หนีนรกโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๓ ปฏิบัติตนไม่ครบไปสวรรค์ได้ ไปนรกได้

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 18 มกราคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๓ ปฏิบัติตนไม่ครบไปสวรรค์ได้ ไปนรกได้
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย
    สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๓ ของเรื่อง การหนีบาป

    การปฏิบัติตนเพื่อการหนีบาปนี่ ว่าจะรอพูดให้จบ
    รอคำอธิบายให้จบ บรรดาท่านพุทธบริษัทก็จะใช้เวลามากเกินไป
    จะรำคาญในการปฏิบัติ หรือการรับฟัง
    ขอนำเอาคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    มาพูดให้เข้าใจเสียก่อน องค์สมเด็จพระชินวร คือ พระพุทธเจ้า
    ได้ทรงแนะนะบรรดาท่านพุทธบริษัทไว้ว่า

    "ถ้าต้องการจะให้พ้นจากอบายภูมิทั้ง ๔
    มีการเกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย
    เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะไม่ต้องเกิดในแดนนี้ทุกชาติไป
    จนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน
    สมเด็จพระพิชิตมารได้ทรงให้ตัดสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการ" คือ

    ๑. สักกายทิฏฐิ ให้มีความรู้สึกไว้เสมอว่า
    ชีวิตนี้มันต้องตายและก็ตั้งใจไว้ว่า การตายของเราคราวนี้
    เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรกเป็นต้น
    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระทศพลทรงแนะนำ
    ให้ยอมรับนับถือ คือ หมดความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า
    ในความดีของพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และความดีของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
    เมื่อนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ตัดความสงสัยที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ได้แล้ว

    ข้อที่ ๓ ก็เป็น สีลัพพตปรามาส
    คือ ปฏิบัติในศีลให้ได้ครบถ้วนทุกประการด้วยความเต็มใจ
    การปฏิบัติศีลห้าครบถ้วน สำหรับฆราวาส มีศีลห้าใช้ได้แน่นอน
    ถ้าจะทำคนให้ดีจริงๆ ก็มีกรรมบถ ๑๐ ด้วย
    ถ้ามีทั้งศีลห้ามีทั้งกรรมบถ ๑๐ อย่างนี้ จะมีความสุขอย่างยิ่ง
    ทั้งปัจจุบันและสัมปรายภพ

    ถ้าปฏิบัติตนได้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนี
    คือ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า
    ท่านทั้งหลาย เมื่อตายแล้วจากชาตินี้ก็ดีหรืออีกกี่ชาติก็ดี
    จะไม่พบกับคำว่าอบายภูมิเลย การเกิดเป็นสัตว์นรกก็ดี เป็นเปรตก็ดี
    เป็นอสุรกายก็ดี ไม่มีสำหรับท่าน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เกิดในแดนนั้น
    จะเวียนว่ายตายเกิดเฉพาะการเกิดเป็นคน
    เป็นเทวดาหรือพรหม เท่านั้น

    ขอย้ำอีกนิดหนึ่งเผื่อว่าท่านทั้งหลายจะฟังไม่ถนัด
    คือการที่จะพ้นอบายภูมิทั้ง ๔ ได้คือ

    ๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย
    ตั้งใจไว้ว่า ก่อนจะตายจะปฏิบัติ เพื่อเป็นการพ้นจากอบายภูมิทั้ง ๔
    คือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ด้วยความจริงใจและเต็มใจ
    ถ้าฆราวาสมีศีลห้าบริสุทธิ์ ใช้ได้
    แต่ว่าจะให้ดีจริงๆ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ อีกด้วยจะดีมาก
    จะเป็นคนที่มีความสุขหรือมีเสน่ห์มากในสมัยที่มีชีวิตอยู่
    ตายไปแล้วองค์สมเด็จพระบรมครู ก็ทรงยืนยันว่าอบายภูมิทั้ง ๔
    ตามที่กล่าวมาแล้ว ไม่มีอีก

