อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๗ : กายกรรมบนเก้าอี้

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 25 มิถุนายน 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    7.jpg

    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๗ : กายกรรมบนเก้าอี้

    อาตมาติดนิสัยชอบการห้อยโหนโยนตัวมาตั้งแต่เด็ก ขนาดขึ้นไปเล่นไล่จับกับพี่ ๆ น้อง ๆ บนยอดไม้เป็นประจำ ทำไมไม่ตกลงมาคอหักตายซะตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะเคยเกิดเป็นลิงมาหลายชาติก็เป็นได้...

    โตขึ้นมาหน่อยก็เป็นแฟนหนังทาร์ซาน ติดใจนายจอห์นนี่ ไวท์สมุลเล่อร์เป็นที่สุด แล้วมาเป็นแฟนยอดหญิงยิมนาสติคนาเดีย โคมานิซี่ มีการถ่ายทอดยิมนาสติคทีไร แทบต้องเอารถขุดมาขุดตัวจากหน้าจอทีวีเลยล่ะ...

    ความบันเทิงประเภทเดียวที่สามารถควักเงินจากกระเป๋าอาตมาได้ คือพวกกายกรรม หรือละครสัตว์อย่างอเมริกันเซอร์คัส นั้นอยากดูแต่ไม่ได้ดู เพราะบวชมาหลายพรรษาแล้ว ขืนแหกคอกไปดู มีหวังถูกขับออกจากวัดเป็นแน่แท้...

    เมื่อมาฝึกกรรมฐานตามแนวของ "หลวงพ่อ" จะด้วยเป็นวิสัยเก่า ๆ ที่ชอบหกคะเมนตีลังกาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทำให้อาตมาต้องมาเล่นกายกรรมซะเอง เป็นการเล่นที่เป็นเองโดยไม่ต้องมาเสียเวลาหัดซะด้วยซิ...

    ปกติอาตมาใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ" ซึ่ง "หลวงพ่อ" แนะนำว่าเป็นคำภาวนาที่ง่าย และมีผลใหญ่ถึงพระนิพพาน พอมีเวลาว่างจากงานประจำ อาตมาจะฉวยโอกาสภาวนาทันที โดยไม่ยอมหายใจทิ้งเปล่า ๆ อย่างเด็ดขาด...

    การภาวนาของอาตมานั้นแบ่งออกเป็นวันละสามเวลาคือ เช้ามืดตื่นตีสาม ออกกำลังกายแล้วอาบน้ำอาบท่า สวดมนต์นิดหน่อย อ่านกรรมฐาน ๔๐ วันละบท พออารมณ์ทรงตัวก็จับคำภาวนา จนหกโมงเช้าถึงเริ่มทำงาน...

    รอบกลางวันพักเที่ยง เสียเวลาไปกับการกิน ๑๕ นาทีแล้วมุดเข้าไปใต้ท้องรถ จับอารมณ์ภาวนาในอนุสติ ๑๐ ประการ เริ่มจากอานาปานุสติที่เป็นแม่บทใหญ่ คือนึกถึงลมหายใจ เข้า ออก จนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว...

    แล้วใคร่ครวญถึงความดีอันหาประมาณไม่ได้ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เรื่อยไปถึงความดีของเทวดา ว่าต้องทรงความดีเช่นไรจึงสามารถเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ วิสุทธิเทพได้...

    จากนั้นตรึกตรองถึงอานิสงส์ใหญ่ของการบริจาคให้ทาน และการรักษาศีล คิดถึงสภาพร่างกายที่มีแต่ความสกปรกโสโครก ไม่น่ารักน่าใคร่ ถ้าตายจากมันไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน จิตเกาะนิพพานเป็นจุดสุดท้าย...

    การภาวนาช่วงนี้มีเวลาแค่ ๔๕ นาที อารมณ์บางทีแนบแน่นจนแทบไม่อยากลุกไปทำงานเลย แต่ก็ไม่อาจจะอู้ได้ เพราะว่าชักช้าแม้นาทีเดียว ตีนหนัก ๆ จะลอยมากระทบจนหลุดจากการภาวนาไปเอง...!

    รอบค่ำร่างกายเหนื่อยมากแล้ว หลังจากบริหารร่างกาย อาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยก็กราบพระ คิดตามที่ "หลวงพ่อ" สอนว่า เราอาจจะตายตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ได้เห็นวันใหม่ก็ได้ ถ้าเราตาย เราขอไปนิพพานแห่งเดียว...

    แล้วนึกถึงพุทโธ หงายหลังไม่ทันแตะพื้นก็หลับคร่อกไปเลย แต่ละวันภาวนาได้ไม่สมใจอยาก ต้องมาเพิ่มการภาวนาในวันหยุด คือวันอาทิตย์ ซึ่งการภาวนาในวันหยุดนี้เอง ที่อาตมาต้องเล่นกายกรรมอยู่เป็นนาน...

    อาตมานั่งภาวนาอยู่ที่โต๊ะบัญชี ครู่หนึ่งก็เห็นแสงสว่างแพรวพราวยังกับเพชรลอยอยู่ข้างหน้า (หลับตาเห็น) แสงสว่างนั้นมีแรงดึงดูดมหาศาล อาตมาต้านไม่อยู่ ถูกดูดจนสภาพร่างกายตัวเองก้มลงหน้าติดกับโต๊ะไปเลย...

    แสงนั้นยังคงดูดต่อไป จนหน้ากดลงบนมือที่วางราบบนโต๊ะ แรงกดหนักจนปวดมือเหมือนกระดูกจะแตก จึงเลิกการภาวนาถอนจิตคืนมา อาการก็หายไป ภาวนาใหม่เมื่อไรก็เป็นใหม่อีก...

    พอขยับเก้าอี้ห่างโต๊ะมาก ๆ มันดูดจนศีรษะติดกับปลายเท้า งอก่องอขิงไปเลย พอคิดว่าจะดูดไปถึงไหนวะ...? มันก็เปลี่ยนจากดูดเป็นผลักออกตัว ค่อย ๆ ยืดตรง แล้วหงายไปทีละน้อย จนศีรษะติดพื้นดิน...!

    ก้นอยู่บนเก้าอี้กลม ศีรษะกับเท้าติดพื้นอยู่คนละด้าน เป็นการติดท่าสะพานโค้งของยิมนาสติค บางทีติดอยู่เป็นครึ่ง ๆ ชั่วโมง บางทีก็ดิ้นตูมตาม ตกเก้าอี้ไปกองแอ้งแม้งกับพื้นก็บ่อยไป...

    แม้ร่างกายจะอาละวาดขนาดไหน จิตก็เป็นสุขแนบแน่นกับการภาวนา เป็นอยู่นานนับเดือนกว่าที่อาการต่าง ๆ จะหมดไป อาตมาทราบภายหลังว่าเป็น ๑ ในปิติทั้ง ๕ ชื่อว่า อุเพ็งคาปิติ...

    ถ้าท่านผู้อ่านภาวนาแล้วเป็นแบบนี้ จงอย่ากลัว อย่าตกใจ ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่นานอาการต่าง ๆ ก็จะหมดไปเอง บางคนกลัวจนไม่กล้าภาวนา ทำให้ทิ้งความดีไปอย่างน่าเสียดาย....

    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...