หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๒๔ จริยาของพระโสดาบัน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 21 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๒๔ จริยาของพระโสดาบัน
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย
    สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๒๔ ก็จะขอนำเอาความประพฤติ
    หรือจริยาของพระโสดาบันมาพูดกับบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ตามเวลาที่จะอำนวย ถือว่าเป็นตัวอย่าง

    สำหรับความประพฤติก็ดีความรู้สึกก็ดี
    จริยาของพระโสดาบันก็ดี เป็นอย่างนี้
    เป็นเรื่องการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ก็จะเห็นได้ว่า เอาเฉพาะเรื่องของนางสามาวดีก็แล้วกัน
    จะเอาเรื่องของนางวิสาขาเข้ามาด้วย เกรงว่าเวลาจะไม่พอ
    เฉพาะเรื่องของนางสามาวดีก็เข้าใจว่า เวลาไม่พอเหมือนกัน
    แต่ขอนำมาเป็นตัวอย่าง ว่า

    นางสามาวดีพร้อมด้วยหญิง ๕๐๐
    ฟังเทศน์จากนางขุชชุตตรา ซึ่งเป็นทาสรับใช้
    นางขุชชุตตราไปฟังเทศน์มาจากสำนักพระพุทธเจ้า
    แล้วกลับมาเทศน์ให้ฟัง
    เมื่อฟังจบทั้ง ๕๐๐ คนก็เป็นพระโสดาบันทันที
    เพราะว่าคนเทศน์เป็นพระโสดาบัน
    ขุชชุตตรานี่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า
    เป็นผู้เลิศในการแสดงพระธรรมเทศนาด้านฝ่ายหญิง
    หลังจากนั้นมาเมื่ออยู่ในพระราชฐาน
    ก็ไม่มีโอกาสจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้
    เพราะเวลานั้นพระเจ้าอุเทนพระราชสวามียังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
    ไม่ใช่ไม่เคารพ ยังไม่รู้จักเลย จึงให้คนเจาะช่องน้อย ๆ
    ตามคำแนะนำของขุชชุตตรา
    ช่องเล็ก ๆ แล้วก็ทำหิ้งไว้ข้างบนว่า
    ตอนเช้าพระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระอรหันต์
    เดินไปบิณฑบาตบ้านท่านมหาเศรษฐีข้างพระราชวัง
    ทุกคนก็เอาดอกไม้มาวางบนหิ้ง แล้วก็มองตามช่องน้อย ๆ
    พนมมือยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์
    นี่เป็นจริยาตอนหนึ่งของพระโสดาบัน

    ฉะนั้น ท่านที่เป็นพระโสดาบันจริง ๆ เห็นรูปพระพุทธเจ้า
    คือ พระพุทธรูปก็ดี ที่เขาปั้นด้วยปูน เขาทำด้วยโลหะ
    เขาปั้นด้วยดินหรือว่าเขาปั้นด้วยฟางก็ตาม
    หรือว่าเขียนที่กระดาษก็ตาม
    ถ้าเห็นเข้าแล้วอดมีใจเลื่อมใสไม่ได้ อดจะยกมือไหว้ไม่ได้
    แล้วก็ไหว้แบบไม่อายคนเสียด้วย
    ใครเขาจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ตาม
    ฉันจะไหว้ของฉัน ไหว้ด้วยความเลื่อมใส
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความจริงใจ อันนี้ตอนหนึ่ง

    จะเห็นว่าท่านที่เป็นพระโสดาบัน มีความมั่นคงในพระพุทธเจ้าจริง ๆ
    การมีความมั่นคงในพระพุทธเจ้า ก็หมายถึง
    มีความมั่นคงในพระธรรม และพระอริยสงฆ์ด้วย
    แล้วก็ต่อมาจะเห็นว่า พระโสดาบันไม่มีแต่ศีลห้า
    มีกรรมบถ ๑๐ เข้าไปแทรกอยู่มาก