    ตอนต้นนี้ขอย้ำให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบ
    เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องคอยพูดจบคอยพูดจบเรื่องนี่เรื่องมันมาก
    ต่อไปนี้ก็มาพูดถึงบุคคลที่ปฏิบัติทำตนไม่ครบ
    แต่บังเอิญไปสวรรค์ได้ ไปนรกได้
    ไปนรกใครไม่ชอบละมั๊ง เป็นอันว่า ไปสวรรค์ได้ไปนรกได้ก็แล้วกัน
    แต่ว่าการกลับมาเกิดนั้นไม่แน่นอน บางทีไปเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว
    แต่กลับลงมา หมดบุญวาสนาบารมีจากเทวดาหรือพรหม
    ก็ไม่พักที่เทวดาหรือพรหม และไม่พักที่มนุษย์
    เพราะอาศัยกรรมที่เป็นอกุศลในกาลก่อน
    ที่ทำมาในสมัยที่เป็นมนุษย์เป็นบาปอกุศล
    พาตนพุ่งหลาวลงอเวจีมหานรกไปบ้าง
    ลงนรกขุมอื่นบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง
    เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง อย่างนี้ก็มี

    ก็รวมความว่า ถ้าทำตนไม่ครบถ้วนตามที่กล่าวมาแล้ว
    แต่เป็นความดีพอที่จะพาตนไปสวรรค์ได้
    แต่ก็ไปได้แน่ แต่ลงมาซิไม่แน่ ไม่ใช่จะค้างที่มนุษย์
    อาจจะไปค้างที่นรกก็ได้ อสุรกายก็ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ได้
    บางท่านลงมาเป็นมนุษย์ได้เหมือนกัน
    แต่กรรมชั่วเก่านำผลดลใจตนให้เกิดบาปอกุศล
    ตายจากความเป็นคนลงไปอเวจีมหานรก อันนี้ก็มีมาก

    รวมความว่าถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    จะหนีนรกกันจริงๆ ก็ขอให้ปฏิบัติตนครบทั้ง ๓ ประการตามที่กล่าวมาแล้ว

    ต่อไปนี้ก็ของดเรื่องที่จะพูดถึง "พุทธานุสสติ" ไว้ก่อน
    ต่อไปนี้จะขอนำเอาเรื่องเบาๆ ที่เป็น "อารมณ์ฟุ้ง" คือ ไม่ขาดศีล ๕
    ไม่ขาดสรณคมน์ คือ ไม่ทำลายพระพุทธเจ้า ไม่ติเตียนพระพุทธเจ้า
    ไม่คัดค้านพระธรรม ไม่ทำลายพระสงฆ์ และก็ไม่ได้ทำลายศีล
    แต่ว่ามีอารมณ์ฟุ้ง ทำตนให้เกิดในอบายภูมิ
    มีการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง
    เป็นสัตว์ใหญ่บ้าง เป็นสัตว์เล็กบ้าง เป็นต้น

    สำหรับคนที่มีการปฏิบัติดีอย่างยิ่ง
    นี่ขอนำที่ไม่เกี่ยวกับศีล เดี๋ยวจะหาว่าคนที่ละเมิดคำสั่งสอน
    ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ไม่มีศีลเสียอย่าง จะต้องลงนรก
    หรือปรามาสพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลงนรกมัน ก็ไม่แน่เหมือนกัน
    ขอเอาเรื่องเบาๆ มา
    ที่ไม่เกี่ยวกับการปรามาสพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ไม่เกี่ยวกับการทำลายศีล แต่ว่าลงนรก เอามาคุยสู่กันฟังก่อน
    เพื่อเป็นความรู้ของบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร
    ทั้งนี้ก็ต้องนำพระสูตรมาคุยกันดีไหม
    ลูกหลานตัวเล็กๆ ยิ้มแป้น บอกว่าดีครับ ดีเจ้าค่ะ
    ความจริงที่พูดนี่ มีคนนั่งฟังอยู่ด้วยนะ และก็เลยบันทึกเสียงไว้
    ให้มันพอกับเวลาที่จะฟังกัน คือ ๓๐ นาที

    นิทานเรื่องนี้ ชาวบ้านเขาเรียกว่า "นิทาน"
    แต่ว่าทางพระพุทธศาสนาเขียนในบาลีเรียกว่า "พระสูตร"
    พระสูตร ก็คือ นิทาน นิทาน ก็คือ พระสูตร
    แต่นิทานในพระสูตรเป็นนิทานเรื่องจริงๆ ไม่ใช่นิทานเรื่องหลอกๆ
    ไม่ใช่โกหกมดเท็จ เอาเรื่องจริงมาพูดกัน

