หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอนเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 28 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอนเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง
    [​IMG]
    เป็นอันว่า หลังจากไปวัดหลวงพ่อโหน่ง กับหลวงพ่อปานแล้ว ต่อมา ตอนเดือนสาม ปลายเดือน ข้างแรม การเกี่ยวข้าวของชาวบ้านรู้สึกว่าน้อยลงไป ข้าวเหลือน้อย บางรายก็เกี่ยวหมดแล้ว บางรายก็เหลือบ้างเล็กน้อย การออกธุดงค์เวลานั้นไม่เหยียบข้าวไม่เหยียบปลาของชาวบ้านเขา ก็พอไปได้

    หลวงพ่อปานจึงมีบัญชาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเธอก็จงไปหาหลวงพ่อโหน่งไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่งอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าพระแต่ละองค์มีความสามารรถไม่เสมอกัน อย่างท่านมีความสามารถไปทางหนึ่ง หลวงพ่อโหน่งมีความสามารถไปทางหนึ่ง แต่ว่าหลวงพ่อโหน่งนี่มีความสำคัญมากที่สุด ยากที่จะหาพระเหมือนได้ นั่นก็คือว่า ติดต่อกับพระได้โดยตรง (คำว่า ติดต่อกับพระ หมายความว่า ติดต่อกับพระพุทธเจ้าก็ได้ ติดต่อกับพระอรหันต์ก็ได้)

    ท่านพุทธบริษัทอ่านตอนนี้คงจะมีบุญหลายคน มีบาปหลายคน ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าที่บอกว่า ติดต่อกับพระพุทธเจ้าได้ ติดต่อพระอรหันต์ได้ หลายท่านคิดว่า นิพพานมีสภาพสูญในเมื่อสูญไปแล้วจะพบกันได้อย่างไร (นี่นักตำรา)

    แต่ว่านักปฏิบัติที่เขาได้ตั้งแต่วิชชาสาม ขึ้นไป เขาบอกว่า ไม่ใช่ของเกินวิสัย มันเป็นของทำได้แน่นอน เพราะว่า นิพพานนั้นสูญจริง สูญแต่กิเลส สูญแต่ความชั่ว แต่ว่าตัวจริง ๆ คือ กำลังจิตไม่สูญไปด้วย มีความเป็นทิพย์ เขาเรียกว่า ทิพย์พิเศษ ไม่มีการเคลื่อนไหวไปทางไหนอีก (คำว่า ไม่มีการเคลื่อนไหวไม่ได้หมายความว่าไปนั่งปุ๊กเหมือนตุ๊กตา ไม่ใช่อย่างนั้น) หมายความว่า ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กรรมชั่วที่จะสนองให้มีความทุกข์นั้น ไม่มี

    ก็เป็นอันว่า หลวงพ่อปานก็มีพระบัญชาบอกว่า วันมะรืนนี้ คุณทั้ง 3 องค์ ไปหาหลวงพ่อโหน่ง ก็ถามท่านบอกว่า หลวงพ่อขอรับ ไปวันนั้นไปด้วยกันมาก ผมก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้หลวงพ่อโหน่ง นั่งอยู่ไกล ๆ ท่านจะจำได้หรือครับ หลวงพ่อปานท่านบอกว่าฉันติดต่อกันแล้วว่า วันมะรืนนี้จะให้เธอไป 3 องค์ ท่านบอกว่า ท่านจัดห้องไว้ให้แล้ว สำหรับเจริญกรรมฐาน สำหรับพัก

    เป็นอันว่า ในเมื่อท่านผู้ใหญ่สั่ง ก็ต้องทำและก็ทำด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าการเจริญกรรมฐานเป็นหน้าที่ของพระจริง ๆ ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่างครบถ้วน

    1. อธิศีลสิกขา รักษาสิกขาบท คือ ศีล มากกว่าฆราวาส และก็รักษาให้ครบถ้วน

    2. อธิจิตสิกขา รักษาสมาธิให้มีการทรงตัวเป็นฌานอยู่เสมอ เป็นการป้องกันนิวรณ์เข้ามารบกวน

    3. อธิปัญญาสิกขา นั่นหมายถึงว่า ใช้ปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

