หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๑ เปิดประตูให้พบทางสวรรค์ พรหมและพระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๑ เปิดประตูให้พบทางสวรรค์ พรหมและพระนิพพาน
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ประตูไปสวรรค์ พรหม นิพพาน
    สำหรับตอนนี้เป็น ตอนที่ ๑๑ เป็นเรื่องของการปฏิบัติตน
    เพื่อทำตนให้พ้นนรก หรือว่า "หนีนรก"
    การปฏิบัติตนเพื่อหนีนรก ก็ขอพูดย่อๆ ว่า

    ๑. อย่าลืมความตาย อย่าประมาท
    จงอย่าคิดว่าความตายจะถึงเราในวันพรุ่งนี้
    ให้คิดว่าเราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ

    ๒. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้แน่นอน

    ถ้ามีอารมณ์ทั้ง ๒ ประการนี้ อาจจะหนีนรกได้เพียงแค่ชาติเดียว
    ในชาติต่อไปยังไม่แน่นอนนัก ถ้าหวังความแน่นอนในการหนีนรก
    ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทให้ปฏิบัติใน "ธัมมานุสสติกรรมฐาน"
    ให้ครบถ้วน แต่ว่าการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าก็ดี
    ยอมรับนับถือพระธรรมก็ดี ยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์ก็ดี
    ถ้าเรานับถือเฉยๆ แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน
    พระธรรม ก็คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า
    แล้วก็พระธรรมนี่พระสงฆ์นำมาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้ายอมรับนับถือเป็นส่วนตัว ก็สามารถพ้นนรกได้แน่นอนชาตินี้
    แต่ชาติต่อไปเราก็ไม่แน่ แล้วการที่จะคิดว่าชาติต่อไป
    เราอาจจะเกิดเป็นคน เราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า
    หรือพระอริยสงฆ์ต่อไปนี่ไม่แน่นอนนัก

    เพราะการเกิดแต่ละชาติ เราไม่ได้รับแต่ผลของความดีฝ่ายเดียว
    เป็นการรับผลทั้งความดีและความชั่ว
    จะเห็นว่าคนที่เกิดมาแล้วนี่ ไม่ใช่มีความสุขฝ่ายเดียว
    อารมณ์ที่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ก็มีอยู่
    หรือไม่ได้มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว อารมณ์ที่เป็นสุขก็มีอยู่
    ขณะใดที่อารมณ์ความเป็นสุขเกิดขึ้น ขณะนั้นถือว่า รับผลของกุศลเก่า
    คือบุญเก่าที่เราทำไว้แล้วในชาติก่อนๆ มาสนองเรา เราก็มีความสุข

    ผลของทานเป็นปัจจัยให้ได้ลาภสักการะ
    ผลของการรักษาศีลให้เกิดความสุขหลายๆ ประการ
    ผลของการเจริญภาวนาและศึกษาธรรม เป็นเหตุให้เกิดปัญญามีความฉลาด
    ถ้าผลของความทุกข์ ผลของปาณาติบาต ทำให้คนมีอายุสั้นพลันตาย

    ผลของอทินนาทาน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
    ผลของกาเมสุมิจฉาจาร ทำให้ลูกหรือบุคคลในปกครอง
    ว่ายากสอนยาก ไม่อยู่ในโอวาท แนะนำอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง

    ผลของมุสาวาท เกิดมาชาตินี้ในระหว่างนั้นให้ผล พูดดีเท่าไร ก็ไม่มีคนอยากรับฟัง

    ผลของการดื่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคปวดศีรษะไม่หาย
    หรือเป็นโรคเส้นประสาทหรือว่าเป็นโรคบ้า

    ทั้งหมดตามที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นผลจากความดี
    หรือความชั่วในชาติก่อน ที่ยังตามมาสนองเรา

