หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน เตรียมตัวกลับวัด

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 26 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน เตรียมตัวกลับวัด
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันที่ 25 พฤษภาคม 2533 ก็มาเล่าต่อกันไปว่า เวลาอีกประมาณสัก 15 วัน จะถึงเวลาวันกลับ ก็ซักซ้อมร่างกายตามคำแนะนำของพระ

    ถ้าถามว่าในช่วงนี้ เจอะผีเจอะเทวดาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นปกติทุกวัน เรื่องผีเทวดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเทวดานี่พบกันทุกวัน คุยกันทุกวัน เพราะว่าท่านเป็นเพื่อนที่ดีมาก ยามว่างหลังจากเจริญกรรมฐานแล้ว เวลาที่นั่งพักผ่อนกัน ดีไม่ดีก็มีผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง แต่ว่าท่านก็มาในรูปของชาวบ้าน

    เท่าที่สังเกตได้ว่า จะเป็นเทวดา หรือเป็นนางฟ้า ก็ต้องสังเกตกันที่ลูกตา ลูกตาของท่านพวกนี้ไม่กระพริบ ถ้าลูกตาแจ่มใส แสดงว่าเป็น อากาสเทวดา ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป ถ้าเป็นลูกตาสีแดง ก็เป็น เทวดาชั้นจาตุมหาราช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชั้นจาตุมหาราชนี่ท่านคุมอยู่เป็นปกติ

    ในสถานที่พักบรรดาท่านพุทธบริษัท มันมีความร่มรื่นชื่นใจเหลือเกิน ไม่อยากจะจากมา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าปราศจากเสียงขัดคอ ไอ้เรื่องคนขัดคอนี่เป็นปกติ ถ้ามาถึงวัดเมื่อไร หรือว่าพบคนเมื่อไร ก็พบคนขัดคอเมื่อนั้น ฉะนั้นการที่อยู่ที่นั่นไม่มีใครขัดคอ เรา 3 คน มีอารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    ประการที่ 2 ท่านที่มาคุย ท่านก็ไม่คุยเรื่องโลก ท่านก็คุยเรื่องว่า คนนั้นตายไปแล้ว ไปอยู่ที่นั่นบ้าง ไปอยู่ที่นี่บ้าง ทำความดีอย่างนั้น ทำความดีอย่างนี้ ครั้นถามท่านเข้าว่า ท่านทำความดีอะไร จึงเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ท่านก็อธิบายให้ฟัง

    แล้วท่านก็คุย ท่านบอกว่า ท่านเองท่านก็ทำบาปอกุศลไว้มาก แต่ว่าเวลาจะตายจิตใจนึกถึงกุศลโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ครั้นไปถามท่านเข้าว่า ถ้าบุญบารมีของท่านหมด ท่านต้องจุติลงมาเกิด ท่านจะไปไหน ท่านก็บอกว่า ถ้าผมไม่สร้างความดีต่อไปฐานะที่เป็นเทวดา ผมก็ต้องลงนรก เพราะผมเห็นภาวะผมแล้ว ถ้าผมพลาดลงไปเมื่อไร ต้องลงนรกขุมนั้นขุมนี้ แล้วท่านก็ชี้ให้ดูขุมนรกที่ท่านจะไป

    แล้วก็ ถามท่านว่า ท่านจะไปไหน ท่านบอก ผมไม่ไป ถามว่าทำไมถึงไม่ไป ก็บอกว่า ผมรู้แล้ว ถ้าผมหมดบุญจากเทวดา ผมจะไปที่นั่น ผมก็ต่อบุญของผมใหม่ การที่ผมมาช่วยท่านอยู่เวลานี้ ก็ชื่อว่าเป็นการต่อบุญกุศลของผม ก็ชื่อว่าท่านก็ช่วยผม ผมก็ช่วยท่าน ก็ถามว่า เวลาท่านที่มาใส่บาตร ท่านจะมีอานิสงส์อะไร ท่านก็ชี้ให้ดูวิมานของท่าน วิมานของท่านเดิมมีสภาวะเป็นอย่างนี้ เวลานี้มันแจ่มใสขึ้น แสดงว่า ผมก้าวหนีนรกไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

    ก็เป็นอันว่า เป็นปกติ และก็มีบางท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านผู้นี้คุยเก่ง แต่เวลาคุยของท่านเรียบร้อย บางท่านก็เรียบร้อย บางท่านก็ท่าทางเหมือนนักเลง ก็สุดแล้วแต่วาระ แต่ว่าท่านผู้นี้ชอบคุยว่า ขุมทรัพย์มีที่โน่น ขุมทรัพย์มีที่นี่ ถ้าบอกขุมทรัพย์มีที่ไหน พอชี้ไป เหมือนกับไม่มีแผ่นดิน มันจะเห็นทรัพย์ชัดเจนแจ่มใสมาก

    บางท่านก็ถามว่า ต้องการไหมล่ะครับ ทรัพย์ก้อนใหญ่ทั้งหมดนี้ ท่านไม่มีสิทธิ์ แต่ว่าก้อนเล็ก ๆ ขนาดนี้ (ถ้าก้อนเล็ก ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท หนักเกิน 10 กิโล) เอาไหม ถ้าเอา ผมจะนำมาถวาย ก็เลยบอกกับท่านว่า การนำทรัพย์สินมานี่ มันประโยชน์หรือมีโทษ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระธุดงค์แค่มีสตางค์อยู่ในย่าม 1 สตางค์ มดก็กินแล้ว (มดคันไฟ) เรื่องทองไม่มีความหมาย วันนี้ไม่มีความหมาย วันหน้าก็ไม่มีความหมาย ไม่ต้องการทอง ต้องการอยากจะเป็นเทวดา อย่างท่านมากกว่า ท่านก็หัวเราะชอบใจ ท่านก็บอกว่า ถ้าไม่ทิ้งความดีอย่างนี้ก็มีหวังแน่นอน

    บางท่านก็มาบอกถึงประวัติเดิมว่า เราเคยเป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่สมัยนั้น สมัยนี้ คือสมัยเป็นเทวดา แล้วท่านก็ทำรูปร่างให้ดูว่า ท่านเป็นเทวดารูปร่างแบบนี้ อาตมาเป็นเทวดารูปร่างแบบนั้น และท่านก็บอกว่า ก่อนที่จะท่านจะลงมาเกิดนี้ ท่านอยู่สูง อยู่พรหม แต่ว่าเป็นพรหมชั้นที่ 4 (นี่พวกพรหมลงมาคุย)

    ก็ถามว่า ก่อนที่ฉันลงมาเกิดมีสัญญาอะไรไหม บอก มีสัญญาว่า ตั้งใจจะให้ดีกว่าเดิม เมื่อตายไปแล้วคราวนี้ จะต้องอยู่สูงกว่าเดิม ก็ถามว่า คำว่า สูงกว่าเดิม เป็นพรหมชั้นที่ 5 ชั้นที่ 6 ชั้น 7 ที่ 8 ใช่ไหม ท่านบอก ไม่ใช่ ก็ถามว่า ชั้นไหน ท่านบอก รู้เอาเองเมื่อตาย ก็เป็นอันว่า การอยู่ในป่าบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีความเหงา ยามว่างก็มีเพื่อนคุย และเป็นเพื่อนที่ดี

    ทีนี้ต่อมา วันเวลาใกล้เข้ามาทุกที ปฏิบัติหนัก (คำว่า หนัก ไม่ได้หมายความว่า ใช้เวลานาน) คือการใช้อารมณ์ทรงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยามว่าง จิตก็จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ไว้เป็นปกติ

    เห็นท่านลอยอยู่บนศีรษะ เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมาก และก็เห็นพระในอก เป็นสภาพแก้วใสสวยมาก เห็นพระในสมอง 3 องค์สวยมาก ที่อก 2 องค์ ในอกมีพระ 2 องค์ ที่สมองมีพระ 3 องค์ เป็นแก้วทั้งหมด เห็นภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ใหญ่ตระหง่าน หน้าตักเกิน 8 ศอก เห็นเป็นประจำ ภาพนี้ไม่ยอมให้เลือนไปจากใจ