    แต่ว่าจะตัดได้หมด หรือไม่หมด ก็เป็นเรื่องของจิตใจในเวลานั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะบังคับกันว่าต้องตัดหมด ถ้าตัดหมดได้ก็ดี เพราะการบวชเวลานั้นถือภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า นิพพาน สจฺฉิกิริยา เอต กาสาว คเหต์ว่า ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

    ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อปลายพรรษาคิดว่า จะอยู่ หรือจะสึก เมื่อตัดสินใจว่าไม่สึก ก็ตั้งใจเจริญกรรมฐานหนักขึ้น เพราะการอยู่ต้องใช้กรรมฐานเป็นพี่เลี้ยง เพราะถ้าไม่มีกรรมฐานจิตใจมันก็วอกแวก อารมณ์ไม่เป็นสุข

    ถ้าจะถามเรื่องกามารมณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท ในเมื่อยังไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใด กามารมณ์มันต้องมี ถ้าถามว่า เคยรักผู้หญิงอยากจะแต่งงานกันไหม ต้องขอตอบว่าเคยเห็นผู้หญิงลักษณะดีดี มรรยาทดีดี คิดว่า คน ๆ นี้เป็นคนดี อย่างนี้มีอยู่ แต่ว่าคิดว่าจะแต่งงานจริง ๆ ไม่มี

    ในเมื่อถึงวันมะรืนตามที่หลวงพ่อปานสั่ง (คือ สั่งวันนี้ วันนี้ก็เตรียมของ เตรียมกลด เตรียมมุ้ง เตรียมกาน้ำ เตรียมแก้วน้ำ เตรียมย่าม เตรียมผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอาบ อังสะ) พอถึงกำหนดวัน ฉันข้าวเช้าแล้วก็ไปลาหลวงพ่อปาน

    หลวงพ่อปานบอก เออ..ไปได้ เดินทางอย่างนี้นะ เดินทางตัดเข้าเขตบางซ้าย ไปข้ามฟากที่บางซ้ายนอก แล้วก็เดินไปถึงองครักษ์ ข้ามฟากที่องครักษ์ เดินทางตัดไปทางบางใหญ่ ข้ามฟากที่บางใหญ่ แล้วเดินทางตัดตรงไปตอนบ่าย ๆ ก็ถึง เวลานั้นป่ายังมีมาก ก็ไปตามสบาย ๆ

    ในที่สุด ก็ไปถึงวัดคลองมะดันเวลาประมาณ 3 โมงเย็นเศษ ๆ อากาศก็ยังร้อน ก็มีความรู้สึกว่า ถ้าหากว่าเราจะเข้าไปหาหลวงพ่อเวลานี้ ท่านอาจจะมีแขก ก็เป็นการไม่สมควร จึงเอากลดวาง แล้วก็นั่งที่โคนต้นพุทรา หลังกุฏิของท่าน พอนั่งเรียบร้อย ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา ท่านถามว่า มานั่งอยู่ทำไมพ่อคุณ คอยมาตั้งแต่เช้าแล้ว เข้ามาที่นี่ได้เลย

    ญาติโยม พุทธบริษัท คิดบ้างไหมว่า หน้าต่างของท่านปิด เราไปกันเงียบ ๆ ต้นพุทราห่างจากกุฏิของท่านประมาณ 20 วา นั่งอยู่ที่นั่น พอนั่งเรียบร้อย ท่านก็เปิดหน้าต่าง ออกมาแล้วก็เรียกบอก คอยตั้งแต่เช้าแล้ว นี่เป็นอันว่า หลวงพ่อโหน่ง กับหลวงพ่อปาน ติดต่อกันแล้ว เขาเรียกกันว่า ทางใน (คำว่า ทางใน นี่ก็คือ อภิญญา) ก็แสดงว่า พระทั้ง 2 องค์นี่เป็นผู้ทรงอภิญญาทั้ง 2 ท่าน

    เมื่อเข้าไปก็นมัสการท่าน กราบท่านแล้ว ท่านบอกว่าเดินมาเหนื่อยคุณเอ๊ย อย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลย เดินมาตั้งแต่เช้าไม่ได้พักกัน ฉันข้าวเวลาเดียว เข้าไปพักที่พักก่อนเถอะ ฉันจัดไว้แล้ว แล้วท่านก็นำไป นำเข้าห้อง 3 ห้องติด ๆ กัน เป็นเรือนไทย