    สำหรับศีลห้านั่นบอกว่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    แต่ว่าพระโสดาบันบรรเทาความโกรธ บรรเทาเอามาก ๆ ด้วย
    ยับยั้งความโกรธ แล้วให้อภัยง่าย
    ก็มาเปรียบเทียบกับศีลข้อที่ ๑
    ศีลข้อที่ ๑ ทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องเป็นกรรมบถ ๑๐
    ตัวอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคณะของพระนางสามาวดี
    ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๕๐๐ กับ ๑ คน คือ มีบริวารน่ะ ๕๐๐
    แล้วท่านสามาวดี ๑ เป็น ๕๐๐ กับ ๑ คน
    ถูกนางมาคันทิยา กล่าวโทษอย่างหนัก
    จนกระทั่งเอางูเข้าไปใส่ในพิณของพระเจ้าอุเทน
    เมื่อเวลาที่พระเจ้าอุเทนเสด็จไปห้องของนางสามาวดี
    นางมาคันทิยาก็ตามไปด้วย
    เมื่อพระเจ้าอุเทนเผลอ คณะพระนางสามาวดีเผลอ
    ก็ดึงเอาดอกไม้ที่อุดช่องของพิณออกมา
    เจ้างูเข้าไปอดอาหารหลายวัน มันก็มีความเพลีย มันอยากจะออก
    มันก็เลื้อยออกมาเพ่นพ่านในห้องของพระนางสามาวดี
    นางมาคันทิยาก็แจ้งบอกว่า นี่ นางสามาวดีคิดจะฆ่าพระเจ้าอุเทน
    ด่าพระนางสามาวดีด้วย และก็ว่า พระเจ้าอุเทนว่าโง่เง่าเต่าตุ่น
    ห้ามแล้วไม่ยอมฟัง กลับมาห้องของคนที่เป็นศัตรู ขอเล่าย่อ ๆ แค่นี้นะ

    ความจริงเธอหาเรื่องให้พระนางสามาวดีหลายครั้งหลายคราว
    แต่พระเจ้าอุเทนก็ไม่ยอมเชื่อ
    มาในตอนนี้ชักจะเห็นจริงกับพระนางมาคันทิยา
    เห็นงูเข้า งูก็ตั้งท่า งูธรรมดา งูพิษ แต่ว่าถูกเขาถอดเขี้ยวแล้ว
    เขี้ยวที่มีน้ำพิษเขาถอดไปแล้ว
    แต่ว่าใครจะรู้เขาถอดเขี้ยวหรือไม่ถอดเขี้ยว
    เห็นเข้าก็แผ่แม่เบี้ยทำท่าจะกัดพระเจ้าอุเทน
    พระเจ้าอุเทนก็มีความมั่นใจตามที่พระนางมาคันทิยาว่า
    ว่าพระนางสามาวดีเป็นชู้กับพระพุทธเจ้า เอาเข้านั่น
    เขาหาว่าเป็นชู้กับพระสมณโคดม
    หลังจากนั้นก็หาทางจะฆ่าพระเจ้าอุเทน เอางูเข้ามากัด เห็นชัด

    นี่ความจริง คนทุกฐานะ ถ้ากำลังของอกุศลเข้าดลใจ
    ก็สามารถจะทำทุกอย่างได้ แต่ว่าในคราวนี้จะเป็นอกุศลดลใจ
    หรือเทวดาบันดาลก็ไม่ทราบ
    เป็นเหตุให้พระเจ้าอุเทนโกรธพระนางสามาวดีจัด
    คิดว่าพระนางสามาวดีกับหญิงคนใช้ ๕๐๐ คิดจะฆ่าพระองค์แน่
    จึงมีคำสั่งให้ยืนเรียงแถว แถวหนึ่งตรงหันหน้าไปทางพระองค์ทั้งหมด
    แล้วก็หยิบธนูขึ้นมาจะยิงร้อยอกทุก ๆ คนในลูกเดียวกัน
    คนโบราณนี่มีกำลังมาก และก็ต้องถือว่ามีฤทธิ์มาก ธนูก็เป็นพิเศษ
    ตามธรรมดายิงได้แน่นอน ๕๐๐ กับ ๑ คนเขายิงทะลุแน่
    เมื่อพระนางสามาวดีเรียกคนทั้งหมดมายืนเข้าแถว
    แล้วพระนางก็ยืนหน้า บอกกับพระเจ้าอุเทน บอกว่า
    "ถ้าจะยิงขอโอกาสก่อน ขอให้หม่อมฉันได้มีโอกาส
    ให้โอวาทกับบุคคลของหม่อมฉันก่อน"

