ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า (บันทึกแนวทางการปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 30 เมษายน 2015.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๑๙.ถ้าท่านผู้ใดทิ้งอานาปานสติกรรมฐานก็แสดงว่าท่านผู้นั้นไม่สามารถจะทรงกำลังจิตให้ดีได้ตามสมควร วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ตอนนี้ท่านเริ่มหัวข้อไว้ว่า พุทธพยากรณ์พิเศษ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า เวลานี้เจ้าไม่ใช่ปุถุชนแล้ว เจ้าเลยโคตรภูมาแล้ว ฉะนั้น เจ้าเป็นพระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง จำได้ไหม เขาเรียกพระโสดาบันขั้นแรก...


    ในโอกาสนี้ บรรดาท่านทั้งหลายได้สมาทานพระกรรมฐานและก็สมาทานศีลแล้ว ต่อนี้ไป ขอได้โปรดตั้งใจให้เป็นสมาธิ คือการทรงอารมณ์ให้เป็นสมาธิ ได้แก่อานาปานสติกรรมฐานนี่เราทิ้งกันไม่ได้ ถ้าท่านผู้ใดทิ้งอานาปานสติกรรมฐานก็แสดงว่าท่านผู้นั้นไม่สามารถจะทรงกำลังจิตให้ดีได้ตามสมควร ฌานสมาบัติต่างๆ ต้องขึ้นอยู่กับอานาปานสติกรรมฐานเป็นสำคัญ และนอกจากนั้นก็ให้ปฏิบัติตามอัธยาศัย ในเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ยึดพุทธานุสติกรรมฐานเป็นสำคัญ ดูตัวอย่างมัฑกุณฑลีเทพบุตร เขามีความเลื่อมใสตั้งใจนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าเพียงนิดเดียว เวลาเพียงสั้นๆ เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกได้ มีวิมานทองคำ แล้วหลังจากนั้น ได้สดับพระธรรมเทศนาอีกวาระเดียวก็เป็นพระโสดาบัน เพียงแค่ทรงอานาปานสติกรรมฐานกับพุทธานุสติกรรมฐานก็สามารถทรงฌานสี่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านนักปฏิบัติกรรมฐานใหม่ ให้รักษาอารมณ์นี้ไว้เป็นสำคัญ ยังไม่ต้องใช้อารมณ์อื่นใดก็ได้ สิ่งทั้งสองประการนี้ท่านก็สามารถทรงฌานสี่ได้ นี่ว่ากันถึงท่านที่ตั้งใจมาปฏิบัติ ไม่ต้องรีบมาก เรียนเท่านี้พอ แล้วเอาไปปฏิบัติที่ๆ อยู่ของท่าน

    การปฏิบัติไม่ต้องหนีเข้าป่า อยู่กับคน อยู่กับที่เดิม แล้วก็สามารถทำจิตใจให้ชนะอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านได้ ก็สามารถจะทรงฌานได้ หากว่าทำกรรมฐานเพียงเท่านี้ยังไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ไม่สมควรทั้งนั้น เพราะว่าความดีหรือความชั่ว อารมณ์ดีหรืออารมณ์ชั่ว มันอยู่ที่กำลังใจของเรา ไม่ใช่อยู่ที่สถานที่ แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่ครูสอน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ถ้าบอกแล้วไม่ปฏิบัติตามก็เมื่อยปากเปล่าซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับผมเอง การปฏิบัติกรรมฐานมาให้กาลก่อน ผมก็ไม่เคยเกาะครูบาอาจารย์มากเกินไป ถามอะไรพอเข้าใจแล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามนั้น ถ้าสิ่งนั้นยังไม่มีผล ผมก็ไม่กลับไปถามครูบาอาจารย์อีก ผมถือเอาชีวิตของผมเป็นประกัน ถ้าทำไม่ได้ให้มันตายไปเสียดีกว่า นี่นักปฏิบัติกรรมฐานที่ดีตามสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติอย่างนั้น ต่อนี้ไป ขอบรรดาท่านทั้งหลายฟังเรื่องราวของท่านผู้เฒ่าต่อไป

    ตามบันทึกของท่าน ท่านเขียนไว้ว่า วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ตอนนี้ท่านเริ่มหัวข้อไว้ว่า พุทธพยากรณ์พิเศษ ท่านกล่าวว่าวันนี้ขณะที่ทำวัตร ได้กราบทูลถึงเรื่องกิเลส นี่แสดงว่าเวลาที่ท่านทำวัตร ว่า โยโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ปากท่านก็ทำวัตรไปด้วยความเลื่อมใส ท่านก็ใช้กำลังอภิญญาผลสมาบัติของท่านติดต่อตรงกับองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า คือว่าเรื่องนี้ทำได้ง่ายๆ ไม่ยากนัก เป็นการแบ่งกำลังใจของเราส่วนหนึ่งทำงานที่ตรงนี้ ส่วนหนึ่งก็ไปจุดใดจุดหนึ่งได้ตามความประสงค์ การกระทำอย่างนี้ ถ้าคล่องจริงๆ ส่วนมากมักจะเป็นพวกปรารถนาพระโพธิญาณ ท่านเขียนไว้ย่อเหลือเกินว่า กราบทูลถึงเรื่องของกิเลส ท่านถามอะไรบ้างก็ไม่รู้ เพราะท่านเขียนย่อจริงๆ ท่านกล่าวว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดว่ามีเรื่องกระทบใจ ท่านบอกว่าเวลานี้มันมีเรื่องกิเลสเข้ามากระทบใจเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็มีจริงๆ หมายความว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า ระหว่างนี้ต้องระวังนะ กิเลสเล็กกิเลสน้อยมันจะเข้าจูงใจกระทบใจอยู่เสมอ ความจริงกิเลสใหญ่มันชนะมาแล้วก็คือกิเลสผู้หญิง ผู้หญิงอยากจะมาชวนเอาไปเป็นผัว ชนะแล้ว ไม่เป็นแล้ว แล้วก็บอกว่าในเมื่อเราชนะเรื่องนี้แล้วก็จงระวังเรื่องกระทบใจคือ ปฏิฆะ การชนะกามราคะนั่นหมายความว่าจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระอนาคามี เวลานี้ นั่นจุดหนึ่งของพระอนาคามีที่จะเข้าถึง เราชนะแล้วแต่ก็จะต้องระวังอีกจุดหนึ่งที่จะเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี นั่นคือปฏิฆะหรือความโกรธความพยาบาท อารมณ์ที่สร้างความโกรธให้เกิดขึ้นอันนี้ต้องระวัง มันจะเข้ามาเล่นงานเข้าอีก ท่านว่าอย่างนั้น

    และในที่สุดก็มีจริง ท่านบอกว่าเวลาทำวัตรก็เวลา ๑๘ น. เศษ กลับมาแล้วจากการทำวัตร เวลาทำวัตรก็ทำกรรมฐานไปด้วย เพราะว่ากำลังทำวัดอยู่นี่ท่านพบพระพุทธเจ้าได้ ก็แสดงว่าอารมณ์ใจของท่านไม่คลายจากอภิญญาผลสมาบัติ ถ้าหากว่าเป็นพวกเราบ้าง เราจะทำอย่างไร ถ้าเราไม่ได้อภิญญาผลสมาบัติ เวลาที่จะทำวัตรกราบนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์ด้วยความเคารพ ด้วยความตั้งใจจริง ตั้งใจทำวัตรด้วยความเคารพ จิตรู้ว่าเวลานี้ปากเราว่าอะไร ใจก็น้อมไปตามนั้น ถึงแม้ว่าเราไม่รู้ภาษานั้น ก็ตั้งใจว่าการกระทำอย่างนี้ว่าอย่างนี้ เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์พระธรรมและพระอริยสงฆ์ อย่างนี้ก็ใช้ได้

    การปฏิบัติพระกรรมฐานมันต่างกัน ถ้าผ่านสุขวิปัสสโก สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิเวลาจะทำวัตร ปากว่า ใจจับมโนมยิทธิ เอาจิตไปจับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เคยไปนมัสการ แล้วเวลานั้นเราก็แบ่งใจเป็นสองประการ หนึ่งทำวัตรที่นี้ด้วยความเคารพ อีกหนึ่งกราบองค์สมเด็จพระพิชิตมารแล้วก็ทูลถามกิจที่เราพึงปฏิบัติ พระองค์ตรัสว่าอย่างไรทำอย่างนั้นให้ได้ อย่าทำประเภทตากระทู้หูกระทะ ตากระทู้น่ะตามากแต่มองไม่เห็นอะไร หูกระทะมีเหมือนกันมีไว้สำหรับแขวน ฟังไม่ได้ยินอะไร อย่างนี้ใช้ไม่ได้ จงใช้กำลังใจของท่านให้เป็นประโยชน์ในการแบ่งการปฏิบัติของเราเป็นสองฝ่าย ฝ่ายสุขวิปัสสโกและเตวิชโช ฉฬภิญโญของเราไม่มี

    เป็นอันว่าท่านกล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระชินสีห์ท่านบอกว่าระวังนะเรื่องที่จะมากระทบใจ ท่านก็บอกว่ามีจริงๆ ขณะที่เจริญพระกรรมฐานอยู่นั่นเอง เวลาประมาณ ๑๐ น. ก็มีพระผู้ทรงเกียรติท่านหนึ่งมีความเดือดร้อนมาแจ้งว่ามีโจทย์เขาฟ้องเรื่องการเงิน แล้วก็มาขอให้ช่วยจัดการเรื่องนั้นด้วย ถามว่าจะทำประการใด ท่านก็เลยชี้แจงไปว่าเราสู้ตามความเป็นจริง การเงินเรื่องนี้เขาฟ้องเพราะกลั่นแกล้ง เพราะมีพระอีกฝ่ายสนับสนุนให้ฟ้อง เรื่องนี้ไม่เป็นไร ท่านว่าอย่างนั้น ไม่เป็นไร จะมีคนเขาช่วยเหลือ แต่การช่วยเหลืออาจจะเป็นการกู้ยืมกันก็ได้ แต่ในที่สุดเราก็หาใช้เขาได้

    เมื่อพระองค์นั้นไปแล้ว ท่านก็เริ่มทำกรรมฐานของท่านใหม่ จนกระทั่งถึงเวลา ๑๑ น. กินข้าวเพล ท่านบันทึกบอกว่าวันนี้ดีมาก มีเรื่องกระทบใจแล้วนะยังดีมาก เพราะว่าตอนเช้าเป็นเรื่องของการเจริญสมาธิขั้นถึงอันดับสูงสุดก็พบพระพุทธเจ้า ก็สูงสุด ก็เท่านั้น เมื่อคลายลงมา แล้วก็มาถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ท่านว่าอย่างนั้น วันนี้จิตหยั่งเข้าสู่พระนิพพานแล้วอารมณ์ของท่านไม่ยอมคลายพระนิพพานเลย ถ้ากล่าวว่าจิตหยั่งเข้าสู่พระนิพพานนี่เป็นสองแบบ สำหรับท่านที่ได้วิชชาสาม ทำจิตให้สว่าง เอาใจจับพระนิพพานเพราะเห็นนิพพานได้ ท่านที่ได้มโนมยิทธิเอาจิตจับพระนิพพาน ยกอทิสมานกายหรือยกจิตขึ้นไปสู่สถานพระนิพพานเลย สำหรับท่านที่ฝึกฝ่ายสุขวิปัสสโก เอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่าเราต้องการจะไปพระนิพพาน ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารได้ด้วยกรณีใด เราจะปฏิบัติตามนั้น ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโทษ เราไม่ทำเด็ดขาด แล้วก็เอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วภาวนาว่า นิพพานสุขัง เท่านี้พอแล้ว สบาย มีจริยาแห่งการปฏิบัติไม่เหมือนกันแต่ว่าก็ใช้ได้อย่างเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะคนละระดับ แต่จิตจับพระนิพพานเหมือนกันก็ใช้ได้

    ท่านกล่าวต่อไปว่า เป็นท่านอาจารย์บอกให้เปลี่ยนจาก ขีณาสวานิยตา เป็น นิพพานสุขัง เป็นอันว่าเมื่อจิตขึ้นไปจับ อารมณ์ขึ้นไปนั่ง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านก็ใช้อทิสมานกาย ใช้อภิญญาของท่าน ไปสู่พระนิพพานเลย นั่งปร๋อบนพระนิพพาน หมดเรื่องหมดราวกัน ต่อนั้นท่านอาจารย์ก็คือท่านมหากัจจายนะก็บอกว่า ปล่อยขีณาสวานิยตาเสีย ใช้คำภาวนาคือใช้อารมณ์ตั้งไว้ว่า นิพพานสุขัง ท่านบอกว่านิพพานนี้เป็นสุขจริงหนอ เอาอย่างนี้ก็ยังได้

    เมื่อเปลี่ยนแล้วได้ทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระองค์ตรัสว่าระหว่างนี้เธอไม่ใช่ปุถุชนแล้วนะ เธอเลยโคตรภูมาแล้ว ความจริงพยากรณ์ไว้ว่ากลางพรรษาจะได้พระโสดาบัน เป็นอันว่าในตอนท้ายท่านบอกว่าเรื่องการพยากรณ์มรรคผลใครพยากรณ์ไม่ได้ สุดแล้วแต่คนที่ฉลาด แล้ววันนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสว่า เวลานี้เธอไม่ใช่ปุถุชนแล้ว อารมณ์ของเธอเลยโคตรภูมาแล้ว

    ความจริงเรื่องของพระนิพพานนี่ ถ้าเราแม้จะได้ทิพจักขุญาณก็ดี จะได้มโนมยิทธิก็ดี จะได้อภิญญาก็ดี จำไว้ด้วยนะ ถ้าหากว่าจิตของเราเข้าไม่ถึงโคตรภูญาณ เราจะไม่สามารถเห็นพระนิพพานได้เลย เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ ทำได้ ถ้าพระโพธิสัตว์มีบารมีตั้งแต่อุปบารมีขึ้นไป อันนี้สัมผัสนิพพานได้เป็นปกติ อันนี้เป็นกำลังใหญ่ สำหรับสาวกภูมินี่ ถ้ามีอารมณ์ไม่ถึงโคตรภูญาณ คือระหว่างโลกีย์กับโลกุตตระ คืออยู่กลางๆ จิตอยู่กลางๆ เป็นปุถุชนก็ไม่ใช่ เหมือนกับคนยืนคร่อมลำรางเล็กๆ เท้าซ้ายอยู่ฝั่งนี้ เท้าขวาอยู่ฝั่งโน้น ยังไม่ยกเท้าซ้ายมาหรือว่ายังไม่ยกเท้าขวามา อารมณ์ตอนนี้เป็นอารมณ์กลางๆ ท่านเรียกว่า โคตรภูญาณ ถ้าอารมณ์เข้าถึงตอนนี้จึงจะจับสัมผัสกับพระนิพพานได้ ถึงแม้ว่าจะได้ทิพจักขุญาณ มโนมยิทธิหรืออภิญญาก็ตาม เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ ไม่มีโอกาสได้เป็นพระอริยเจ้าจนกว่าจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณด้วยตนเอง ดังนั้น จงจำไว้ว่าถ้าท่านผู้ใดสามารถฝึกมโนมยิทธิหรือว่าทิพจักขุญาณ ถ้าได้แล้ว ถ้ากำลังใจของท่านหยั่งเข้าสู่พระนิพพานได้ คือเห็นพระนิพพานได้ ถ้าเป็นพวกทิพจักขุญาณ หรือว่าพวกที่ได้มโนมยิทธิ สามารถเข้าไปสู่แดนพระนิพพานได้ พึงทราบว่ากำลังใจของท่านเวลานั้น อย่างเลวที่สุดอยู่ในเขตโคตรภูญาณหรือพระโสดาบันแล้ว จึงจะไปได้

    ฟังต่อไป องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า เวลานี้เจ้าไม่ใช่ปุถุชนแล้ว เจ้าเลยโคตรภูมาแล้ว ฉะนั้น เจ้าเป็นพระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง จำได้ไหม เขาเรียกพระโสดาบันขั้นแรก ท่านบอกว่าสำหรับพระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุงนั้น เจ้าได้เมื่อพรรษาก่อน ระหว่างนี้เป็นโกลังโกละ ความจริงนี่มัวนั่งสงสัยตัวเองนี่หลวงตาองค์นี้ เรียกท่านว่าหลวงตา แก่แล้วนี่เรียกได้ มิน่าเล่า ท่านจึงสอนขั้นพระอนาคามีมาตลอดเวลา ให้ตัดโน่นตัดนี่ ตัดนี่ตัดนั่น ท่านบอกว่าอยากจะได้พระโสดาบันให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เนื้อแท้จริงๆ โสดาสัตตักขัตตุงได้ตั้งแต่พรรษาก่อน แต่ทว่าท่านเป็นพระที่มีความสงสัยตัวอยู่เสมอ ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเป็นคนดี เขาคอยจับผิดคิดชั่วว่าตัวมันเลวใจมันเลวอยู่เสมอ จึงไม่มั่นใจว่าตัวเองได้พระโสดาบัน ความจริงใจของท่านอาจจะมีความเข้าใจ แต่ว่าการเข้าใจว่าได้ ท่านถือว่ามันเล็กเกินไป คิดว่าไม่ได้ไว้ก่อนดีกว่า ถ้าพระโสดาบันจริงๆ ต้องเป็น เอกพีชี สัตตักขัตตุง โกลังโกละ สัตตักขัตตุงต้องเกิดอีก ๗ ชาติ โกลังโกละต้องเกิดอีก ๓ ชาติ

