ศรัทธาในการทำบุญควรประกอบไปด้วยปัญญาด้วย

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 พฤษภาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,655
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,550
    ค่าพลัง:
    +26,390
    0679AB8D-1751-4632-A6D9-0D3BAA0E3436.jpeg

    ในช่วงวันที่ผ่านมา ซึ่งได้รับสังฆทานและตอบปัญหาธรรมแก่ญาติโยมที่หาดใหญ่นั้น ก็มีเรื่องราวที่ควรจะบอก จะเล่า จะกล่าวให้ญาติโยมทุกท่าน ทั้งที่อยู่ที่หาดใหญ่และที่อื่นได้ทราบว่า กระผม/อาตมภาพนั้นเดินทางมาด้วยเครื่องบิน ญาติโยมที่มาพร้อมกับถังสังฆทาน มาพร้อมกับน้ำคนละ ๑๒ ขวดใหญ่บ้าง ๒๔ ขวดเล็กบ้าง ตลอดจนกระทั่งผ้าไตรต่าง ๆ ควรที่จะนึกว่ากระผม/อาตมภาพนั้นเดินทางมาอย่างไร ?

    เพราะว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายถวายนั้น ทำอย่างไรกระผม/อาตมภาพก็ไม่สามารถที่จะขนกลับไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็คงจะต้องลำบาก ฝากญาติโยมทั้งหลายให้ช่วยถวายแก่วัดวาอารามที่อยู่ใกล้ในบริเวณนี้ แต่ก็ต้องเป็นภาระใหญ่แก่บุคคลเหล่านั้นอีกเช่นกัน ดังนั้น...ถ้าหากว่าการทำบุญนั้น ท่านทั้งหลายได้ใช้ปัญญาอยู่บ้าง ก็คงจะไม่ทำบุญในลักษณะแบบนี้

    ขณะเดียวกัน ญาติโยมที่มีศรัทธามาก ต้องการที่จะถวายสิ่งของเป็นพุทธบูชา อย่างเช่นดอกไม้ ธูป เทียน ท่านทั้งหลายจะถวายดอกบัวสักดอกหนึ่ง ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่มก็ไม่ว่า แต่บางรายมาพร้อมกับดอกไม้ที่จัดไว้อย่างดี ๓ พานใหญ่ กระผม/อาตมภาพแทบจะไม่มีที่ตั้งให้ท่าน ในขณะเดียวกัน..ก็ไม่สามารถที่จะนำกลับไปได้อีกเช่นกัน

    ทำให้นึกถึงพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถระ) อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ซึ่งท่านได้ย้ำนักย้ำหนาว่า "ต่อให้เป็นการทำบุญก็ต้องใช้ปัญญาประกอบด้วย"

    จึงทำให้เห็นว่าพวกเราทั้งหลายนั้น ไม่ค่อยที่จะได้คิด เพราะว่าบางทีก็มาพร้อมกับน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม ๖ ถุง กระผม/อาตมภาพมองแล้วก็ได้แต่ถอนใจ นึกอยู่ว่า "กูจะขนกลับไปอย่างไรวะ ?" ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันต่อไป

    นี่เป็นเรื่องประการแรก ก็คือ การทำบุญสุนทานของญาติโยมทั้งหลาย ที่ทำโดยไม่ได้ใช้ปัญญาประกอบ ไม่ได้คิดว่าผู้รับจะต้องลำบากอย่างไรในการจัดการกับสิ่งของทั้งหลายเหล่านี้

    ประการที่สองก็คือ ญาติโยมจำนวนหนึ่งที่มาจากต่างอำเภอ จากต่างจังหวัด ไม่ว่าจะมาจากทางระโนดบ้าง รัตภูมิบ้าง หรือว่าที่มาจากทางด้านจังหวัดพัทลุง ตลอดจนกระทั่งจังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานีและสุไหงโกลก ท่านทั้งหลายเหล่านั้น บางท่านไม่เคยพบเห็นกระผม/อาตมภาพเลย เมื่อมาถึงก็บอกกล่าวด้วยความปลื้มใจว่า "ศรัทธาเลื่อมใสท่านอาจารย์มานานมากแล้ว" "ลูกหลานมีความเคารพเลื่อมใสพระอาจารย์ ฟังสิ่งที่พระอาจารย์เทศน์ พระอาจารย์สอนอยู่ทุกวัน"

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ฟังดูแล้วก็เหมือนกับดี แต่ว่าจากการที่สังเกตก็คือว่า ญาติโยมศรัทธาเลื่อมใสเพื่อที่จะได้เจอตัวอาตมภาพเป็น ๆ เท่านั้น ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ญาติโยมไม่ได้คิดที่จะปฏิบัติให้ตนเองมีความดีขึ้น มีความก้าวหน้าขึ้นมาเลย

