หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน บิณฑบาตกับต้นไม้

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 1 มิถุนายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน บิณฑบาตกับต้นไม้
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงเป็น วันที่ 23 มิถุนายน 2533 ตามเดิมมาคุยกันต่อไป
    [​IMG]
    หลังจากที่จิตตกลงนิดหนึ่ง กำลังสมาธิลดลงมาถึงอุปาจารสมาธิ ความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นทันที ตามกำลังของปัญญาของสมาธิ ที่ท่านบอกว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ ปัญญาก็เกิด ปัญญาตัวเกิดตัวแรกก็คือ ปัญญาจับ กายคตาสติกรรมฐาน เพราะว่า กรรมฐาน 40 นี่ ปฏิบัติกันไม่ได้แน่นอนนะญาติโยม สุดแล้วแต่ว่าอันไหนขึ้นมา จับอันนั้น ต้องศึกษากันครบ 40 มีประโยชน์มาก

    อันดับแรก จิตจะล้วงเข้าไปถึงตับ ไต ไส้ ปอด ตั้งแต่หัว ถึงเท้า ถ้าหนังมันลอกไปแล้ว จะมีความรู้สึกอย่างไร มีแต่เนื้อ เลือดไหลซิบ ๆ คำว่า สวย ของคน หมดกันตรงนี้แล้วก็ต่อมา ถ้าลอกเนื้อออก จะมีความรู้สึกอย่างไร เหลือแต่โครงกระดูก แต่ข้างในยังมีตับ ไต ไส้ ปอดอยู่ ถ้าตับไต ไส้ ปอดหมดแล้ว จะเหลือแต่กระดูก ก็พิจารณากันไม่ยาก

    ทุกอย่างเมื่อเห็นแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายทั้งหมดนี้มันเป็นธาตุ 4 แบ่งเป็น อาการ 32 และมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก อย่างนี้เป็นกายคตาสติ

    แล้วในที่สุดมันก็สลายตัว เป็น อนัตตา อันนี้เป็นวิปัสสนา จิตมันก็เห็นชัดด้วยกำลังของฌาน มีอารมณ์ผ่องใส สดชื่น มีความดีใจว่า เวลานี้เราเพิ่งรู้จักของจริง เรามุ่งเฉพาะสมถภาวนามานาน ทำกันถึงฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 นี่เรายังไม่มีดีอะไรเลย ยังวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แค่รูปฌาน และอรูปฌานก็ไปหลงคำยอของคนอื่น พระอื่นที่เขาทำมาก่อนเขาบอกว่าเก่งแล้วดีแล้ว ๆ นี่เรามันโง่ จะไปโทษท่านไม่ได้ เพราะเรามันโง่เอง

    ในเมื่อมาพบกับของจริงเข้าอย่างนี้ จิตใจก็ชุ่มชื่น คิดว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความเลวอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องการมีต่อไป ทีหลังอารมณ์นี้มันก็จับอารมณ์ใจ เห็นใครเข้าปั๊บเห็นผิวนอก ก็เห็นข้างในหมด มันมีความรู้สึกเหมือนกันหมด เห็นข้างในแล้ว ในที่สุดก็มีความรู้สึกว่า ทุกคนต้องตายหมด คืนนั้นทั้งคืนเกือบไม่หลับ มันมีธรรมปีติ

    แต่ว่าในตอนเช้ามือ ประมาณสักตี 3 ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงบอก คุณเสียงที่พูดนี่เคยเป็นแม่คุณนะ จำวัดเสียเช้าจะงง อย่าทรมานมากเกินไป การเพลิดเพลินเกินไปเป็นการทรมานกาย จะขัดต่อคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลที่จะพึงได้ มันก็จะไม่ได้

    ก็ถามว่า ทำไม่จึงจะหลับ เวลานี้จิตมันฟูเหลือเกิน ท่านก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น แม่จะทำให้หลับ เอนกายลง ไม่เห็นตัว พอเอนกายลง ท่านบอก จับอานาปานสติ ก็ทิ้งภาพ กายคตาสติ จับ อานาปานสติ นึกถึงพุทธานุสสติ พอนึก พุท หายใจเข้า โธ ออก แค่นั้นเองหลับ เมื่อหลับแล้วก็พ้นไป

