หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน ฝึกธุดงค์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน ฝึกธุดงค์
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จะขอเล่าความเป็นมาสมัยที่บวชใหม่ๆ เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อเห็นปฏิปทาในปัจจุบันก็ดี เมื่อเห็นความเป็นมาต่างๆ ในปัจจุบันก็ตาม อาจจะคิดว่า ตอนบวชใหม่ ๆ คงจะเป็นพระที่มีการเคร่งครัดมัธยัสถ์มาก เพราะว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน

    คำว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อปาน นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็จงอย่าคิดว่า เหมือนหลวงพ่อปาน ทุกองค์ หรือว่าจะปฏิบัติคล้ายคลึงหลวงพ่อปานทุกองค์ก็หาไม่ ความจริง พระที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อปานจริง ๆ มีไม่ถึงร้อยละสอง ขอกล่าวด้วยความจริงใจ นอกนั้นก็เป็นพระที่อาศัยบารมีกินทั้งนั้น แต่ทว่ามีอาการเบ่ง เวลาไปทางไหนเขาบอกว่าพระวัดบางนมโค คนก็มีความเคารพ ถือว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาจะถือว่า หัวหน้าท่านดี แต่ลูกน้องจะดีเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่

    แม้แต่ที่วัดท่าซุงเอง ก็เหมือนกัน ก็จงอย่าคิดว่า ท่านจะเป็นนักสมถวิปัสสนากันทุกองค์ บางองค์ก็ยังถือว่า ปฏิบัติถูกตามพระธรรมวินัยใช้ได้ก็มีอยู่ บางองค์ที่มีการเคร่งครัดมัธยัสถ์ในสมถภาวนาก็มีอยู่ ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ว่าพระส่วนใหญ่ ประกอบกับงานของวัดห่วงงานวัด ในใจในงานวัดดี อาจจะมีบ้างที่ขี้เกียจ จะมีบ้างหรือเปล่า ก็มองไม่เห็นแต่ถือว่าทำงานกันตามหน้าที่ รู้สึกว่า จะดีกว่าสมัยนั้นมาก ก็รวมความว่า มาเล่าเรื่องอาตมาเองก็แล้วกัน คนอื่นจะไปนินทาเขาทำไม (ความจริงไม่ตั้งใจนินทา แต่ล่อเข้าแล้ว ไม่ใช่นินทาเล่าสู่กันฟัง)

    เมื่อสมัยที่บวชใหม่ ๆ ก็มีผ้าห่มไม่ดี ผ้าก็เป็นผ้าดิบ เมื่อบวชเข้ามาแล้ว รู้สึกว่าบวชเข้ามาประมาณ 1 เดือน อารมณ์ของพระ 1 เดือนนี่ ความเป็นพระน้อยเต็มที นอกจากระวังพระธรรมวินัย เพราะว่า เห็นอะไรมันดีหมด เห็นทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ดีหมด เห็นสาว ๆ ก็สวยหมด (อีตอนเห็นสาว ๆ สวยหมดนี่ มันจะดีมากเกินไป) ก็มาคิดในใจว่า ผ้าเหลืองไม่ได้ทำให้กิเลสหด ถ้าอย่างนั้นก็ลองปฏิบัติธุดงค์ (ธุดงค์ 13 นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทมันไม่จำเป็นต้องเข้าป่าเข้ารกเสมอไปหรอก)

    ไปถามหลวงพ่อปานท่านบอกว่า อยากจะปฏิบัติธุดงค์ตามแบบฉบับใน ธรรมวิภาคปริเฉท 2 จะทำได้ไหม ท่านบอกว่า ทำได้ ท่านถามว่า เธอต้องการอะไร

    ก็ต้องการ อันดับแรก เอกาสนิกังคะ ก็หมายความว่า กินข้าวเวลาเดียว

    2. เตจีวริกังคะ ใช้ผ้า 3 ผืน (เอาภาษาไทยดีกว่า) เอา 2 อย่างนี่ก่อน

    หลวงพ่อปานบอกได้ฉันจะขึ้นให้ แล้วท่านก็แนะนำการปฏิบัติธุดงค์ กินข้าวเวลาเดียวใช้ผ้า 3 ผืน

