม่โมทนา เพราะอะไร เพราะในงานนั้นมีการล้มวัวล้มควายล้มหมูเลี้ยงเหล้า ถ้าแบบนี้ไม่มีบุญ เพราะบาปมันเข้าไปขวาง เจตนาที่เป็นกุศลมันก็ไม่มี ถ้าอกุศลมันเข้าไป เวลาจะทำบุญให้ได้บุญจริงๆ ต้องมีอารมณ์สงบ เว้นจากสิ่งที่เป็นบาปทั้งหมด แม้แต่ไข่ที่มีชีวิตเราก็ไม่ทุบ เว้นแต่ไข่ฟางที่ไข่แล้วไม่มีตัวผู้ทับอันนี้เขากล่าวว่าไม่เป็นตัว อาตมาก็ไม่ทราบแน่นักนะ ถ้านักวิจัยฝ่ายวิทยาศาสตร์เขารับรองก็ใช้ได้ ถ้าฟักแล้วไม่เป็นตัว ไอ้ยังงี้ไม่บาป ถ้าลงเป็นตัวละก็บาป อย่างนี้ ไม่ยอมให้มีระหว่างจะทำบุญ แล้วก็เวลาทำ ทำจิตใจให้สบายไม่ห่วงใยอย่างอื่น เวลาพระให้ศีลตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพแล้วก็ประพฤติตามศีล เวลาถวายทาน ถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์ตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาด้วยความเคารพ ทีนี้ เมื่อเคารพจริงๆ จิตสบายอารมณ์จึงจะมีบุญ เปรตทั้งหลายจึงยอมโมทนาส่วนกุศลเพราะคนนั้นมีบุญ ถ้าหากพอเริ่มงานเลี้ยงเหล้า ฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าไก่ฆ่าปลา ตอนนี้อกุศลเข้ามาทับหัวใจเสียแล้วกรรมที่เป็นกุศลเข้าไม่ได้ การทำบุญคราวนั้นทั้งคราวหาบุญไม่ได้ อย่างนี้ เปรตไม่โมทนาเคยพบ<O:p></O:p>
    คำว่าเคยพบในที่นี้ หมายความว่าเคยพบเรื่องราวของเปรตที่รับโมทนาจากญาติไม่ได้<O:p></O:p>
    ตานี้ปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนี้ก็เหมือนกัน เมื่อท่องเที่ยวมาตั้งนาน ไม่ทราบว่าสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทางพระนามว่าพระปทุมุตตระ ทรงอุบัติขึ้นในโลก ถ้าชื่อผิดละขออภัยนะ บรรดาเปรตพวกนี้ที่เข้าไปหาพระพุทธเจ้า ไปกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าข้าอดข้าวนับเวลาเป็นร้อยๆกัป หรือเป็นแสนกัปเชียวนะพ้นจากนรกมาแล้วน่ะ มันนานเหลือเกิน เวลานี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้าวเข้า ข้าวเขากองไว้ จะกินเข้าไปมันก็เป็นแกลบแล้วก็มีไฟลุก เห็นน้ำอยากน้ำ เป็นแม่น้ำวิ่งเข้าไปจะกินน้ำเพราะกระหายน้ำ เข้าไปน้ำแห้ง น้ำเป็นแกลบ แล้วเป็นไฟลุกกินไม่ได้เป็นอันว่าไม่ได้กินมานานแล้ว จึงกราลทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะมีข้าวมีน้ำกินกับเขาสักที องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ความจริงถ้าจะช่วยบุญของท่านก็เหลือหลายเหลือโมทนาส่วนกุศล นี่องค์สมเด็จพระทศพบท่านทรงทราบไม่ใช่อย่างพวกเรา เดาดะไม่เลือกอะไรๆ ก็เรียกว่าใช้ได้มันไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบกฎของกรรมดีว่าเปรตพวกนี้ยังช่วยไม่ได้ ก็ต้องทรงอุเบกขาเข้า คือว่างเฉย แต่ก็มีเมตตา เมื่อเปรตทั้งหลายเหล่านั้นมาทูลถามสมเด็จพระบรมศาสดา พระองค์ก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าหลังจากนี้ไป ๙๑ กัป จะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนามพระสมณโคดม ทรงอุบัติขึ้นในโลก และญาติเปรตทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นนายเสมียนกำลังเป็นเทวดาอยู่ จะมีพระราชานามว่าพระเจ้าพิมพิสารในประเทศมคร แล้วก็ปรากฏว่าจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของพระพุทธเจ้าเป็นพระสหายกันมาก่อน เมื่อทำบุญแล้ว พระเจ้าพิมพิสาร อุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตทั้งหลายเหล่านี้ เปรตผู้นี้ได้รับการโมทนาก็จะมีสภาพพ้นจากความเป็นเปรตจะเป็นเทวดาเพราะอำนาจกุศลที่พระเจ้าพิมพิสารให้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบ จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสกับเปรตทั้งหลายเหล่านั้นตามที่กล่าวมาแล้ว