    ถ้าจะทำอะไรก็ดี จะต้องจับภาพนี้ก่อนเป็นปกติ การเดินจงกรม เดินไปเดินมา ก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าชัดเจนแจ่มใสมาก จะไม่วางใจ ทำอย่างนี้เป็นธรรมดา

    ตรงนี้ท่านพุทธบริษัท อย่าเพิ่งชมกัน ถ้าจะชม ก็ขอให้ชมกันตอนดี เพราะตอนที่ไม่ดีมันมีอยู่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะใจยังเป็นทาสของนิวรณ์ ต้องระมัดระวังมัน ถ้าเผลอเมื่อไร นิวรณ์ 5 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งมันเข้าสิงทันที

    1. ความรัก

    2. ความโกรธ

    3. ความง่วง

    4. ความฟุ้งซ่าน

    5. อารมณ์สงสัย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์สงสัยไม่มีแน่ ตัดทิ้งไปแล้ว ไม่สงสัยทั้งหมด ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพิสูจน์ด้วยอารมณ์ตามปกติ ทีนี้อารมณ์ฟุ้งซ่าน บางอย่างมันยังเกิดขึ้น ความง่วงนี้ไม่เป็นไร ถ้าง่วงเมื่อไร ก็นอนเมื่อนั้น

    นอนกับคำภาวนา นอนกับการพิจารณา นอนกับภาพพระพุทธเจ้าที่เห็นชัดเจนแจ่มใส ถ้าจะหลับ ก็หลับอยู่กับภาพพระพุทธเจ้าที่เห็นชัดเจนแจ่มใส ทีนี้ความไม่พอใจ ความไม่พอใจ นี่มี ทั้งเพราะอะไร ไม่พอใจใคร ไม่ใช่ใคร ไม่พอใจตัวเอง บางทีแขนขามันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ จะเดินข้างหน้า จะเดินข้างหลัง เดินถนัดบ้าง ไม่ถนัดบ้าง วางอะไรลืมไปบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

    ความไม่พอใจมันก็เกิด ความไม่พอใจอย่างนี้มันก็เป็นนิวรณ์ อารมณ์ความรัก ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส บางครั้งมันก็มี ไอ้นี่มันก็เป็นความเลว รวมความว่า ท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า อาตมาในสมัยนั้นก็ยังเลว ในสมัยนี้ก็ยังเลว ความเลวยังมีอยู่ ยังขึ้นชื่อว่า ถ้ายังมีขันธ์ 5 เพียงใด เราก็ไม่พ้นความเลว ต่อมามาเล่ากันต่อไป

    เมื่อนั้นเวลาวันใกล้จะกลับ คิดว่า วันพรุ่งนี้กะเวลา 3 วันถึงวัดบางนมโค มันจะถึงหรือไม่ถึง ถ้าหากเห็นว่าจะไม่ถึง เราก็จะเดินทั้งกลางวันและกลางคืน ตื่นขึ้นมาตอนเช้าบิณฑบาตเสร็จ ก็นึกถึงเทพเจ้าทั้งหมด นางฟ้าทั้งหมด และก็พระทั้งหมดที่เมตตา ขอลาท่าน ขอขอบคุณท่าน

    แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นสิ่งที่น่าแปลกเกินคาด พอนึกถึงท่านพับ ปรากฏว่า ทุกองค์ปรากฏชัดหมด มีสภาพเป็นเทวดา แพรวพราวเป็นระยับ ท่านที่เคยใส่บาตร นุ่งผ้าขาด ใส่เสื้อขาดก็หมด ไม่ขาดแล้ว เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าหมด ก็กล่าวว่าจักขอลาท่านขอขอบคุณท่าน และก็ขอความเมตตาท่าน บอกว่า การเดินกลับก็ดี อยู่ที่วัดก็ตาม ขอท่านเมตตาต่อไป ท่านทั้งหลายก็ยอมรับ

    และก็มีท่านหนึ่งถามว่า จำทางได้ไหม ก็เรียนให้ท่านทราบ บอกว่า จำไม่ได้ เพราะตอนมานี่ลุงวิพาเดินลัดตัดทางมาเร็วเหลือเกิน ตั้งแต่หลังผักไห่เดินมาที่ศรีประจันต์ ใช้เวลา 10 นาที ไม่รู้มาอย่างไร