    มันก็ยังไม่เต็มพระโสดาบัน เข้ามาครึ่งๆ เป็นอันว่าฟังต่อว่าสัตตักขัตตุงนั้นเจ้าได้ตั้งแต่กลางพรรษาก่อนโน้น แต่ว่าเวลานี้เป็นโกลังโกละ เป็นพระโสดาบันขั้นกลาง ต่อไปนี้ไม่เกินเจ็ดวันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นับตั้งแต่วันนี้ไป ๕ วัน จะได้เอกพีชี เห็นไหม นี่เป็นพุทธพยากรณ์ ถ้าไม่ใกล้จริงๆ ตอนก่อนขู่เสียเกือบแย่ สิบปีเศษๆ มีหวังแน่ ไม่เป็นไร ว่าอย่างนั้น ที่นี้คนก็นึกว่ายังไม่ได้ บุกใหญ่เลย อีกสิบปีนี่จะอยู่ไปทำไม ฟัดให้แหลกไปด้วยกัน ไปๆ ได้พระโสดาบันท่านไม่ยอมรับรอง ไม่ยอมรับรองก็เชื่อตัวเองไม่ได้ ถ้าได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป เขาต้องอาศัยพระพุทธเจ้ารับรอง ท่านบอกว่าอีกไม่เกิน ๗ วัน นับแต่นี้ต่อไป ๕ วัน จะได้เอกพีชีในพรรษานี้ ถ้าหากว่าไม่ขี้เกียจ อย่างต่ำจะได้อนาคามีหรือว่าถึงที่สุดก็ได้ นี่ยังมีวงเล็บอีก ในพรรษานี้ถ้าไม่เกียจคร้านอาจจะได้อรหันต์เสียหมดเรื่องหมดราว แต่ท่านไม่ยอมพูดอย่างนั้น ท่านพูดอย่างพระพุทธเจ้า ดีไม่ดี ท่านผู้เฒ่าผู้นั้นก็จะเกิดขี้เกียจขึ้นมา จะนั่งตีขลุมมาว่าเราได้อรหันต์แน่ ก็เลยนอนส่งเดช ไม่ต้องได้กัน ท่านจึงบอกว่า ในพรรษานี้ถ้าเธอไม่เกียจคร้านอย่างต่ำจะได้อนาคามีหรือว่าถ้าขยัน หรือว่าทำดีๆ ทำให้ถูก จะถึงที่สุดคืออรหัตผล ฟังแล้วชื่นใจไหม

    ท่านบอกว่าฟังแล้วชื่นใจ แล้วท่านก็บอกต่อไปว่าถ้าไม่เกียจคร้านก็ไม่เกิน ๒๕๐๘ ท่านบอกว่าถ้าเกียจคร้านหน่อยๆ ก็ไม่เกิน ๒๕๐๘ จะจบกิจพระพุทธศาสนา ท่านกล่าวว่าท่านทรงอารมณ์ตั้งอยู่ในนิพพานสุขังถึง ๑๑ น. พอดี จิตของท่านก็ตกจากภาวะของอารมณ์แห่งฌาน เพราะเป็นเวลาเพล ความจริงไม่ได้ตั้งเวลาไว้ จิตมันเพลินไป พอถึง ๑๑ น. จิตตก ดึงไม่ขึ้นลืมตาขึ้นมาดูว่า โอหนอนี่เวลาเพลเสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆ วันนี้ไม่อยากจะกินข้าว ข้าวปลาไม่อยากจะกินมันต่อไป อยากจะโหมมันเสียให้เสร็จในวันนั้น ให้เป็นอรหันต์ ท่านบอกว่าอย่างนั้น ตายเรื่องเล็ก ขันธ์ห้านี่มันเป็นทุกข์ มันเป็นศัตรูอยู่ ไม่อยากพบหน้ามันต่อไปอีก เกลียดเหลือเกิน นี่ดูอารมณ์ของนักปฏิบัติกรรมฐานที่เขาเอากันจริง นี่มันเป็นแบบนี้

    บันทึกของท่านเล่าต่อไปว่า วันที่ ๒๒ ท่านจบเรื่องไปแล้ว ท่านมาบันทึกอีกที วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ท่านบอกว่าวันนั้นท่านอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา คือ ท่านมหากัจจายนะ โปรดให้โอวาทว่า จงกำจัดอุปาทานนั้นเสีย อุปาทานนั้นได้แก่ ฉันทะ คือความพอใจหนึ่ง ราคะ ได้แก่ ความกำหนัดยินดีหนึ่ง ฉันทะคือความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นเทวดา การเกิดเป็นพรหม ราคะคือความเห็นว่ามนุษย์โลกสวยน่าอยู่ เทวโลกสวยน่าอยู่สบาย พรหมโลกสวยน่าอยู่สบาย จงอย่ามีในใจของเธอ ตัดอารมณ์อย่างนี้เสียให้ขาดไป เรามีความพอใจอย่างเดียว คือพระนิพพาน ท่านกล่าวว่าถ้าฉันทะเกิดขึ้น ให้พิจารณาว่า อนิจจังมันไม่เที่ยงหนอ ทุกขังมันไม่เที่ยงหนอ อนัตตา เมื่อฉันทะความพอใจเกิดขึ้น ก็บอกว่าอนิจจังมันไม่เที่ยง อย่าไปเกาะมันเลย โลกมนุษย์ พรหมโลก เทวโลก มันไม่อยู่กันจริงจัง เป็นมนุษย์เดี๋ยวก็ตาย เป็นเทวดาหรือพรหมเดี๋ยวก็จุติ ทุกขัง มนุษย์ทุกข์มาก เทวโลกกับพรหมโลกก็ยังทุกข์เพราะยังไม่เสร็จกิจ มีกิจที่จะต้องทำต่อไป อนัตตาอาการทั้งหลายทั้งสามภพนี้มันสลายตัวเสมอ มันไม่มีการทรงตัวนี่ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด ปฏิบัติได้ก็ปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ได้ก็เอาตามใจของท่าน ถนัดแบบไหนทำแบบนั้น นี่เอาเรื่องของท่านผู้เฒ่ามาเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าถ้าราคะเกิดขึ้นให้พิจารณาอย่างนี้ ให้พิจารณาเป็นปฏิกูลสัญญา คือเป็นอสุภเสียให้หมด ก็รวมความว่า ถ้าราคะความรักสวยรักงามในภพใดๆ คนใดๆ เทวดาหรือพรหมใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม ให้เห็นว่าท่านผู้นั้นก็คือผีเน่านั่นเอง

    ทีนี้ผมก็อยากจะย้อนต้นว่า จงจำไว้ว่าถ้าปรารถนานิพพาน จงพยายามตัดฉันทะและราคะ ฉันทะกับราคะท่านเรียกกันว่าเป็นอุปาทาน นี่มันเป็นอะไร ความจริงผมเคยบอกไว้เสมอๆ นะ เคยเจอในขันธวรรค ท่านเคยพูดถึงอารมณ์ของอวิชชา

    อวิชชานี่เราแปลกันว่าไม่รู้กันตะบัน ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้น แต่ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์โตท่านบอกว่า คำว่าอวิชชานี่แปลว่ารู้ไม่ครบ คนและสัตว์ที่เกิดมาไม่รู้ไม่มี ในขันธวรรคท่านบอกว่าการตัดอวิชชาก็คือการตัดฉันทะกับราคะนั่นเอง คำว่าอวิชชาแยกศัพท์ออกมาได้เป็นจริยา คือเป็นอาการของอวิชชาคือ ฉันทะความพอใจ ราคะความกำหนัดยินดี ถ้าอารมณ์ทั้งสองประการนี้ยังมีในจิต ก็เชื่อว่าบุคคลนั้นยังมีอวิชชาอยู่ในใจ ไปนิพพานยังไม่ได้ ฉันทะพอใจอะไร พอใจความร่ำรวย พอใจความสดสวยงดงาม พอใจในความโกรธ พอใจในความพยาบาท พอใจในชาติในภพ ชาติภพคือ ชาติมนุษย์ ชาติเทวดา ชาติพรหม ราคะ มีความกำหนัดยินดี นี่ชื่นอกชื่นใจเหลือเกิน มีความร่ำรวย มีของสวย โกรธใครเขาได้ ติดชาติติดภพ เกิดเป็นคนได้ เกิดเป็นเทวดาได้ เกิดเป็นพรหมได้ ดีอกดีใจ ชื่นใจ รักมาก นี่อาการอย่างนี้เป็นอาการของอวิชชาความโง่ คืออุปาทาน ที่ดึงตัวให้ติดอยู่ เรียกว่าอุปาทาน ถ้าตัดเหตุทั้งสองประการนี้ได้แล้วก็ไม่ต้องไปตัดอะไร ถ้ามุ่งใจตัดฉันทะกับราคะสองตัวพอแล้ว อารมณ์ของท่านก็ไปถึงนิพพาน เพราะทำลายอวิชชา อย่างอื่นมันก็ไม่เหลือ กิเลสทั้งหมดที่มันจะเกิดได้ก็เพราะอาศัยอวิชชาเป็นนาย

    เอาละท่านทั้งหลาย เวลากาลสมควรแล้ว สำหรับเรื่องราวของพระท่านผู้เฒ่าที่เล่ากันมาในวันนี้ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  2. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๒๐.คาถาเรียกจิต วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ระหว่างนี้เธอเป็นเอกพีชีแล้ว และกำลังเสวยผลของเอกพีชี สำหรับผลของเอกพีชีนี้จะต้องรักษาผลนี้ไปอีก ๓ วัน
    วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖ วันนี้มีอาการประหลาดมาก... เวลานี้เธอเหลือแต่มานานุสสัยเท่านั้น วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๐๖



    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว แล้วก็สมาทานศีลแล้ว ก่อนจะฟังปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ก็อย่าลืมรวบรวมกำลังใจให้เป็นสมาธิ พยายามคิดอยู่ว่าอะไรมันเป็นนิวรณ์ นิวรณ์ห้าประการ รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร ขจัดมันไปเสียให้หมด ทรงจิตคิดไว้เสมอว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอทำผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน สำหรับอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายก็ตั้งใจว่า เราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน พยายามทรงอิทธิบาทสี่ให้ครบถ้วน และทรงจรณะ ๑๕ ให้ครบถ้วน อย่างนี้ไม่มีใครเขาจะใช้คำว่าไม่สำเร็จ ถ้าอารมณ์ของท่านทรงอย่างนี้แล้ว อะไรก็ได้ เป็นของไม่หนัก แล้วก็กรรมฐานส่วนใดที่ท่านคล่องอยู่ทำอยู่ก็ทำไปตามนั้น สำหรับปฏิปทาของท่านผู้เฒ่านี้ก็มาเล่าสู่กันฟังถึงว่าท่านผู้หนึ่งปฏิบัติมาแล้วเท่านั้น ท่านชอบใจตรงไหนเอาตรงนั้นไปใช้ หรือไม่ชอบใจเลย ชอบตำรับตำราที่สอนมาแล้วตรงไหนก็ใช้ตรงนั้น ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน

    วันนี้ท่านพาดหัวข้อว่า คาถาเรียกจิต คำว่าคาถาเรียกจิต ไม่ใช่คาถาหนุ่มเรียกสาว สาวเรียกหนุ่ม ไม่ใช่อย่างนั้น เรียกจิตของตนเอง ตามบันทึกของท่านๆ บันทึกย่อ ผมจะอ่านไปว่า อิติ สัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง ท่านกล่าวว่า พระคุณท่านได้โปรดเมื่อเวลา ๒๐.๓๐ น. คำว่าพระคุณท่านก็หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราก็รู้แล้ว ท่านบอกไว้แล้วว่าเวลาทุกขณะจิตท่านทรงอยู่ในอภิญญาผลสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น การเอาจิตเข้าไปเห็นใครพบกับใครมันเป็นของไม่ยาก เหมือนกับที่เรามีอาหารอยู่ในปากจะกลืนกันเมื่อไรก็ได้ อภิญญาผลสมาบัตินั้น ไม่ใช่สตางค์อยู่ในกระเป๋า ถ้าเรามีสตางค์อยู่ในกระเป๋าเราจะใช้เมื่อไรก็ได้ บางทีสตางค์ในกระเป๋าเราไม่มีที่จะซื้อกินมันก็กินไม่ได้ สำหรับท่านที่ทรงอยู่ในอภิญญาผลสมาบัติเหมือนกับอาหารที่อยู่ในปาก เคี้ยวไว้เรียบร้อยแล้ว จะกลืนเมื่อไหร่ก็ได้ มันง่ายกว่ากันเยอะอย่างนี้

    ท่านบอกว่า เวลา ๒๐.๓๐ น. ของคืนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ทั้งนี้เพราะอะไรหนอ ท่านบอกว่ากลางคืนที่แล้วมา คือคืนวันที่ ๒๓ เมื่อถึงเวลาเจริญพระกรรมฐานตอนกลางคืนจิตมันซ่าน ทำสมาธิไม่ค่อยทรงตัว และก็นอนไม่หลับ ได้ผลไม่แน่นอน แล้วก็นอนไม่หลับ จิตมันด๊อกแด๊กๆ ส่ายไปส่ายมา คุมอยู่เหมือนกัน แต่มันคอยจะไหลซ้ายไหลขวา นี่มันก็ต้องเกี่ยวกับร่างกาย ท่านบอกว่ากลับมาวันนี้ได้พบอิตถี คือผู้หญิง เป็นอันว่าตอนกลางวันท่านพบผู้หญิงสาวๆ ท่านก็ขึ้นไปมาก ขึ้นไปท่านไม่ขึ้นไปเหล่า ท่านไปยั่วไปเย้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านก็ไปชวนสึก ก็ดีเหมือนกัน วันนี้ทำไมใจมันจะเกิดสู้เขาไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ถึงกับสู้ไม่ได้ ใจมันเริ่มรวน อันนี้ขอท่านทั้งหลายจำไว้ให้ดีนะ การเจริญพระกรรมฐาน ถ้าจิตมันยังไม่ถึงที่สุด คือ ยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด อารมณ์ซ่านของจิตยังมีอยู่ แต่ว่าท่านผู้บันทึกท่านบอกว่า มันซ่านก็จริงแต่ว่าจิตยึดกุศลเป็นสำคัญ แล้วก็ทรงตัวไม่ค่อยได้ มันพยายามส่ายออกท่านั้นท่านี้

    แล้วเวลาที่เจริญพระกรรมฐานในคืนวันที่ ๒๔ ท่านจึงได้มาโปรดเมตตาบอก ท่านบอกว่าให้ทำให้แจ้งด้วย ทำทุกขณะจิตที่จิตพล่าน หมายความว่าคาถาบทเมื่อกี้นี้ คาถาที่บอกว่า อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง ถ้าเวลาใดที่จิตเกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมา ให้ทิ้งคำภาวนาอย่างอื่นเสียให้หมด กำหนดลมหายใจเข้าออก ว่าคาถานี้ตามสบายๆ กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว จำเข้าไว้ให้ดีก็แล้วกันนะ ผมขอว่าซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง แล้วอย่าย่องเอาคาถานี้ไปเรียกผู้หญิงเรียกผู้ชายเข้านะ เขาไม่มาหรอก เรียกจิตของเรา ท่านบอกว่าที่จิตมันพล่านนี่ไม่ใช่เพราะผู้หญิงเข้ามายั่ว มันพล่านเพราะโรคทางกระเพาะมันกำเริบ ร่างกายถ้าหากว่ามีโรคเบียดเบียน ประสาทมันก็ไม่ทรงตัว จิตมันก็พล่านได้ จงอย่าสงสัยในตัวเอง คิดว่าไปหลงใหลใฝ่ฝันในบรรดาสตรีทั้งหลายเหล่านั้น เธอมายั่วมาเย้าเป็นจริยาของมาร แต่คำว่ามารในที่นี้จงอย่าคิดว่าพวกนั้นเป็นพวกมาร ความจริงพวกนั้นเขามาตามหน้าที่ แต่ถ้าอารมณ์ของเราไม่ทรงตัวก็จงคิดว่าจิตของเรานี่แหละเป็นมาร มันมีสันดานหยาบ รู้อะไรไม่ดีทำไมจึงไปหลงใหลใฝ่ฝัน นี่ท่านว่าอย่างนั้น ท่านว่าอย่างนี้ก็ฟังของท่านไว้นะว่าผลจะเป็นอย่างไร จำไว้ให้ดี