    เนื้อความมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา
    สัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
    เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูแสดงธรรมเทศนา
    สอนบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้พ้นจากความทุกข์
    คนที่มีความเคารพพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังมากอย่างยิ่งคนหนึ่ง
    ความจริงมีหลายคน มีมาก
    แต่ท่านผู้นี้คณะนี้มีความเคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจริงๆ
    หนึ่งในจำนวนที่มีคนดีหลายๆ คน นั่นคือ "พระเจ้าปัสเสนทิโกศล"
    กษัตริย์ของเมืองพาราณสี พระเจ้าปัสเสนทิโกศลองค์นี้
    มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลเป็นอย่างยิ่ง

    ต่อมาพระองค์กับภรรยาที่มีนามว่า "พระนางมัลลิกา"
    พระนางมัลลิกานี่ก็มีความเคารพอย่างยิ่ง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนางมัลลิกานี่
    เป็นบุคคลที่มีความประพฤติมีการปฏิบัติดีมาก
    ยากที่บุคคลอื่นพึงทำให้ คือว่า คำน้อยคำใหญ่ที่เป็นคำไม่ดี ไม่เคยพูด
    การกระทำเล็กกระทำน้อยกระทำใหญ่
    การกระทำไม่ดีทางกาย ไม่เคยทำ
    อารมณ์ใจของพระนางเต็มไปด้วยอารมณ์ของกุศล
    เคยถวาย อสทิสทาน กับองค์สมเด็จพระทศพล
    อสทิสทานนี้เป็นทานใหญ่ยิ่ง
    ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้า ๑ องค์
    จะมีคนถวายอสทิสทานครั้งเดียวในชีวิต
    และคนที่จะถวายอสทิสทานได้นั้น ต้องเป็นผู้หญิง
    ก็ได้แก่พระนางมัลลิกาเทวี
    พระนางมัลลิกาเทวีนี้ มีคุณงามความดีอันประเสริฐ
    มีจริยานิ่มนวลเรียบร้อยมาก ไม่เคยทำความชั่วมาก่อน
    ก็เหมือนกับผ้าขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งผืน
    บังเอิญถ้าไปเปื้อนอะไรนิดหนึ่งจุดเด่นมันก็ปรากฏขึ้น

    เรื่องราวก็มีอยู่ว่าในคืนหนึ่ง เวลานั้นเขายังไม่มีไฟฟ้า
    เขายังไม่มีไฟฟ้ากัน พระนางก็นอนกับพระเจ้าปเสนทิโกศล
    คือ นอนกลางคืนก็ดับไฟ มันก็มืด
    ต่อมาพระนางปวดปัสสาวะ
    (ขอพูดภาษาชาวบ้าน ใช้ราชาศัพท์ก็ใช้กับเขาไม่ค่อยเป็น)
    พระนางจะไปถ่ายปัสสาวะ
    บังเอิญเท้าขวาของพระนางสะดุดพระบาท (คือเท้า) ของพระราชสวามีเข้า
    เพียงเท่านี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระนางเสียใจมาก
    คิดว่าตัวเองทำความชั่วมาก
    พระนางมีความเคารพพระราชสวามีคล้ายพระราชบิดา
    (อ้าว...ล่อราชาศัพท์เข้าเสียหน่อย)
    เรียกว่ามีความเคารพผัวเหมือนพ่อ
    เสียอกเสียใจแสดงอาการเศร้าโศก
    พระเจ้าปเสนทิโกศลก็สอบถามว่า เสียใจเรื่องอะไร
    ก็ปรากฏว่าพระนางเล่าให้ทราบ

    พระเจ้าปเสนทิโกศลก็บอกว่า "เรื่องนี้ไม่น่าจะหนักใจ
    ไม่มีอะไรเป็นความผิด ถ้าคิดว่ามีความผิด ฉันก็อภัยให้
    แต่ความจริงไม่มีอะไรเป็นความผิดเลย เพราะเจตนาไม่มี"
    แต่ถึงกระไรก็ดีบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังและหนูน้อยที่นั่งฟังอยู่
    โปรดทราบว่าพระนางมัลลิกาน่ะดีมาก
    เหมือนกับผ้าขาวบริสุทธิ์ทั้งผืน
    แต่บังเอิญมีคนเอาหมึกสีดำหรือสีแดงไปแต้มเข้านิดเดียว
    ผ้าน่ะสะอาดทั้งผืนหมึกแต้มนิดเดียว ก็มีจุดเด่นเห็นจุดเปื้อนขึ้นมา
    ไม่เหมือนกับผ้าที่มีความสกปรกโสโครก
    ถ้าหมึกไปแต้มนิดๆ หน่อยๆ มันจะมองไม่เห็นสีหมึก
    เพราะมันสกปรกอยู่แล้ว
    เหมือนคนที่มีกายสกปรก วาจาสกปรก มีใจสกปรก
    ถ้าไปกระทบกระทั่งเท้านิดเดียวเท่านั้น จะไม่รู้สึกว่าเป็นความผิด
    ดีไม่ดีซ้อมผัวซ้อมเมียเล่นโก้ๆ ยังมองไม่เห็นความผิด
    แต่ความจริงมันผิด ความจริงมันชั่ว
    แต่ความชั่วที่เขาทำเป็นปกติ มันสูงกว่านั้น จึงมองไม่เห็นว่าผิด
    แต่พระนางมัลลิกา มีจิตคิดไว้เสมอ จิตใจเศร้าหมอง
    หน้าตาน่ะแช่มชื่นเมื่อพบพระราชสวามี
    แต่ว่าอยู่คนเดียวทุกทีพระนางก็มีการสลดใจ หนักใจ ร้อนใจ
    คิดว่า ตัวทำความผิด