    พระนางสามาวดีไม่แสดงความโกรธในพระเจ้าอุเทนเลย
    แล้วก็ไม่มีการแสดงความโกรธในพระนางมาคันทิยาด้วย
    ให้โอวาทกับบรรดาหญิงทั้งหลายว่า

    "เธอทั้งหลายจงอย่าโกรธในพระราชา
    แล้วก็จงอย่าโกรธในพระนางมาคันทิยา
    ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ
    พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี
    ที่เรายอมรับนับถือเป็นความจริง
    และพวกเราบรรดาหญิงทั้งหมด ๕๐๐
    กับ คน เราก็ไม่ได้เป็นชู้กับพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าไม่เคยแสดงอารมณ์ฐานชู้สาวกับใครเลย
    ในเมื่อพวกเรามีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้
    พวกเธอทั้งหลายจงอย่าหวาดหวั่นในความตาย
    ให้ถือว่าความตายเป็นปกติธรรมดาของพวกเรา
    ถือว่าพวกเรามีกฎของกรรมในกาลก่อนที่ย้อนมาให้ผล
    จึงทำให้เราต้องถูกลงโทษ เพราะบาปอกุศลส่วนนั้น
    ขอพวกเธอทั้งหลายจงตั้งใจไว้เฉพาะพระพุทธเจ้า
    พระธรรม และพระอริยสงฆ์และอย่าโกรธพระราชา
    ให้อภัยแก่พระองค์ในการที่จะฆ่าพวกเราซึ่งไม่มีความผิด
    และจงอย่าโกรธพระนางมาคันทิยา
    ที่กล่าวหาพวกเราโดยที่พวกเราไม่มีความผิดตามนั้น"

    ถามว่า ทุกคนพร้อมหรือยังในการให้อภัย
    ทุกคนบอก พร้อมแล้วเจ้าค่ะ
    ถามว่า พร้อมแล้วหรือยังในการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า
    พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วตั้งใจทรงศีลให้บริสุทธิ์
    ทุกคนบอก พร้อมแล้วพระเจ้าข้า

    เมื่อทุกคนพร้อม พระนางสามาวดีก็ให้สัญญาณ
    ให้พระเจ้าอุเทนลั่นศรออกไปได้
    ศรหรือธนูก็ได้นะ เรียกได้ทั้ง ๒ อย่าง)
    พระเจ้าอุเทนก็โก่งแล้วก็ยิงทันที
    หวังอกของนางสามาวดีและต้องการให้ทะลุทุกคน ๕๐๐ กับ ๑ คน
    แต่ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง
    (ต้องใช้ศัพท์ว่า "บังเอิญ" ถ้าพูดมากไปกว่านี้
    คนหลายคนจะลงนรก เพราะไปปรามาสพระพุทธเจ้าเข้า
    ใช้ศัพท์ว่า "บังเอิญ" ก็แล้วกัน)
    ถ้าไม่ใช้ศัพท์ว่าบังเอิญ ก็ใช้ศัพท์ว่าอำนาจเดชะบุญบารมี
    ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
    พระธรรม พระอริยสงฆ์ ช่วยให้บรรดาเทวดาหรือพรหม
    บันดาลให้เป็นไปตามนั้น
    หรือว่าตามพระบาลีท่านบอกว่า เป็นด้วยอำนาจเมตตาบารมี
    ของหญิง ๕๐๐ กับ ๑ คน มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน
    แม้ว่าเวลานั้นตัวเองกำลังจะตาย และก็จะตายอย่างไม่มีความผิด
    แต่จิตของพระนางสามาวดีเองยังไม่คิดโกรธพระราชา
    ซึ่งไม่ใช้ปัญหาในการพิจารณา เชื่อคนเลวทรามอย่างนั้น
    แล้วก็ไม่โกรธพระนางมาคันทิยาอีกด้วยที่กลั่นแกล้งพระนาง
    แถมให้อภัย ต่างคนต่างทำเหมือนกัน
    ยังมีโอกาสให้โอวาทแก่บรรดาบริษัทของพระนาง
    ท่านบอกว่า ด้วยอำนาจเมตตาบารมี
    ท่านว่าอย่างนั้นนะ ตามบาลีว่าอย่างนี้ก็ไม่ควรจะเถียงบาลี
    อาตมาใช้ศัพท์ว่าบังเอิญในตอนต้น
    ความจริงไม่อยากจะพูดในตอนหลังแต่ในเมื่อความจริงมีอยู่
    ก็ขอพูดใครจะไปไหนเลือกตามทางของตนเองก็แล้วกัน