    พอตอนเช้า ฉันเช้าเสร็จ ก็มาคุยกันหน่อยหนึ่ง ฉันเช้าที่ไหน ขอตอบว่า ฉันเช้าในป่าเวลานั้นมันยังเป็นป่าเยอะ ดินแดนเมืองสุพรรณป่าเยอะแยะ เป็นป่ามาก มีทุ่งน้อย ก็เอาบาตรแขวนกับต้นไม้ จับพุทธานุสสติกรรมฐานเห็นภาพพระพุทธเจ้า เห็นท่านยิ้ม ท่านถามว่ามีอะไรจะคุยไหม

    (ความจริงเห็นภาพอย่างนี้ เห็นทุกวัน แต่คุยไม่เป็น ความโง่ของคน มันเป็นอย่างนี้คนที่เขามาคุยกับอาตมาบ้าง มาศึกษากรรมฐานบ้าง เขาคงคิดว่า คงฉลาดมาก แต่ความจริง โง่บัดซบ โง่แสนโง่ พบพระพุทธเจ้ามานานพูดไม่ได้ ถามไม่ได้)

    ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้มีความรู้สึกอย่างไร ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า มีธรรมปีติสูงมาก ท่านบอกว่าระวังนะ ปีติ ถ้ามากเกินไป มรรคผลจะไม่เกิด เพราะอารมณ์ปีติฟู ปีติ ถ้าน้อยเกินไปมรรคผลก็จะไม่เกิด ต้องมีกำลังใจแค่พอดี ๆ

    จึงกราบเรียนถามท่านว่า คำว่า พอดี แค่ไหน ท่านบอกว่า แค่อารมณ์จิตเป็นสุข อย่าให้ฟูเกินไป อย่างเมื่อคืนนี้ฟูเกินไปไม่อยากจะเลิก อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องถอยหลังก็รับปากท่าน ที่ท่านสอน

    เมื่อท่านพูดจบ ก็มีเสียงบอกว่า บาตรมีอาหารครบแล้วครับ เป็นเสียงผู้ชายแต่ไม่เห็นตัว ก็ลืมตาขึ้นมา บาตรมีอาหารครบ มีดอกไม้สวย ๆ 1 ดอก ต่างองค์ต่างก็ฉันข้าวกัน เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก็เดินจงกรมเดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ตามสบาย ๆ ให้ร่างกายหายเครียด ร่างกายคลายเครียดแล้วก็นั่ง หลังจากเที่ยง ถึงเวลาที่หลวงพ่อโหน่งออกมารับแขก

    เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาพอสมควร เวลาประมาณบ่าย 3 โมงก็เข้าไปกราบท่าน เมื่อเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้พบพระแล้วใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เรื่องพบพระ นี่พบทุกวัน ตั้งแต่เจริญกรรมฐานมา วันแรกก็พบพระเรื่อย แต่ว่าไม่เข้าใจเรื่องการถามพระ ท่านบอกว่า นี่มันเป็นหน้าที่ของอาจารย์ปานท่าน ที่ท่านไม่บอกเธอเพราะอะไรรู้ไหม

    เพราะว่าหน้าที่การบอกเธอ คือ ฉัน เราเคยทำบุญร่วมกันมา แต่หน้าที่ของใครก็หน้าที่ของใคร หลังจากนี้มีความพอใจหรือยังว่า การถามพระได้ บอกว่า พอใจแล้วครับ ท่านก็เลยบอกว่า การปฏิบัติกรรมฐาน ต้องถามพระทุกขั้น ทุกตอนนะ

    อะไรที่ได้มา เขาเรียกกันว่าอะไร อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือยัง ถูกหรือผิด ถ้าผิดพลาด จะทำอย่างไรในการแก้ไข ให้ถามพระโดยตรง อย่าถามใคร แต่ว่าอย่างอาจารย์ปาน หรืออย่างอาจารย์จง นี่ถามได้ ไม่ผิด แต่คนอื่นอย่าเพิ่งไปถามเข้า เพราะว่าหลวงพ่อเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเขาได้ชั้นไหน