    อย่างนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ต่อมาเมื่อวาระเข้ามาถึงพระนางทรงประชวร คือ ป่วยไข้ไม่สบาย
    เมื่อเวลาใกล้จะตายจิตก็ประหวัดคิดว่า เรานี่เลยเหลือเกิน
    เอาเท้าไปสะดุดพระราชสวามีเข้า เรามันชั่ว จิตใจเศร้าหมอง
    คือ จิตใจนึกถึงตัว ว่าตัวเลวนิดเดียว
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท นี่ต้องจำ
    นางก็ตายจากความเป็นคน
    อาศัยความดีในด้านกุศล มีความเคารพบิดา มารดา
    พอใจในการให้ทาน มีความเคารพพระราชสวามีคล้ายบิดา
    ร่างกายของพระนางก็เป็นนางฟ้าทั้งตัว
    เครื่องประดับประดาก็เต็มยศ
    นางนี้ไปนรกก็ไม่ทราบว่าขุมไหนเหมือนกัน
    ไม่ทราบว่าบาลีบอกไว้ขุมไหน ตอนนี้มันนึกไม่ออกนี่
    นั่งคุยกันนี่ไม่ได้เอาหนังสือมากาง นึกไม่ออกว่านรกขุมไหน
    ตามบาลีหมวดนั้น ท่านบอกว่า เอาเท้าที่สะดุดเท้าของพระราชสวามี
    ไปแหย่ในนรกสิ้น ๗ วันมนุษย์
    แต่ความจริงนรกแต่ละขุมวันเวลามากเหลือเกิน
    แต่นั่นแหย่แค่ ๗ วันของมนุษย์
    นรกขุมที่มีอายุน้อยที่สุดอย่าง สัญชีพนรก
    ท่านบอกว่าต้องใช้เวลา ๙ ล้านปีของมนุษย์
    จึงจะเท่ากับวันหนึ่งของเขา
    ฉะนั้นเอาเท้าเข้าไปแหย่ในไฟนรกแค่ ๗ วันมนุษย์
    ถ้าในเมืองนรกก็จะรู้สึกว่าแหย่แป๊บเดียว แล้วยกขึ้นมาเท่านั้นเอง
    มันเร็วมาก เทียบเวลากัน แต่เวลาของเรานี่ปาเข้าไป ๗ วัน
    เพราะอาศัยที่จิตกลุ้มหรือเศร้าหมอง
    ไม่ได้ทำชั่วคิดว่าชั่ว ทำกำลังใจของตัวเองให้เศร้าหมอง คิดว่าเราเลว

    เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จดจำคำสั่งสอนขององค์พระสมเด็จ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงตรัสว่า
    หลักสูตรในพระพุทธศาสนา มี ๓ อย่าง

    ๑. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
    พระองค์ทรงแนะนำว่า ทุกคนจงละจากความชั่วทุกประเภท
    ละทั้งกาย ละทั้งวาจา และละทั้งใจ

    ๒. กุสลัสสูปสัมปทา จงทำแต่ความดี
    คือ กายก็ทำดี วาจาก็พูดี ทั้งจิตใจก็คิดดี

    ๓. สจิตตะปริโยทะปะนัง ทำจิตให้ผ่องใสจากอารมณ์ที่เป็นกิเลส
    คือ อารมณ์เศร้าหมอง ตัดอารมณ์ความข้องใจออกไปจากใจ
    นึกไว้แต่อารมณ์ของความดี
    สมเด็จพระชินสีห์สอน ๓ ประการอย่างนี้
    เป็นหลักสูตรในพระพุทธศาสนา
    ถ้าทำให้อย่างนี้จริงๆ คำว่า นรกเป็นต้น จะไม่พบกับท่านเลย

    แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พระนางมัลลิกา
    มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
    คือ ทำด้วยทางกาย พูดด้วยวาจา คิดด้วยใจ
    แต่ในที่สุดพอก่อนจะตาย พระนางก็ทำจิตเศร้าหมอง
    มานึกถึงว่าตัวทำชั่ว ตัวทำผิด ทำผิดอย่างนี้ จิตมันก็เศร้าหมอง
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จึงต้องตกนรก
    คือ เอาเท้านิดหนึ่งแค่ตาตุ่มไปแหย่ในนรกถึง ๗ วันมนุษย์

    ทุกท่านที่รับฟัง อย่านึกว่า ๗ วัน มันไม่ร้อนนะ หรือมันไม่หนัก
    ตามธรรมดาของเราใครเอาถ่านหรือธูปแดงๆ แหย่แป๊บเดียว เราก็สะดุ้ง
    หรือเอาถ่านของบุหรี่แหย่แป๊บเดียว เราก็สะดุ้ง
    ไม่ใช่สะดุ้งแล้วหายร้อนหายเจ็บ มันยังร้อนมันยังเจ็บต่อไป
    เมื่อเขาดึงเอาธูปหรือบุหรี่ออกไปแล้วฉันใด
    ทุกข์ทรมานของพระนางมัลลิกาแค่ ๗ วันไม่ใช่เล็กๆ

    เมื่อพระนางมัลลิกามีความดีขนาดนั้น
    ครานั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ คือ พระพุทธเจ้า
    ก็ประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี ในเมืองของพระราชสวามี พระนางก็อยู่ที่นั่น

    อันนี้อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น
    พระอรหันต์อยู่ตั้งเยอะ แต่บางคนก็จะมาด่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ช่วย
    พระอรหันต์จึงไม่ช่วย เขาทำบุญขนาดหนักหนามากกว่าบุคคลใดๆ
    คนอื่นใดไม่สามารถถวายอสทิสทานได้
    แต่พระนางมัลลิกาทำได้ขนาดนี้
    แล้วทำไมสมเด็จพระชินสีห์ จึงไม่ช่วย
    อย่าย่องไปด่าพระพุทธเจ้าเข้า
    อย่าย่องไปประณามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และอย่าย่องไปด่าพระอริยสงฆ์เข้า บาปจะหนัก
    แต่ด่าอาตมานี่คงไม่เป็นไร เพราะพระประเภทนี้
    ความดีมีน้อย แต่ความดีมีน้อย คนด่าถ้ามีโทษก็คงเป็นโทษน้อย
    จะน้อยก็ไม่น้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน
    ก็คิดว่าคงจะไม่มากเท่าพระอรหันต์

    แล้วถ้าถามว่าท่านเป็นพระอะไร
    ก็ต้องตอบญาติโยมที่นั่งฟังโปรดทราบ
    อาตมาขอตอบตรงๆ ตรงไปตรงมา ว่า เป็นพระที่บวชในพระพุทธศาสนา
    มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมาในพระไตรปิฎก
    และอรรถกถา แล้วก็มีความเคารพในศีลตามสมควร
    ความดีประเภทนี้พระพุทธเจ้าจะจัดไว้ประเภทไหนไม่ทราบ
    ก็คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยตั้งให้เป็นพระโสดาบัน
    นี่พระพุทธเจ้าไม่มาตั้งให้เป็นพระโสดาบัน
    ก็คงไม่ได้เป็นพระสกิทาคามีหรือนาคามี หรือพระอรหันต์

    ทีนี้การเป็นพระอริยเจ้าท่านตั้งกันหรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ
    แต่เคยพบในพระบาลีว่าเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์พอเทศน์จบ
    ได้ "ธรรมาภิสมัย" บ้าง ได้ "ดวงตาเห็นธรรม" บ้าง
    คือ เข้าใจในธรรม ถึงธรรม เป็นพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามีบ้าง
    อนาคามีบ้าง พระอรหันต์ แล้วบาลีก็บอกว่า
    เวลาที่เทศน์จบคนบรรลุเท่าไร
    การบรรลุอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตั้งหรือเปล่าอาตมาก็ไม่ทราบ
    ก็ขอยืนยันว่า อาตมาเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
    นี่คุยความดีเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม ไม่มาก
    เกือบมองไม่ค่อยเห็นเท่านั้น