    ตรงนี้ต้องบอกว่าถึงเจอกระผม/อาตมภาพไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้นไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสก จะเป่า จะดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายได้บรรลุมรรคบรรลุผลได้ นอกจากว่าท่านทั้งหลายนำเอาหลักการวิธีการต่าง ๆ ที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวเทศนาเอาไว้ ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีแก่ตัวของท่านเอง ท่านถึงจะได้เหมือนอย่างกับบุคคลที่ได้ดื่มรสแห่งพระธรรม ไม่ใช่ทัพพีที่คาหม้อแกงอยู่ ไม่ว่าจะแกงไปกี่ร้อยกี่พันหม้อ ทัพพีนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้รสแกงเลย

    หรือว่าเหมือนอย่างกับคนที่รับจ้างเลี้ยงวัว ในเมื่อเลี้ยงไปแล้ว ในส่วนของนม ของเนย ของผลประโยชน์ที่จะเกิดจากวัว สำหรับเราก็ไม่มีเลย เพราะว่าเรารับมาแต่ค่าจ้างเท่านั้น สิทธิสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแล้วอยู่กับเจ้าของวัวทั้งสิ้น

    หรือว่าท่านทั้งหลายที่บอกว่าได้มาชมบารมีแล้ว ซึ่งตรงจุดนี้ก็ยิ่งไร้ประโยชน์เข้าไปใหญ่ เพราะว่าเหมือนกับลักษณะไปดูสมบัติของมหาเศรษฐี ไม่ว่าจะเป็นเรือนชานบ้านช่อง รถรา หรือทรัพย์สินเงินทอง ก็ยังคงเป็นของมหาเศรษฐีอยู่ตามเดิม ส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นคือทำอย่างไรที่เราจะประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมทั้งหลายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำให้ตัวเราเป็นมหาเศรษฐีเองบ้าง

    อีกส่วนหนึ่งก็คือ ท่านทั้งหลายที่มาไม่ตรงที่ ไม่ตรงเวลา ไม่ตรงเหตุการณ์ อย่างเช่น พาลูก ๆ มาบอกว่าได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แล้วมาขอพรว่าขอให้สอบติดด้วย ซึ่งตรงนี้กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะช่วยเหลืออะไรได้ ยกเว้นว่าท่านมาก่อนสอบ ก็จะแนะนำให้ทำสมาธิ ให้ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ ซึ่งส่วนหนึ่งถ้าหากว่าท่านทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ก็จะสามารถที่จะช่วยในการสอบของท่านทั้งหลายได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่าสอบไปแล้วค่อยมาขอพรให้สอบได้นั้น โอกาสที่จะเป็นไปได้จึงน้อยมาก

    ท่านทั้งหลายพึงที่จะใช้สติปัญญาคิดด้วยว่า สิ่งที่เราทำนั้น ใช่ หรือว่าไม่ใช่อย่างไร อย่าเห็นพระเป็นผู้วิเศษ ที่จะบันดาลให้ท่านทั้งหลายได้ทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นท่านก็จะออกแนวที่หลุดออกนอกเขตพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะว่าคุณพระรัตนตรัยนั้น เราจะเลื่อมใสหรือว่าไม่เลื่อมใส ก็ไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อคุณพระรัตนตรัยเลย

    สำคัญที่ว่าเรานำเอาสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้ ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีแก่ตน สามารถที่จะพัฒนากาย วาจา และใจของเราให้ดีขึ้นไปตามลำดับ จากปุถุชน คนที่หนาแน่นด้วยกิเลส เป็นกัลยาณชน ผู้ที่มีศีลครบถ้วนสมบูรณ์ และมีสมาธิในระดับที่พอระงับยับยั้งกิเลสได้ มีสติ ปัญญาที่เพียงพอจะรักษาตนไม่ให้ไหลตามกระแสโลกไปได้

    ขณะเดียวกัน ก็พยายามพัฒนาขึ้นเป็นอริยชน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย ถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากว่าตายแล้ว เราควรจะตั้งเป้าเอาไว้ที่พระนิพพานแห่งเดียวเป็นอย่างต่ำ

    นี่คือสิ่งที่กระผม/อาตมภาพใช้เวลาหลายสิบปี บอกกล่าวให้ท่านทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติมา แต่จากที่เห็น ส่วนใหญ่แล้วก็ยังคงอยู่ในลักษณะที่ขอให้ได้พบตัวจริง ขอให้ได้ถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊กด้วย ขอให้ได้ถ่ายรูปแล้วส่งไลน์ไปอวดเพื่อนด้วย ถ้าในลักษณะอย่างนี้ ต้องบอกว่าเสียแรงที่กระผม/อาตมภาพต้องฝืนอาการเจ็บไข้ได้ป่วย มานั่งรองรับศรัทธาญาติโยม ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่โยมทั้งหลายน้อยเต็มที

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...