    ถ้าบังเอิญเกิดในชาตินั้นยามจะตาย ผลของอกุศลก็ครอบงำจิตพอดี
    เราก็ลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระอริยสงฆ์ ทั้งนี้เพราะความมั่นคงของจิตไม่มี
    ถ้าความมั่นคงของจิตมีต้องปฏิบัติในธรรม
    ให้ธรรมทรงตัวทรงใจ หมายความว่า การจะพูดก็ดี การจะทำก็ดี
    การจะคิดก็ดี อยู่ในขอบเขตของพระธรรม
    เพราะว่า พระธรรมนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราปฏิบัติ
    ในด้านของความดี และก็พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ก็สอนให้เราปฏิบัติในด้านของความดี
    และก็พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอน
    ก็ทรงสอนไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ เราจะปฏิบัติกันอย่างไรได้หมด
    อันนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท
    อาจจะเป็นเครื่องอัดอั้นตันใจ สำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    เพราะว่าถ้าพูดถึงพระธรรมแล้ว ไม่รู้จะเอาตรงไหนดี ก็เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสไว้แล้วหลายหมื่นหัวข้อ
    ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ท่านบอกว่าให้เลือกปฏิบัติตามที่เราเห็นสมควร
    ที่พอจะปฏิบัติได้ เพราะการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากๆ
    ก็ทราบว่า อัธยาศัยของคนไม่เสมอกัน กำลังใจของคนไม่เสมอกัน
    อัธยาศัยต่างกันอย่างหนึ่ง กำลังใจต่างกันอย่างหนึ่ง
    ก็มีความจำเป็นต้องตรัสไว้มาก เพื่อความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

    เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    กำลังฟังเรื่องการปฏิบัติตน เพื่อให้พ้นนรก
    คำว่า "นรก" ก็หมายถึงเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    ต้องการจะหนีนรกกันแล้ว
    เราก็ปฏิบัติกันอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ
    ในเมื่อปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ
    ก็เอาพระธรรมวินัยที่อยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ มาปฏิบัติ
    ไม่ใช่ว่ากันดะไปทั้งหมด

    พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ
    ก็คือ "ศีลห้า และกรรมบถ ๑๐"
    ถ้าการปฏิบัติศีลห้าครบถ้วน ก็ถือว่าได้ความดี
    หนีนรกได้แบบหยาบๆ ชาตินี้มีความสุขน้อยไปหน่อย
    ชาติหน้ามีความสุขแน่แต่ด้อยไปนิดหนึ่ง
    กาลเวลาที่จะถึงนิพพานยังไกลอยู่

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตรัสกรรมบถ ๑๐ ประการ
    ให้ปฏิบัติอีกจุดหนึ่งถ้าปฏิบัติได้ในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการด้วย
    ในศีลห้าด้วยปฏิบัติครบถ้วน ตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะตาย
    ความเป็นอยู่ในความเป็นมนุษย์นี่ ก็มีทุกข์ยาก
    ส่วนใหญ่จะมีแต่ความสุข ความทุกข์มีบ้างแต่ไม่หนัก
    ไม่ถึงกับเกิดความเร่าร้อนจุ้นจ้าน แต่ในด้านความสุขนี่มีมาก
    ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว หากว่าไม่พบพระพุทธเจ้า
    หรือพระอรหันต์ในสมัยที่เป็นเทวดาหรือพรหม
    กลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้งเดียวก็ไปนิพพาน

    การที่จะปฏิบัติในศีลห้าก็ดี กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการก็ดี
    บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ต้องมีหัวข้อขึ้นต้น
    เพราะกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการนี้มีทั้งศีลและธรรม
    ศีลห้า นี่ก็มีทั้งศีลและธรรมเหมือนกัน
    แต่ฝ่ายธรรมะนี่คดๆ อยู่ข้างในมองไม่ค่อยเห็น
    ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้วก็มองไม่เห็น
    ถ้าใช้ปัญญาก็จะมองเห็น แต่ว่าปัญญาจะใช้ต้องใช้ให้ถูกต้อง
    ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง ก็ไม่เห็นเหมือนกัน