    แต่ความจริงเขามีผ้าอาบน้ำฝนเพิ่มขึ้นมา ก็มีเป็นผ้าผลัด เมื่อถึงเวลาวันโกนทีก็ซักย้อมสบง จีวร ใช้ผ้าอาบนุ่ง ย้อมกันที วันโกนก็ย้อมที ผ้าสมัยนั้นต้องย้อม เพระสีตกผ้าสีตกนี่ดี ทำให้พระสีสวยเพราะสีผ้าตกเข้ามาในเนื้อพระ

    ลองกินข้าวเวลาเดียวอยู่ 1 ปี อาหารที่วัดบางนมโคเวลานั้นไม่ได้ฟุ่มเฟือยไม่ได้มากมายเหมือนกับวัดท่าซุงเวลานี้ มันก็เหมือนวัดท่าซุงเมื่ออาตมามาอยู่ใหม่ ๆ คือ ไม่ค่อยจะมีอะไรกิน หลวงพ่อปานจึงต้องแกงหม้อใหญ่ ๆ 1 หม้อ หุงข้าวกระทะ ข้าวบิณฑบาตก็ไม่พอกิน แกงก็ไม่พอ กับข้าวที่ฉันเช้าแล้ว ก็ต้องเก็บไว้เพล ก็รวมความว่าเพลกับเช้า กินข้าวเหมือนกัน

    พอมาถือเอกาเช้า กับข้าวที่ถือว่าเป็นพื้นฐานก็คือ ปลาย่าง ปลาย่างกับน้ำปลาแล้วก็พริกแห้งบ้าง พริกขี้หนูบ้าง อะไรก็ตามเท่าที่มี หั่น ๆ ใส่ กินเป็นประจำอย่างนี้ทุกวัน บางทีมีผักบุ้ง ก็เอาผักบุ้งมาต้ม กินกับน้ำปลา กับพริก พริกก็เผ็ด น้ำปลาก็เค็ม ผักบุ้งก็จืด ๆ ก็ใช้ได้ แบบนี้ 1 ปี สังเกตดูแล้วว่า กิเลสมันตกไหม ถึงแม้ว่าจะกินข้าวเวลาเดียว ถือผ้า 3 ผืน ก็ทำตัวเสมอกับพระต่าง ๆ คือว่า ก็ยังสมาคมกับท่านตามปกติ เวลาที่ว่างจากการเจริญกรรมฐาน สำหรับกรรมฐานนี่ว่ากันปกติตั้งแต่วันแรก

    ก็เป็นอันว่า กินข้าวเวลาเดียวมา 1 ปี สังเกตดูกำลังจิตใจ ทั้ง ๆ ที่เจริญสมาธิกรรมฐานด้วย สมัยแรกก็ใช้ภาวนาว่า พุทโธ อย่างเดียว และใช้กำลังวิปัสสนาญาณบ้าง ก็ไม่มากก็ทำแบบนกแก้ว นกขุนทอง แต่ว่าภาวนาไม่เลิก ภาวนานี่ไม่เลิกแน่ เดินไปเดินมาก็ภาวนา เว้นไว้แต่คุยกับเพื่อน คุยกับเพื่อนก็คุยไป เมื่อเลิกคุยก็ภาวนา เวลาไปบิณฑบาตก็ว่า อิติปิโสฯ ว่าเรื่อยไปจนกว่าจะกลับ นึกในใจนะ อย่างนี้ 1 ปี กิเลสไม่ตกเลย มองดูสาว ๆ ยังสวย มองดูเงินทองยังมีค่า มองดูทุกอย่างท่าทางมันยังดี ก็นึกในใจว่า การถือเอกา กินข้าวเวลาเดียว บางคนเขาถือว่าเคร่งครัดมัธยัสถ์ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว กิเลสยังท่วมหัวตามเดิม