    ท่านบอกว่าเวลา ๒๔ น. โรคมันก็กำเริบมา นั่งยันเวลา ๑๐.๓๐ น. ลงมือ ๒๔ น. เจ้าโรคกระเพาะมันก็ดันเข้ามาจุกแน่นเสียด อึดอัดเกือบจะหายใจไม่ออก ตอนนี้เองจิตก็จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าขันธ์ห้ามันเลว เลี้ยงมันแล้ว ทะนุถนอมมันแล้ว ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อนจะทำก็กินหยูกกินยาป้องกันไว้แล้ว แต่ว่ามันก็ไม่ทรงตัว เวลานี้อาการเสียดอาการจุกมันแน่นเข้ามาถึงหน้าอกจนเกือบจะหายใจไม่ออก ก็เลยตัดสินใจเสียว่าตายเสียได้ก็ดี เอ็งพังไปเสียเถิดเจ้าขันธ์ห้า ที่มีความอกตัญญูไม่รู้คุณคน เราปรนเปรอเจ้าเท่าไรเจ้าไม่มีความรู้สึก เราจะทำความดีเจ้ามารบกวน ก็ดีแล้วเชิญพัง เธอกับฉันแยกกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าอย่างเจ้า เราเกลียดเสียยิ่งกว่าสุนัขเน่าอีก ท่านบอกว่าอารมณ์ใจของท่านมันเป็นอย่างนั้น เกลียดมันจริงๆ ไม่ต้องการมันอีก

    ตามนี้ท่านบันทึกว่าพระ หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว ก็ทรงสั่งว่า คืนนี้ใจมันแย่งกันนะ คำว่าใจมันแย่งกันก็หมายความว่าการเจริญกรรมฐาน เดี๋ยวจะภาวนาบทนั้นเดี๋ยวจะภาวนาบทนี้ เดี๋ยวจะพิจารณาอย่างนี้ ถ้าอารมณ์มันแย่งกันอย่างนี้แล้ว การบรรลุมรรคผลมันจะช้ำ ทำให้มันทรงตัวเรียงตามลำดับ การเรียงลำดับก็นับกันมาตั้งแต่

    ๑. จับอานาปานสติกรรมฐาน ควบกับพุทธานุสติกรรมฐาน
    ๒. หลังจากนั้นก็เอาจิตทรงพรหมวิหารสี่
    ๓. จับกายคตาสติ
    ๔. จับมรณัสสติ
    ๕. จับอุปสมานุสติ
    ๖. จับอริยสัจ

    ว่ากันมาตามลำดับให้จิตมันทรงตัว ท่านเรียกไว้ว่า ท่านสั่งว่าให้ทำไปตามลำดับเพราะจิตเรามันยุ่ง องค์ภาวนาผ่านลำดับไม่เป็นเรื่อง แล้วก็เพ่งสังโยชน์เข้า เมื่อองค์ภาวนาผ่านลำดับมาแล้วจิตหยุด ให้เพ่งสังโยชน์สิบคือจับสังโยชน์สิบ วัดดูว่าเวลานี้สังโยชน์สิบประการเราตัดตัดไหนไปได้แล้วบ้าง ที่ตัดได้แล้วมันทรงตัวได้ไหม ถ้ามันไม่ทรงตัวแสดงว่าเราตัดไม่ได้จริง ถ้าส่วนใดที่ทรงตัวอยู่แสดงว่าอันนั้นได้จริง นี่ท่านว่าอย่างนี้นะ จำไว้ให้ดีนะ ว่าสังโยชน์สิบนี่ต้องกำหนดไว้เสมอๆ พิจารณาไว้เสมอว่า จิตของเราสามารถเอาชนะจุดไหนได้แล้ว ท่านเขียนไว้ว่าเวลาเช้ามืดนี่เป็นอันว่า ๒๔ น. ผ่านไป นี่ท่านไปเลิกเวลาไหนก็ไม่ทราบ เช้ามืดเวลา ๓ น. ก็โงเงๆ ขึ้นมาอีกเลยเป็นอันว่าคงจะนอนสัก ๑ ชั่วโมง แต่การนอนด้วยอภิญญาผลสมาบัติหรือการนอนด้วยการทรงสมาธิใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว ก็ดีกว่านอนธรรมดาแปดชั่วโมง ตื่นมาก็มีความอิ่ม ขึ้นมาก็ไม่รอแล้ว เรื่องล้างหน้าไม่มี มันเสียเวลา นอกจากจะปวดอุจจาระปัสสาวะนั่นถึงจะไป ตื่นขึ้นมาปัปใจมันจับคำภาวนาพิจารณาอารมณ์ตัดสังโยชน์ เมื่อตื่นขึ้นมารู้สึกว่าใจยังพิจารณาสังโยชน์อยู่ นี่การนอนหลับไปด้วยกำลังของสมาธิเป็นอย่างนี้ เวลาหลับมันก็ทำของมันเองด้วยแต่เราไม่รู้สึก พอตื่นมาครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกตื่นไม่เต็มตัว จิตมันพิจารณาสังโยชน์ก็ทำต่อไป

    ท่านบอกว่าตอนนี้ดีมาก ตอนเช้ามืดมีอารมณ์แน่นสนิดชิดเชื้อ สังโยชน์ทุกตัวจะไม่มีจิตเกาะ มันสลายหายไปเหมือนธุลีที่ปราศจากการแปดเปื้อนภาชนะ ในขณะนั้นเองก็ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการพวยพุ่งมาจากฟากฟ้าสว่างจ้าทั้งหกสี แล้วก็ปรากฏมีพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระมหามุนีปรากฏชัด ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ อย่างที่รัชนีบันทึกไว้นั้นถูกแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแย้มน้อยๆ ไม่เห็นไรฟัน ไม่เหมือนพวกเรา ดีไม่ดีหัวเราะเห็นฟัน ๓๒ ซี่ก็มี ของท่านยิ้มน้อย รู้สึกว่ายิ้มนิดๆ แย้มๆ พระโอษฐ์ เขาไม่เรียกยิ้ม เขาเรียกแย้มๆ พระโอษฐ์ แต่ไม่เห็นไรฟัน

    เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแสดงพระองค์ชัด สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ก็ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาว่า สัมภเวสี เธอพร้อมไปด้วยอริยมรรคทั้ง ๒ แล้ว อริยมรรคทั้ง ๒ นี่หมายถึงอะไร ท่านบันทึกบอกไว้แก้สงสัยว่านี่เป็นผลของเอกพีชี หมายถึงพระโสดาบันมี ๓ ชั้น สัตตักขัตตุง โกลังโกละ เอกพีชี ระหว่างนี้เธอเป็นเอกพีชีแล้ว และกำลังเสวยผลของเอกพีชี สำหรับผลของเอกพีชีนี้จะต้องรักษาผลนี้ไปอีก ๓ วัน

    ท่านฟังมาตอนต้น ท่านคงจะเข้าใจว่าเอกพีชีท่านได้มากี่วัน ท่านบอกว่า ๗ วัน ก็หมายความว่าใน ๕ วันนี้ ต่อนี้ไปอีก ๕ วัน เธอจะเข้าเอกพีชี พอเข้าเอกพีชีแล้วต้องรักษาเอกพีชีไปอีก ๓ วันนับตั้งแต่นี้ต่อไปคือ วันที่ ๒๕, ๒๖, ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เธอจึงจะเต็มกำลังผลของเอกพีชี นี่ทรงตัวอยู่เพียงแค่ ๓ วัน เป็นอันว่าเข้าใจกันแล้วนะ เป็นอันว่าเป็นการเล่าสู่กันฟัง เรื่องของท่านยาวอยู่

    ท่านบันทึกว่า วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖ วันนี้มีอาการประหลาดมาก ตอนเช้าเริ่มทำพระกรรมฐาน ฉันข้าวเสร็จเข้าห้องจับอารมณ์กรรมฐาน เอาจิตเข้าอภิญญาผลสมาบัติ ใช้เวลาผ่านไปเพียง ๑๐ นาที แต่เข้าแล้วก็เข้ากัน เลยทรงตัวดิ่ง มีคนมาเคาะประตูเรียก แกเคาะเบาๆ เฉยก็เลยเคาะดัง ก็เลยต้องลุกไป ต้องวางอารมณ์ทรงอารมณ์ไว้เพียงแค่ปฐมฌาน พอเปิดออกก็พบพระองค์ที่กำลังมีเรื่องมีราวฟ้องร้องกันอยู่ ก็คุยกันท่านให้ทรรศนะพอสมควร ท่านคุยอยู่ประมาณ ๓๐ นาที ท่านก็กลับ พอจะขยับเข้าห้อง ก็มีญาติโยมมาอีก ก็คุยกับท่าน เป็นอันว่าตอนเช้านี่รู้สึกว่ามีผลน้อยไปหน่อยเพราะแขกไม่ว่าง แต่ขณะที่คุยอยู่กับแขก จิตก็ทรงอยู่ ๒ ระยะ คือ อุปจารสมาธิบ้าง ในขณะที่แขกพูด ใช้อารมณ์ปฐมฌาน ขณะใดที่คุยกับแขกใช้อารมณ์อุปจารสมาธิ ท่านบอกว่าอาศัยที่กาลเวลาผ่านไปทำได้น้อยเกินไปก็คงจะไม่มีความสบายใจนัก แต่พอแขกผ่านไปก็เริ่มทำใหม่ ใจก็โปร่ง ใจดีมาก มีอารมณ์เป็นสุข ถึงแม้ว่าใครเขาจะมาคุย เขาจะมาขัดคอ ก็ไม่มีอารมณ์กระทบกระทั่ง มันโปร่งสบายๆ อารมณ์เย็นๆ มีความสุขเหมือนกับนั่งอยู่ในนิพพาน

    ในขณะนั้น เมื่อแขกไปแล้วก็เห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร แล้วก็บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่นิพพานไปแล้วมากมาย พร้อมทั้งเทวดาและพรหม มากันเยอะไปหมด ทั่วจักรวาลเต็มจักรวาลมองไปทางไหนก็เห็นเต็มไปหมด ไม่มีจุดว่าง สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่าจงทำวิปัสสนา ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านบอกให้ทำวิปัสสนา ขณะทำวิปัสสนาให้จับอริยสัจ พอจับอริยสัจแล้วก็จับสังโยชน์เข้ามาเทียบกับอริยสัจ และก็มาใช้อารมณ์ตัดอวิชชา คือ ฉันทะและราคะ ทำอย่างนี้พอจิตทรงตัวดี มีความสบายมีความโปร่งแล้ว ก็มีเสียงบอกว่าเวลานี้เธอเหลือแต่มานานุสสัยเท่านั้น มานานุสสัยก็คือ มานะที่เป็นตัวอนุสัย ความจริงตัวมานะนั่นมีนิดๆ หน่อยๆ การถือตัวถือตน ท่านบอกว่าเหลือแต่มานานุสสัยกับอะไรอีกอย่างหนึ่งจำไม่ได้ ตามบันทึกของท่านนะ จำไม่ได้ ได้ยินเสียงเท่านั้นแล้วจิตโปร่งสบาย

    ต่อมาปรากฏนิมิตเห็นคนถือมีดมา ๒ เล่ม เขาโยนให้เราเล่มหนึ่ง แล้วก็พูดว่าลุกขึ้นมาสู้กัน ถ้าเก่งจริงเชิญลุกขึ้นมาสู้กัน ตามบันทึกของท่านบอกว่าเราไม่เอา เมื่อเขาอยากจะฟันก็ตามใจ เชิญ ก็บอกเขาว่าเชิญสุณ อยากจะฟันแขนฟันขาผ่าอกก็ตามใจ เวลานี้ฉันไม่เอาขันธ์ห้านี่ฉันเกลียดมันเต็มที่แล้ว ถ้าเธอต้องการช่วยสับให้มันพังเสียเดี๋ยวนี้ฉันจะมีความสุข พอพูดจบ คนนั้นเขาก็พูดว่า แล้วกัน เราเสียท่าเสียแล้ว เราโดนพระอรหันต์เล่นงานเอาเสียแล้วหรือนี่ นี่เราแย่จริงๆ พระองค์นี้นี่เรานึกว่าเป็นพระธรรมดา จะลองดูสักหน่อย ที่แท้กลายเป็นพระอรหันต์ไปเสียแล้วหรือนี่ ที่แท้เราผิดถนัด แต่อย่าลืมว่านิมิตอันนี้ถ้าบังเอิญท่านทั้งหลายพบเข้าจงทราบว่า แต่ไม่ทราบเสียได้ก็ดี ถึงแม้ว่าจะทราบจะรู้ถ้าจิตเราไม่ดีจริงๆ ก็ชักจะยุ่งๆ เหมือนกัน ถ้ามีมีดกันคนละเล่มฟันก็ฟันกัน ถ้าเราตายคนเดียวมันไม่สมควร เราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่นี่ท่านไม่คิดอย่างนั้น อารมณ์ท่านโปร่ง เขาบอกว่าเสียท่าเสียแล้ว เรามาเจอพระอรหันต์เข้าแล้ว

    ตามบันทึกของท่าน ท่านบอกว่าเสียงเขาว่าอย่างนั้น เราไม่เคยคิดว่าเราเป็นพระอรหันต์เป็นแต่เพียงความรู้สึกคิดอยู่แต่เพียงว่าตัวเรานี่มันจะมีความดีสักเล็กน้อยหรือเปล่าก็หาไม่ ชักสงสัยตัวเอง เมื่อความดีที่เจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานที่ทำมาแล้วทั้งหมดมันยังอยู่บ้างหรือเปล่า และมีอะไรหวั่นไหวบ้างไหม สังเกตดูใจว่า เวลาเขาจะเข้ามาฆ่า อารมณ์จิตมันหวั่นไหวบ้างไหม มันเสียดายร่างกายบ้างหรือเปล่า มานั่งนึกว่าคนนี้เขายั่วเรา ดีไม่ดีเขาจะมาหลอกเราว่าเป็นพระอรหันต์ เชื่อไม่ได้ ถ้าถ้อยคำใดไม่เป็นถ้อยคำขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จะเป็นใครก็ตามมาพูดเรายอมเชื่อไม่ได้ ดีไม่ดีจะเป็นพระยามารมาแกล้งหาว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วเราก็จะทิ้งความดี ไม่ปฏิบัติความดีต่อไป เราจะรับฟังผู้เดียวคือองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ไม่ได้บอกนี่ว่าเราจะเป็นพระอรหันต์ในวันนี้ เป็นแต่เพียงว่าจะทรงเอกพีชีไปอีก ๓ วัน คือ ๒๕, ๒๖, ๒๗

    ต่อมาท่านบันทึกว่า วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลาเช้า เดินทางไปนครสวรรค์กับพระที่เขาแต่งตั้งมาเป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ขออย่าเอ่ยชื่อเลย เพราะองค์นี้ท่านเป็นพะไม่ใช่พระ ขณะที่เดินทางไปกับท่าน ท่านบอกว่าอารมณ์มีความผ่องใสเป็นกรณีพิเศษ นั่งรถไปลมโชยมา ใจสบายอารมณ์ผ่องใส ใครเขาจะคุยกันไม่มีความสนใจ ถ้าเขาถามก็หันไปพูดกับเขา ถ้าเขาไม่ถามใจก็สบาย เวลานี้ใช้วิปัสสนาญาณตัดปัญจขันธ์เป็นอารมณ์ ไม่มีความรู้สึกว่าขันธ์ของเราขันธ์ห้าของเรา ไม่ว่าขันธ์ห้าของใคร มันไม่เป็นตัวเป็นตน มองแล้วมันมีสภาพเหมือนอากาศธาตุ ถ้าจะไปดูเวลาที่มันรวมตัว มีความรู้สึกมันคล้ายๆ สุนัขเน่า ไม่มีความเยื่อใย ท่านกล่าวว่า วันนี้มีความสุขที่สุดในชีวิต ซึ่งไม่เคยมีในกาลก่อน มันมีความสุขเยือกเย็น มีอารมณ์เบาจัดว่าเป็น นิรามิตสุข คือสุขที่ไม่อิงอามิส ไม่อิงวัตถุ ไม่อิงสีสันวรรณะ ไม่อิงอารมณ์ใดๆ ทั้งหมด มันสุข เพราะจิตว่างจากอุปาทานขันธ์