    เป็นอันว่าเห็นหรือไม่เห็นก็ยังไม่ต้องพูดกัน มาว่ากันถึงว่า
    หัวข้อคือบทต้น เรียกว่า "หน้าปก" ถือเอาหน้าปกก็แล้วกัน
    ก่อนที่จะเข้าถึงศีล ก่อนที่จะเข้าถึงกรรมบถ ทั้ง ๑๐ ประการ
    นี่ว่ากันเฉพาะฆราวาสนะ ถ้าพระหรือเณรมีศีลแค่ ๕
    หรือมีกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วน ก็ไม่แคล้วอบายภูมิ
    เพราะว่าสิกขาบทที่จะต้องปฏิบัติมากกว่านี้
    สำหรับพระหรือเณรให้ปฏิบัติในสิขาบทของท่านด้วย
    แล้วก็ต้องมีกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วนด้วย
    เท่าที่เคยเห็นมาบางทีท่านก็เผลอๆ เหมือนกัน
    บางท่านก็เผลอในศีล ๕ บางท่านก็เผลอในกรรมบถ ๑๐
    หากว่าท่านผู้ใดเผลอในศีลห้าก็ดี เผลอในกรรมบถ ๑๐ ก็ดี
    พระหรือเณรท่านนั้นโอกาสที่จะขึ้นสู่สวรรค์ไม่มีเลย
    ทางที่จะไปก็มีทางเดียว คืออบายภูมิ มีนรกเป็นต้น

    ขอประทานอภัยเถอะครับ ผมพูดเรื่องนรกอยู่เรื่อยๆ
    ก็มีข่าวเข้ามาว่า พระสงฆ์ซึ่งเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส
    เป็นลูกของพระพุทธเจ้าหรือว่าสาวกของพระพุทธเจ้านั้นเองในปัจจุบัน
    บางท่านๆ โกรธ ท่านบอกว่า
    "อะไรก็นรกๆ คนที่เกิดมาก็เลยไม่ต้องไปสวรรค์กัน"

    ก็ขอตอบเสียในที่นี้ว่า "คนที่เขาไปสวรรค์นะมีมากนะครับ
    คนที่ไปพรหมก็มีมากและปัจจุบันคนที่จะไปนิพพานก็มีมาก
    ที่ว่าจะต้องตกนรกกัน เพราะว่าท่านลืมทางไปสวรรค์
    ลืมทางไปพรหมโลก ลืมทางไปนิพพาน"

    ตอนนี้ก็จะขอเปิดประตูให้พบทางไปสวรรค์ ทางไปพรหมโลก
    พบทางไปนิพพานซะก่อน เรื่องพระไม่อธิบาย
    สำหรับพระสำหรับเณรนี่ปฏิบัติอย่างไรไม่อธิบายให้ฟัง
    เพราะท่านเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านต้องไหว้
    ต้องบูชาอยู่แล้ว ก็ต้องยอมรับนับถือว่า
    ทุกท่านคงปฏิบัติความดีครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ต้องอธิบายกัน
    ก็มาพูดกับฆราวาส เพราะฆราวาสมีเวลาน้อยในการที่จะปฏิบัติความดี
    เพราะต้องทำมาหากิน ไม่เหมือนกับพระกับเณร
    ต้องอาศัยชาวบ้านเลี้ยงชีวิต จิตที่คิดในด้านของความดีมีมาก
    มาพูดถึงชาวบ้านชาวเมืองกันดีกว่า

    "ฆราวาส" ประตูที่จะเปิดเข้าสู่ทางสวรรค์ หรือทางพรหมโลก
    ทางนิพพาน หรือว่าประตู ที่จะเข้าถึงศีลและธรรม
    มีศีลห้า และกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น และเขาก็ใช้ประตู ๒ บาน

    บานที่ ๑ เรียกว่า "หิริ" คือความละอายต่อความชั่ว
    บานที่ ๒ เรียกว่า "โอตตัปปะ" คือเกรงกลัวผลของความชั่ว