    สมัยนั้นมี 3 ห้อง แล้วท่านก็กลับ ท่านบอกว่า ถ้าอยากจะพบฉัน ก็พบในเวลากลางคืนนะ เวลาประมาณ 2 ทุ่มพบได้เลย พักเสียก่อน อาบน้ำอาบท่าพักผ่อนให้สบาย ก็กราบท่าน ท่านก็กลับ พวกเราก็อาบน้ำอาบท่า นอนพักตามสบาย

    ถึงเวลา 2 ทุ่มก็ไปหาท่าน ท่านก็บอกว่า เอ้า..พวกเธอ 3 องค์หลับตา ใช้กำลังฌานตามลำดับที่ได้มา ทีนี้คณะอาตมาก็พากันหลับตามใช้กำลังฌานตามลำดับ พอถึงที่สุดของฌานทั้งหมดก็ลืมตาขึ้น ทั้ง 3 องค์ ก็เป็นการบังเอิญ ลืมตาพร้อมกันเพราะได้เท่ากัน ท่านก็ลืมตา(ท่านก็หลับตาเหมือนกัน)

    ท่านก็บอกว่าในเมื่ออาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว จะเรียนอะไรกับฉัน เขาเรียนกันโดยมากเขาไม่ทำกันถึงนี่หรอกนะ ที่เขามาเรียนกับฉันน่ะ แค่เขาภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ได้ รู้ลมหายใจเข้าออกได้ เขาก็เลิกกันแล้ว นี่พวกเธอทำขนาดนี้ยังไม่เลิกอีกหรือ ก็ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ทำขนาดนี้ มันจบกิจพระพุทธศาสนาหรือยัง

    ท่านก็ถามว่า เธอมีความรู้สึกว่า เธอจบกิจพระพุทธศาสนาหรือยัง ก็กราบเรียนท่านบอกว่ายังไม่จบขอรับ ท่านก็บอกว่า ในเมื่อเธอมีความรู้สึกว่า ยังไม่จบ มันก็ต้องไม่จบ ถ้าจบก็ต้องมีญาณเป็นเครื่องรู้ว่า เวลานี่เราจบแล้ว

    ท่านก็ถามอาตมาว่า คุณ คุณปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม ก็กราบเรียนว่า ใช่ ท่านหันไปถามอีก 2 องค์ว่า ทั้ง 2 องค์ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม ทั้ง 2 องค์ก็บอกว่า ใช่ ท่านก็บอกทั้ง 2 องค์บอกว่า เออ..สังโยชน์ 3 นี่เธอตัดได้แล้วนะ (นั่นแสดงว่าทั้ง 2 องค์ เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี)

    ท่านบอกว่า สังโยชน์ 3 นี่ไม่ต้องห่วง พยายามก้าวเข้าไปหาสังโยชน์ 4-5 แล้วก็ 6,7,8,9,10 เลยก็แล้วกัน แต่ค่อย ๆ ทำ แต่ว่าวิชานี้หลวงพ่อปานก็สอนมาแล้วใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ ท่านก็หันมาถามว่า เธอทำไมถึงปรารถนาพุทธภูมิ ก็เลยบอกท่านบอกว่า หลวงพ่อปานท่านชวนปรารถนาพุทธภูมิ ผมเองก็ไม่อยากปรารถนาพุทธภูมิ ผมมีความต้องการจะเป็นสาวกภูมิมากกว่า

    ท่านก็เลยบอกว่า ตั้งแต่สมัยชาติก่อน ๆ มา เธอปรารถนาพุทธภูมิไว้ เวลานี้กำลังพุทธภูมิก็มีความเข้มข้นมาก ใกล้จะจบอยู่แล้ว ก็ควรจะทำให้จบ ก็ถามว่า พุทธภูมิของผมนี่จะจบ หรือไม่จบขอรับ จะต้องเกิดอีกกี่ชาติ ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปรู้กันปลายมือนะ ถึงเวลาปลายมือ พระจะอนุญาต หรือไม่อนุญาต ถ้าเธอจะลาพุทธภูมิ ถ้าพระอนุญาต เธอก็ออกได้ เป็นสาวกภูมิได้ ในเมื่อเป็นสาวกภูมิ เธอก็สามารถจะตัดสังโยชน์ได้เหมือนเพื่อน ถ้าพระไม่อนุญาต เธอก็ไม่มีโอกาส

    ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า พระ คือใครขอรับ ท่านก็บอกว่า พระที่สูงสุดของพวกเรามีองค์เดียว คือ พระพุทธเจ้า แล้วพระที่รองลงมาคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลาย นั่นคือ พระ ก็ถามว่า หลวงพ่อเวลาที่หลวงพ่อปฏิบัติแล้วถามพระน่ะ ถามพระองค์ไหนครับ ท่านบอกว่า ฉันถามพระพุทธเจ้าองค์เดียว โดยตรง เฉพาะงานธรรมะ ถ้างานอย่างอื่นอาจจะถามพระสาวกบ้างถามเทวดาบ้าง ถามพรหมบ้าง

    ก็กราบเรียนท่านบอกว่าการเรียนถามนี่กระผมไม่ทราบขอรับ อยากศึกษา ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเองฉันก็ตั้งใจจะสอนเธอในด้านนี้เหมือนกัน เพราะการถามพระได้ก็ดี ถามพระอริยสงฆ์ได้ก็ตาม ถามเทวดา ถามพรหมได้ก็ตาม ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า ท่านจะแนะนำทางตรงของเรา เราบกพร่องตรงไหน ท่านจะเตือนตรงนั้น ก็กราบเรียนถามท่านบอกว่า ถ้าจะถามพระจะทำอย่างไรขอรับ

    ท่านก็บอกว่า พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์ไว้ ถ้าเวลานั้นจิตใจ นิวรณ์ไม่กวนใจก็ดีสังโยชน์ทั้งหลายไม่กวนใจก็ดี เวลานั้นอารมณ์ใจเป็นทิพย์เต็มที่ ถ้าต้องการเห็นพระจะพบพระ จะเป็นพระองค์ไหนก็ได้ หรือว่าจะเป็นเทวดาหรือพรหม นางฟ้าองค์ไหนก็ได้เราจะพบท่าน แล้วก็คุยกับท่านได้ ท่านแนะนำอะไร ปฏิบัติตามนั้น อย่าฝืน

    ต่อไปก็กราบเรียนถามว่า เวลาที่หลวงพ่อเทศน์ตอนเช้า ๆ โปรดโยมนี่ หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนเช้าเมื่อฉันข้าวเสร็จแล้ว หลวงพ่อเทศน์โปรดโยมทุกวัน วันละ 1 กัณฑ์อย่างนี้หลวงพ่อใช้ตำราอะไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ฉันไม่ได้เรียนนักธรรม แม้แต่นักธรรมตรีก็ไม่ได้เรียนในโรงเรียน ฉันดูวินัยมุข ฉันก็ดูหนังสือตามแบบฉบับที่เขาเรียนกันแล้ว ก็อาศัยพระทุกอย่างฉันถามพระหมด

    ถ้าพระให้เทศน์ ฉันก็เทศน์ ถ้าพระไม่ให้เทศน์ ฉันก็ไม่เทศน์ กราบเรียนถามท่านว่า ถ้าเวลาพระให้เทศน์ พระท่านสอนหรือขอรับท่านบอกว่า พระท่านสอน แต่สอนทางใจ ไม่ได้สอนทางวาจา คือพระท่านดลใจให้เราพูดเวลานั้นไม่ต้องใช้อารมณ์คิด เมื่อมีความรู้สึกอย่างไร พูดตามนั้น นั่นเป็นลีลาของพระที่ท่านสอน ฉะนั้นวิชานี้ฉันจะสอนพวกเธอ

    ก็กราบเรียนถามท่านว่า แล้วก็ฌานสมาบัติที่พวกผมได้กัน มันจะเสื่อมไหม ท่านบอกว่า ถ้าเธอเกาะพระไม่มีอะไรจะเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 องค์นี่ คำว่าเสื่อมไม่มี หมายถึงเพื่อน เพราะเขาตัดสังโยชน์ 3 ได้แล้ว เธอยังเป็นพุทธภูมิ พุทธภูมิยังมีกิเลสเต็มกำลังพยายามระงับนิวรณ์ให้มาก ท่านก็เลยถามว่า การอยู่ที่วัดบางนมโค เธออยู่ในป่าช้าใช่ไหมทั้ง 3 องค์ ก็กราบเรียนว่า ใช่ แล้วเวลานี้ตามปกติก็หากินกับเทวดา กับนางฟ้าใช่ไหมก็กราบเรียนว่า ใช่