    เมื่อพระเจ้าอุเทนปล่อยลูกศร หวังจะให้ร้อยอก
    ปักอกพระนางสามาวดีก่อน แล้วก็ทะลุไปถูกคนอื่น
    ลูกศรพอไปใกล้อกของพระนางสามาวดี แทนที่จะจิ้มอก
    กลับวกกลับจะล่ออกพระเจ้าอุเทนเข้าให้
    เกือบจะแทงอกพระเจ้าอุเทนแต่ไม่ทันจะแทง หล่นลงตรงนั้นพอดี
    ตอนนี้ตามพระบาลีท่านบอกว่า พระเจ้าอุเทนรู้สึกตัว
    ท่านมีความคิด พระราชาต้องมีความฉลาด
    แล้วคนที่เป็นราชาต้องสั่งสมบารมีมาดีแล้ว
    ตามเรื่องใน ทศชาติ ท่านบอกว่า คนที่จะเป็นพระราชาได้
    ต้องเคยบำเพ็ญพรหมจรรย์อย่างอ่อนมาแล้ว จึงเป็นพระราชาได้
    คนที่จะเป็นเทวดาหรือพรหม
    ต้องเคยบำเพ็ญพรหมจรรย์อย่างกลางมาแล้ว
    จึงเป็นเทวดาหรือพรหมได้
    แต่คนที่จะไปนิพพานได้
    ต้องบำเพ็ญพรหมจรรย์แบบอุกฤษฏ์มาแล้ว จึงไปนิพพานได้

    ฉะนั้น คนที่จะเป็นพระราชา ทุกองค์
    ไม่มาจากนรกต้องมาจากสวรรค์หรือพรหมโลก
    ฉะนั้น บุคคลที่จะเป็นพระราชาได้
    ต้องเคยบำเพ็ญบารมีด้านพรหมจรรย์ทั้งอย่างอ่อนและอย่างกลางมาแล้ว จึงมาเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ได้
    คนที่มีบารมีขนาดนี้ ที่จะโง่เง่าเต่าตุ่นนั้นหายาก

    ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าอุเทนเห็นศรจะเข้ามาปักอกของพระองค์
    ยิงไปแล้วตามธรรมดาศรต้องไปข้างหน้า
    แต่ความจริงศรนั้นไม่ใช่ไม่เคยใช้ ใช้มาแล้วได้ผลทุกประการ
    แค่ ๕๐๐ กับ ๑ องค์นี่ไม่สามารถจะต้านทานไหว ทะลุแน่
    แต่คราวนี้ไม่ถึงอกของพระนางสามาวดีตรง ๆ เข้าไปเฉียดนิดเดียว
    วกกลับจะเล่นอกพระองค์ จึงมีความรู้สึกว่าแม้แต่ลูกศร ซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ
    ก็ยังรู้คุณความดีของพระนางสามาวดีกับหญิงรับใช้ ๕๐๐ คน
    เรานี่เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจแท้ ๆ กลับมีความโง่เง่าเต่าตุ่น
    ไปเชื่อหญิงอันธพาล มีสันดานหยาบ
    หาทางกลั่นแกล้งพระนางสามาวดี
    พอมีความรู้สึกเท่านี้ก็ทิ้งศรทันที ทิ้งคันศรนะ
    ทิ้งแล้วจะเข้าไปกราบที่เท้าพระนาสามาวดีเพื่อขออภัย