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท
    โปรดทราบว่า ประตูจริงๆ น่ะมี ๒ บาน
    ที่จะเข้าถึงศีลกับธรรม บานที่ ๑ เรียกว่า "หิริ"
    คือ ความละอายต่อความชั่ว หรือความละอายต่อบาปอกุศล
    คือ บาปอกุศลนี่ ถ้าเราไม่อายมันก็โผล่หน้าเข้ามาถึงเรา
    ในเมื่ออายแล้วก็พยายามหลบบาป หลบอกุศล
    "อกุศล" นี่แปลว่า ไม่ฉลาด
    "บาป" นั่นแปลว่าความชั่ว คือ หลบความชั่ว
    หลบความโง่ ไม่ฉลาด ก็คือ โง่
    "โอตตัปปะ" เกรงกลัวผลของความโง่
    หรือเกรงกลัวผลของความชั่ว จะให้ผลเป็นทุกข์
    เพราะความโง่ก็ดี ความชั่วก็ดีนำเราไปสู่อบายภูมิแน่นอน
    นั่นคือว่า นำไปไหน นำไปนรกบ้าง
    เบามาหน่อยก็นำไปเป็นเปรต เบามาหน่อยก็นำไปอสุรกาย
    เบามาอีกนิดก็นำไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    เบากว่านั้นหน่อยก็เกิดเป็นคนที่หาความสมบูรณ์แบบไม่ได้

    ก็เป็นอันว่าท่านทั้งหลาย ทุกท่านอันดับแรกตั้งกำลังใจไว้ว่า
    นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นคนขี้อาย
    เราจะเป็นคนกลับอายความชั่ว กลัวความชั่ว
    แล้วก็ความชั่วที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระพุทธศาสนานี่มีมาก
    อายหมวดไหนกันก่อน

    อันดับแรก อายการละเมิดศีลห้า
    อันดับที่ ๒ อายการละเมิดกรรมบถ ๑๐

    และอันดับต่อไปก็กลัวผลของการละเมิดศีลห้า
    กลัวผลของการละเมิดกรรมบถ ๑๐ จะให้ผลสนองเรา
    เพราะการละเมิดศีลก็ดี การละเมิดกรรมบถ ๑๐ ก็ดีมีผลในชาติปัจจุบัน
    นั่นหมายความว่า จะสร้างความทุกข์ให้เกิดแก่เราอย่างหนัก
    แต่ว่าถ้าเราอายได้ เรากลัวได้ เราก็สามารถจะดึงเอาศีลห้าก็ดี
    กรรมบถ ๑๐ ก็ดี มาไว้กับเรา ตอนนี้เราจะพบกับความสุขอย่างมหันต์
    อย่างที่ท่านทั้งหลายจะไม่เคยมาในกาลก่อน
    ชาตินี้มีความสุขหนักและชาติหน้าก็มีความสุขอย่างหนัก
    และทุกๆ ชาติเราจะมีความทุกข์เล็กน้อยแต่มีความสุขมาก
    ชื่อว่าทุกข์ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายสัตว์เดรัจฉานไม่มีต่อไปอีก

    ศีลห้า มีอะไรบ้าง ?

    ข้อ ๑ ปาณาติบาต
    พระพุทธเจ้าบอกว่า ทรงให้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต
    ทางที่ก็เว้นจากการทรมานสัตว์เสียด้วย

    ข้อ ๒ อทินนาทาน
    ไม่ถือเอาทรัพย์สินที่บุคคลอื่นไม่ให้มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม

    ข้อ ๓ กาเมสุมิจฉาจาร
    ให้เว้นจากการละเมิดความรัก คือ เป็นสามีและภรรยาของบุคคลอื่น
    ยินดีเฉพาะสามีและภรรยาของตนเอง

    ข้อ ๔ เว้นจาการมุสาวาท
    คือ การไม่พูดให้ตรงตามความเป็นจริง
    เป็นการทำลายประโยชน์ของบุคคลผู้รับฟัง

    ข้อ ๕ เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย
    เพราะข้อนี้หนักมาก ถ้าเมาเมื่อไหร่แย่เมื่อนั้น จำอะไรไม่ได้
    ดีไม่ดีเห็นว่าพ่อเป็นเพื่อนไปอีก แต่บางคนเห็นว่าพ่อเป็นฟุตบอลไป
    ก็มีเตะพ่อตีแม่ อย่างนี้ก็มี