    การหากินกับเทวดา กับนางฟ้านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการแก้สงสัย บางทีท่านจะไปถามชาวบางนมโค ขอรับรองว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องของอาตมาเขาจะเข้าไม่ได้ แม้แต่พระก็ไม่มีความเข้าใจ ที่มีความเข้าใจได้องค์เดียวก็คือ หลวงพ่อปาน

    เพราะว่าเวลาเช้า อาตมาก็ไปบิณฑบาตกับพระ ไปบิณฑบาตกลับมาแล้ว ก็บอกว่า ผมฉันเวลาเดียวขอรับ ฉะนั้นจะต้องไม่ฉันพร้อมกัน และก็ไม่แบ่งอาหารเอามา ก็กลับเข้าป่าช้า เมื่อล้างบาตรเช็ดบาตรเสร็จแห้งดีแล้ว ก็เอาบาตรไปแขวนที่ต้นไม้ยืนภาวนาว่า พุทโธ อยู่ประเดี๋ยวเดียว ก็ปรากฏว่าเทวดา กับนางฟ้า ท่านก็ใส่บาตรให้ มีดอกไม้สวย ๆ 1 ดอก เพียงเท่านี้เราก็ได้ข้าวกินอิ่ม และก็มีความสุข ก็ทำอย่างนี้จริง ๆ ประมาณ 10 ปี

    ถ้าจะถามว่า มีพระอะไรรู้เรื่องบ้าง ก็ขอตอบว่า สงวนเป็นความลับ ไม่บอกใครเลยนอกจากหลวงพ่อปาน ถ้าถามว่าทำไมจึงสงวน ก็ต้องตอบว่า การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไปกล่าววาจาโอ้อวด พระพุทธเจ้าถือว่าเป็น อุปกิเลส เพราะว่าการแสดงตัวว่าเราเองเป็นผู้เจริญกรรมฐาน ห่มผ้าสีกรัก ทำท่าหลับตา ทำท่าสงบเสงี่ยมเกินไป อย่างนี้เป็นการโอ้อวดแสดงออกว่า ฉันเจริญกรรมฐาน พระพุทธเจ้าท่านกลาวว่าเป็นอุปกิเลส ทำไม่ได้ ต้องทำตัวให้เหมือนเขา

    ฉะนั้นยามปกติทั้งหมด จะทำตัวเหมือนกับชาวบ้านเหมือนกับพระธรรมดา ๆ ทั้งหมด จะคุยสนุกสนานเฮฮาตามเรื่องตามราวไป ไม่ขัดจังหวะกัน แต่ว่าถึงเวลาของเรา เราก็ทำของเรา

    หลังจากนั้นหลวงพ่อโหน่งก็พยายามสอน เมื่อถึงเวลาที่พระท่านมา ท่านก็บอกว่าเวลานี้พระมาแล้ว ทุกองค์จงกำหนดใจดูพระว่ารูปร่างเป็นอย่างไร ก็บอกรูปร่างกับท่านว่าสีสันวรรณะเป็นอย่างไร ท่านก็ตอบว่า ถูก แล้วก็บอกว่า เวลานี้ฉันจะเทศน์ละนะ ดูพระท่านจะแสดงอย่างไร

    ก็เห็นว่าพระท่านลอยอยู่เฉย ๆ แต่ว่ามีแสง ๆ หนึ่ง พุ่งลงมาที่จิตหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อโหน่งท่านก็เทศน์เทศน์ไป ๆ พอจบลีลาการเทศน์ แสงนั้นก็ลอยกลับขึ้นไปหาพระ นี่เป็นอันว่า พระท่านสงเคราะห์หรือพระท่านบอก ก็คือใช้แสง หรือฉัพพัณณรังสี รัศมี 6 ประการ สีใดสีหนึ่ง เข้ามาช่วยกำบังใจ ให้หลวงพ่อโหน่งพูดตามความต้องการของท่าน
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...