    ถ้าบังเอิญไปพบกับคนที่เขาได้จริง ๆ มันไม่ผิด ถ้าไปพบกับคนที่ไม่ได้จริง ๆ เขาจะแนะนำว่า อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เฝือ การเห็นภาพพระเป็นจิตเลื่อนลอย การเห็นนิพพานมีจริงเป็นของเลื่อนลอย อย่างนี้เธอก็จะผิดทาง ก็รับปากท่าน ท่านบอกว่า ต้องทำทุกวัน ถึงแม้ว่าฌานสมาบัติที่เธอได้ก็เหมือนกัน เมื่อทำอารมณ์ถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้น วิปัสสนาญาณมันจะเข้า ปัญญามันเกิดเอง

    คำว่า วิปัสสนาญาณ คือ ปัญญา ที่รู้แจ้งเห็นจริง มีความเข้าใจตามความเป็นจริง อย่างเมื่อคืนนี้ที่เธอเห็น กายคตาสติ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเกลียด ลอกหนัง ลอกเนื้อ เอาตับ ไตไส้พุงออก อย่างนั้นเป็นกายคตาสติ และอสุภกรรมฐาน แล้วเธอก็นึกถึงความตาย หรือการสลายตัวซึ่งเป็น อนัตตา

    นี่เป็นอันว่า ไม่ได้บอกท่าน ท่านรู้ ท่านบอกว่า นี่แหละเป็นตัวปัญญาที่เกิดจากสมาธิมันตั้งมั่นดีแล้ว ขณะที่สมาธิตั้งมั่น มันจะไม่คิดอะไร มันจะมีสภาพดิ่งของมันทรงตัวก็ปล่อยไป อย่าฝืน (คนที่เคยมาถามบ่อย ๆ ว่า จิตดิ่ง ทำอย่างไร ๆ จำไว้ด้วยนะ) ปล่อยให้ดิ่งไปตามนั้น

    สักครู่หนึ่งจิตมันจะลดตัวเอง กำลังสมาธิจะลดตัว ในเมื่อสมาธิลดตัวมาถึงอุปจารสมาธิ อารมณ์ก็จะเกิด ความรู้สึกจะเกิด ความรู้สึกตัวนี้เป็นตัววิปัสสนาญาณ เป็นตัวปัญญา จะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้ามันจะเกิดมุมไหน ก็จับเฉพาะมุมนั้นนะ มันดีทุกมุม

    รวมความว่า การฝึกกับหลวงพ่อโหน่ง ฝึกจนคล่องอยู่ที่นั่นใช้เวลา 15 วัน ก็ไปลาท่านกลับ ท่านถามว่า แล้วจะมาอีกไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าสุดแล้วแต่หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอก็ยังไม่ได้มาอีกนาน ถ้าจะมาก็จวนฉันจะตายนั่นแหละ ใกล้ ๆ เวลาที่ฉันจะตาย เธอจะได้มากับหลวงพ่อปานอีกครั้งหนึ่ง

    ก็กราบเรียนท่านว่า ท่านจะตายก่อนหลวงพ่อปานหรือขอรับ ท่านบอกว่า ใช่ พระท่านบอกว่า ฉันจะตายก่อนหลวงพ่อปาน แต่ไม่เป็นไร มีอะไรมาถามกันได้เลยนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน การเดินไปเดินมาเป็นของยาก เราไปพบกันที่ต่อหน้าพระก็แล้วกัน

    ถ้าเธอเห็นพระเมื่อไร นึกถึงฉันเมื่อนั้น ฉันจะพบกับเธอทันที ที่ข้างหน้าพระเธอมีอะไรถามฉันได้ ถ้าฉันไม่เข้าใจ พระท่านจะตอบแทน แหม..เป็นโชคหนัก แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทสังเกตดูให้ดีนะว่า การศึกษากันทั้งหมดนี่ไม่พูดกันถึง เรื่องฤทธิ์ เลย เรื่องการเหาะเหินเดินอากาศนี่ ไม่ได้มีการศึกษากัน

    ทีนี้ก็มีคนหลายคนคุยว่า อาตมาเก่ง เก่งกว่าความเป็นจริงเยอะ ที่เขาคุยกันนะแต่ความจริงเรื่องฤทธิ์นี่ไม่ได้คิดว่าจะเหาะ คิดว่า ทำอย่างไรจะคุยกับพระได้ คุยกับพระถูก