    เมื่อกลับมาถึงวัดเวลา ๑๓ น. เศษ มาถึงแล้วก็เข้าห้อง แขกไม่มี เขามาหาก็คงกลับไปหมด ปรารภถึงจิตของคนว่า นิมิตเมื่อคืนนี้จิตเหลือแต่มานานุสสัย ก็จัดว่าเป็นพระอริยบุคคลปานกลางคือเอกพีชีเต็มที่ หรือว่าอนาคามี นี่สงสัยตัวเอง แต่เมื่อคืนที่แล้วมาเกิดอารมณ์ขึ้นมานิดหนึ่ง คือ มีอารมณ์ขึ้นมานิดหนึ่งแล้วก็ดับได้โดยฉับพลัน เลยมีความสงสัยว่า เราจะเป็นพระอริยบุคคลชั้นเอกพีชีแน่แล้วหรือ นี่สงสัยตัวเอง แต่ความจริงเอกพีชีก็ยังคงมีกามราคะ แต่มีนิดหนึ่งท่านก็สงสัยตัวเองเสียอีก หรือว่าเป็นความคิดเลื่อนลอย อาจจะเป็นการคลั่งอารมณ์ไปก็ได้ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ความจริงแล้วเมื่อจิตขนาดนี้แล้ว จะดูเกลียดผู้หญิงจริงๆ ดูสภาพผู้หญิงทั้งหมดมันมีสภาพโสมมหาที่สะอาดไม่ได้ เพราะเป็นเชื้อก่อให้เกิดราคะและตัณหา เมื่อเจริญสมาธิก็เกิดอาการสงสัยในผลอยู่

    เวลานั้นได้พบองค์สมเด็จพระทศพล โปรดมาให้โอวาทว่า พระโสดาบันนั้นเป็นผู้มีสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานถึงฌานสี่ เมื่อจิตมั่นแล้วมีปัญญาเล็กน้อย ในการพิจาณาขันธ์ยังคงมีความหวั่นไหวอยู่ อารมณ์ของพระโสดาบันยังมีความหวั่นไหวอยู่มาก ท่านบอกว่ามากกว่าความมั่นคง คือ ท่านกล่าวว่ามีความหวั่นไหวมากกว่าความมั่นคง แต่ว่าสิ่งใดที่ได้แล้วไม่มีกลับถอย เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีลห้าบริสุทธิ์ ถ้าเป็นพระก็มีศีล ๒๒๗ บริสุทธิ์ แต่ว่ายังมีการทรงอกุศลกรรมที่ไม่เป็นโทษอยู่ มีรัก มีร่วมรัก มีบุตร มีโกรธ แต่ไม่ด่าหรือไม่ทำร้ายอย่างหนัก แล้วก็ยังมีความต้องการความร่ำรวยในทรัพย์ ติดในทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบธรรมเป็นต้น

    ท่านทั้งหลาย เวลาหมดไปแล้ว ประเดี๋ยวคาสเซ็ทจะหมด ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้สำหรับวันนี้
     
  3. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๒๑.ในขณะนี้ได้รับคำพยากรณ์ว่าเวลานี้พระโสดาบันขั้นเอกพีชีของเธอเต็มแล้ว และขณะนี้เชื่อว่าจิตของเธอเข้าขั้นของพระสกิทาคามี มาว่ากันถึงอารมณ์ตอนที่ท่านเข้าถึงความเป็นพระสกิทาคามี


    วันนี้ก็จะได้พูดถึงปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ความจริงปฏิปทาของท่านผู้เฒ่านี้ ถ้าเราจะรับไว้ศึกษาเป็นเครื่องสำหรับศึกษาหรือเป็นเครื่องสำหรับเตือนใจก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานเราก็ศึกษากันมาแล้ว ก็ไม่น่าจะพูดอะไรกันมาก ขอย้อนหลังสักนิดหนึ่ง เมื่อคืนที่แล้วก่อนนั้นได้ปรารภขึ้น ปรากฏมีตอนหนึ่งที่ท่านกล่าวว่า เมื่อขณะที่ปฏิบัติไปแล้วรู้สึกว่าจิตเข้าสู่ระดับดี ตอนนั้นก็มีคนๆ หนึ่งถือมีดมา ๒ เล่ม แล้วส่งให้ท่าน เขาถือไว้ ๑ เล่ม แล้วท้าให้มาฟันกัน ท่านก็บอกว่าท่านไม่สู้ อยากจะฟันก็ฟัน อยากจะฆ่าก็ฆ่า เขาก็บอกว่าเราพบพระอรหันต์เข้าแล้ว โดนพระอรหันต์เล่นงานเข้าแล้ว ในตอนนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพึงสำเหนียกไว้ให้ดีๆ ว่า ตอนนั้นท่านเพิ่งมีจิตเข้าถึงพระโสดาบันขั้นเอกพีชีเท่านั้นว่ามีคนมาท้าสู้ เมื่อท่านไม่สู้ ก็บอกว่าเราโดนพระอรหันต์เล่นงานเข้าแล้ว ตอนนี้แหละ บรรดาท่านทั้งหลาย การปฏิบัติของท่านก็พึงระมัดระวังการมีภาพหลอนที่เรียกกันว่าอุปาทาน ถ้าเราจัดเป็นมารก็ถือว่าเป็นเทวบุตรมาร แต่ว่าเทวบุตรมารก็ไม่ได้ บางทีก็ไม่ใช่ใคร เป็นครูบาอาจารย์นั่นเอง ท่านอาจจะมาลองใจเอา ครูบาอาจารย์ในที่นี้ก็หมายถึงพระอริยเจ้า ดูซิว่าเราจะหลงหรือไม่หลง

    คนเราที่เสียน่ะ เสียตอนนี้เสียมาก บางทีเจริญพระกรรมฐานเห็นภาพลอยในชั้นจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ เห็นภาพนี้นิดเห็นภาพนั้นหน่อยก็นึกว่าตัววิเศษเสียแล้ว แต่ความจริงนั่นยังไม่ได้ขึ้นประถมปีที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา แล้วอันนี้ก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่น่าหวั่นไหวมาก เพราะว่าท่านเองก็มีจิตสงบสงัด สามารถจะปลิดชีวิตทิ้งเสียก็ได้ ไม่ยอมสู้กับเขา ยอมตายดีกว่า อารมณ์อย่างนี้ก็น่าจะเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น แทนที่จะเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์กลับกลายเป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ท่านเองเป็นเอกพีชีเท่านั้น เป็นอันว่ากำลังใจส่วนนี้ เวลาที่ท่านปฏิบัติพระกรรมฐาน ให้นึกไว้เสมอว่า อัตตนา โจทยัตตานัง กล่าวโทษโจทก์ความผิด คิดว่าเรายังไม่ดีไว้เสมอๆ นั่นแหละเป็นการสมควร หากว่าท่านคิดว่าตัวท่านดีเมื่อไร ก็ชื่อว่าเวลานั้นท่านเข้าถึงความเลวแล้ว และถ้าหากว่ามีความหลง ความรู้สึกในขณะนั้นคิดว่าตนเป็นพระอรหันต์ตามเสียงนั้น ความดีก็จะไม่ก้าวขึ้นไป อย่างดีที่สุดก็อยู่ในพระโสดาบันเอกพีชี ถ้าเราถึงนะ ถ้าเราไม่ถึงนั่นก็เสร็จ ไม่ต้องได้ดีกัน

    วันนี้ก็มาคุยถึงบันทึกของท่านต่อไป ท่านเขียนไว้ว่าพระสกิทาคามีก็มีจิตเหมือนกับพระโสดาบันขั้นเอกพีชี แต่ทว่ากิเลสทั้งหลายเบาหน่อย นี่ท่านบันทึกไว้ย่อๆ แต่เพียงเท่านี้ คำอธิบายมีอีกนิดหน่อย จะว่าเป็นคำอธิบายไม่มาก ผมอาจจะขยายไปนิดหน่อยก็ได้ คือท่านกล่าวว่า ในขณะนี้ได้รับคำพยากรณ์ว่าเวลานี้พระโสดาบันขั้นเอกพีชีของเธอเต็มแล้ว และขณะนี้เชื่อว่าจิตของเธอเข้าขั้นของพระสกิทาคามี ตอนนี้ท่านก็มานั่งพิจารณาดูอารมณ์จิตของท่าน ตามที่ท่านกล่าวว่าอารมณ์จิตเข้าถึงขั้นพระสกิทาคามี จิตมันเป็นอย่างไร แต่ทว่ากำลังใจที่คุมในจริยาวัตรทั้งหมดไม่ได้พลาดพลั้งคือตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง รวมทั้งหลับ เอากันแค่ตื่น ขณะใดที่ยังตื่นอยู่อารมณ์ของท่านไม่ยอมทิ้งอภิญญาผลสมาบัติ คือ ตอนเช้ามืดตื่นมาทำสมาธิเต็มที่ตามอารมณ์ที่จะพึงทำได้ และก็รักษากำลังใจไว้ในด้านอภิญญาสมาบัติ คือไม่ยอมทิ้งอารมณ์อภิญญาสมาบัติ แล้วก็รักษาผลสมาบัติ คำว่ารักษาอภิญญาสมาบัติและแถมมีผลสมาบัติ นั่นหมายถึงว่าการเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ถ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป คำว่าสมาบัติทั้งหมดเรียกว่าผลสมาบัติ ถ้ามีอภิญญาควบก็เรียกว่าอภิญญาผลสมาบัติ เป็นอันว่าเข้าตามผลที่พึงได้ตามความเป็นพระโสดาบันของท่าน แล้วก็มามีอภิญญาควบ จิตตัวนี้ถ้าจะทรงให้เต็มที่ในเวลาเช้ามืดและเวลาที่เดินไปบิณฑบาท จิตก็จะทรงอยู่ในขั้นปฐมฌาน อย่างเลวที่สุดจะเผลอไปบ้างก็ตั้งอยู่ในอุปจารณาน คือชีวิตทั้งชีวิตของท่านนับตั้งแต่เข้าเจริญพระกรรมฐาน จิตทุกขณะจิตจะไม่ยอมทิ้งปฐมฌานหรืออุปจารฌานตลอดมา นี่ ข้อนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายบรรดาผู้ศึกษาพระกรรมฐานสนใจให้มาก เมื่อสนใจแล้วก็พยายามทำตามด้วย การทำตามแบบนี้จะเป็นผลดีกับท่านทั้งหลายเอง

    มาว่ากันถึงอารมณ์ตอนที่ท่านเข้าถึงความเป็นพระสกิทาคามี ตอนนี้ท่านเขียนไว้หน่อยเดียวว่าสกิทาคามีที่มีอารมณ์ในด้านกามราคะมันด้านจริงๆ อารมณ์ในโลภะความโลภไม่มี คิดอย่างเดียวว่า ทรัพย์สินเท่าที่จะพึงมีอยู่เราจะทำทรัพย์สินนั้นให้เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ทั้งหมด คือเป็นประโยชน์ในด้านพระพุทธศาสนาด้วย เป็นประโยชน์ในการสงเคราะห์ด้วย เรียกว่า ทำกันให้หมดทุกอย่างเท่าที่จะพึงทำได้ การเก็บเงินไว้ไม่มี ทรัพย์สินใดๆ ทั้งหมดที่มีแจกจ่ายหมด เอาเหลือไว้แต่เพียงใช้ ของดีที่มีอยู่ไม่เก็บไว้ใช้ทำบุญหมด ดูถึงอารมณ์ของพระโสดาบันและพระสกิทาคามีมีความยินดีในการบริจาคทานเป็นปกติ ไม่อิ่มไม่เบื่อในการบำเพ็ญกุศล ปรารถนาที่จะบำเพ็ญตนให้เป็นให้มีอารมณ์สูงขึ้นไปกว่านั้น

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ห้ามการขอทรัพย์สินในตระกูลที่เรียกว่า อเสกขบุคคล ในพระวินัย ถ้าไม่จำเป็นจริงท่านห้ามขอเด็ดขาด คำว่าขอทรัพย์สินกับใครก็ตามเป็นของมีค่าน้อยก็ตาม ขอท่านทั้งหลายจงอย่า ภิกขุไม่ควรจะขอ คำว่าภิกขุแปลได้สองอย่าง แปลว่าผู้ขอหรือแปลว่าผู้เห็นภัยในสงสาร การขอของพระจะต้องขอด้วยอาการดุษณียภาพ หมายความว่าเฉยๆ ถ้าเขาเห็น เขาสงสารเราเขาก็ให้ เขาไม่สงสารเราก็แล้วไป อย่าไปรบกวนชาวบ้าน นี่ กำลังใจตอนนี้ของท่านกล่าวว่า ในกามราคะก็ดี โทสะก็ดีมันหายไปหมด อารมณ์กระทบเมื่อกระทบกันจังๆ หน้ามีความรู้สึก แต่ทว่าในกาลบางครั้ง ไม่ใช่วันเดียว บางครั้งหลายๆ วัน มีอารมณ์สงบสงัด มีอารมณ์พอใจในความสวยสดงดงาม อารมณ์กระทบที่ใครเขาทำให้ไม่พอใจมันก็เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีความรู้สึกว่า อ้อ เจ้านี่ยังอยู่หรือ แล้วก็หลบไปหายไป จิตก็โปร่ง ไม่มีอารมณ์ติดใจต่อไป เห็นคนก็เหมือนกับเห็นแผ่นดิน เห็นคนก็เหมือนกับเห็นซากศพ เห็นวัตถุต่างๆ ก็เห็นว่าเป็นของสำหรับโลก ไม่มีค่าสำหรับเรา มองดูร่างกายก็นึกว่าสภาพร่างกายสภาวะร่างกายของเรามีความเหมือนซากศพ มาดูร่างกายของเราอีกทีว่าเจ้านี่เป็นศัตรูใหญ่ เป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ อารมณ์ของพระสกิทาคามีเป็นอย่างนี้ ต้องทรงตัว ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ เพราะคำว่าอริยเจ้าไม่มีอารมณ์เสื่อมลง มีแต่ดีขึ้น

    ท่านเขียนต่อไป ขึ้นต้นว่า อนาคามีท่านว่ายังมีโกรธแต่ไม่ผูกโกรธ ยังหวั่นไหวแต่ว่าเกลียดกาม ฟังให้ดีนะ อนาคามียังมีโกรธแต่ไม่ผูกโกรธ ยังหวั่นไหวแต่เกลียดกาม คำว่าหวั่นไหวคืออารมณ์ยังมีความไหวอยู่นิดหน่อย เมื่อกระทบความโกรธ รู้ว่านี่เขาทำให้เป็นที่ไม่พอใจเรา แต่ว่าหล่นหายไปเลยคือไม่ติดอยู่ กระทบนิดหนึ่ง คำว่าปฏิฆะแปลว่ากระทบ คือว่ากระทบนิดหนึ่งแล้วก็เกิดความไม่พอใจ ความไม่พอใจกระทบปัปเกิดปุบหายปัปทันที ก็เหมือนกับไม่มีความโกรธ ท่านว่ายังหวั่นไหวอยู่บ้างแต่ไหวนิดเดียว เหมือนกับลมพัดมาใบไม้ไหวแป็บก็ทรงตัวหยุดนิ่ง นี่จัดเป็นสังขารุเปกขาญาณอย่างสูง ท่านบอกว่าเกลียดกาม คำว่ากามารมณ์ คำว่าเกลียดกามคือ กามระหว่างเพศ เห็นเพื่อนต่างเพศ เคยน่ารักน่าใคร่น่าปรารถนา แต่ความรู้สึกคราวนี้เห็นเพื่อนต่างเพศเห็นเหมือนศพในป่าช้า มองดูภายนอก เครื่องแต่งตัวเลยไปถึงหนัง เลยเข้าไปถึงเนื้อ เลยเข้าไปข้างใน ตับ ไต ไส้ ปอด เลยเข้าไปข้างในเห็นโปร่งไปหมด ว่าร่างคนทั้งคนเต็มไปด้วย ความน่าเกลียดเหมือนกับศพเน่า หมดความหวั่นไหว คือไม่มีความรู้สึกในการปรารถนาในกามารมณ์

    นี่ก็เห็นจะเป็นเรื่องของคำในพุทธพยากรณ์ว่าอย่างนี้นะ ว่าพระอนาคามียังไม่โกรธแต่ไม่ผูกโกรธ คือโกรธหายทันที อารมณ์ยังหวั่นไหวแต่เกลียดกาม ผู้หมดความหวั่นไหวนั่นก็คือพระอรหันต์เท่านั้น นี่เป็นพระพุทธฎีกาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

    และกล่าวต่อไปว่า เธอก็มีความเพียรด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ควรระมัดระวัง เธออาจจะถึงที่สุดภายในพรรษานี้ ท่านจำได้ไหม ว่าตอนก่อนโน้นท่านบอกว่าอีก ๑๐ ปีเศษๆ จะเห็นหน้าเห็นหลัง แต่ต่อมาเมื่อมีความเพียรดี มีความทรงอารมณ์ดี มีสติสัมปชัญญะดี ทรงอภิญญาผลสมาบัติเป็นปกติ ท่านลดลงมา บอกว่าในพรรษานี้อาจจะสำเร็จก็ได้ ก็เป็นอันว่า ขึ้นชื่อว่ามรรคผลแห่งการปฏิบัติ ไม่มีใครสามารถจะพยากรณ์ได้ว่าจะบรรลุเมื่อไร สำเร็จเมื่อไร มันขึ้นอยู่กับความขยัน แล้วก็ขยันถูกต้อง