    ต่อมาเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า หลังจากนี้ไป เราจะไม่กินของคาว จะเรียกว่า กินเจหรือกินเจ๊อะไรก็ตามใจเถอะขึ้นชื่อว่าของคาวไม่กิน แต่ก็ไม่บอกชาวบ้านให้ทราบถ้าบอกแล้ว เขาจะทำมาลำบาก เราก็บิณฑบาตมาแล้ว อะไรก็ตามที่มันเป็นของคาว เราก็ไม่กินนั่งกินรวมวงกับพระธรรมดา ๆ ไม่ได้แยกไปไหน เลือกกินแต่ของที่มันไม่มีคาว ขณะที่ไม่กินของคาวนี่ใช้เวลา 3 ปี ก็ยังกินข้าวเวลาเดียวตามเดิม ในที่สุด กิเลสก็ไม่ตก สาวก็ยังสวย เงินก็ยังมีค่า วัตถุต่าง ๆ ก็ยังมีค่ามากสวยสดงดงาม เลยมีความเข้าใจว่าการที่เราปฏิบัติทางกายแบบนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านตรัสว่า มรรคผล ไม่ได้เกิดจากทางกาย มันเกิดจากทางใจ

    แต่ว่ามีอะไรแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ขณะที่ตั้งใจว่า จะไม่กินของคาว บังเอิญวันหนึ่งในระหว่างที่ยังไม่กินของคาวนั่น มีญาติโยมเขาถวายข้าวต้มเครื่อง เขานิมนต์ทั้งวัด จะไม่ฉันก็เกรงใจเขา จะฉันก็คิดว่ามันเสียสัจจะ เขาบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ โปรดสักชามหนึ่งเถิด ถึงแม้ว่าจะถือว่า ไม่ฉันของคาว ก็โปรดสักชาม พอกินเข้าไป ช้อนที่หนึ่งทำท่าอืด พอช้อนที่สองอาเจียนทันที อาเจียนอย่างหนัก

    ญาติโยมตกใจ ต้องหาของไม่มีคาวมาให้พอพ้น 3 ปีไปแล้ว ก็กินของคาวตามเดิม ตอนที่ถือเอกาด้วย ไม่กินของคาวด้วย บรรดาญาติโยมทั้งหลาย กิเลสมันก็ดีตามเดิม ยังไม่ไปไหนเลย สาวสวยก็ยังสวยตามเดิม เงินมีค่า ก็ยังมีค่าตามเดิม วัตถุต่างๆ ก็ยังสวยสดงดงามตามเดิม อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก เว้นไว้ว่า จะคุมด้วยกำลังของภาวนา หรือพิจารณาบ้างในบางโอกาสเท่านั้นเอง

    ก็เป็นอันว่า ปฏิปทาเดิมจริง ๆ และสำหรับการปฏิบัติตัว ก็เหมือนกันพระท่านนั่งคุยที่ไหนไปที่ไหน ก็ไปด้วยกัน เว้นไว้แต่เวลาอยู่เราก็อยู่ในป่าช้าของเราตามปกติ เวลาออกมาก็คุย คุยสนุกสนานตามปกติธรรมดา ไม่แสดงตัวว่า ฉันกับเธอน่ะไม่เหมือนกันนะ ตัดมานะตัวนี้ออกไป

    ต่อมาก็มีความรู้สึกทางใจว่า เรานี่คงไม่สามารถชนะกิเลสแน่ ถ้าไม่ชนะกิเลส เราจะอยู่หรือเราจะสึกในเมื่อเราออกพรรษาไปแล้ว ก็มานั่งปรึกษากัน 3 องค์ว่า ถ้าเราอยู่ต่อไปเราก็ขาดจากงานที่เราเป็นลูกจ้างเขา นี่เราลาเขามาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเวลานี้มันก็ครบแล้ว ถ้าหากว่าเกินเวลาไป ถ้าเราสึกไป เขาก็ไม่จ้างเรา ถ้าเราจะอยู่ ถ้าอยู่ไม่ตลอด มันก็ไม่ดีเหมือนกัน เวลานี้กิเลสทุกอย่างมันก็ห้ำหั่นเรา เราไม่ได้หั่นกิเลส ถ้าอย่างนั้น เอาอย่างนี้ดีกว่า เราสึกกันดีกว่า สึกไปหากิเลส อยู่กับกิเลสให้มันช่ำใจ ให้มันเบื่อกิเลส เพราะการเคล้าคลึงกับกิเลส ในเมื่อเราเบื่อกิเลส เราก็บวชใหม่ ปรึกษากันตอนเช้า