    เป็นอันว่าศีลทั้ง ๕ ประการมีตามนี้

    ทีนี้ต่อไปก็มาพูดกันถึงกรรมบถ ๑๐

    กรรมบถ ๑๐ นี่จริงๆ ก็เหมือนกับศีลห้า อยู่มาก
    แตกต่างกันอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง กรรมบถ ๑๐ ก็คือ

    ข้อที่ ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์

    ข้อที่ ๒. เว้นจาการลักทรัพย์ (เหมือนศีลห้า)

    ข้อที่ ๓. เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
    คือ เป็นชู้กับสามีภรรยาเขา (นี่สำหรับทางกาย ทางกายคือ
    ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม)

    ทางวาจา ท่านจัดไว้ ๔ ศีลห้าจัดไว้แค่ ๑
    ทางกายเหมือนศีลห้าเปี๊ยบ ไม่ต่างกันเลย แต่ทางวาจาท่านจัดไว้ ๔

    ๑. "ไม่พูดปด" นี่คือ ศีลห้า ห้ามแค่นี้
    กรรมบถ ๑๐ ห้ามต่อไป "ไม่พูดคำหยาบ"
    และก็ "ไม่พูดวาจาส่อเสียด ยุยงเส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน"
    และก็ "ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์"
    มี ๔ ด้านจิตใจนี่ศีลห้า ไม่ได้บอกไว้
    แต่ว่ากรรมบถ ๑๐ บอกไว้ว่าจิตใจ คือ

    ๑. จงอย่าอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใดมาเป็นของตน
    คือ ไม่ขโมยด้วย และก็ไม่นึกด้วย
    ศีลห้านี่ไม่ได้ขโมย แต่นึกอยากได้นี่ ไม่ผิด
    กรรมบถ ๑๐ ไม่ขโมย แต่นึกอยากได้ ผิด

    ต่อไปข้อที่ ๒ ของจิตใจความรู้สึกนึกคิด นั่นก็คือ
    ไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญใคร คือ ไม่จองเวรจองกรรมใคร
    โกรธน่ะโกรธ แต่ทว่าโกรธแล้วก็หายไป
    ต่อไปก็ไม่จองล้างจองผลาญใคร

    แล้วข้อที่ ๓ ด้านจิตใจ มีความเห็นตรงตามคำสั่งสอน
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ไม่ขัดคอพระพุทธเจ้า
    พูดกันง่ายๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตายแล้วเกิด
    เราก็เชื่อว่าตายแล้วเกิด ไม่ใช่ตายแล้วสูญ อย่างนี้เป็นต้น
    และสวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง เราก็ไม่เถียง
    เรายอมรับนับถือด้วยปัญญา
    ถ้าทำบาปอกุศลก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง
    อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง อันนี้เราก็ไม่เถียง
    ยอมรับและการปฏิบัติอย่างไรจะให้พ้นจากความทุกข์
    เสวยแต่ความสุข อันนี้เราก็ปฏิบัติตามอย่างนี้เรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ"
    มีความเห็นชอบ เป็นข้อที่ ๓ ของกรรมบถ ๑๐ ก็จะไม่พูดย้ำมาก

    ต่อมาก็หันมาดูศีลข้อที่ ๑ ศีล ก็คือ กรรมบถ ๑๐ ก็ดี
    จะอธิบายควบกันไป ถ้าแยกกันนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    มันจะยึดยาดมากเกินไป คือว่า อันนี้เวลานี้เราเข้ามาปฏิบัติ
    ในข้อที่ว่า "วิจิกิจฉา" ข้อที่ ๒ ของสังโยชน์
    (ขอนำเอาข้อที่ ๓ มาพูดรวมกัน)
    ข้อที่ ๒ บอกว่า ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอน
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยอมปฏิบัติตาม
    ทีนี้พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
    "คำสั่ง" ก็คือ วินัย "คำสอน" ก็ได้แก่สาธารณะ
    "คำสั่ง" หมายถึง ห้ามหรือเตือนว่า จงอย่าทำ จงเว้น
    "คำสอน" หมายความว่า จงทำตามนี้ จงปฏิบัติตามนี้
    จะมีความสุข (ขอนำมารวมกันกับข้อวิจิกิจฉา)
    คือ ความสงสัยในสังโยชน์ข้อที่ ๒
    เอาสีลัพพตปรามาสมารวมกันเลย ถ้าไม่รวมกันแล้วยุ่ง
    ท่านก็ฟังกันยืดยาด ดีไม่ดีฟังกันเดือนก็ไม่จบ)