    นี่ คนที่มีความดีมีบารมียังถึงขนาดนี้นะ
    จะนึกว่าคนนั้นเป็นผู้หญิงเป็นเมียไม่น่าจะกราบ
    ความจริงเวลานั้นท่านไม่ได้กราบเมียของท่าน
    ท่านกราบความดีของเมีย
    ท่านยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่ทราบว่าเมียนี่ดีเพราะอะไร
    ก็กราบตรงนั้นก่อนกราบตรงเมียก่อน
    พระนางสามาวดี ท่านก็แสนดี
    นั่งลงจับพระหัตถ์ของพระเจ้าอุเทนห้ามไม่ให้กราบ ห้ามไม่ให้ขออภัย
    พระเจ้าอุเทนบอก ไม่ได้ ฉันมีความผิด ฉันต้องขออภัยเธอ
    ถ้าเธอไม่ให้อภัยฉัน ฉันจะไม่มีความสุขเลย

    พระนางสามาวดีก็กราบทูลว่า
    "ขอพระองค์ไปขออภัยโทษกับบิดาของหม่อมฉัน"

    พระเจ้าอุเทนท่านทราบว่าพ่อของพระนางสามาวดีน่ะตายไปนานแล้ว
    ก็ถามว่า

    "พ่อของเธอตายไปนานแล้ว แล้วฉันจะไปขออภัยที่ไหน"

    นางก็ตอบว่า "พ่อใหม่"

    ถามว่า "พ่อใหม่คือใคร อยู่ที่ไหน"

    นางก็ตอบว่า "พระสมณโคดม คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    พระเจ้าอุเทนก็บอกว่า "ฉันไม่รู้จะไปยังไง"

    นางก็ขอพรให้นิมนต์พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์
    เข้ามาฉันภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ได้
    เป็นอันว่าพระเจ้าอุเทนก็ทรงยอม เอาแค่นี้ก่อนนะ

    เป็นอันว่าพระโสดาบันไม่ใช่มีแต่ศีลห้า
    เพราะการบรรเทาความโลภก็ดี บรรเทาความโกรธก็ดี
    บรรเทาความหลงก็ดี อยู่ในกรรมบถ ๑๐
    ฉะนั้นพระโสดาบันก็ต้องปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ด้วย
    นี่ มันชี้ให้เห็นชัด อันนี้เป็นจุดหนึ่งในจริยาของพระโสดาบัน

    หลังจากนั้นแล้วจะเห็นว่าพระโสดาบัน
    นี่เป็นศีลข้อที่ ๑ กับกรรมบถ ๑๐ บวก กันนะ
    เรียกว่าเป็นศีลข้อที่ ๑ กับกรรมบถ ๑๐ บวกกันเข้าไปแล้ว
    มาศีลข้อที่ ๒ กับกรรมบถ ๑๐ ที่เป็นมโนกรรมข้อที่ ๑

    ศีลข้อที่ ๒ ไม่ถือเอาทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น
    มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม
    แต่กรรมบถ ๑๐ ในมโนกรรมข้อที่ ๑
    ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใด
    นี่ไม่คิดเลย อันนั้นไม่เอา ไม่ลักไม่ขโมยใคร แต่ข้อไม่คิดเลย
    ถ้าตัวที่ไม่อยากได้ต้องมีธรรมะอย่างหนึ่งเข้าขวาง
    ขวางไม่ให้คิดนั่นคือ จาคานุสสติกรรมฐาน
    ไม่คิดอยากได้ต้องมีอารมณ์อยากให้เข้ามาทดแทนมาขวางใจไว้
    และจิตใจพร้อมที่จะให้
    ถ้าสิ่งที่ให้นั้นเป็นคุณเป็นประโยชน์
    จะเห็นได้ว่าเมื่อพระพุทธเจ้ากับบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย
    เข้ามาฉันในพระราชนิเวศน์
    ต่อมาพระพุทธเจ้าก็บอกว่า การจะเสด็จมาทุกวันย่อมเป็นไปไม่ได้
    เพราะพระพุทธเจ้าทรงโปรดคนทุกคน
    ให้พระนางสามาวดีเลือกพระองค์ใดองค์หนึ่งมาประจำ
    พระนางสามาวดีก็ขอพรพระเจ้าอุเทน
    พระเจ้าอุเทนอนุญาตจึงได้นิมนต์พระอานนท์เข้ามาประจำ
    เมื่อพระอานนท์เข้ามาแล้วเทศน์โปรด
    พระเจ้าอุเทนพระราทานผ้าสาฎก
    กับพระนางสามาวดีกับคณะคนละผืน ๆ อยู่แล้ว
    เมื่อเทศน์จบ ทุกนาง (๕๐๐ กับ ๑ คน)
    ถวายหมดเลย พระอานนท์ก็รับไป