    พอดีตอนเช้า หลวงพ่อปานท่านก็เดินผ่านมาถึงหน้าบันได ท่านก็เอาไม้เท้า เคาะบันได ป๊อก ๆๆ หันไปหาท่าน ยกมือไหว้ ท่านบอก ว่าอย่างไร อยากไปหา เป็นขี้ข้ากิเลสอย่างนั้นรึ มันไม่มีทางชนะมันหรอก ออกไปแล้ว นอกจากตัวเราคนเดียว เราก็ห่วงขันธ์ 5 ต่อไปไม่ช้า นี่คุณระหว่างที่บวชอยู่นี่ ผู้หญิงเขาจองหลายคนนะ ทั้งสามองค์นี่ แกอย่านึกว่าฉันเป็นพระแก่ฉันไม่รู้นะ ฉันรู้ว่าใครเขาจองเธอหลายคน และที่เขาจองเธอหลายคนนี่ สักคนหนึ่งในจำนวนนั้นอาจจะชนะใจเธอ

    ในเมื่อเขาชนะใจเธอแล้ว เธอก็แต่งงานกับเขา แต่งงานก็เลยเป็น ขันธ์ 10 คนเดียวขันธ์ 5 สองคนขันธ์ 10 ต่อมา ลูกออกมา ก็เป็น ขันธ์ 15 ลูกออกมาอีก ก็เป็นขันธ์ 20 เพียงแค่ขันธ์ 5 อย่างเดียว ยังมีทุกข์อย่างนี้ จะต้องการขันธ์ 20,30,40 ขันธ์ มันจะมีความสุขได้อย่างไร ความห่วงใยที่คิดว่าจะตัดกิเลส มันตัดไม่ออก กิเลสมันพอกมากขึ้น ตัดสินใจเองก็แล้วกันนะ ว่าอยากจะเป็นอิสระ หรืออยากจะเป็นขี้ข้าเขาต่อไป

    ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านก็เดินกลับ เราก็นึกในใจว่า เอ..มีเมีย เราก็เป็นขี้ข้าเมีย มีลูก เราก็เป็นขี้ข้าลูก ไปไหนไม่มีอิสระ บวชต่อไปดีกว่า เมื่อมันทนไม่ไหวจริง ๆ เราก็สึก สึกแล้วเรารับจ้างที่เดิมไม่ได้ เราก็ทำมาหากิน ปลูกผักปลูกหญ้าไปตามเรื่องตามราวก็แล้วกัน ฐานะก็พอมีอยู่บ้าง มันไม่ร่ำไม่รวยก็ช่างมันเถอะ มีพอกินไปวันหนึ่ง ๆ ก็ตัดสินใจอยู่

    นี่เป็นเรื่องราวปกติธรรมดา ๆ นะญาติโยมนะ อย่าไปนึกว่าพระที่กินข้าวเวลาเดียวเคร่งครัดดีกว่าพระอื่น อย่าไปคิดนะ แต่องค์อื่นนั้นอาจจะดีก็ได้ แต่อาตมากิเลสมันท่วมหัวมาแล้ว กินข้าวเวลาเดียว แล้วแถมกินเจประเภทไม่บอกชาวบ้านนี่ มันพิลึกพิลั่นละ กับข้าวที่เขาหามาให้เขาใส่บาตรมาให้ บางทีมันก็มีคาวทั้งหมด ทำอย่างไร เอาน้ำปลากับหัวหอมมาเป็นกับข้าว หัวหอมธรรมดานี่ เป็นกับข้าว กินเป็นปกติ อย่างนี้กิเลสมันยังไม่หดเลย ถ้าเราจะถือมังสวิรัติ หรือกินเจจริง ๆ กิเลสมันจะหดได้อย่างไร เขาทำกับข้าวเวลานี้มันดีมากกับข้าวเจนี่ บางทีไม่รู้ว่าเจ แหม…มีอะไรหลอกเป็นหมูบ้าง เป็นเนื้อบ้าง เป็นไก่บ้าง ตักไปพับ อ้าว…นี่มันไม่ใช่นี่หว่า มันของปลอม