    ท่านกล่าวต่อไปว่า การพิจารณาขันธ์ของเธอทำถูกแล้ว การมุ่งละฉันทะกับราคะคิดว่าไม่มีอะไรนั้นถูก แต่ว่าควรจะพิจารณาระวังทวารทั้งหก ซึ่งมีอารมณ์เกิดจากจักษุเป็นต้น คือ หมายความว่า ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส การถูกต้องสัมผัส อารมณ์ใจครุ่นคิด ท่านกล่าวต่อไปว่า อารมณ์อันเกิดจากจักษุเป็นต้นไว้ด้วย คิดไว้พิจารณาให้มากจะมีผลมหาศาล ขณะนี้เธอได้เอกพีชีแล้ว ทำจิตให้ละเอียดเพื่อการล่วงต่อไป ท่านกล่าวต่อไป ตอนนี้เป็นคำถามของท่านผู้เฒ่าว่าได้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันเมื่อไร ท่านตอบว่าเข้าโคตรภูเมื่อพรรษาก่อน นี่ติดโคตรภูมาตั้งพรรษา เมื่อจิตมั่นในธรรมต่างเข้าโสดาเมื่อเดือน ๑๑ พรรษาก่อน นี่เป็นอันว่าติดโคตรภู ๓ เดือนแล้วย่างเข้าพระโสดาบันที่เรียกว่าสัตตักขัตตุง มาตั้งแต่พรรษาก่อน คือในสมัยขณะเมื่อเธอมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ คือเมื่อตั้งแต่เข้าถึงพระโสดาบันหรือโคตรภูนี่ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ จะทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้หวังอะไรทั้งหมด จิตคิดหวังไว้อย่างเดียวว่าต้องการพระนิพพาน เรื่องผลการตอบแทนในชาติปัจจุบันไม่มีอารมณ์จะพึงคิด ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนหรือสัตว์ก็ทำไปด้วยความเมตตา การที่จะปรารถนาตอบแทนว่าเราให้เขาแล้วเขาต้องให้เรา เราชมเขาแล้วเขาต้องชมเรา เราช่วยเขาๆ ต้องช่วยเรา อย่างนี้ไม่มี ทำแล้วก็ทำไปหวังพระนิพพานอย่างเดียว นี่เป็นอารมณ์ที่เป็นพระโสดาบันตั้งแต่พรรษาที่แล้ว เธอจำได้ไหมนี่เป็นพระพุทธฎีกา

    แล้วก็มีพระพุทธโอวาทต่อไป ตอนนี้ท่านวงเล็บไว้ว่าเป็นพระโอวาทสุดท้ายเพื่อจบกิจ ตอนนี้จำกัน ระวังให้ดีนะ จำกันให้ดีนะ ท่านฟังกันไปแล้วก็เทียบถึงอารมณ์ของท่านด้วย พยายามมองดูอารมณ์ของท่านเข้าถึงจุดไหม ท่านทรงกล่าวว่าให้พระโมคคัลลานะมาสอน ท่านโปรดว่าตอนนี้พระโมคคัลลาน์มา ท่านบอกว่าสมเด็จท่านเขียนว่าได้มอบให้พระโมลคัลลาน์มาสอน แล้วท่านมหาโมคคัลลาน์ก็กล่าวว่าสมเด็จให้มาบอกเวลา ๙.๓๐ น. คือเวลาที่พบพระมหาโมคคัลลาน์เป็นเวลา ๙.๓๐ น. นี่ท่านฟังไปแล้วก็ดูวันเวลาของท่านด้วยนะ ความจริงท่านผู้นี้เป็นพระไม่ว่าง ตื่นขึ้นเช้าบางที ๖ โมงเช้า คนก็มาแล้ว นั่งคุยกันสนทนาไป จะมีเวลาบ้างเล็กน้อย เวลาไหนที่ว่างก็ใช้เวลาสถานที่รับแขกนั่นแหละ นั่งบ้างนอนบ้างเอนบ้าง ไม่ตั้งท่าขัดสมาธิให้คนเห็น การนั่งขัดสมาธิให้คนเห็นเป็นอุปกิเลส อย่าไปทำนะ อย่าไปทำเข้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าว่าอะไรไม่ดีอย่าไปทำเข้า ถ้าสงสัยก็ไปดูในอุทุมพริกสูตร อันนั้นมีไว้เรียบร้อยแล้วว่าอะไรที่เป็นอุปกิเลส ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตำหนิว่าไม่ดี อย่าทำ เป็นอันว่าเวลารับแขกผ่านไปนิดหน่อย พอแขกว่างนิดก็นั่งเอนกายตามสบายๆ ให้คนอื่นจับไม่ได้ว่าเจริญพระกรรมฐานเวลา ๙.๓๐ น. พบพระโมคคัลลาน์ นี่ท่านเขียนวงเล็บไว้ว่าให้กำหนดใจไว้ในความไม่มีของขันธ์ห้า จำให้ดีนะ พระโมคคัลลาน์มาสอนขั้นที่สุดว่า

    จงกำหนดในความไม่มีของขันธ์ห้า ให้ถือว่าขันธ์ห้ามันไม่มี มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันมีแล้วก็เหมือนกับว่าไม่มี คือไม่สนใจในมันเสียเลย แล้วก็ทุกสิ่งทั้งหมดให้เป็นเอกัคคตารมณ์ หมายความว่าขันธ์ห้าก็ดี ธาตุทั้งหลายอย่างอื่นก็ดี มีความรู้สึกว่ามันไม่มีสำหรับเรา คำว่าให้เป็นเอกัคคตารมณ์คือ ให้ทรงอารมณ์นี้เป็นหนึ่ง ไม่มีอารมณ์ที่สอง มีอารมณ์ที่เข้าใจว่ามีน่ะไม่มีอีกแล้ว ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีสำหรับเรา คือขันธ์ห้าได้แก่ร่างกายของเราก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายในโลกก็ดี ไม่มีสำหรับเรา อารมณ์ทรงอยู่อย่างนี้ให้เป็นปกติ เรียกว่าเป็นเอกัคคตารมณ์

    ถ้าจะหันไปดูจริงในมหาสติปัฏฐานที่เราฟังกันมาแล้วก็เหมือนกัน คือท่านไม่ได้สอนเกินอะไรกันไปเลย เว้นไว้แต่ว่าเราจะใช้อารมณ์ถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น เป็นอันว่าวิชาความรู้ของพวกเรานี่เลยเถิด เรียกว่าท่วมเลยศีรษะไปแล้วไหนๆ แต่ว่าจะรู้จักใช้เท่านั้น บางทีก็ยังเมาอยู่ในยศฐาบรรดาศักดิ์ เมาในลาภ เมาในรูปเสียงกลิ่นรส เมาในความโกรธ เมาในขันธ์ห้า นี่เป็นอันว่าถ้ายังเมาอยู่อย่างนี้แสดงว่าพวกเรายังเลวอยู่ขนาดหนัก ไม่ใช่เลวขนาดเบา

    แล้วก็ท่านบอกว่าให้เพ่งอารมณ์อันจะพึงเกิดจากรูป จากกลิ่น จากเสียง จากรส จากสัมผัส จากอะไรทุกอย่างทั้งหมด ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้สัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส กายสัมผัสอารมณ์ใจ ท่านบอกว่าทั้งหมดว่าเป็นรูป ท่านย่อไว้แบบนี้ ผมอ่านไม่เข้าใจเหมือนกัน ท่านว่าทั้งหมดเป็นรูป แล้วก็ละ ว่าเป็นรูปเป็นเสียงของสภาพที่ไม่มี ท่านบอกว่าสิ่งที่เป็นรูปที่ท่านละไว้ ผมขอขยายหน่อย เป็นรูปที่มันไม่มี เสียงก็เป็นเสียงที่มันไม่มี กลิ่นก็เป็นกลิ่นที่ไม่มี รสก็เป็นรสที่มันไม่มี สัมผัสก็เป็นสัมผัสที่ไม่มี มันไม่มีตรงไหน ไม่มีตรงที่มันสลายไป รูปเห็นแล้วก็ผ่านไปเสียงได้ยินแล้วก็ผ่านไปทั้งหมด อย่าเอามันเข้ามาขังไว้ในใจ มันสัมผัสประสาทแล้วก็ผ่านไป มันมีสภาพไม่มี อย่าเอาใจไปนึกว่ามันมี

    นี่ผมขยายความนะ ท่านบอกต่อไป นี่พระมหาโมคคัลลาน์มาสอนแทนนะ ว่าจงไม่ยึดถือ คือปล่อยไปเสีย ไม่ให้เกาะมันอยู่ ไม่ยินดีกับมันด้วย แล้วก็ไม่ยินร้ายกับมันด้วย ยินดีคือชอบใจ ยินร้ายคือไม่ชอบใจ มันจะไปมาอย่างไรก็ช่าง นี่อารมณ์พระอรหันต์นะ ฟังกันไว้ให้ดี ฟังแล้วก็จำ ท่านที่บันทึกไว้ฟังให้มากจุดนี้ ฟังให้มาก ฟังให้มากแล้วก็ทำให้ได้ เป็นสิ่งที่เราต้องการกัน ทำให้เป็นเอกัคคตารมณ์ คือทำให้อารมณ์ทรงอยู่อย่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันจะมีอารมณ์ชิน แล้วก็ตั้งอุเปกขาญาณไว้ว่า คำว่าอุเปกขาแปลว่าวางเฉย มีความรู้สึกไว้ว่าเราจะวางอารมณ์ความเฉยไว้อยู่เสมอ ว่าเราจะไม่ยึดถือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เราจะเฉยโดยไม่ยอมยึดอารมณ์อย่างนี้ไว้ แล้วทรงใจให้ผ่องใสในพรหมวิหารสี่ โดยถือว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดควรได้รับความเมตตา ควรได้รับการสงสาร ให้ตั้งใจให้ดีโดยไม่เกียจคร้าน หากไม่มีความประมาท จิตจะพ้นอาสวะ นับตั้งแต่วันนี้ไปครบ ๖๐ วัน ไม่เกิน ๖๐ วัน หากว่าไม่ประมาทจิตจะพ้นจากอาสวะ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครบ ๖๐ วัน หรือไม่เกิน ๖๐ วัน

    เป็นอันว่าเวลาเหลืออีก ๑ นาที ถ้าเราจะคุยกันไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ทีนี้ขอท่านทั้งหลาย จงรวบรวมกำลังใจว่า อารมณ์ขั้นสุดท้ายของการบรรลุที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้พระโมคคัลลาน์มาแนะนำท่านผู้เฒ่าในเวลา ๙.๓๐ น. นี่ดูเวลาไว้ด้วยนะว่าเวลา ๙.๓๐ น. มันมืดไปนานแล้วหรือยัง ความจริงมันหลังอาหารเช้าเท่านั้น ดูจริยาของท่านไว้ด้วยว่าที่ท่านทำได้น่ะท่านใช้เวลาเท่าไร เวลาอะไรในการปฏิบัติ รวมความว่า เวลากำลังใจของท่านไม่ยอมให้พลาดจากนี้เลย

    เอาละท่านทั้งหลาย วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอทุกท่านทรงอิริยาบถ ทรงกำลังตามที่ท่านต้องการ พิจารณาไป ผมอยากจะให้พิจารณาในขั้นสุดท้าย คือจุดสุดท้ายที่ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ได้รับคำมอบหมายให้สอนท่านผู้เฒ่าไว้ทุกวัน อารมณ์อื่นนอกจากนั้นนอกจากอารมณ์ทรงสมาธิ ผมคิดว่าไม่จำเป็น สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุด ผมเห็นว่าอารมณ์ท้ายนี่เท่านี้ เอาละพระโยคาวจรทุกท่าน ขอจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แล้วก็จงมีผลบรรลุตามที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงมอบหมายกับพระโมคคัลลาน์มาสอนท่านผู้เฒ่าต่อไป สวัสดี
     
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๒๒.ต้องการจุดจบ ท่านบอกว่า ทุกสิ่งทั้งหมดนี้จงรักษาอารมณ์ให้เป็นเอกัคคตารมณ์ว่ามันไม่มี คำว่าไม่มีนี่ ความจริงมันมีแล้ว มันก็ไม่มี เพราะต่อไปมันจะพัง อย่าไปสนใจมัน มันผ่านไปแล้วก็หมดไป องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ให้ทำความรู้สึกว่า ปัญจขันธ์ทั้งห้าและทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ท่านบันทึกไว้ว่า ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖ จากนี้ไปอีกไม่เกิน ๑๐ วัน จะถึงอนาคามี


    ความประสงค์อย่างเดียวคือต้องการจุดจบ เมื่อมาเปิดดูปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าตอนนี้ก็รู้สึกเป็นเรื่องที่น่าจะคิดจะจดจะจำเอาไว้ ทั้งนี้เพราะว่าเป็นปฏิปทาที่ท่านปฏิบัติกันตอนนี้เอง ในช่วงระยะเวลาตอนที่ใกล้ๆ มันไม่ไกล แล้วก็เป็นคนที่เรานึกว่าจะมองเห็นหน้ากันได้คือ ตายจากเราไปไม่นานนัก จึงเห็นว่าปฏิปทานี้ไม่น่าจะลำบาก คือน่าจะทำกันได้ทุกคน แต่ผมนี่ก็มีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งว่าความปรารถนาของผมนี่มันจะได้เหมือนท่านหรือไม่ได้ก็ไม่ทราบในชีวิตนี้ แต่ความจริงใจน่ะรักที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมานี่ ก็มีความปรารถนาอยู่อย่างเดียว อยากจะให้กิจของพระพุทธศาสนามันจบไปจากใจ ถ้าเผอิญชีวิตนี้ไม่สามารถจะทำได้ ก็ตั้งใจทำชีวิตหน้าต่อไป ถ้าขณะใดที่ลมปราณยังมีอยู่ก็จะขอยึดถ้อยคำขององค์สมเด็จพระบรมครู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยึดเอาแนวปฏิปทาของท่านผู้เฒ่านี่ปฏิบัติจนกว่าจะสิ้นชีวิต กิจนั้นจะจบหรือไม่จบก็ตามใจ ถ้าระยำมากมันก็ไม่จบ ถ้าระยำน้อยก็อาจจะจบ ก็เอาเรื่องของท่านมาพูดกันใหม่ เรื่องเก่าเล่าใหม่

    ท่านขึ้นต้นว่าพระพุทธโอวาท เป็นพระพุทธโอวาทสุดท้ายที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบอกว่าเพื่อการจบกิจ ตอนนี้แหละท่านทั้งหลาย ผมพอใจติดใจเหลือเกิน คำว่าจบกิจ และถือว่าเป็นโอวาทสุดท้าย ตามบันทึกของท่านบอกว่าท่านมอบให้พระมหาโมคคัลลาน์มาสอนแทนท่าน แล้วท่านมหาโมคคัลลาน์ก็โปรดบอกว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มาสอนแทน เวลานั้นเป็นเวลา ๙.๓๐ น. ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็นึกทบทวนดูว่าเวลาปฏิบัติของท่านน่ะ ท่านปฏิบัติเวลาไหนกันบ้าง ๙.๓๐ น. นี่ความจริงเวลาอาหาร เข้าใจว่าหลังเวลาอาหารเล็กน้อย คงมีแขก จุดนี้แขกคงจะว่างไปนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นคงจะยังไม่ปล่อยเวลา ๙.๓๐ น. เพราะตามปฏิปทาของท่าน ตื่นขึ้นมาปัปเวลาเท่าไรก็ตามที ปฏิบัติทันที ถ้าเวลาจะฉันภัตตาหารก็ใช้อาหารเรปฏิกูลสัญญาเป็นปกติ เวลาท่านบันทึกบอกว่า เวลา ๙.๓๐ น. เข้าใจเป็นเวลาที่ฉันอาหารอยู่ คงจะมีใครสักหนึ่ง คอยขัดคอ มาหา ที่ว่าขัดคอก็หมายถึงมาหา แต่ว่าท่านก็ไม่โกรธ ทำตามหน้าที่

    ท่านกล่าวต่อไปว่า พระมหาโมคคัลลาน์สั่งว่าให้กำหนดใจลงในความไม่มีของปัญจขันธ์ ปัญจขันธ์ก็ได้แก่ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มี มันมีก็เหมือนว่ามันไม่มี คือมันไม่มีการทรงตัว หาอะไรทรงตัวไม่ได้ มีแล้วเดี๋ยวก็พัง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็มีความสลายตัวไปในที่สุด