    และก็ถามว่า ท่านจะกลับอย่างไร ก็เลยบอกว่า ถ้าเทวดาไม่ช่วย ก็ใช้ทิศตะวันออกเป็นเกณฑ์ จะเดินตามพระอาทิตย์ เดินสวนทางกับพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ตะวันออกออกมาเราก็เดินสวนทางไป อย่างไร ๆ ก็ถึงแม่น้ำเจ้าพระยาแน่ เมื่อถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ถือว่าการถึงวัดเป็นของง่าย จะจับสายแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสำคัญ และก็จะตัดทางตามสมควร

    ก็มีเทวดาท่านหนึ่งบอกว่า การกลับของท่านจะต้องแวะที่อีก 2 สถาน คือว่า ที่ใต้อำเภอบางปลาม้าแห่งหนึ่ง และก็ที่เหนือวัดบางซ้ายในแห่งหนึ่ง จะต้องปักกลดค้างที่นั่น ก็เลยบอกท่านบอกว่า จากศรีประจันต์ ไปอำเภอบางปลาม้านี่ วันเดียวมันไม่ถึง จะไปอย่างไร

    ท่านก็บอกว่า เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของลุงวิ ท่านลุงวิแต่งตัวสวยแพรวพราว บอกว่าไม่เป็นไร ผมพาท่านมาได้ ผมก็พาท่านกลับได้ ไปตามกำหนดที่จะพึงไป ก็ถามท่านบอกว่าจะไปที่นั่น มีเหตุผลอย่างไร ท่านก็บอกว่า ในที่ 2 สถานนี้ เขาจะโกนจุก โกนเปียเด็ก แต่บ้านแถวนั้น เป็นบ้านคนจน จะจัดงานเข้า มันมีการสิ้นเปลือง ถ้าได้พระธุดงค์ เขาก็ไม่ต้องลงทุนมาก ขอท่านไปโปรด ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ

    ท่านจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นวันนี้ เวลาตอนเย็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมงจะออกเดินทาง (คุยกันตอนเช้า) ก็ถามท่านบอกว่า การออก เดินทางบ่าย 3 โมงจะถึงพอดีไหม ท่านบอกว่า นั่นเป็นหน้าที่ของผม ต้องถึงพอดีแก่เวลา หลังจากนั้นทุกท่านก็หายไป พวกเราก็นอน ก่อนจะนอนก็เตรียมกลด เตรียมมุ้ง เตรียมอะไรทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมเสร็จ คิดว่า ถ้าจะไปเมื่อไร ครองผ้าปุ๊บ คาดพุงปั๊บ ออกเดินทางได้ทันที

    เมื่อถึงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ลุงวิก็มา ทีนี้ลุงวิมาไม่แต่งตัวเหมือนเก่า นุ่งกางเกงแพรสีดำ ใส่เสื้อกุยเฮงสีดำ มาถึงก็ชวนเดินทาง ก็เดินทางไปกับท่าน เมื่อเดินทางออกไปสัก 10 นาที หันหลังมา หวังจะดูที่ว่า ที่ตรงนี้มันมีความสุข วันหลังเราจะมาที่นี่ ปรากฏว่าภูเขาหายไปหมดแล้ว

    ก็ถามลุงวิบอกว่า ภูเขาที่พักเมื่อสักครู่นี้ เวลานี้ไปไหน ท่าก็บอกว่า ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า เป็นภูเขาชั่วคราว มันไม่ใช่ภูเขาประจำ ก็หมดเรื่องกันไป

    เดินตามท่านไป ใช้เวลาประมาณสัก 10 นาที ก็พบกลุ่มคน กลุ่มใหญ่ ยืนอยู่ทางหลังบ้านของเขา คนทั้งหมดประมาณ 50 คนเศษ เมื่อเขาเห็นเข้า เขาก็ออกมาต้อนรับ ขอนิมนต์ให้ปักกลด ตรงหลังบ้านเขาออกไป เมื่อเลือกชัยภูมิได้ดี ห่างบ้านพอสมควรประมาณกิโลเศษ ๆ ก็ปักกลด ลุงวิท่านก็ยังอยู่ที่นั่น เลยถามเขาว่า ที่ญาติโยมยืนอยู่นี่คอยใครหรือ หรือรู้ว่าอาตมาจะมา