    ก็รวมความว่า คนอื่นอาจจะลดได้ แต่อาตมามันไม่ลด ก็ตัดสินใจว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราออกธุดงค์กัน ธุดงค์ในวัดเราก็ทำแล้วคือ ใช้ผ้าสามผืน และถือเอกาบางครั้งเราก็ถือเนสัชชิ และโยเฉพาะอย่างยิ่ง กรรมฐานก็ทำแล้วเป็นปกติ กิเลสมันยังไม่ลดไปสักตัว ราคะ ความรัก มันยังมี โลภะ ความโลภ มันยังมี โทสะ ความโกรธ มันยังมี โมหะ ความหลง มันยังมี มันยังมีตัวอยาก จึงตัดสินใจธุดงค์

    พรรษาที่สอง ตัดสินใจธุดงค์ หลวงพ่อปานก็ฝึกธุดงค์ให้ ท่านก็ถามว่า เธอจะธุดงค์อย่างปกติ หรืออุกฤษฏ์ ก็ถามว่า ปกติเป็นอย่างไรขอรับ ท่านบอก ปกติก็เดินไปตามหลังบ้าน ปักกลดตามหลังบ้านชาวบ้านเขาก็ใส่บาตร ถ้าอุกฤษฏ์จะต้องเข้าป่าลึก ถ้าดีไม่พอเทวดาไม่ให้ข้ากิน ถ้าคืนไหน วันไหน จิตใจเราบริสุทธิ์ รุ่งเช้าเทวดาจะใส่บาตรให้ ก็เลยตัดสินใจบอกว่า ผมต้องการอุกฤษฏ์ครับ ทำมันอย่างจริงๆ เอาจริง ๆ ท่านก็เลยฝึกธุดงค์ให้

    อันดับแรกก็ฝึกธุดงค์ในป่าช้า หาทางบิณฑบาตกับเทวดา หากินกับเทวดานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันยากจริง ๆ เอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ แล้วยืนหลับตาพักหนึ่งทำแบบนี้ มาประมาณ 15 วัน

    ต่อมา เป็นวันที่ 16 หรือ 17 จำไม่ได้ หลับตาภาวนาอยู่เฉย ๆ พอจิตเป็นสุขความจริง วันแรก ๆ มันทำไม่ถูก ก็คิดว่า เมื่อไรเทวดาจะมา ๆ ภาวนาไป คิดถึงเทวดาไป จิตมันฟุ้งซ่าน วันนั้นตัดสินใจตามนี้ เทวดาจะมา หรือไม่มาก็ช่างเถิด ฉันก็มีข้าวกินจากพระอื่น เขาบิณฑบาตมาให้ ก็ทำใจสบาย จับอานาปานสติ แล้วก็เจริญพุทธานุสสติ เห็นภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ที่ท่านเคยแสดงให้ปรากฏ สวยอร่ามมาก

    โอ้โห..แท่นใหญ่เบ้อเร่อ ยิ้มแฉ่ง ริมฝีปากแดง ผมดำ สวยสดงดงาม ก็มีคนปฏิบัติอยู่คนหนึ่งชื่อ พุฒ ท่านเรียก มหาพุฒ ๆ เมื่อเห็นท่าน ก็ดูท่านเพลิน ชื่นใจ ประเดี๋ยวได้ยินเสียงฝาบาตรดังก๊ง แล้วมหาพุฒก็บอกว่า คุณ..ลืมตาได้แล้ว เทวดาใส่บาตรแล้ว วันนี้คุณทำถูก ทำอย่างนี้ต่อไปทุกวันนะ จะไม่พลาดจากการได้กินข้าวจากเทวดา แล้วภาพท่านก็หายไป