    จะเห็นว่า อารมณ์ของพระโสดาบันมีทั้งศีลห้า
    และทั้งกรรมบถ ๑๐ พร้อมในการสงเคราะห์ พร้อมในการให้
    ถ้าเห็นว่าการให้นั้นเป็นบุญเป็นกุศล
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน
    ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่พูดให้ให้หมดตัว
    ความจริงการให้ของพระโสดาบัน มิใช่ทุ่มเทจนหมดตัว
    เอาแค่พอดีพอสมควร

    ต่อมาก็กล่าวถึงศีลข้อมุสาวาทนะ
    สำหรับ กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ต้องพูดกัน
    ไม่มีตัวอย่างในพระโสดาบันเลย
    ว่าใครจะไปปล้ำพระโสดาบันที่เป็นผู้หญิง
    หรือผู้หญิงปล้ำพระโสดาบันที่เป็นผู้ชาย
    ยังไม่พบไม่รู้มีที่ไหมบ้าง มีแต่พระอรหันต์

    มาศีลข้อที่ ๓ กับศีลข้อที่ ๒ บวกกัน แล้วก็ศีลข้อที่ ๔ บวกกัน
    เป็นอันว่าศีลข้อที่ ๒ ข้อที่ ๓ ข้อที่ ๔ บวกกัน
    ได้แก่ นางขุชชุตตรา นางขุชชุตตรานี่เป็นขโมยอันดับหนึ่ง
    ขโมยเงินของพระนางสามาวดีค่าดอกไม้
    ที่พระเจ้าอุเทนพระราชทานค่าดอกไม้แก่พระนางสามาวดีวันละ ๘ ตำลึง
    ภาษาบาลีเรียกว่า ๘ กหาปณะ
    เวลานั้นกหาปณะหนึ่ง เท่ากับ ๔ บาท
    ถ้าเวลานี้จะเทียบก็เห็นจะหลายพัน เกิน ๘ พันบาท
    เฉพาะค่าดอกไม้แต่ทว่านางขุชชุตตรา
    การที่จะใช้คนอื่นไปซื้อดอกไม้นอกวัง
    ถ้าสาวสวยหน่อยดีไม่ดีไปแล้วลืมกลับวัง
    เพราะว่าตามธรรมดาปลาที่ขังในบ่อ
    ย่อมไม่เคยเจอะน้ำใสในแม่น้ำทางมันแคบ
    ถ้าไปเจอะน้ำในแม่น้ำเข้า
    ก็จะเกิดความปลื้มใจเพลิดเพลินไปไม่กลับวัง
    ฉะนั้น ต้องใช้นางขุชชุตตราที่เป็นหญิงหลังค่อม
    หญิงหลังค่อมเข้าใจว่าไม่มีผู้ชายคนไหนมีความต้องการ
    เพราะความสวยของเธอไม่มี ก็เป็นโอกาสของขุชชุตตรา