    ญาติโยมทั้งหลายก็บอกว่า เมื่อ 3-4 วันนี้มีคนแก่คนหนึ่งเดินทางมาที่นี่ มาจากป่า บอกว่า วันนี้จะมีพระธุดงค์ เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จะเดินทางผ่านมาทางนี้ ขอให้นิมนต์ปักกลดที่นี่ และลูกของใครมีจุกมีเปีย พอที่จะตัดได้ให้มาพร้อมกันตัดจุกที่นี่ จะเป็นมงคลใหญ่

    ในเมื่อบอกอย่างนั้น ก็เชื่อท่าน (คำว่า เป็นมงคลใหญ่ ก็หมายความว่า พระธุดงค์ไม่มีกังวลกับญาติโยม เพียงแค่มีข้าวให้กินก็ใช้ได้ สตางค์ไม่ต้องจ่าย) เมื่อขณะที่ปักกลดเสร็จ ญาติโยมก็เอาน้ำชาบ้าง เอาน้ำมะตูมต้มบ้าง เอามาให้ฉัน

    เวลานั้นก็มีปี่พาทย์วงหนึ่ง พร้อมด้วยคณะลิเก หอบเครื่องพะรุงพะรังมา แบกกลองเดินผ่านมาในทุ่ง พอมาถึงที่ตรงนั้น เห็นคนมุงมาก ๆ ก็นั่งพัก ถามว่า พวกคุณจะไปไหน ก็บอกว่า ผมอยู่ บ้านไปนาใต้ ครับ และลิเกวงนี้ เป็นลิเกอ่างทอง ไปแสดงร่วมกันมาที่สระยายโสม กำลังจะเดินทางกลับ เพราะทางสระยายโสม ถ้าใช้เรือไปก็ไม่สะดวก ก็เลยคุยกัน

    เขาก็เลยตัดสินใจบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่านพักที่นี่ผมก็ขอค้างคืนที่นี่ด้วยครับ และคุยกันไป 2-3 คำ ก็มีคนหนึ่งเตรียมเครื่องโกนจุก เขาถามว่า จะมีการโกนจุก โกนเปียหรือครับ บอกมีญาติโยม มีเด็กมาประมาณสัก 10 คนเศษ ๆ เขามาตัดจุก ตัดเปีย เขาบอก ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะเอาปี่พาทย์บรรเลงให้ ไม่ต้องเสียอะไร เอาบุญด้วยครับ ลิเกก็บอกว่า จะแสดงให้ด้วย

    ก็เป็นอันว่า มีทั้งปี่พาทย์ มีทั้งลิเก มีเครื่องครบ ชาวบ้านก็ดีแสนดี พอรู้ว่าจะมีปี่พาทย์ มีลิเก ก็สร้างโรงลิเกทันที วิ่งไปอาไม่กระทู้มาปักเข้า ไม่ลำมาพาดเข้า ไม่สักมาโปะเข้า ทำพื้นให้เรียบ ปูเสื่อปูสาด ทำเป็นที่พักคนด้วย ทำเป็นที่แสดงด้วย

    ก็เป็นอันว่า คืนนั้นครื้นเครงกันทั้งคืน ปี่พาทย์ก็บรรเลง เขาบอกว่า เป็น ปี่พาทย์วงบ้านไปนาใต้ แต่ความจริงวงบ้านไปนาใต้ เป็นปี่พาทย์ประจำวัดบางนมโค อาตมารู้จักนักบรรเลงทุกคน แต่นักบรรเลงที่บอกอยู่บ้านไปนาใต้วันนั้น ไม่รู้จักสักคน จะหาใครสักคนที่รู้จักก็ไม่มี นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นอันว่าเขาก็บรรเลงกันไป และมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นนักร้องประจำวงปี่พาทย์ ร้องทำขวัญจุกได้ดีมาก ไพเราะ เป็นธัมมะธัมโมอย่างดี คนฟังก็เพลิดเพลิน ปี่พาทย์ก็บรรเลงอย่างดี