    ที่นี้มาก็ขอเล่าเรื่องหลวงพ่อโหน่งสักเรื่องหนึ่ง คือ หลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังนี่หลวงพ่อปานท่านพูดเองนะว่า สมัยหนึ่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดมหาธาตุฯ คือ หลวงพ่อเฮง เวลานั้นท่านเป็นพระราชาคณะ ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ

    ท่านจะไปฝังลูกนิมิตที่วัดปากคลองสองพี่น้อง (วัดนี่จำไม่ได้แน่อน) ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล แล้วในงานนั้นเขาก็ต้องนิมนต์หลวงพ่อโหน่งมาด้วยเป็นของธรรมดา ถึงเวลากลางคืน ตอนที่เขาจะทำนิมิตกัน พระทุกองค์มาหมด แต่ว่าขาดหลวงพ่อโหน่งองค์เดียว

    เป็นอันว่า หลวงพ่อโหน่งไม่มา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดมหาธาตุฯ (หลวงพ่อเฮง) ท่านก็บอกกับพระทั้งหลายว่า ถ้าหลวงพ่อโหน่งไม่มา เรายังทำกันไม่ได้ เพราะว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นพระที่มีความสำคัญมาก การที่เราทำ มันอาจจะผิดวิธีการก็ได้ ตามตำรานี่ ตำราเขาเขียนถูก แต่ความรู้สึกของเราอาจจะผิด

    แต่ความจริง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เฮง) ใคร ๆ ก็ยอมรับนับถือว่าเป็นนักตำราจริง ๆ มีการแตกฉานในพระไตรปิฏกจริง ๆ ทุกคนก็ต้องคอยในเมื่อหัวหน้าบอกให้คอย ก็ต้องคอย คอยจนกระทั้งยันเช้า หลวงพ่อโหน่งยังไม่มา ก็ไม่มีใครทำกัน

    พอตอนสายประมาณ 3 โมงเช้าหลวงพ่อโหน่งมา ในเมื่อหลวงพ่อโหน่งมา หลวงพ่อเฮง ท่านก็เรียนถามหลวงพ่อโหน่ง ท่านเห็นหลวงพ่อโหน่ง (ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่งนะ ท่านไม่ได้คิดว่า ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล อันนี้ต้องคิดให้ดี พระชั้นดีนะ หลวงพ่อเฮงนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ไม่ใช่ดีแต่ตำรา ด้านจิตใจสมาธิก็ดีมาก)

    ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่งในฐานะที่เป็นอาวุโสกว่าท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้ทำไมไม่มาครับหลวงพ่อ พวกผมคอยกันจนสว่าง ท่านก็เลยบอกว่า พิธีกรรมที่ทำนี่ ที่กำหนดว่าจะทำ พระท่านบอกว่าผิด ทำไม่ถูกท่านไม่ให้ผมมา ให้มาตอนสาย ผมก็เลยมาตามคำสั่งของท่าน

    หลวงพ่อเฮงก็ถามว่า (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นะ) พระสั่งว่าอย่างไรขอรับท่านก็บอกว่า พระสั่งว่าต้องทำแบบนี้ แล้วสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เฮง) ก็ให้พระจดทันที(เลขานุการจด) ช่วยกันจดพิธีกรรมต่าง ๆ เมื่อจดเสร็จ สั่งทำตามพิธีกรรมนั้นทันทีทันใด ท่านบอกว่า อย่างนี้ถูกแน่นอน

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงพระสมัยนั้นท่านดีจริง ๆ พระดีมีมาก แต่ขึ้นชื่อว่า ของธรรมดาในโลก บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นของคู่กัน เมื่อมีความดีแล้วก็ต้องมีความชั่ว มีความชั่วแล้วก็มีความดี มีคนรู้จริง ก็ต้องมีคนรู้ไม่จริง คนรู้ไม่จริงมี ก็ต้องมีคนรู้จริง คนรู้อย่างประเภทหยิ่งยะโสโง่แกมหยิ่ง ประเภทนี้ก็ต้องมีประจำโลกเหมือนกัน ก็เป็นของธรรมดา ๆ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ คนในโลกก็ไม่มี ไปนิพพานกันหมด