    ก็รวมความว่า เวลานี้เรายอมรับนับถือในพระธรรม
    ได้แก่ "หิริ" และ "โอตตัปปะ" นี่เป็นอันว่า ไม่ฝืน
    อาย อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่ว
    ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ถ้าเราอาย เรากลัว ไม่มีจุดปฏิบัติ เราก็ท้อใจมาเริ่มปฏิบัติเริ่มแรก
    เอากันในเรื่องของศีล สำหรับศีลนี่ข้อไหนเหมือนกับกรรมบถ
    จะบอกว่าเหมือนกัน ข้อไหนที่แยกกันเป็นกรรมบถ
    โดยเฉพาะจะบอกว่านี่แยกกัน
    เพื่อสะดวกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท

    สำหรับศีลข้อที่ ๑ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "จงอย่าฆ่าสัตว์ ทำลายชีวิตสัตว์" ที่เป็นให้ถึงกับตาย
    แต่ว่าถ้านักปฏิบัติจริงๆ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ควรจะตั้งใจเสริมไว้สักนิดหนึ่ง
    พระพุทธเจ้าคงไม่ว่า คือ เราไม่ฆ่าสัตว์ด้วย
    ไม่ทำร้ายร่างกายของสัตว์ด้วย จะดีมาก
    จะเรียกว่าจะทำร้ายหนักหรือเบาก็ตามที
    ถ้าไม่มีความจำเป็นจงอย่าทำที่คำว่า "จำเป็น"
    เพราะว่าเรายังเป็นปุถุชนคนที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส
    ฉะนั้นญาติโยมพุทธบริษัท จงอย่าคิดว่า
    อาตมาพูดถึงเฉพาะพวกท่านที่รับฟังนะ
    เนื้อแท้จริงๆ อาตมาพาดพิงถึงอาตมาด้วย
    เราต่างคนต่างก็ยังมีกิเลสด้วยกัน ของใครจะมากกว่ากัน
    ของใครจะน้อยกว่ากันอันนั้นไม่ต้องวัด
    ใครจะหนักด้านไหน ใครจะเบาด้านไหนก็ไม่ต้องวัด

    คำว่า "กิเลส" เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต
    ถ้าพูดกันตามภาษาไทยชัดๆ คือ ความสกปรกของจิต
    จิตที่ชอบรู้สึกหรือนึกคิดในด้านของความสกปรกโสมม
    ในด้านของความชั่ว ไอ้ความชั่วนี่ก็สกปกรก อย่างนี้เราเรียกว่า "มีกิเลส"
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลายก็ต้องยอมรับความจริงกัน
    อาตมาก็ยอมรับความจริงว่า
    จิตของอาตมาอาจจะสกปรกกว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็ได้
    อันนี้รู้ไม่ได้ ญาติโยมที่นั่งฟังนี่ก็ไม่แน่ใจ
    ดีไม่ดีฟังอย่างนี้ กลายเป็นเอามะพร้าวไปขายสวนก็ได้

    ที่บอกว่ากรรมบถ ๑๐ มีธรรมะแทรกชัดบ่งชัดออกมาเลย
    แต่ว่าศีลห้า มีธรรมเหมือนกันแต่คุดอยู่ข้างใน
    คนที่ไร้ปัญญามองไม่เห็นหรือว่าคนที่ปัญญาดื้อนิดๆ ก็มองไม่เห็น
    ดื้อแล้วก็สอนไปเท่าไรๆ ก็ตาม
    ขยับไปนิดๆ ขยับไปหาความขยัน
    หรือขยับเข้าไปหาความฉลาดจริงๆ ไม่ค่อยจะไป
    อันนี้มองไม่เห็นเหมือนกัน