    รูปมันก็ปรากฏขึ้นเดี๋ยวเดียว ท่านบอกว่าชีวิตเหมือนความฝัน รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ ชีวิตของเราที่ทรงตัวอยู่นี้มันก็เหมือนความฝัน มันมีอยู่แล้วไม่ช้ามันก็สลายตัวไป รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ ดอกไม้เมื่อแรกยังตูม ต่อมามันก็แย้มทีละน้อยๆ ในที่สุดก็พังไป สภาวะของรูปมันก็เป็นเช่นเดียวกัน เสียง กลิ่น รส และสัมผัสมันก็เหมือนกัน ท่านบอกว่า ทุกสิ่งทั้งหมดนี้จงรักษาอารมณ์ให้เป็นเอกัคคตารมณ์ว่ามันไม่มี คำว่าไม่มีนี่ ความจริงมันมีแล้ว มันก็ไม่มี เพราะต่อไปมันจะพัง รูปมันทรงอยู่ได้ไม่นานมันก็พัง เสียงที่เรามีความพอใจฟังแล้วก็หายไป กลิ่นที่สัมผัสจมูกกระทบแล้วก็หายไป การสัมผัสที่พึงพอใจ สัมผัสแล้วเลิกสัมผัสก็หายไป รสที่สร้างความซาบซ่านจากปลายลิ้น กลางลิ้นโคนลิ้น แล้วรสก็หายไป อย่าไปสนใจมัน มันผ่านไปแล้วก็หมดไป ไม่ช้าร่างกายมันก็สลายตัว ท่านบอกว่าจงรักษาอารมณ์นี้ให้เป็นเอกัคคตารมณ์ มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มี

    อันนี้เห็นจะได้แก่อากาสานัญจายตนะก็เห็นจะได้ถ้าเทียบกัน อารมณ์พระนิพพาน นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์ตัดกิเลส อากาสานัญจายตนะที่ท่านเจริญกัน ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องสลายหายไปเหมือนกับอากาศ หรือว่าอากิญจัญญายตนะ ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันไม่มีอะไรเหลือหมด มันไม่มี ไปลงกันตรงนั้น มันเข้าไปเนวสัญญานาสัญญายตนะอารมณ์นี้มาใช้ มันมีก็ทำความรู้สึกเหมือนว่ามันไม่มี ตอนนี้ถ้าหากว่าท่านสนใจในอรูปฌาน จะรู้สึกว่าง่าย เห็นทรงตัวได้ชัด

    เป็นอันว่าท่านแนะนำว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ให้ทำความรู้สึกว่า ปัญจขันธ์ทั้งห้าและทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าหวนเข้าไปดูในมหาสติปัฏฐานสูตรก็จะรู้ว่าเป็นของไม่แปลก หลังจากนั้นท่านให้เพ่งอารมณ์ อารมณ์พึงบังเกิดขึ้นจากรูป อารมณ์ที่เห็นรูปสวย ทรงสวย รักในรูป ผิวสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสดี คำว่าดีอย่างนี้ให้พิจารณาดูว่า ทั้งหมดนี้ที่มีสภาวะ มีรูปเป็นต้น มันเป็นของที่ไม่มี ทำไมจึงว่าไม่มี มันมีนี่ มันมีแล้วเดี๋ยวมันก็ไม่มี

    ย้อนไปถึงปู่ย่าตายายโคตรเหล่ากอตอนต้นๆ เราอาจจะรู้ว่าพ่อเราเป็นลูกของใคร เป็นลูกของปู่ ปู่เราเป็นลูกของใคร ลูกของทวด ทวดเราเป็นลูกของใคร ลูกของของพ่อทวดแม่ทวด แล้วท่านทั้งหลายมีไหมเล่าเวลานี้ แล้วสรรพสิ่งทั้งหลายที่ท่านมีอยู่ มีบ้านช่อง เรือนโรง เงินทองทั้งหลายเหล่านั้นมันอยู่ไหม มันไม่มี มันหมดไปแล้ว ร่างกายท่านก็หมด แล้วเราล่ะ ยังจะมีอะไรต่อไป ไม่มีการหมดหรืออย่างไร นี่ผมขยาย

    การบอกว่าไม่ได้ยึดถือ คือให้ปล่อยไปเสียไม่เกาะอยู่ คือไม่ยินดีชอบใจด้วย ในเมื่อมันทรงตัวอยู่เราก็ไม่ยินดี ถ้าไม่ทรงตัวอยู่เราก็ไม่ยินร้าย ปล่อยไปตามสภาพ จิตยอมรับนับถือว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของธรรมดา ถ้ายังไปติดมันอยู่ก็ชื่อว่าเราเป็นทาสตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เราจะไม่มีความสุขตลอดชีวิต ตอนนี้ก็ควรจะคิดตามนะ ผมชอบจริงๆ ขอให้ใจมันสบาย ท่านกล่าวว่าให้ใจเป็นเอกัคคตารมณ์ ให้อารมณ์มันทรงอยู่อย่างนี้ เอกแปลว่าเป็นหนึ่ง มีอารมณ์อย่างนี้อย่างเดียวที่เราจะทรงอยู่ ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาสอดแทรกเข้ามาเจือปน

    ฟังแล้วก็จำๆ แล้วก็คิด กิจของพวกท่าน ท่านทำความดีอยู่มากแล้ว เวลานี้มีมากท่าน ผมถือว่ามากท่านนะ อาจจะเหลืออยู่บ้าง จะบอกว่าหมดทุกท่านจะหาว่าผมเดาเกินไป บางท่านบอกว่า เจ้าเฒ่านี่โง่นี่ ฉันไม่ได้มีความคิดอย่างเธอสักนิดหนึ่ง เธอมาบอกว่าทุกท่านนี่ฉันไม่ได้ทำตามนะ ที่เธอพูดมาทุกวันทุกคืนวันละตั้งกี่หนน่ะ ฉันไม่เคยเห็นด้วย นี่ฉันมาบวชนี่ ฉันมาหลอกชาวบ้านเขาเล่นโก้ๆ ว่าฉันเป็นนักบวช ฉันมานั่งเอาเปรียบชาวบ้าน เจ้าเฒ่าบอกว่าทุกคนใช้ไม่ได้ เจ้าเฒ่ามันโง่ แต่ความจริงผมนึกว่าจะโง่ก็ยอมโง่ แต่ว่าส่วนมากนี่ไม่ลงทุกท่าน ก็ไม่รู้ใจท่าน ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า ทุกท่านตั้งใจดีอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิจของพระพุทธศาสนา ท่านไม่เพิกเฉย กิจส่วนตัวท่านไม่เพิกเฉย งานหลวงไม่ขาด งานราษฎร์ไม่ได้เสีย คนอย่างนี้ดีทุกคน อย่างนี้ปรารถนาอะไรก็ได้ แต่อย่านึกว่าผมเป็นพระอรหันต์ไปแล้วนะ เวลานี้ผมจะพยายามคลำปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าพบนี่ผมดีใจเกือบตาย คิดว่าชีวิตนี้ของผมไม่เป็นหมันแน่ ผมไม่ได้มากผมก็เอาน้อย เพราะผมเป็นคนอยาก ความรู้สึกของผมเป็นคนโลภมากอยู่เสมอ จะเห็นว่าผมไม่รู้จักพอสักที สร้างสมทุกสิ่งทุกอย่าง จะเห็นว่าอะไรมีหรือไม่มีก็ทำดะทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหนึ่งเป็นความสุขส่วนตัวได้ใจสบาย สองมีความสุขเป็นส่วนสาธารณะประโยชน์ได้ ทำอะไรทุกอย่าง ปรารภตนเองเป็นสำคัญ คือว่าถ้าตัวเราชอบแบบไหน คิดว่าคนอื่นเขาชอบแบบนั้น ทำให้มันเกิดความสุขให้ได้ ผมมันเป็นคนตะกละตะกราม อย่าเอาอย่างผมนะจะลำบาก เป็นอันว่าเรื่องของผมเป็นอันผ่านไป

    นี่ผมเห็นเรื่องของท่านผู้เฒ่าเข้าผมก็ตะกละของผมซิ ชอบใจนี่ ท่านก็เป็นคนห่างผมไม่เท่าไรนี่นา ทำไมท่านทำได้เราก็ทำได้ แต่ทำได้เท่าท่านหรือไม่เท่าท่านก็ช่าง ไม่ได้มากก็เอาน้อย เอาให้มันได้ เพราะมีวิสัยขโมย ขึ้นชื่อว่าขโมยแล้วเข้าบ้านใครต้องหยิบของให้ได้ ไม่มากก็น้อย ไม่งั้นมันเสียจริยาของขโมย ภาพพจน์ของขโมยมันจะเสียไปหมด เราจะต้องเอาให้ได้ ไม่ได้ทั้งห้า ปัญจขันธ์ห้า เอาหนึ่งก็เอาดี ตัดรูปไม่ได้ก็ตัดเสียง ตัดเสียงไม่ได้ก็ตัดกลิ่น ตัดกลิ่นไม่ได้ก็ตัดรส ตัดรสไม่ได้ก็ตัดสัมผัส เวลานี้สบาย ตัดสัมผัสได้แล้วเพราะไม่มีเมียกับเขา มีก็มีไม่ได้ เป็นพระนี่ ก็ต้องตัดไปได้หนึ่งละ โก้ๆ ไปได้หน่อย

    ว่าต่อไป ท่านบอกให้ทำเป็นเอกัคคตารมณ์ ให้อารมณ์ทรงอยู่อย่างนั้นอย่างเดียวอย่างอื่นไม่ปน ไม่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง รักษาไว้อย่างนั้นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มี มันสลาย ไม่ยึด ไม่ถือมัน แล้วสอนต่อไปว่าให้ตั้งอยู่ในอุเปกขาญาณ เราจะไม่ยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายในโลกนี้ เราจะเฉยโดยไม่ยอมรับอารมณ์อย่างนี้ไว้ในใจของเรา ว่าอารมณ์ที่ว่ารูปมันดีเสียงมันดีนี่ เป็นต้น ไม่มีในใจของเรา แล้วทรงให้ทำใจ นี่เป็นคำพูดของพระมหาโมคคัลลาน์ที่ท่านผู้เฒ่าเขียนไว้ว่าทรงสั่งมาให้ทำใจให้ผ่องใสในพรหมวิหารสี่ ก็รู้จักกันแล้วนี่ โดยถือว่าสัตว์และบุคคลทั้งหมดควรได้รับความเมตตาคือความรัก ควรได้รับความกรุณาคือความสงสาร ให้ตั้งใจทำให้ดีโดยไม่เกียจคร้าน นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งพระมหาโมคคัลลาน์มาบอก ว่าหากไม่ประมาท จิตจะพ้นจากอาสวะ คือพ้นจากกิเลสทั้งหมด เป็นพระอรหันต์นับตั้งแต่วันนี้ไปจนครบ ๖๐ วัน

    ฟังแล้วท่านบอกว่าพอฟังคำว่า ๖๐ วันเท่านั้น คิดว่าวันที่ ๖๐ มันเป็นวันพรุ่งนี้ ดีใจเสียเกือบตาย เวลา ๖๐ วันไม่ไกลสำหรับเรา ดูบันทึกของท่านต่อไป ท่านบันทึกไว้ว่า ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ตรงกับวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันอาทิตย์ ครบกำหนดก่อนสิ้นเดือน ประมาณรุ่งอรุณ คือได้อรุณใหม่ของวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๖ ท่านเขียนไว้ของท่านอย่างนี้ก็ว่าไป ก็หมายความว่า ท่านเขียนตอนก่อนว่า ๒๘ กรกฎาคม ตรงกับวันที่ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๙ ตรงกับวันอาทิตย์ หมายความว่าท่านปฏิบัติครบกำหนด ก่อนสิ้นเดือนประมาณรุ่งอรุณของวันใหม่ วันที่ ๑ สิงหาคม ท่านบันทึกไว้แค่นี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอย่างไร ผมก็ว่าของท่านต่อไป ท่านบันทึกไว้ว่า พระขีณาสพ หมายถึงพระอรหันต์คือเป็นผู้มีกิเลสสิ้นแล้ว แปลว่าเป็นผู้มีกิเลสสิ้นไปแล้วหมดไปแล้ว ได้มาบอกคาถาเรียกจิตคนสำหรับเทศน์ สำหรับอบรม สำหรับสนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา คาถาว่าอย่างนี้ จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ จำให้ดีนะว่าจิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ ท่านว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตแล้ว นี่ท่านอนุญาตแล้วก็ใช้ได้ แต่พวกเรามาขโมยของท่านนี่ก็คงใช้ได้ พลิกมาหน้านี้เป็นอันว่าเข้าใจ ที่ท่านบอกว่าวันที่ ๑ นี่หมายถึง วันที่ ๑ เป็นวันที่พระขีณาสพมาบอกคาถา มาถึงหน้านี้ก็บอก ๒ สิงหาคม ๒๕๐๖ ตรงกับขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๙

    ท่านบอกว่าเวลานี่ วันนี้เวลาเช้าตื่นขึ้นมา ลืมตาปุป ตามปกติกลางคืนก็ไม่ค่อยได้หลับ องค์นี้ดูปฏิปทาพ่อฟัดแหลก คือฟัดให้กิเลสแหลกก็ดีกว่าฟัดให้ร่างกายหรือจิตใจแหลกเพราะอำนาจกิเลสฟัด ท่านบอกว่าเจริญสมณธรรมได้ผลด้านสมาธิสูงมาก จำให้ดีนะ คำว่าสมาธินี่เราได้ถึงไหน รักษาอารมณ์ให้มันมากที่สุด ดีที่สุดเท่าที่จะพึงรักษาได้ ทรงไว้ได้ ท่านบอกว่า ความจริงวานนี้ฟุ้งซ่านมากทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านกล่าวต่อไปว่าระหว่างที่อยู่ระหว่างพระโสดาละเอียด คำว่าโสดาละเอียดนี่หมายถึงพระสกิทาคามี จำไว้ให้ดีว่าการจะทรงจิตของเรา ดูปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าท่านจะไม่ยอมเชื่ออารมณ์ของท่านเด็ดขาด ถ้ามีอะไรสงสัยว่าจะดี เขาว่าดีว่าเด่นแม้จะ เป็นเสียงทิพย์เสียงสวรรค์ ท่านก็ไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมรับเชื่อ ถอยหน้าถอยหลังขยับขยายให้มันแน่ใจอยู่เสมอ นี่การปฏิบัติพระกรรมฐานเพื่อผลดี นี่เขาทำกันอย่างนี้ จงอย่าลืมพระบารมีว่า อัตตนา โจทยัตตานัง กล่าวโทษโจทก์ความผิดของตนไว้เป็นปกติจะมีผลใหญ่ อย่าไปมองในด้านดี คือมองในด้านชั่วให้มาก คิดว่าเรายังเลวอยู่ เรายังชั่วอยู่ มองโน่นนิด มองนี่หน่อย แม้แต่ชั่วนิดเดียว ก็จับจิตว่ามันชั่วมาก จะได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจให้มันพินาศไป อย่าใช้คำว่าไม่เป็นไร ถ้าไม่เป็นไรละก็เสร็จ ลงนรกทุกราย

    ท่านกล่าวต่อไป แม้จะอยู่ในระหว่างพระโสดาละเอียดคือพระสกิทาคามี ก็จะยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จากนี้ไปอีกไม่เกิน ๑๐ วัน จะถึงอนาคามี เห็นไหม โสดาละเอียดก็คือ สกิทาคามี ท่านจะไปหลงว่าพระโสดาบันแล้วเมื่อไรจึงจะถึงสกิทาคามี ท่านไม่ได้ว่าแบบนั้น ท่านบอกว่า ระหว่างพระโสดาละเอียด แล้วจากนี้ไปอีกไม่เกิน ๖๐ วัน ก็จะจบกิจในพระพุทธศาสนาเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกว่าฟังเพียงเท่านี้ใจก็ฟู ดีใจเกือบตาย แต่ก็ระงับความดีใจไว้เสียได้ว่า เรามันเลวตรงไหนบ้าง ถ้าเรายังหาเลวพบไม่หมด ความจบกิจพระพุทธศาสนาไม่มีสำหรับเรา ท่านก็มองหาความเลวทุกจุดด้านสังโยชน์ ๑๐ ประการ

    ท่านบันทึกต่อไปว่า สมเด็จฯ โปรดให้พิจารณาความตายให้มาก นี่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเอง มาทรงประทับยืนให้เห็นมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการผ่องใส แล้วสมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า สัมภเกสีเอ๋ย เจ้าจวนจะเสร็จกิจในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว กิจอื่นของเธอจะไม่มีอยู่แล้ว มันยังเหลืออยู่นิดหน่อย ในระหว่างนี้จงพิจารณาความตายให้มาก อย่าสนใจกับกายของเรา อย่าสนใจกับกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุใดๆ เราตายแล้วเรานำไปไม่ได้ เธอจงพิจารณาขันธ์ห้าให้ละเอียด อย่าข้ามแม้แต่จุดเล็ก ว่ารูปก็ดี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี มีอะไรบ้างที่เป็นของเรา วางภาระมันเสียให้หมด อย่ากำหนดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา

    ตามบันทึกท่านกล่าวต่อไปว่า ท่านมหากัจจายนะท่านบอกว่า การทำจิตพิจารณาขันธ์ห้าละเอียดนั้น ได้แก่การเข้าสมาธิให้ถึงที่สุดแล้วก็พิจารณาขันธ์ห้า ถ้าจิตมันเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่านในระหว่างที่พิจารณา ให้วางภาระในการพิจารณาเสีย จิตจับสมาธิตามเดิมให้จิตอารมณ์ทรงตัวให้มันทรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทรงได้ จิตใจผ่องใสมีจิตเป็นเอกัคคตา คือ มีอารมณ์เฉยเป็นหนึ่ง แล้วก็จับจิตถอยลงมาอีกนิดหนึ่ง ใช้อารมณ์คิดพิจารณาขันธ์ห้า ให้ทำถอยหน้าถอยหลังไปอย่างนี้ ไม่ช้าจะจบกิจพระพุทธศาสนา เวลานี้กำลังใจของเธอเหลืออีกนิดเดียว คือ เยื่อใยที่มีความสำคัญมากนั่นก็ได้แก่อวิชชา คือฉันทะกับราคะ ฉันทะ จงอย่าพอใจในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ราคะจงใช้ปัญญาพิจารณาว่ามนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ไม่มีอะไรสวย ไม่มีอะไรดี มันเป็นที่ขังของความทุกข์ แล้วท่านก็บันทึกไว้ว่า เย็นใกล้ค่ำวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๐๖ เป็นอันว่า ท่านพิจารณาท่านจบกิจจุดนี้ของท่านตอนเย็นวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๐๖

    เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย เวลากาลพูดไปก็ไม่มีแล้ว หมดเวลาพอดี จำปฏิปทาของท่านไว้ ผมถือว่าบรรดาท่านทั้งหลายมีกำไรเป็นกรณีพิเศษ ขอสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทุกท่านจงพากันปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ความดีจะถึงท่าน ขอทุกท่านจงทรงอิริยาบถสี่ กำหนดจิตตามอัธยาศัยจนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร สวัสดี
     
  5. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๒๓.อีก ๓ วันจากนี้จะได้พระอนาคามี


    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็คงมาพูดกันถึงเรื่องปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า สำหรับระยะหลังตั้งแต่คาสเซ็ทที่ ๑๑ เป็นต้นมา ผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายสนใจให้มาก ทั้งนี้ เพราะว่าการบวชของเรา โดยใช้คำว่า นิพพานัสสะ สัจฉิ กิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า เรารับผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน จุดนี้เป็นจุดที่มีความสำคัญที่สุด แล้วก็เป็นความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ความจริงปฏิปทาตอนต้นก็มีความหมาย แต่ว่าความหมายยังอยู่ในตอนที่ว่าเราต้องการให้พ้นจากอบายภูมิ ในเมื่อเราพ้นจากอบายภูมิ คือเป็นเปรต เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้ายังต้องเกิดเป็นคนก็ยังต้องทุกข์อยู่อย่างนี้ ฉะนั้นปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าตอนนี้เป็นปฏิปทาที่พ้นทุกข์ ขอท่านทั้งหลายจงพยายามสนใจให้มาก เปิดรับฟังให้มาก ฟังแล้วก็คิด

    ต่อแต่นี้ไปอาจจะช้าไปนิดหนึ่ง คำว่าช้าไม่ได้หมายความว่าพูดแต่ละตอน แต่เพราะว่าท่านผู้เฒ่าบันทึกของท่านไว้รู้สึกว่าสั้นมาก เพราะเป็นการบันทึกย่อ ถ้าตอนไหนผมมีความรู้พอจะแทรกลงไปได้ผมก็แทรกเพื่อความเข้าใจของท่าน ขอเล่าเรื่องราวของท่านต่อไป ท่านกล่าวว่าในวันก่อนจากวันนี้ ๓ วัน ท่านเดินจงกรมเวลาเย็นใกล้เมรุ ฟังของท่านให้ดีนะ ฟังแล้วก็ดูไว้ด้วยว่าท่านทำที่ไหนเวลาเท่าไร จะเห็นว่าเวลาของท่านไม่มี เวลาของท่านเร่งรัดจริงๆ เวลาท่านบอกว่า เวลาก่อนจากวันนี้ ๓ วัน ท่านจงกรมในเวลาเย็นใกล้เมรุ ได้ทราบว่าอีก ๓ วันจากนี้จะได้พระอนาคามี แล้วท่านเขียนบอกว่า ตอนเช้าท่านว่าจะได้อย่างช้าอีก ๑๐ วันเว้นวันเดียวกันนั้นในตอนเช้า ท่านเจริญพระกรรมฐานก็ได้เห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งลงมาก่อน ท่านเห็นครบรัศมี ๖ ประการ นี่ท่านเห็นครบเพราะท่านติดในพุทธานุสติกรรมฐาน คนใดที่ติดในพุทธานุสติกรรมฐานที่เราใช้คำว่า พุทโธหรือสัมมาอรหังอย่างนี้เป็นต้น เรานึกถึงพระพุทธเจ้ากันเป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าพุทธานุสติกรรมฐาน ในเมื่อจิตยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ถ้าอะไรจะมีขึ้นก็มีจากพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ บุคคลใดเกิดมาในชาตินี้ทันในสมัยที่ตถาคตยังมีชีวิตอยู่ แม้เขาผู้นั้นจะเกาะสังฆาฏิของตถาคตไว้ก็ตาม แต่ว่าถ้าผู้นั้นไม่เคยเจริญพุทธานุสติกรรมฐาน ผู้นั้นก็ชื่อว่าไม่เคยเห็นตถาคต ถ้าบุคคลใดเกิดมาทันในสมัยที่ตถาคตมีชีวิตอยู่ก็ดีหรือว่าตถาคตนิพพานไปแล้วก็ดี ผู้นั้นเจริญพุทธานุสติอยู่ตามปกติ ชื่อว่าผู้นั้นเกาะชายสังฆาฏิของตถาคตอยู่

    สำหรับท่านผู้เฒ่า ตามประวัติเดิมของท่านก็ติดอยู่ในพุทธานุสติเป็นอารมณ์ โดยมีความรู้สึกว่าพระพุทธศาสนามาจากพระพุทธเจ้า ถ้าจะเปรียบพระพุทธเจ้ากับรถไฟก็เหมือนกับตัวรถจักร พระอริยสาวกทั้งหลายก็เหมือนกับรถโบกี้หรือตู้ที่ถูกลากไป ฉะนั้นท่านจะจับก็จับรถจักร คือถึงอย่างไรรถจักรก็มีกำลังมาก ตู้ที่ลากตามไปจะหลุดที่ไหนก็ช่าง แต่รถจักรก็ไปได้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ฉันใด ท่านก็ตั้งใจจับพุทธานุสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ คือไม่ยอมละทิ้งพระพุทธเจ้า

    ตามประวัติอีกตอนหนึ่ง ท่านเล่าไว้ว่าเวลาที่ท่านเข้าสมาบัติครั้งใดท่านต้องไปนมัสการพระพุทธเจ้าก่อน นี่เราคุยกันเฉพาะนักศึกษาร่วมสำนัก ถ้าท่านศึกษาแบบอื่นก็เป็นเรื่องของท่าน นี่เราเอาเรื่องของท่านที่ปฏิบัติไว้มาเล่าสู่กันฟัง ถ้าใครสงสัยก็ควรจะปฏิบัติให้ได้ถึงมโนมยิทธิหรืออภิญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นอภิญญา เพราะท่านผู้นี้เป็นพระทรงอภิญญา ถ้าท่านได้อภิญญา เราไม่ได้อภิญญา มันก็เถียงกัน เหมือนกับคนเคยไปประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นตึกร้อยชั้นเศษ กลับมาประเทศไทยมาเล่าให้คนไทยฟัง แต่คนไทยที่ไม่เคยเห็นตึกประเทศนั้นก็จะหาว่าคนนั้นบ้าๆ บอๆ เมื่อเขาไปเห็นจริงเข้าก็เลยกลายเป็นคนบ้าตามคนนั้นไปด้วย ทั้งนี้เพราะไปเห็นจริงๆ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้ว่าปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นเช่นนั้น ก็คุยกันต่อไป ไม่ใช่คุย เอาเรื่องของท่านมาอ่าน แล้วผมก็แวะเสียหน่อยหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา วิพากษ์วิจารณ์

    ท่านบอกว่า วันนี้ตอนเช้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าจะได้อย่างช้าอีก ๑๐ วัน อย่างช้านะ แต่ว่าตอนเย็นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่าอีก ๓ วันอย่างช้าจะได้อนาคามี จำไว้ให้ดี ศัพท์พระโสดาละเอียดก็คือพระสกิทาคามี ท่านเขียนต่อไปว่าพระพุทธองค์ท่านทรงมีพระพุทธโอวาทนี้ เคยให้ไว้ว่าการบรรลุนั้นใครจะกำหนดแน่นอนไม่ได้ สุดแล้วแต่การปฏิบัติ วันนี้ได้ไปที่เมรุอีก เดินจงกรมแล้วก็ทำจิตในวิปัสสนา วันนั้นปรากฏว่าฝนตกหนัก กลับมากุฏิ จิตสบายมาก อากาศมันเย็น เกิดความชุ่มฉ่ำทั้งร่างกาย ทำให้ใจเป็นปกติ เมื่อจิตสบายมากสมาธิทรงตัว แล้วคนที่จะเข้ามายุ่งเวลาที่เดินจงกรมก็ไม่แน่นัก สถานที่นั้นเขามีการปฏิบัติกรรมฐานกันแบบหนึ่งซึ่งเป็นแบบใหม่เจ้าสำนักบอกว่าเป็นแบบมูลฐาน ในเมื่อท่านทำตามสายวิสุทธิมรรคจึงไม่หลงกับสำนักนั้น คำว่าหลงหมายความว่าเจ้าของสำนักเขาไม่ชอบ เขาเห็นว่าเป็นเต่าพันล้านปี เป็นเถรส่องบาตร

    คำว่า เถรส่องบาตรนี่มีเรื่องอยู่ว่า สมัยหนึ่งพระอาจารย์ท่านมีบาตรร้าวอยู่หน่อยหนึ่ง ตามพระวินัยท่านบอกว่าถ้าเป็นรูจนนิ้วลอดได้ละก็ให้เปลี่ยนบาตรใหม่ได้ เวลาฉันข้าวเสร็จท่านก็ส่องๆ ดู รูมันโตขนาดไหน เปลี่ยนได้แล้วหรือยัง บรรดาลูกศิษย์เห็นอาจารย์ส่องอย่างนั้นก็ไม่รู้ท่านส่องอะไร ไม่ได้ถามท่าน พอเช็ดแล้วก็ส่องเหมือนกัน ส่องตามท่าน แต่ว่าบาตรของตนไม่มีรู ก็เป็นอันว่าส่องแบบโง่ๆ เขาหาว่าท่านผู้เฒ่านี่เป็นเถรส่องบาตร หรือเป็นเต่าพันล้านปีบ้าง ไม่ปฏิบัติตามเขา ท่านก็ไม่มีความรู้สึกอะไร กลับมีความสงสารเขาพวกนั้นว่า ปฏิปทานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้คนบรรลุอรหันต์มานับไม่ถ้วน ทำไมจะต้องมาสอนกันใหม่ แล้วบุคคลที่เป็นต้นแห่งการแก้ไขบุคคลนั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ควรจะยอมรับนับถือ ถ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้ายกเว้นไว้ก่อน นี่ก็เป็นเรื่องของจิตใจ เพราะในสมัยของพระพุทธเจ้าเองท่านก็มีท่านสัญชัยปริพาชก แล้วก็มีคณาจารย์มากที่ไม่ยอมเห็นด้วย

    เป็นอันว่าคุยของท่านต่อไป ท่านบอกว่ากลับมากุฏิแล้วเข้าอภิญญาผลสมาบัติ ได้เห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประทานโอวาทว่า ขณะนี้เธอถึงอนาคามีผลแล้วตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๓ น. เป็นอันว่าในช่วงที่ท่านเดินจงกรมอยู่นั่นเอง อารมณ์ก็เข้าถึงอนาคามีผล

    ท่านวิจารณ์จิตของท่านว่า ความจริงหลายวันมาแล้ว อารมณ์เนื่องจากกามราคะก็ดี ปฏิฆะก็ดี ท่านมีความสบาย เรื่องกามราคะน่ะมีมาเสนอทุกวัน สาวสวยรวยทรัพย์ มีความรู้ดีมาพูดประจ๋อประแจ๋ บางคนก็บอกว่าฉันไม่เชื่อหลวงน้าแล้ว ถามว่าทำไม ท่านว่าอย่างนั้น ก็บอกว่าเห็นทีท่าว่าจะแต่งงานด้วย ไปๆ มาๆ ทำเฉยเสีย ท่านก็นิ่ง แล้วเธอผู้นั้นก็ไม่ละความพยายาม เป็นเด็กๆ อายุสัก ๑๕-๑๘ ท่านบอกว่าอายุท่านตั้ง ๔๗ ปีกว่าแล้ว ๔๗ ปีเป็นปีโกง แต่จริงๆ แล้วเกือบจะปาเข้าไป ๕๐ แล้วกระมัง คงจะ ๕๐ เศษ แต่หน้าตาของท่าน ท่านบอกว่ามันไม่บอกลักษณะคนอายุ ๕๐ เพราะใจมีความสุขมาตั้งแต่ต้น ร่างกายก็เสื่อมทรามน้อยลงไป เด็กๆ ประเภทนี้ท่านคิดว่าไม่ใช่เป็นเพราะเขาชั่ว มันเป็นเรื่องของมาร กิเลสมารดลใจเด็ก

    แล้วก็ปฏิฆะก็ไม่ต้องพูด มีทุกวัน เพราะว่าสำนักนั้นเป็นสำนักมูลฐาน เขาก็นั่งว่านั่งด่านั่งเคาะนั่งแคะกระทบกระเทียบ จะพูดอะไรกันก็ตาม จะต้องยันมาหาทางผ่านอยู่เสมอ ท่านก็บอกว่าคำพูดของท่าน ท่านใช้กำแพงกั้นไว้ให้หล่นอยู่ใกล้ๆ กุฏิของท่าน ไม่ถึงท่าน คือท่านไม่สนใจนั่นเอง แล้วก็ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงที่เขาถือว่าเป็นคนใหญ่ เป็นคนสำคัญ ปฏิบัติหนักเวลาเข้ากุฏิ แล้วเวลาจะออกมาอยู่ในกุฏิ เวลาเข้ากุฏิเจริญสมณธรรม ต้องมีคนส่งข้าวส่งน้ำ กินข้าวกินปลาต้องมีคนประเคน นี่ท่าทางสงบเรียบร้อย แต่พอออกมาแล้วพูดเสียดสีน่าฟัง เป็นอันว่าทุกวาระที่ปะทะหน้ากันต้องได้ยินท่านผู้นั้นเสียดสีอยู่ตลอดเวลา แม้แต่คณะอาจารย์ใหญ่ผู้ใหญ่ผู้นำก็เช่นกัน ใครจะไปใครจะมาก็ตาม จะต้องเสียดสีมาถึง ท่านบอกว่าท่านมีความรู้ว่าเขาว่าท่าน แต่อารมณ์จิตตอนนั้นก็มีความรู้สึกว่า เขาว่าขันธ์ห้าเท่านั้น มันไม่ถึงใจของท่าน ท่านก็บอกให้มันหล่นอยู่ข้างๆ กุฏิ หรือมิฉะนั้นต่อมาท่านบอกว่าท่านไม่รับเลย หล่นใกล้ๆ ก็ไม่เอา ปล่อยมันไว้กับปากของเขา มันออกจากปากมาไม่ได้มันก็ไหลเข้าไปอยู่ในใจของเขาเอง ใจของท่านสบาย กามราคะก็ไม่กินใจ นี่ อีหนูทั้งหลายที่เข้ามาก็เห็นเป็นซากศพ วาทะที่ปฏิบัติมาเสียดสีใจก็มามีสภาพกลายเป็นว่าลมที่ผ่านไปเบื้องสูงไม่กระทบกายนั่นเอง มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เป็นอันว่า รูปก็ดี เสียงก็ดี ไม่สัมผัสจิตท่านได้ ท่านปฏิบัติตามโอวาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรได้ดี แล้วโอวาทที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสั่งพระโมคคัลลาน์มาสอน ท่านก็ปฏิบัติได้ดี นี่ผมว่าท่านดีนะ แต่ว่าในหนังสือของท่านๆ ประฌานตัวของท่านอยู่เสมอ ท่านไม่ใช้คำว่าดี ท่านสงสัยตัวเองเสมอ