    ก็รวมความว่า หลังจากนั้นก็ลาหลวงพ่อโหน่งกลับ เมื่อลาหลวงพ่อโหน่งกลับวัดมาถึงที่วัดก็มาเจอะของดีอีก เราจะเรียกกันว่าอย่างไรดี ก็เจอะพระชั้นดี ลูกศิษย์หลวงพ่อปานบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าไปที่ไหนมีคนยกย่องสรรเสริญ เคารพนับถือ บูชาสักการะเลี้ยงดูอย่างดีมาก

    แต่ว่าที่ดีจริง ๆ มีปริมาณน้อยเหลือเกิน เพราะอะไร เพราะว่าวิชาที่หลวงพ่อปานสอนไม่เอาหรอก อย่างสมถวิปัสสนานี่ อาตมาจำได้ ในสมัยนั้นก็มี พระสำรวย คือพระครูธรรมโสภิต วัดสร้อยทอง องค์หนึ่ง ที่สนใจกรรมฐานจริง ๆ แล้วก็ หลวงพ่อเล็กเกสโร อาจารย์ฉัตร 3 องค์นี่เอาจริง

    นอกนั้นก็เป็นลิงหลอกเจ้า คำว่า ลิงหลอกเจ้านี่หมายความว่าไม่เอาเลย เรียนนักธรรมบาลีก็ไม่อยากจะเรียนแต่การงานชอบทำเพราะไม่ต้องเรียน อย่างนี้เราจะพบดีกันที่ไหน

    ในเมื่อเข้าไปวัดก็เจอะของดีเข้าซิ บรรดาพระพวกนี้แหละ เอ้า. อรหันต์มาแล้วโว้ยคนเก่งแล้ววะ เอ้า..พวกเราใครอยากจะดูอะไร ใครอยากจะดูแสดงฤทธิ์ ก็ต้องยิ้ม เขาว่าอย่างไร เราก็ยิ้ม ที่ยิ้มเพราะอะไร ยิ้มเพราะว่า เราดีใจว่า เรารู้แล้วว่าพวกนี้เขาจะไปไหน

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกำลังใจเราคุมพระจิตใจเห็นพระตลอดเวลา พอเขาพูดปั๊บ เห็นภาพในอดีตของเขาลงไปนอนจมในอเวจีมหานรก ไฟลุกพึ่บ ๆ ๆ มีหอกร้อย หอกเสียบดิ้นรนไม่ไหว เราก็ยิ้ม เราคิดว่า นี่เราจะไปเถียงกับสัตว์ในอเวจีอย่างไร ถ้าเถียงกับเขา ดีไม่ดี เราก็ลงอเวจีไปด้วยคน

    ถ้าด่ากันฝ่ายเดียว ฝ่ายหนึ่งด่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่ด่า ถ้าขึ้นสถานีตำรวจ ฝ่ายที่ไม่ด่า ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับ ถ้าด่าด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ถูกปรับทั้ง 2 ฝ่ายนี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเขาเลว ถ้าเราไปเลวตามเขา ไปโกรธเขา เราก็เลว เราก็ต้องไปนรกกับเขาด้วย เราก็ยิ้ม พอพวกเรายิ้มมันก็บอกว่า นั่นแน่..เห็นไหม คนธรรมดา ถ้าพูดอย่างนี้ เขาต้องเถียง ไอ้นี่มันบ้า ๆ บวม ๆ ใครเขาพูดอย่างไร ก็เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวอย่างนี้เขาเรียกว่า บ้ายิ้ม เขายังเอาอีก

    ต่อมาเมื่อเดินเข้าไป เห็นหลวงพ่อปานกำลังรับแขก ก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรทั้งหมด เพราะท่านกำลังคุยกับแขก เรากราบท่าน ท่านก็ยกมือรับไหว้ เราก็ยังไม่เข้ากุฏิก่อน เข้าไม่ได้ ในเมื่อท่านยังไม่พูด ยังไม่สั่ง ในเมื่อท่านคุยกับแขกจบเรื่องท่านก็ถามว่า วิชาคุยกับพระได้มาแล้วใช่ไหม บรรดาพวกแขกเขาก็ตะลึง เขามองดูเขาถามว่าคุยกับพระอย่างไรขอรับ