    พอลืมตาขึ้นมา เปิดฝาบาตรดู มีข้าวในบาตร สีเหลือง ๆ น้อย ๆ และมีดอกไม้ที่ไม่เคยเห็นมาในกาลก่อนมีอยู่ 1 ดอก เอาข้าวมากินมันมีรสหวานน้อย ๆ มีอารมณ์ชุ่มชื่นตอนนี้ก็ได้ท่าแล้ว วันหลังต่อมาก็ใช้วิธีแบบนี้ หลับตาพับ ไม่สนใจแล้วกับใคร สนใจกับภาพพระพุทธเจ้าอย่างเดียวภาวนา พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ และนึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ตอนแรกท่านมาให้เห็นตอนหลังเรานึกเห็นเอาเอง นึกเห็นเอาเองจิตก็เห็นภาพชัดเจน เหมือนกับที่ท่านมาให้เห็นพอได้ยินเสียงฝาบาตร ก๊ง ก็ยกมือไหว้พระพุทธเจ้าเสร็จ ลืมตาขึ้นมา มีข้าวตามเดิม ซ้อมอย่างนี้อยู่ในป่าช้า 15 วัน

    ถ้าถามว่า ในยามปกติหลังจากนั้นกับพระอื่น ก็เล่นกับเขาธรรมดา เขาคุยสนุกเราก็คุยสนุก เขาแบบไหน เราก็แบบนั้น ก็ถือว่า แค่อะไรก็แค่กัน เวลาปกติก็เป็นเวลาปกติ

    หลังจากนั้น เมื่อครบ 15 วันเสร็จ ท่านส่งไปที่ป่า โน่น… ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี 3 องค์ไปซ้อมกันที่นั่น ท่านบอกว่า อีคราวนี้แหละแกถ้าแกไม่ได้กินข้าวเทวดาไม่ให้ แกก็ไม่ต้องกินอะไรทั้งหมด เพราะไม่มีวัดที่อาศัย ไม่มีบ้านที่อาศัย ก็ไม่ไกลบ้านนัก แต่มันอยู่ในป่า กว่าจะเดินออกไปถึงบ้านได้ก็ 2-3 ชั่วโมง ก็ยังไกลหนักเข้าไป ความหวังไม่มีที่พึ่งอื่น อารมณ์ใจก็ยิ่งเป็นสุข อารมณ์ก็เป็น เอกัคคตารมณ์ นั่นก็หมายความว่า ทุกวัน กินข้าวเทวดาได้ทุกวัน

    และที่ดีไปกว่านั้นในป่าที่มีความสุขจริง ๆ ก็คือว่ากลางวันทั้ง ๆ ที่อยู่ไกลบ้านแสนไกลก็มีคนมาเป็นเพื่อนคุย แต่คนที่มาคุยนั่น ทุกคนตาแข็งหมด ไม่มีใครกระพริบตา พวกนี้ไม่กลัวผงเข้าตา เป็นผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง ผู้หญิงแก่ ผู้ชายแก่ก็ดี เราถือว่า ท่านเป็นครูเวลานี้เราอายุ 20 ปีกว่า ๆ ท่าน 50-60 ปี ไม่ช้าเราก็ 50-60 ปี เหมือนท่าน พอเห็นท่านปั๊บ..เรามีความคิดอย่างนั้น

    ท่านผู้นั้นก็ยิ้ม ถามว่า ท่านมีความรู้สึกอย่างนี้หรือ ก็ตอบว่า ใช่ถามว่า โยมทำไมถึงมีความรู้ว่าอาตมาคิดอย่างนี้ล่ะ โยมก็บอกว่า โยมเป็นคนแก่เดิมทีเดียวก็มีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน โยมรู้ใจคน บางวันก็หาคนแก่ไม่ได้ มีแต่คนสาววัยรุ่น กับสาวเต็มตัว อายุไม่เกิน 18 ปี ถ้าเต็มตัว วัยรุ่นก็ 13-14-15-16 นี่ มาเป็นฝูงนำอะไรต่ออะไรมาดะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่นำมาก็เป็นดอกไม้มาถวาย แล้วก็นั่งทำตาเล็กตาน้อย (ผู้หญิงคงรู้เรื่องกระมัง ตาเล็กตาน้อยนี่)