เมื่อเปรตทราบจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าอีก ๙๑ กัป จะได้กินข้าวกินน้ำมีความสุขก็ดีใจ มีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าเวลา ๙๑ กัปเป็นวันพรุ่งนี้เห็นไหมล่ะ นี่ไม่รู้ว่าอดมาเมื่อไหร่นะ แต่ถอยหลังไปลงนรกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มาเป็นเปรตอันดับ ๑ ถึง ๑๑ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และเป็นเปรตอันดับ ๑๐ ผ่านมาแล้วกี่กัปก็ไม่ทราบ มาพบพระพุทธเจ้าตอนนี้ เหลืออีก ๙๑ กัป จะได้กินข้าวกินน้ำ กัปหนึ่งมีระยะเท่าไรก็พูดมาแล้วในสมัยอเวจีนรก ตอนนั้นพูดมาแล้วตั้ง ๙๑ กัปลองคิดดู ว่ามันต้องทรมานสักเท่าใด แต่เขาอดกันมานานก็ดีใจว่าจะได้มีโอกาสกินข้าวกินน้ำ หลังจากนั้นมาเปรตพวกนั้นก็ท่องเที่ยวทนความลำบากมาถึง ๙๑ กัป มาต้นกัปนี้พระพุทธเจ้ามีนามว่า กุกุธสันโธ องค์ที่ ๒ มีนามว่าพระโกนาคม องค์ที่ ๓ มีนามว่า พระพุทธกัสสป เปรตพวกนี้ก็เข้าไปถามทุกท่าน พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า ว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ญาติของเธอมีนามว่าพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอมีความเลื่อมใสในสมเด็จพระจอมไตรทรงพระนามว่าพระสมณโคดมเมื่อบำเพ็ญกุศล แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เธอ พวกเธอได้รับโมทนาแล้วจะพ้นทุกข์ เขาก็มีความสุขใจ ว่านี่เรารอมาได้จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระปทุมุตตระถึง ๙๑ กัป แล้วก่อนนั้นอีก เพียงระยะกัปนี้เท่านั้นเองเรามีโอกาสจะได้รับความสุข เขาดีใจมากลิงโลดใจมาก แล้วต่อมาเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีนามว่าพระสมณโคดม คือพระพุทธเจ้าองค์นี้ทรงอุบัติขึ้นในโลก แล้วพระเจ้าพิมพิสารก็มีความเลื่อมใส นิมนต์พระพุทธเจ้ามาอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหารสร้างวัดถวายเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา แล้วก็เลี้ยงดูพระตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยอุทิศกุศลไม่เคยกรวดน้ำ บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ไปยืนคอย นั่งคอยนอนคอยในบริเวณเขตพระราชฐานของพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน ไม่เห็นให้สักที หนักเข้าๆ มันทนอยากไม่ไหว ตั้งใจมาแล้วตั้ง ๙๑ กัป ไม่ใช่ ๙๑ ปีนะ ๙๑ กัป ทีนี้เมื่อตั้งท่าค่อยมาแบบนี้ตอนนี้ก็มาคอยอยู่ข้างๆ ไม่เห็นให้ เลยทนไม่ไหว คืนหนึ่งที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าไปจะนอนในห้องบรรทมอันเป็นศิริ บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ก็ส่งเสียงร้องให้ปรากฏ เป็นเสียงร้องว่ายังไงก็ไม่ทราบ จะบอกว่าการร้องอย่างงั้นอย่างงี้ ดีไม่ดีอาตมาก็จะเป็นเปรตปลอมไป เรียกว่าร้องไม่ถูกจักหวะเปรต ไม่ได้ยินนี่ว่าเขาร้องกันยังไง เป็นอันว่าร้องไม่เหมือนเสียงธรรมดาที่เคยได้ยินก็แล้วกัน พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจ ในตอนเช้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่เช้า ไปกราบทูลให้ทรงทราบว่า เมื่อคืนไม่ทราบว่าเสียงอะไร แปลกประหลาด ข้าพระพุทธเจ้าหวาดใจ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงแจ้งให้ทราบ มีพระพุทธฎีกาว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรมหาบพิตรพระราชสมภาร เสียงนั้นไม่ใช่เสียงอะไร เป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์ แล้วก็เล่าเรื่องต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วให้ฟังโดยละเอียด พระเจ้าพิมพิสารก็มีความสงสาร จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระพิชิตมารพร้องไปด้วยพระสาวกทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ตอนนั้นพระยังรวมกันประมาณ ๕๐๐ รูป เข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ พอพระฉันเสร็จพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำตามพิธีของพราหมณ์ติดมาถึงสมัยนี้ แต่ว่าตามแบบฉบับของพุทธศาสนา การกรวดน้ำท่านเรียกอุทิศ คือมีเจตนาแผ่เมตตาส่งไปให้เจาะจง อุทิศนี้แปลว่าเจาะจงเฉพาะ คือเรียกว่าบุญนี้เราขอให้คนนั้น ขอให้คนนี้ ไม่ต้องใช้น้ำก็ได้ แต่เวลานั้นเป็นพิธีพราหมณ์ ยังติดอยู่มาก พระพุทธศาสนายังเกิดขึ้นใหม่ๆ พระเจ้าพิมพิสารก็นำพระเต้าทองที่มีน้ำ ราดลงไปบนมือของพระพุทธเจ้า กล่าวคำอุทิศว่า อิทังโน ญาตีนัง โหตุ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ขอผลบุญนี้ จงมีแก่ญาติของข้าพเจ้าเพียงเท่านี้ บรรดาเปรตทั้งหลายก็ได้รับโมทนา และอัตภาพแห่งความเป็นเปรตซีดเซียวก็หมดไป มีอาการผ่องใส มีอาการอิ่มเอิบ มีความสุข มีความสบาย มีร่างกายสวยเหมือนเทวดา ทีนี้เวลาให้น่ะเขาไม่ได้ให้วัตถุหรอกนะ จะเข้าใจว่าให้ข้าวไปกิน กรวดน้ำให้ข้าวเป็นก้อนๆ ไปกินแกงเป็นถ้วยๆ ขนมเป็นชิ้นๆ ไม่ใช่ยังงั้น เป็นอำนาจของความดี เมื่อได้รับโมทนาแล้ว มีความอิ่มขึ้นมา ไม่ต้องเปิบ อิ่มมีกำลังมีความสุข มีความเยือกเย็นมีความสวยสดงดงาม แต่ทว่าเปรตทั้งหลายเหล่านี้ ในชาติก่อนไม่เคยถวายไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับโมทนาแล้วร่างกายเป็นเทวดา ไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อใส เป็นเทวดาชีเปลือย ก็มีความลำบากใจ ตอนกลางคืนเข้าไปหาพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ไม่ร้อง ไปยืนให้เห็นยืนสะพรั่ง ร่างกายสวยสดงดงาม แต่ว่าไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อ ไม่มีอะไรปิดป้องกาย ตอนนี้สงสัยว่าบรรดาพวกเปรตทั้งหลายไปยืนให้พระเจ้าพิมพิสารเห็น น่ากลัวจะหันหลังให้ ถ้าหันหน้าให้คงทุเรศใจมาก ตอนเข้า พระเจ้าพิมพิสารมาทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงภาพนั้น พระพุทธเจ้า ก็บอกว่าไม่ใช่ใคร เปรตพวกเดิม ได้รับโมทนาแล้วมีความสุขมีกายเป็นเทวดา แต่ขาดเครื่องประดับ เพราะว่าชาติก่อนไม่เคยบำเพ็ญกุศลเรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารว่าทำยังไงเขาจึงจะได้ ท่านมีเมตตา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้พระองค์ถวายผ้าแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านไม่ให้จำกัด แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นกษัตริย์ ท่านรวย เลยถวายผ้าหมดทั้งวัด ถวายอาหารใหม่แล้วถวายผ้าหมดวัด แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ บรรดาเทวดาที่มีกำเนิดจากเปรตทั้งหลาย เมื่อได้รับโมทนา มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์แล้ว ก็ไปอยู่ในสถานที่อันจะพึงควรอยู่ เป็นอันว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มารบกวนพระเจ้าพิมพิสารอีก<O:p></O:p>
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่นำเรื่องราวนี้มาคุยให้ฟังก็เพื่อจะได้ทราบว่าการทำบาปแล้วไปลงนรก แล้วก็ผ่านนรกมาเป็นเปรตกี่จำพวก มาเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต มีความลำบากเท่าไร จะเล่าให้ละเอียดนักก็ไม่ได้เพราะตำราละเอียดไม่มี<O:p></O:p>
    เอาละสำหรับวันนี้ หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง และบรรดาพระคุณเจ้าที่รับฟังคงจะเข้าใจ เข้าใจหรือไม่ก็ตามขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาพระคุณเจ้าผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.<O:p></O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...