    พอตกกลางคืน ชาวบ้านก็ไปหาตะเกียงเจ้าพายุมา 10 ดวง ลิเกก็แสดง เมื่อแสดงเสร็จเวลาประมาณ 6 ทุ่มก็เลิก ก็เลยบอกว่า ตั้งแต่นี้ไป ฉันต้องการความสงัด ทุกคนก็นอนกันเงียบ ชาวบ้านก็นอนกลางทุ่ง พวกลิเกก็นอน ชาวบ้านเขานอนป้องกันพวกลิเก และพวกปี่พาทย์เกรงว่าของจะหาย ตะเกียงก็จุดสว่างจ้าทั้งคืน พวกเราก็เจริญกรรมฐานกันตามปกติ

    รุ่งขึ้นตอนเช้า ตอนนี้ก็ไม่ต้องกินข้าวของเทวดา ก็เป็นอันว่าฉันข้าวเสร็จ ชาวบ้านกินข้าวเสร็จ กับข้าวก็เหลือเยอะแยะ พวกลิเกปี่พาทย์ก็กินกัน กินเท่าไรมันก็ไม่หมด ชาวบ้านก็ช่วยกินกัน กินเท่าไรมันก็ไม่หมด เมื่อมีการฉันข้าว ปี่พาทย์ก็บรรเลง ต่อไปก็ทำการพิธีโกนจุก พอสวดชยันโตพรมน้ำมนต์เสร็จ ปี่พาทย์ก็บรรเลง ลิเกก็แสดง

    บ่าย 3 โมงเย็น ลุงวิก็บอกว่า เดินทางต่อ ไปทิศเหนือวัดบางซ้ายใน ไปที่ตรงนั้นมีบ้านตั้งเด่น ๆ อยู่ 3 หลัง ไปถึงตรงนั้นก็มีคนเขามายืนดักอีกแหละ ขอให้พักตรงนี้จะโกนจุกเด็ก ถามว่าโยมรู้ได้อย่างไร เขาก็บอกว่า มีคนแก่มาบอกล่วงหน้า 3 วันแล้วว่าพระจะมา 3 องค์ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ก็ทำในลักษณะเดิม หลังจากนั้นก็กลับวัด พอถึงประตูน้ำเจ้าเจ็ด คณะปี่พาทย์กับคณะลิเกก็ขอลาแยกไป

    อันนี้แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ในช่วงนี้เป็นการฝึกธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ แต่ถ้าถามว่า เขามีปี่พาทย์ มีลิเก มีอารมณ์เป็นอย่างไร ก็ตอบว่า ใช้อารมณ์เดิม ตามที่พระท่านเตือนว่า นักแสดงก็ดี คนที่มาดูก็ดี ทั้งหมดนี้อายุไม่ถึงร้อยปีก็ตายหมด ตามที่พระโมคัลลาน์ พระสารีบุตร ท่านเคยคิด ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกันไม่ถึงร้อยปีเราก็ตาย

    เสียงลิเกที่ร้อง ถ้ากำลังร้องอยู่ ก็มีเสียง หยุดร้องเมื่อไรก็หมดเสียง เหมือนกับชีวิตของเรา ยังหายใจอยู่ ยังชื่อว่า มีชีวิต ถ้าเลิกหายใจเมื่อไร ชีวิตก็หมดไป เสียงปี่พาทย์ลาดตะโพนก็เหมือนกัน ถ้ายังบรรเลงอยู่เพียงใด เสียงก็ปรากฏ ถ้าเลิกบรรเลง เสียงก็หาย ก็เหมือนกับชีวิตของเรา ชีวิตของเราในเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ก็ยังมีชีวิต ลมหายใจหมดก็หายไป คิดแค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย

    แล้วก็คิดต่อไปอีกว่า อจิรัง วตยัง กาโยฯ เป็นต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ร่างกายนี้อีกไม่นานนัก ชีวิตก็ไปปราศแล้ว (คือ จะหมด ชีวิตแล้ว) ร่างกายของเราเมื่อหมดชีวิตมันก็ไร้ประโยชน์ ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ ดีกว่าร่างกาย เพราะยังมีคนต้องการ
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...