    พอเห็นเธอทำแบบนั้นก็เลย บอกว่าหนูฉันน่ะ แก่แล้วนะ แล้วก็มีสาวคนหนึ่งบอกว่าเขาแก่กว่านี้ผู้หญิงเขายังเอาทำผัวกันเลย นี่ทำไม แก่เท่านี้จะเป็นผัวผู้หญิงไม่ได้รึ ก็ตอบว่าถ้าแก่ธรรมดา พอเป็นผัวผู้หญิงได้ แต่แก่เป็นพระนี่มันมีเมียไม่ได้เธอก็ถามว่า จะไม่สึกแน่รึก็ตอบว่า ถ้ายังไม่อยากสึก ก็ไม่สึก ถ้าอยากสึกเมื่อไร ก็จะสึก เธอถามว่า มีกำหนดไหม ก็บอกว่า กำหนดไม่มี

    คุยไปคุยมาคุยมาคุยไป เผลอประเดี๋ยวเดียว หันหน้ามากินน้ำมารินน้ำจากกระติกพอหันไปอีกที แม่เจ้าประคุณเอ๋ย พ้นจากความเป็นคนสาว ฟันเฟินไม่มีแล้ว ตาโหล หนังเหี่ยวไปแล้ว บอก นี่ ที่ฉันไม่มีเมียเพราะกลัวแบบนี้ ก็ถามว่า กลัวอะไร ก็กลัวไอ้หนังเหี่ยวแบบนี้ เมื่อกี้มันสาวผ่องใส ยังน่ากอดน่ารัด นี่เวลานี้ แม้แต่มือจะแตะตาจะมองเห็น ยังไม่อยากจะมองเห็นเลย แกก็หัวเราะชอบใจ

    แกก็เลยบอกว่า ท่าน..เริ่มชนะแล้วนะ ถาม ชนะอะไร บอกว่า ชนะความงาม ก็เลยบอกว่า ยัง เมื่อกี้ยังเห็นว่าเธอสวยอยู่ แต่ฉันก็คิดว่าที่ไม่ต้องการเธอเป็นเมียก็เพราะอะไรรู้ไหม เธอถามว่า เพราะอะไร เพระว่าเธอเป็นนางฟ้า เธอไม่ใช่คน ฉันไม่อยากจะเอาลมมาทำเมียฉัน เธอก็หัวเราะชอบใจ กลับมาสาวใหม่บอก รู้แล้วก็แล้วไป ดีแล้ว ฉลาดอย่างนี้ก็ดีแล้ว สักวันหนึ่งข้างหน้าคงเจอะกัน (นั่นแน่ แกมีลีลาหลายลีลา)

    ต่อไปอีกวันหนึ่งเว้นไป 1 วัน พอวันที่ 3 หลังจากวันนั้นนะก็ปรากฏว่า มีเสียงสาวคุยแหมเสียงเพรียก เสียงเพราะโหยหวน (คำว่า โหยหวน ไม่ใช่เสียงผีนะ) เสียงนิ่มนวลเสียงน่าฟัง พอออกมาจากป่า แทนที่จะเป็นสาว กลายเป็นเสือโคร่งฝูงเบ้อเร่อ เดินย่างสามขุมเข้ามา ก็นึกในใจ มองไปหาเพื่อ ถาม เฮ้ย..มีความรู้สึกอย่างไรโว้ย..!

    เพื่อนก็บอกว่า ไอ้เสือพวกนี้มันไม่กระพริบตานะ เลยบอกว่า ตามธรรมดา เสือมันเห็นคนมันไม่กระพริบตา เพื่อนก็บอกว่า ไม่ใช่หรอก สังเกตดูให้ดี เจ้าเสือพวกนี้ขนมันไม่พอง ถ้าเสือจริง ๆ ขนมันพอง และอีกประการหนึ่ง เสือมาเป็นฝูงอย่างนี้ไม่มี ตามประเพณีเสือไม่มี ต้องไปเดี่ยว อย่างเก่งเขาก็ไป 2 ตัว ผัวเมีย แต่เดินห่างกัน แต่นี่มันมาเป็นฝูง คงไม่ใช่เสือธรรมดา ก็เป็นเสืออย่างวานซืนนี้แหละ ผมคิดว่า พวกวานซืนนี้คงจะมา เพื่อว่าอย่างนั้น