    ขุชชุตตรา เป็นหญิงหลังค่อมก็จริงแหล่ะ แต่ปัญญามาก
    ในกาลก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน
    เธอก็ขโมย ยักเอาไว้เสียวันละ ๔ ตำลึง
    แต่แล้วก็ซื้อดอกไม้มา ๔ ตำลึง
    พระนางสามาวดีหรือใครก็ตามไม่ทราบเลย
    แต่พอนางขุชชุตตราฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเป็นพระโสดาบัน
    วันนั้นซื้อมาหมดทั้ง ๘ ตำลึง แต่ความจริงจะเฉย ๆ
    เขาก็ถามบอกว่า ดอกไม่มันถูกไปหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
    ตามธรรมดาของชาวบ้านที่จะโกง
    ถ้าวันไหนไม่โกงขึ้นมา อาจจะบอกได้ตรง ๆ บอกคด ๆ
    แต่ว่ามันเหมือนกับตรง
    ในเมื่อพระนาสามาวดีเห็นดอกไม้มากเท่าตัว
    ถามว่าวันนี้พระราชาพระราชทานค่าดอกไม้มากกว่าเดิมรึ
    เธอก็บอกว่าเท่าเดิม
    ถ้าคนโกงนะ จะบอกว่าเท่าเดิม แต่ดอกไม้มันถูก เขาขายถูกจึงได้มาก
    อย่างนี้ก็ไม่มีใครว่า และไม่มีใครจับได้กว่าจะจับได้ก็นาน
    แต่ว่าพระโสดาบันไม่ยอมพูดปด
    ตัดอทินนาทานไปข้อหนึ่งแล้วเป็นพระโสดาบันขโมยทุกวัน
    วันนี้ไม่ขโมยก็แสดงว่า ตัดข้อทินนาทานไปอีกข้อเห็นได้ชัด

    หลังจากนั้นก็มีวาจาสัตย์เป็นศีลข้อที่ ๔
    นางยอมรับตามความเป็นจริงว่า ทุกวันน่ะได้เงินเท่านี้คือ ๘ กหาปณะ
    แต่ว่าวันนี้หม่อมฉันไปฟังเทศน์
    ฟังเทศน์แล้วรู้สึกว่าการขโมยเป็นบาป จึงซื้อมาทั้งหมด
    ไม่แบ่งแล้ววันนี้ ไม่กีดไม่กัน
    พระนางสามาวดีก็บอกให้อภัยไม่เป็นไร บาปเก่าหมดไปเลย
    ที่แล้ว ๆ มาฉันก็ให้อภัย ต่อไปเธอกันไว้ ๔ กหาปณะก็ได้
    เพราะซื้อมาแค่ ๔ กหาปณะมันก็พอแล้ว เหลือใช้เสียอีก
    แต่นางขุชชุตตราก็บอกว่า ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ พระพุทธเจ้าห้าม

    นี่จะเห็นว่า มุสาสาทก็ไม่มี การลักการขโมยก็ไม่มี หมดกัน
    คือศีลข้อที่ ๒ ข้อที่ ๓ ข้อที่ ๔ ครบถ้วน
    (เรื่องการดื่มสุราและเมรัย)
    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไม่ต้องพูดกัน

    ก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    อารมณ์ของพระโสดาบันจริง ๆ มีศีลห้าบริสุทธิ์ด้วย
    เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วย
    มีกรรมบถ ๑๐ เข้าแทรกแซงด้วย
    มีชีวิตไม่ลืมความตายด้วย
    ช่วยให้นึกถึงในการทำความดีไว้เสมอ
    ถ้าจะพูดมันมีเรื่องพูดมากกว่านี้
    มีคนอีกเยอะแยะที่เป็นพระโสดาบันปฏิบัติกัน
    รวมความว่า แค่นี้ก็พอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    เมื่อสรุปแล้ว เหลือเวลาอีก ๑ นาที
    ก็ขอบอกว่า พระโสดาบันจริง ๆ คือ

    มีความเห็นถูกพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ว่าชีวิตนี้ต้องตาย ไม่ลืมความตาย
    แล้วก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ด้วยความจริงใจ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์
    บรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลงพอสมควร
    ไม่เท่ากับพระสกิทาคามี

    เมื่อมองดูเวลาเหลือครึ่งนาทีสำหรับตอนที่ ๒๔ นี้
    ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี...

    *** จบบริบูรณ์ ***
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...