    ศีลข้อที่ ๑ นี่ถ้าจะมีได้บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ต้องมีธรรมะที่คุดอยู่ภายในเข้ามากระตุ้นเตือน
    ธรรมะที่คุดอยู่ภายใน ก็คือ เมตตา ความรัก
    กรุณา ความสงสาร

    ธรรมะ ๒ ประการนี้อยู่ใน "พรหมวิหาร ๔"
    คือ พรหมวิหาร ๔ น่ะมี
    ๑. เมตตา ความรัก
    ๒. กรุณา ความสงสาร
    ๓. มุทิตา มีจิตอ่อนโยน
    ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย
    ๔. อุเบกขา วางเฉย เห็นใครเพลี่ยงพล้ำ ไม่ซ้ำเติม
    ตอนนี้เอากันอย่างย่อๆ อย่างง่ายๆ

    เอาตามสิ่งที่มีความจำเป็น เพราะเรายังเป็นปุถุชนอยู่
    ถ้ามากนักแล้วก็จะไปไม่ไหว
    ก็เอากันว่าต้องมีธรรมะ ๒ ประการ เข้าควบคุมใจ
    คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    แต่ความรักใน ที่นี้ไม่ได้หมายถึง ความรักในด้านกามารมณ์
    อย่างผู้ชายรักผู้หญิง ผู้หญิงรักผู้ชาย อยากจะแต่งงานกัน
    นั่นคนละเรื่องกับความรักแบบนี้
    เป็นความรักด้านเมตตาปรานี เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
    มีความรู้สึกว่า เรารักร้างกายของเราเพียงใด
    คนอื่น หรือสัตว์อื่นก็รักร่างกายเพียงนั้น
    เราสงสารร่างกายของเราเพียงใด
    เราก็สงสารร่างการของคนอื่นเพียงนั้น

    คำว่า "สงสาร" สงสารร่างกายของเรา
    คือ ไม่อยากให้ใครมาฆ่าเรา ไม่อยากให้ใครมาทรมานเรา
    การรักร่างกายของเรา เราก็ต้องการให้ร่างกายของเรา
    มีความสุขมีความสมบูรณ์แบบทุกอย่าง
    นั่นก็หมายความว่า ใครจะมาทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ เราไม่ต้องการ
    ขึ้นชื่อว่า ความบกพร่องในร่างกาย
    ความบกพร่องในจิตใจ ไม่ต้องการให้มี
    เพราะการกระทำของบุคคลอื่น
    อย่างนี้เรียกว่า เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร

    ถ้าอารมณ์ทั้ง ๒ ประการนี้มีประจำใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ศีลข้อที่ ๑ ทรงตัวได้แน่นอน ทั้งนี้เพราะอะไร ?
    เพราะว่าคนที่รักกัน ฆ่ากันก็ไม่ได้ ทำร้ายร่างกายก็ไม่ได้
    คือ ไม่มีใครฆ่ากัน เพราะเขารักกัน ทำร้ายร่างกายก็ไม่มี
    คนที่มีความสงสารกัน จะหยิกก็สงสาร จะเอามีดฟันก็สงสาร
    จะเอาปืนยิงก็สงสาร ในเมื่อความสงสารปรากฏแล้ว
    บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ทำร้ายร่างกายกันไม่ได้
    ฆ่ากันไม่ได้เช่นเดียวกัน

    รวมความว่า ศีลข้อที่ ๑ มีธรรมะสิงอยู่ภายใน
    ไม่ใช่อยู่ๆ ก็จะปฏิบัติกันได้เฉยๆ
    โดยไม่มีธรรมะเข้าเป็นเครื่องค้ำจุน

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนที่ ๑๑ นี้
    ก็ต้องหยุดแต่เพียงแค่นี้เพราะเวลาหมดแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิชนทุกท่าน สวัสดี...
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...