    ในเมื่อสรุปแล้ว ก็เป็นอันว่า เมื่อเสือฝูงนั้นเข้ามาใกล้ พวกเราก็นั่งเฉย ๆ กินข้าวกินน้ำตามธรรมดา ๆ เขาสูบบุหรี่ก็สูบไป อยากทำอะไรก็ทำ ทำท่าเหมือนกับไม่รู้ว่าเสือมา มีเสือตัวหนึ่งรำคาญ ถามว่า ไม่กลัวเสือหรือเจ้าคะ (เสือเสียท่า คำว่า เจ้าคะ นี่เป็นผู้หญิง) บอกว่า เอาแล้ว แม่เสือกระบาก เอ๊ย.. มาทำไม วานซืนนี้ก็มาเป็นรูปผู้หญิงสาวแล้วก็แก่ วันนี้มาเป็นเสือ ไอ้พวกแกเป็นเสือแบบนี้ ฉันจึงไม่มีเมีย

    เพราะอะไรรู้ไหม ถ้ามีสภาพเป็นเสือแบบนี้ยังคอยยังชั่ว สำคัญหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เสียงเพราะ จริยานิ่มนวล แต่ถ้าเผลอเมื่อไรเธอก็คว้าเสือกระบากขว้างฉัน นี่ฉันก็แย่น่ะซิ แล้วพวกเธอก็ฮา…ครืน กลับร่างกายเป็นนางฟ้า ทีนี้เป็นนางฟ้าเต็มอัตรา ไม่ใช่คนแล้ว เปล่งปลั่ง สวยสดงดงามมาก ลีลาดีมาก เธอก็บอกว่า พวกฉันนี่ ที่ท่านบิณฑบาต พวกฉันนี่มาใส่บาตรทุกวัน เห็นว่าท่านมี พรหมวิหาร 4 ครบถ้วนบริบูรณ์ จำให้ดีนะ

    เห็นว่าท่านมี พรหมวิหาร 4 ครบถ้วนบริบูรณ์ ประการหนึ่ง
    ประการที่สอง มี พุทธานุสสติ
    ประการที่สาม มี ธัมมานุสสติ
    ประการที่สี่ มี สังฆานุสสติ
    ประการที่ห้า มี สีลานุสสติ
    ประการที่หก มี มรณัสสติ
    ประการที่เจ็ด มี อุปสมานุสสติ คือ ถือพระนิพพานเป็นที่ไป จึงมาใส่บาตรให้

    ก็เป็นอันว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกฉันจะไม่มารบกวน ก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ว่าง ๆ ก็มาคุยกันนะ อย่าปล่อยฉันเหงาเกินไปนะ ถ้ามาคุยทีหลังก็ไม่ต้องปลอมกันมาเป็นนางฟ้า ก็นางฟ้ากันไปเลย แล้วบอกว่า ทำบุญอะไรจึงเป็นนางฟ้าอย่างนี้ใครทำบุญอะไรใครอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร พ่อแม่ (โคตรเหง้าเหล่ากอ ไม่ได้ถามเขานะ) ชื่ออะไรบอกกันมาแล้วทำบุญแบบไหน จะได้ไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง เขาบอกว่า เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ดีนะ ว่าง ๆ ฉันจะมาเล่าสู่กันฟังว่า ใครทำบุญอะไร จะเอาพวกฉันมาแต่ละคน ๆ

    แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่บ้านใกล้เคียงกับวัดของท่านก็มีนะ นี่ 2 คนนี่อยู่บ้านใกล้ๆ ถามว่า ชื่ออะไร แกก็บอกชื่อ ถามว่า เป็นอะไรตายเป็นไข้ตาย เป็นคนใส่บาตรอยู่เสมอ อาศัยการใส่บาตรกับท่าน ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาใส่บาตรท่านภาวนา อิติปิโสฯ แต่ว่าเวลาก่อนจะตาย เห็นภาพพระพุทธเจ้าเด่นชัดมาก

    แล้วท่านก็บอกว่า เธอใส่บาตรกับพระที่ภาวนา อิติปิโสฯ นี่ จะไปนรกไม่ได้ ต้องไปสวรรค์ แล้วฉันก็อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ถามว่า โยมชื่ออะไร ?
    เธอก็ตอบว่า ฉันชื่อ "ภู" คนบางนมโคทั้งหมด รู้จักคนชื่อ "ภู" ทั้งหมดในสมัยนั้น..!
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...