    หลวงพ่อปานท่านบอก คำว่า คุยกับพระ ก็คือ พูดกับพระพุทธเจ้าการที่พบพระพุทธเจ้าได้ก็ดี พบเทวดา หรือพรหม นางฟ้าได้ก็ดี เป็นของดี แต่ก็ยังไม่ดีจริง ถ้าจิตเราเลว ทีนี้การพบพระได้ เราจะถามได้ว่ากรรมฐานที่เราทำ หรือข้อวัตรปฏิบัติที่เราทำมันดี หรือไม่ดี มันถูก หรือมันผิด ถ้าสิ่งใดที่มันยังพร่องอยู่

    สมมติว่าเวลานี้บารมีเรายังพร่อง เรายังมีบารมีชั้นสวรรค์ชั้นกามาวจร เราอยากจะเป็นพรหม เราจะทำอย่างไร ท่านจะบอกให้สั้น ๆ ง่าย ๆ แล้วก็ปฏิบัติตามท่าน เพียงแค่นี้ ประเดี๋ยว 2-3 วันก็ได้ ถ้าเราต้องการจะไปนิพพาน จะทำอย่างไร ท่านก็จะบอกให้แบบสั้น ๆ เฉพาะที่พร่อง เพราะบุญบารมีทุกคนทำมาแล้ว อย่างไหนมันเต็มแล้ว ท่านก็บอก ไม่ต้องทำ อันนั้นมันเต็มแล้ว รักษาไว้ไม่ต้องทำใหม่ ทำสิ่งที่มันบกพร่องให้มันเต็ม

    ในสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นสมเด็จพระบรมครูเทศน์ไม่ยาก เทศน์คนฟังง่าย ๆ อย่างเทศน์ให้ เปสการี ฟังว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงขอเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าความตายจะมีกับเราวันนี้ไว้เสมอ และทุกคนให้นึกถึงพระไตรสรณาคมน์ รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ (อันนี้แถม) เพียงเท่านี้เธอก็เป็นพระโสดาบัน เพราะอะไร

    เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขาพร้อมแล้ว มันขาดเท่านั้นที่นี้ถ้าเราเจริญกรรมฐาน พบกับพระได้ คุยกับพระได้ เขาถือว่า เป็นการเจริญกรรมฐานที่ได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ผลที่จะพึงได้จริง ๆ ถ้าบุคคลใดได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ บุคคลนั้นมีหวังไปนิพพานในชาตินี้ ถ้ากรรมอย่างอื่น กรรมชั่ว ไม่มาลิดรอน ไม่มาตัดทอนเขา เขาสามารถจะไปนิพพานได้

    ก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งถามว่า พระทั้ง 3 องค์นี่ พบพระได้แล้วหรือยัง ท่านก็บอกว่าฉันสอนให้เขาพบพระได้ตั้งแต่วันแรกบวช เขาก็พบ แต่ว่าเขาคุยกับพระไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจ ถ้าฉันจะบอกเขา ฉันก็บอกได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันมันเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อโหน่ง ที่จะต้องบอก เพราะทั้ง 3 องค์นี่ เขาเคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมา ร่วมกับฉันเขาก็ร่วม ร่วมกับหลวงพ่อโหน่งเขาก็ร่วม แต่หน้าที่ในการบอกจะต้องเป็นหลวงพ่อโหน่ง ฉันก็ให้เขาไปหาหลวงพ่อโหน่ง เขาก็ไปหาหลวงพ่อโหน่ง เขาก็เรียนมาแล้ว

    ท่านก็หันมาถามว่า เวลานี้คล่องตัวแล้วใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า คล่องแล้วครับ ญาติโยมทั้งหลายก็ถามว่า การคุยกับพระทำอย่างไรขอรับ ก็บอกว่าโยมถามหลวงพ่อปานก็แล้วกัน อาตมาเป็นลูกศิษย์ เพิ่งจะได้เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ยังเป็นคนที่ไม่ถึงความดี อย่าเพิ่งถามกันเลย

    หลวงพ่อปานก็บอกว่า จริงอย่าไปยุ่งกับพระท่าน เอ้า..คุณทั้ง 3 องค์กลับไปกุฏิได้นะตามสบาย ตอนเช้าจะไปบิณฑบาตก็ได้ ไม่ไปบิณฑบาตก็ได้ แต่การบิณฑบาตกับต้นไม้ของเธอให้ทำตามปกติ และธุดงค์ 13 ให้เลือกปฏิบัติตามชอบใจนะ
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...