เรื่องเด่น พลังข้าวก้นบาตร รอดโควิดสังคมเฉา

ผ่านไปสองปีเต็มแล้วที่ผู้คนในสังคมได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด–19 อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย



“เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ หาวิธีการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันทุกชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของสังคม จะยากดีมีจนก็ต้องให้ความร่วมมือในวิธีการปฏิบัติ เพื่อมิให้เชื้อนี้แพร่ระบาดออกไปมากกว่าที่เป็นอยู่…สงบและจบลงด้วยดี”


พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า นอกจากคนที่เป็นผู้ใหญ่ในสังคมได้รับผลกระทบ ได้รับความเดือดร้อนแล้ว ยังกระทบไปถึงเด็กๆ ลูกๆ หลานๆ อีก



เด็ก…ไม่น้อยติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษา…ความทุกข์ ความเดือดร้อนอันเกิดขึ้นกับผู้ปกครองหรือญาติพี่น้องของเด็กเป็นเช่นใดเราก็ได้สัมผัสมาแล้ว เด็กเจ็บไข้ได้ป่วยก็เปรียบเสมือนพ่อหรือแม่หรือญาติพี่น้องเจ็บไข้ได้ป่วยไปด้วย เพราะเด็กยังอยู่ในวัยที่ยังอ่อนแอ จำเป็นต้องมีผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่คอยดูแล


สุดท้าย…ก็มีผลกระทบเป็นลูกโซ่


“เราอยากจะให้ลูกหลานของเรามีอนาคตเป็นเช่นใดจึงอยู่ที่ผู้ใหญ่ในครอบครัว ในสังคมนั่นเองเป็นผู้ขีดเส้นทางให้กับพวกเขา อนาคตเด็กสดใสสังคมก็มีแต่ความปกติสุข…ความสงบ แต่ถ้าอนาคตของเด็กไม่สดใสไร้ทิศทางที่ชัดเจนแล้วก็อย่าหวังเลยว่าสังคมของเราจะมีความเป็นปกติสุขและร่มเย็นไปได้”


จึงขอให้มาร่วมกันใส่ใจ เลี้ยงดู อบรมบ่มนิสัย ให้การศึกษาแก่ลูกหลานในสังคมเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้เป็นไปอย่างทั่วถึงทุกสังคม… ทุกภูมิภาคของประเทศไทยเรา วันข้างหน้าอะไรๆก็จะดียิ่งขึ้น


“สังคมเราจะมีความสุขจะมีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจควบคู่กันไปซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างปรารถนากัน”



ตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2527 จนถึงปัจจุบันก็ครบ 38 ปีแล้ว “มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน” มีโครงการเพื่อเด็กๆอยู่ในขณะนี้ 14 โครงการ มีทั้งอุปการะเลี้ยงดูอยู่ประจำ สอนหนังสือ อุปการะส่งให้ได้เรียนหนังสือ สอนธรรมะ ฝึกอบรมบ่มนิสัยให้พวกเขาได้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นเยาวชน เป็นพลเมืองที่ดี


ให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีศีลธรรม มีธรรมะครองใจ ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข การพนัน สิ่งเสพติดทุกชนิด รู้จักรับผิดชอบตนเอง… สังคม เป็นเด็กที่ขยันซื่อสัตย์สุจริต ดำรงชีพตามสถานะของตนเอง


รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น รู้จักให้อภัยคนอื่น รู้จักเสียสละจนเด็กได้เติบโตขึ้นมาอยู่ในสังคมรุ่นแล้วรุ่นเล่า นับว่าเป็นการผลักดันให้สังคมเจริญรุ่งเรือง มีความสงบ มีความสุข จาก “ข้าวก้นบาตร” ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะมูลนิธิกลุ่มแสงเทียนอยู่ภายในวัดบางไส้ไก่ ซึ่งมีพระภิกษุเป็นผู้ดำเนินการ


พลังจากข้าวก้นบาตร…มีความตระหนัก ห่วงใยเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของเรา โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาสในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเด็กยากจน เด็กกำพร้า เด็กขาดผู้อุปการะ เด็กในชุมชนแออัด เด็กในชนบทถิ่นทุรกันดาร หรือเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ในสังคมทำร้ายพวกเขา หรือเด็กที่ขาดการเหลียวแลจากผู้คนในสังคมทุกกรณี



สะท้อนว่า “ข้าวก้นบาตร” ได้สร้างชีวิตและให้อนาคตแก่เด็กกำพร้าเด็กด้อยโอกาสในสังคมมาเป็นจำนวนมากในอีกมุมหนึ่งของสังคมไทยเรา


แต่มาในระยะสองปีย้อนหลังนี้ มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนักเช่นเดียวกัน เพราะการดำเนินงาน โครงการต่างๆล้วนอาศัยประชาชนผู้มีจิตเมตตา… ศรัทธา ได้ร่วมกันบริจาคให้ความช่วยเหลือมาคนละเล็กคนละน้อยตามมีตามเกิด


ต้องบอกความจริงอีกว่า…เราไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลหรือจากทางราชการแต่ประการใด จึงเป็นการดำเนินโครงการที่หาความแน่นอนไม่ได้เพราะไม่มีงบประมาณไว้ล่วงหน้า