    แล้วก็อีกประการหนึ่งที่พอจะอวดท่านได้
    นั่นคือ เวลานี้ก็แก่มากแล้ว
    เรื่องความแก่ ถ้าถือเอาความแก่เป็นความดี
    ความดีประเภทนี้ก็ไม่ยอมถอย จะเพิ่มพูนความแก่ขึ้นทุกวันๆ
    จนกว่าจะตาย ญาติโยมทั้งหลายที่นั่งฟังก็ต่างคนต่างยิ้ม
    ยิ้มแล้ว อย่าไปนึกนะว่า อาตมาเป็นพระอริยเจ้าขั้นสูง
    ขั้นสูงขั้นต่ำอย่าไปคิด บางทีก็มีคนย่องๆ มาตั้งให้เหมือนกัน ก็ตกใจ
    ขอโทษเถอะ อย่าตั้งกันเลยในความเป็นพระอริยเจ้า
    เรามาคุยกันในฐานะพี่น้องกันเองก็เหมือนกัน

    เวลานี้ก็เหลือเวลาอีกเพียง ๓ นาทีเศษๆ
    ก็ขอคุยกับบรรดาญาติโยมที่เป็นสาวกของสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า
    ขึ้นชื่อว่าอบายภูมิ คือ ผลของความชั่ว
    ก็จงอย่าไปคิดถึงว่าเราจะต้องตกนรก เป็นต้น เพราะ

    ๑. การทำลายศีล

    ๒. ไม่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    หรือการปรามาสพระพุทธเจ้า เท่านั้น
    ที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นบาลีพุทธภาษิตว่า
    "จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา"
    ท่านกล่าวว่า บุคคลใดก่อนจะตาย ใกล้จะตาย
    ถ้าจิตใจเศร้าหมอง อารมณ์ไม่ผ่องใส คำว่า "เศร้าหมอง" นี่
    อารมณ์ไม่เกาะบุญ สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลไม่เกาะ
    คือ ไม่นึกยอมรับพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่นึกถึงทานการให้ ไม่นึกถึงศีลที่เคยรักษา
    ไม่นึกถึงเทศน์ที่เคยฟัง ถ้าอารมณ์ใจไม่คิดอย่างนี้
    แล้วไปคิดเรื่องที่เป็นบาปเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง

    อย่างพระนางมัลลิกานี่ สิ่งที่คิดความจริงมันไม่ได้บาป
    คำว่า บาป นี่เขาแปลว่า ความชั่ว
    ถ้าแกล้งเอาเท้าไปเตะเท้าของพระราชสวามีนี่เธอชั่วแน่
    แต่พระนางมัลลิกาไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้น
    ไม่ตั้งใจแล้วก็ไม่ได้ทำด้วย มันไปสะดุดเองเข้านิดหนึ่ง
    บรรดาท่านพุทธบริษัท เพียงเท่านี้พระนางก็ต้องตกนรกเสีย ๗ วัน
    ตกนรกแค่ตาตุ่มหรือแค่ไหนก็ตาม มันก็เป็นทุกข์

    ก็รวมความว่าขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ระมัดระวังเรื่องจิตใจให้มาก ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอน
    ให้ใช้ "อนุสสติ" คือ ตามนึกถึงความดี คือ
    นึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า ๑
    ยอมรับนับถือพระธรรม ๑
    ยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์ ๑
    นี่เรียกว่า เป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
    พยามยามนึกถึงความดีของเทวดา
    นึกถึงความตายที่จะเข้ามาถึง
    นึกถึงอารมณ์ของพระนิพพาน อย่างนี้เป็นต้น
    อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ต้องครบทั้งหมด
    องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงสอนว่า
    ขึ้นชื่อว่าความชั่วที่ทำมาแล้วในกาลก่อน จงอย่าตามนึกถึงมัน
    นึกถึงความดีที่ทำไว้แล้วเท่านั้น
    ผลของความดีจะส่งผลให้เป็นสุข คือ ไปเกิดบนสวรรค์ได้

    เวลานี้มองดูนาฬิกาเหลือเวลาไม่ถึงเสี้ยวของนาที
    สำหรับในตอนที่ ๓ นี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะเวลามันหมด
    ขอสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ
    มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
    หากทุกท่านพึงประสงค์สิ่งใด
    ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ สวัสดี...
    ที่มา http://palungjit.org/posts/9895186
     

แชร์หน้านี้

Loading...