“ถ้ามีประชาชนบริจาคมาจึงจะสามารถจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ความช่วยเหลือเด็กได้ เมื่อประชาชนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ของไวรัสโควิด-19 จึงได้ตกมาถึงมูลนิธิเช่นเดียวกัน ข้าวก้นบาตรก็น้อยลงไป อาหารการอยู่การกินที่จะใช้เลี้ยงเด็กก็น้อยลงไปหรือแทบจะไม่มีเลย”



ส่วนเงิน “ค่าอาหาร” และ “ค่าทุนการศึกษา” ช่วยเหลือเด็กก็ขอให้รอดพ้นไปวันๆเท่านั้น เรียกภาษาชาวบ้านได้ว่า “หากินไปวันๆ” ส่วนอนาคตที่สดใสจึงมองเห็นยากได้เต็มที


แต่อาตมาก็ตั้งใจว่าจะดำเนินกิจกรรม โครงการต่างๆที่มีอยู่นี้ต่อไป จึงขอทำเท่าที่เราทำได้ ช่วยเหลือเท่าที่เราทำได้ ดีกว่าจะไม่ช่วยเหลือหรือดูแลเด็กเลย แล้วเราจะมาเสียใจภายหลังว่า “เด็กไร้การเหลียวแล”


ผู้มีจิตเมตตาและศรัทธาบริจาคเงินเพื่อให้เป็น “ค่าอาหารกลางวันเด็กยากจน และทุนการศึกษาเด็กยากจน” ได้ที่มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ ถนนอิสรภาพ 15 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กทม. โทรศัพท์ 0-2465-6165, โทรสาร 0-2472-4212, ไลน์ 06-3232-3874



บริจาคเงินโอนเข้าบัญชี “มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน (วัดบางไส้ไก่)” ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเจริญพาศน์ เลขที่บัญชี 126-0-36151-2 ประเภทสะสมทรัพย์ ใบอนุโมทนาบัตรสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้


หรือร่วมบริจาคข้าวสาร อาหารสด อาหารแห้ง นมกล่อง ขนม ของเด็กเล่น เครื่องเขียน ตุ๊กตา เสื้อผ้า เครื่องกีฬา หนังสือสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก ได้ทุกวันไม่มีวันหยุด เวลา 08.00-16.00 น.


พระมหาสมัย ย้ำว่า ความเจริญงอกงามทางจิตใจนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เด็กจะต้องได้รับการแนะนำพร่ำสอนในเรื่องกิริยามารยาทในครอบครัวในโรงเรียน ในสังคม ในชุมชน มารยาทต่างๆที่เราเคยได้รับการแนะนำพร่ำสอนมาในอดีตนั้นยังมีความสำคัญและจำเป็น…อยู่ในขณะนี้


ขอให้พลิกฟื้นนำมาสอนลูกหลานของเรา มิเช่นนั้นพวกเขาจะถูกละเลยทางด้านกิริยามารยาทที่ดีงามไป พวกเขาอาจจะเติบโตมาเพียงด้านร่างกาย แต่จิตใจหรือมารยาทที่ดีงามไม่มีในตัวของพวกเขาเลย


สุดท้ายพวกเขาก็จะกลายเป็น “คนที่ไม่มีเสน่ห์” ไปในตัว



ส่วนความงอกงามทางสติปัญญานั้นก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นเดียวกัน…จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของพวกเขาเอง การให้สติก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากเพราะทุกชีวิตจะต้องใช้สติตลอดเวลา


“สติคือความระลึกได้ ระลึกอยู่เสมอ จะพูดจะทำอะไรก็ต้องมีสติ ถ้าขาดสติเสียแล้วเพียงไม่กี่วินาทีความหายนะหรืออันตรายก็อาจจะเกิดขึ้นมาทันที อย่างเช่นเรากำลังขับรถยนต์ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ทันทีตราบใดที่ขาดสติ เป็นต้น”


สติจึงเป็น…“หางเสือ” ส่วน…“ปัญญา” เป็นตัวกำหนดว่าชีวิตจะเดินแล่นไปในทิศทางใด ปัญญาย่อมเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และการเสาะแสวงหาของเด็กคนนั้นๆ ปัญญาย่อมเกิดขึ้นจากทั้งทางตรงและทางอ้อม เกิดขึ้นทางตรงคือการศึกษาเล่าเรียนตามระดับชั้นเรียนตามวัยของเด็กแต่ละคน


เกิดขึ้นทางอ้อมก็คือวิถีชีวิตที่เด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับครอบครัว ชุมชนและสังคมนั้นๆ หมายถึงว่า…สิ่งแวดล้อมได้สอนเด็กๆไปในตัว ดังนั้นชีวิตของเด็กจะต้องเจริญงอกงามไปด้วยกันทั้งทางด้านจิตใจและทางด้านสติปัญญา ทางพระเรียกว่าเด็กเจริญงอกงามทั้ง “วิชาและจรณะ” นั่นเอง


“เด็ก” เป็น “ทรัพยากร” ที่มีคุณค่า สำคัญต่อประเทศชาติ…อาตมาขอเชิญชวนผู้ใหญ่ที่มีกำลังมาช่วยกันรดน้ำ ใส่ปุ๋ยให้พวกเขาเจริญเติบโตเป็น “เพชรเม็ดงาม” ของสังคมต่อไป.


ขอขอบคุณที่มา
https://www.thairath.co.th/news/local/2319255