    หลังจากนั้นไป เมื่อรับพยากรณ์ว่าเธอได้อนาคามีผลแล้วตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๓ น. ของวันนี้ ทรงประทานโอวาทต่อไปว่า ให้ดำเนินต่อไป อย่ายับยั้ง อย่าหยุดอยู่แค่นี้ จงอย่าคิดว่าอนาคามีผล จงอย่าคิดว่าเราตายจากความเป็นคน เป็นเทวดา หรือพรหม เราก็ไปนิพพานได้นั้น ถือว่ากิจมันยังไม่เสร็จ มีภาระที่จะต้องทำ ถ้าชีวิตยังทรงตัวอยู่ต่อไป ทำให้มันเสร็จเสียเลย จะได้ไม่ต้องทำต่อไปอีก ท่านบอกว่าควรทำวิปัสสนาให้ละเอียดต่อไปเพื่อมรรคผลเบื้องสูง คำว่าวิปัสสนาให้ละเอียดนี่ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันเป็นอารมณ์ของกำลังที่เจริญพระกรรมฐานจริงๆ ยาก ผมเคยถามพระมาหลายองค์แล้ว ท่านก็บอกว่ายาก คำว่าวิปัสสนาละเอียดจะพูดให้มันละเอียดตามนั้นมันไม่มีแล้ว พูดไม่ออก แต่ความรู้สึกตามนั้นมันมี

    ฉะนั้น ถอยหลังเข้าไป สำหรับท่านที่รับฟังแล้วในถ้อยคำที่พระโมคคัลลาน์สอนท่านเอาจุดนั้นเข้ามาคิดไว้เสมอ หรือว่าจะเข้ามาในมหาสติปัฏฐานสูตร ไม่ต่างกัน ความจริงท่านสอนนี่ในกรรมฐานสี่สิบก็ดี มหาสติปัฏฐานก็ดี หรือที่ท่านมาสอนท่านผู้เฒ่าก็ดี ก็เอาสิ่งนั้นมาใช้ เอามาสอน

    ถ้าพวกเราเป็นคนที่มีความไม่ประมาท สนใจจริงๆ ผมว่าบรรลุอรหันต์ไปหลายองค์แล้ว นี่ถ้าผมว่าท่านแบบนั้นผมก็ต้องมานั่งดูตัวผมว่าเวลานี้ผมเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง นี่ซิมันสงสัย ถ้าผมพูดให้ท่านฟัง ท่านเป็นอรหันต์ได้ ถ้าผมจะไม่เป็นอรหันต์ ตัวอย่างก็มีเยอะไป อย่างพระจักขุบาล ท่านเป็นพระอรหันต์สุขวิปัสสโก แต่ท่านก็สอนลูกศิษย์ของท่านให้เป็นปฏิสัมภิทาญาณ ตอนนี้ถ้าหากว่าท่านแปลกใจก็ไม่ควรแปลก เพราะลูกศิษย์เหล่านั้นเจริญกรรมฐานได้สมาบัติแปดหมด แต่ความเป็นอรหันต์ขั้นทรงตัวคือมาตรฐานจริงๆ ก็คือสุขวิปัสสโก สำหรับเตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต เนื่องด้วยกีฬาสมาบัติ เหมือนกับนักเรียนสนใจหลักสูตรการเรียนกับนักเรียนที่สนใจในกีฬาด้วย เขาได้ผลสองอย่างคือ สนใจในหลักสูตรการเรียนอย่างเดียวก็ได้แต่ชั้นขึ้นมา แต่กีฬาไม่เก่งก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ความรู้เก่ง กีฬาไม่เก่งไม่เป็นอะไร ทำงานได้ กีฬาเก่งอย่างเดียว ความรู้ไม่มี ความสามารถไม่เก่ง ทำงานไม่เก่ง ทำงานที่ไหนเขาก็ไล่ไป นี่เราคุยกันช้าๆ นะ ท่านก็บอกว่าท่านสั่งให้ทำวิปัสสนาญาณให้ละเอียดให้บรรลุมรรคผล ทีนี้การจะสำเร็จนั้นใครจะพยากรณ์ไม่ได้ ถ้าทำถูกอาจจะบรรลุมรรคผลได้โดยฉับพลัน นี่ผมพูดมาเสียมาก ผมจะขอย้อนอีกสักนิดหนึ่ง

    ท่านบอกว่าขณะนี้ถึงอนาคามีผลแล้วตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๓ น. และได้ประทานโอวาทต่อไปว่าให้ดำเนินต่อไป ทำวิปัสสนาให้ละเอียดต่อไปเพื่อมรรคผล สำหรับการสำเร็จนั้นใครจะพยากรณ์ไม่ได้ ถ้าทำถูกอาจจะบรรลุมรรคผลได้โดยฉับพลัน มาตอนนี้ท่านบอกว่าท่านเริ่มสงสัยตัวเอง ท่านทั้งหลายที่รับฟังแล้วก็ดูปฏิปทาของท่านด้วยนะ ผมพูดยกย่องท่าน แต่ตัวท่านไม่ได้ยกย่องตัวท่านเองเลย ท่านว่าเราก็เริ่มสงสัยตัวเองว่าภาพที่เห็นนั้นก็ดี ฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ ที่เห็นก็ดี เสียงที่ได้สดับเป็นพระพุทธฎีกาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี นี่เป็นความจริงหรือว่าอารมณ์จิตของเราจะเลื่อนลอยไป มันจะเกิดอุปทาน จำให้ดีนะ ท่านรักษาคำว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ไว้ได้อย่างจริงจัง ไม่ยอมเชื่อตัวเองง่ายๆ จึงได้เข้าอภิญญาผลสมาบัติ ถามท่านมหาโมคคัลลานะ ท่านตอบว่า นี่เธอ ฉัพพรรณรังสีที่เธอเห็นนั่นก็ดี พระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นก็ดี เสียงที่ได้สดับมาแล้วก็ดี ไม่ใช่อารมณ์เลื่อยลอย ไม่ใช่ความฝัน เธอได้บรรลุจริงๆ เธอนี่ขี้สงสัยจริงๆ

    ในบันทึกของท่านได้เรียนตอบว่า ไม่ใช่สงสัย ทั้งนี้ก็เพราะองค์สมเด็จพระจอมไตรได้ตรัสไว้ว่าจงพยายามกล่าวโทษโจทก์ความผิดตนเองไว้เสมอ ถ้าขืนหลงเชื่อง่ายๆ ก็ตั้งแต่สมัยได้พระโสดาบันถึงภาพคน ๒ คนแสดงในคราวนั้นว่าเราเสียท่าพระอรหันต์เสียแล้ว เจอพระอรหันต์เล่นงานเสียแล้ว นี่ส่งมืดให้เล่มหนึ่งแล้วเขาถือเล่มหนึ่งยุให้ฟันกัน เวลานั้นเมื่อบอกเขาว่าไม่สู้ เขาบอกว่าเวลานี้เขาโดนพระอรหันต์เล่นงานเข้าแล้ว ตอนนั้นถ้าจิตคิดว่าตอนเป็นพระอรหันต์ก็จะยับยั้งอยู่แค่นั้น ความดีก็จะเข้าไม่ถึง อาศัยที่กระผมไม่ไว้ใจตัวเองอย่างนี้แหละขอรับจึงไม่ยอมเชื่อใจแม้แต่ตัวเอง

    พระมหาโมคคัลลาน์ท่านก็ยิ้ม ว่าดีแล้ว ถูกแล้ว นิสสัมมะ กรณัง เสยโย ท่านว่าอย่างนั้น ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำดีกว่า นี่เราใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงเชื่อดีกว่า เธอทำถูกแล้วทำไป มีอะไรสงสัยถามฉันได้ ฉันพร้อมที่จะบอกให้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบหมายการงานนี้มาให้ฉันกับท่านมหากัจจายนะมาควบคุมเธอ

    เป็นอันว่าท่านไม่ได้ฝัน ท่านบรรลุจริงๆ ท่านบันทึกบอกว่าตอนนั้นท่านถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระอรหันต์ที่หนีภัยไหม สมเด็จพระจอมไตรทรงมีพระพุทธฎีกาว่า เมื่อหลบควรจะหลบก็หลบ เมื่อหลบไม่ทันก็ไม่สู้ การเจริญอภิญญาผลสมาบัติจงทำให้มากเพราะเป็นกำลังสำคัญ

    ตอนนี้ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็อย่าท้อใจ หากว่าท่านไม่ได้อภิญญาผลสมาบัติก็จงใช้อารมณ์จิตคิดเป็นสมาธิให้มาก อารมณ์ใดก็ตามผมสอนไปหลายแบบ กรรมฐาน ๔๐ แบบ มหาสติปัฏฐานสูตร มโนมยิทธิ แบบใดแบบหนึ่งที่อารมณ์จิตของท่านทรงดี เลือกตามชอบใจ อย่าฟังเสียงผม ผมว่าอะไรดีก็เรื่องของผม ท่านพอใจจุดไหนที่เป็นกำลังใหญ่สำหรับท่าน เข้าง่ายทรงง่ายทรงได้นานทำอย่างนั้น ตามอัธยาศัยของท่าน ไม่จำเป็นว่าผมว่าควรเป็นอย่างนั้นก็ต้องอย่างนั้น ผมไม่บังคับท่าน ขอให้ท่านทำได้ คือให้จิตว่างจิตพ้นจากนิวรณ์ได้ผมพอใจทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตพอใจในกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่สามารถสังหารนิวรณ์ได้ สังหารสังโยชน์ได้ ผมพอใจทั้งหมด เพราะชื่อว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตมีผลเหมือนกันหมด

    ต่อไปท่านกล่าวว่าวันนี้ตอนเช้า เห็นไหมว่าไม่มีเวลาว่างสำหรับท่านเลยตอนเช้าท่านเข้าอภิญญาผลสมาบัติหนัก ได้ผลเป็นพิเศษ เวลาค่ำเอนกายลงนอนเจริญวิปัสสนาญาณต่อ อย่าลืมนะไม่ใช่ท่านว่าง แขกมีประจำวัน ล้วนแต่เป็นแขกสาวๆ มากกว่าแขกแก่ แล้วแขกอีกพวกก็เป็นศัตรู พวกที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิปทาไม่เหมือนกัน เขาเคี่ยวเข็ญให้ทำตามเขา ท่านก็เฉย ถึงอย่างไรก็ดี อารมณ์ท่านก็ไม่ทิ้งอภิญญาผลสมาบัติ นับตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกว่าจะหลับใหม่ ทรงไว้ตามกำลังที่จะพึงทรงได้ ถ้าคุยกันก็อุปจารสมาธิหรือปฐมฌาน ถ้าไม่คุยกับใครก็โน่น สมาบัติสี่หรือสมาบัติแปด ส่วนมากก็จะสมาบัติแปดจนอิ่มแล้วก็มาสมาบัติสี่ ท่านกล่าวว่าเมื่อตอนเช้าวันนี้ เข้าอภิญญาผลสมาบัติได้ผลเป็นพิเศษ ตอนค่ำเอนตัวเจริญวิปัสสนาญาณต่อ ได้พบพระใหญ่ท่านยิ้ม คำว่าพระใหญ่นี่ก็คือพระพุทธเจ้า คือมีพระรูปพระโฉมใหญ่มาก

    เวลาก็หมดแล้ว พูดต่อไปไม่ได้เสียแล้ว ต้องย้อนกันใหม่เสียแล้วในเทปตอนหน้า ทั้งนี้เพราะเวลาหมดเสียแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็ขอท่านพระโยคาวจรทั้งหลายทรงกำลังใจตามอัธยาศัยของท่าน เท่าที่จะเห็นว่าอะไรดีที่สุด แล้วก็อยู่ในอิริยาบถทั้งสี่ นั่ง นอน เดิน หรือยืน อย่างใดอย่างหนึ่งจนกว่าจะเห็นว่าเวลานั้นควรที่ท่านพัก เวลาพักนอนก็เจริญไปด้วยให้หลับไป
     
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๒๔.วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๖


    จุดที่เว้นไว้นั้นตอนนั้น มันเข้ามานิดเดียวเท่านั้นในคาสเซ็ทก่อน แต่ความจริงในการศึกษาปฏิปทาปฏิบัติ กระผมอยากจะขอร้องท่านทั้งหลายว่า ขอได้โปรดให้ทำเต็มความสามารถ คือความสามารถมีเท่าไรทำเท่านั้น เวลาที่ท่านปฏิบัติการงานอยู่ สำหรับท่านทั้งหลายนี่ผมขอชม พระของเราปีนี้ดีมาก ผมขอชมเป็นกรณีพิเศษ แต่ความจริงทุกปีก็ดี แต่มันก็มีดีจอมปลอมก็มี ดีจริงๆ ก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสงฆ์มีคนเสนอขอซื้ออย่างนั้นซื้ออย่างนี้ แต่เวลาทำเวลาใช้ก็มาทิ้งมาขว้าง ไม่มีคนเก็บรักษา แต่ปีนี้ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ผมขอชมเชยเป็นพิเศษ มีทั้งช่าง มีทั้งคนแนะนำว่าควรจะทำโน่นควรจะทำนั่น ควรจะป้องกันอย่างนั้นป้องกันอย่างนี้ นี่ผมถือว่าเป็นโชคของผมจริงๆ มีคนมีความรู้มีคนมีความละเอียดลออ รักของ รักพระพุทธศาสนา ถ้าในเมื่อมีข่าวว่าจะมีอันตรายในเขตพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายก็พร้อมพลีชีพเพื่อพระศาสนา ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย อยู่เวร อยู่ยามให้ความปลอดภัยแก่สมบัติของพระศาสนา ผมปลื้มใจมาก พูดตามส่วนจริงๆ ผมปลื้มใจมาก ผมขอให้พระปีนี้ควรจะเป็นตัวอย่างของพระปีต่อๆ ไป

    แล้วบุคคลทั้งหลายที่ยังมีกำลังใจไม่เท่าท่านทั้งหลายที่ทำความดี ทำงานที่เป็นสาธารณประโยชน์เพื่อรักษาทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาก็ดี แล้วทำใจให้เข้าถึงอารมณ์ ละความโลภ ละความโกรธ ละยศฐาบรรดาศักดิ์ ละความโลภโมโทสัน ละความหลง นี่เป็นจุดสำคัญที่สุด เพราะการที่บวชเข้ามานี่ต้องมีจุดใดจุดหนึ่งเป็นความมุ่งหมาย ขอประทานอภัยที่จะกล่าวถึงตัวกระผมสักนิดหนึ่ง ว่าเมื่อผมจะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาก็มีอาชีพประจำ แล้วก็อาชีพนั้นผมว่าผมตัดไปเลย ถ้าหากว่าผมจะพึงสึกไปใหม่ จะตายเพราะไม่มีอาชีพกินก็ยอม ในเมื่อเป็นมนุษย์คำว่าไม่สามารถจะต้องไม่มี อารมณ์ผมตั้งไว้ ๒ จุด ก็คือ ถ้าผมรักผู้หญิง อยากจะแต่งงานกับเขา ผมจะสึกทันที ไม่ให้ผ้ากาสาวพัสตร์หม่นหมองเพราะว่าเอาผ้ากาสาวพัสตร์มาห่มตัวแล้วก็ยังรักผู้หญิง ประการที่สอง ความร่ำรวยในทรัพย์สินจะต้องไม่มีในผม ถ้าผมอยากจะร่ำรวยก็ต้องไม่บวช ผมไม่บวชผมมีเงินเดือนกิน มันจะมาก มันจะน้อยก็ช่างในเมื่อเราหากิน เมื่อบวชแล้วจะสะสมทรัพย์สินไว้ทำม

    ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาเฉพาะเรื่องคาสเซ็ทนี่ ผมยังขาดเงินที่เป็นทุนจริงๆ อีกแสนบาทด้วยกัน คำว่าแสนบาทนี่ไม่ใช่ว่าขาดอะไร คือว่าทุนที่มันยังไม่เข้ามาน่ะ คาสเซ็ทเครื่องทั้งหมดที่ทำการถ่ายทอด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ราคาสี่หมื่นบาทเศษ แล้วที่พระองค์พระราชทานนี่ทรงสั่งจากต่างประเทศโดยตรง ผมทราบว่าราคาในประเทศไทยนี่แสนสองหมื่นสองพันเศษ แล้วก็พระราชทานทรัพย์มาเพื่อค่าคาสเซ็ทเป็นธรรมทานอีกห้าหมื่นบาทเศษ นี่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมทานรวมแล้ว ๙ หมื่นบาทเศษ โดยเฉพาะธรรมทานของพระองค์ในด้านนี้ ถ้ารวมงานฝังลูกนิมิตด้วย ของพระองค์ตกแสนแล้ว ความจริงเงินแสนบาทเศษนี่ ถ้าผมเอาเงินเข้ามาเจือจุนไม่ได้ก็ต้องถือว่าเป็นเงินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพราะเขาบอกว่าขายได้กำไร กำไรขายน่ะได้จริง แต่ทว่าถ้าไม่ขายผมเข็ด เป็นหนังสือคนไม่ชอบอ่าน แต่ชอบขอแล้วก็เอาไปวางทิ้ง พอหนังสือขาดคราว หนังสือก็ขึ้นราคา หนังสือที่เอาไปวางทิ้งน่าเสียดายถ้าคนไม่ได้อ่าน นี่ถ้าแจก เท่าไรก็ไม่พอแจก ก็ขายในราคาขาดทุนอยู่แล้ว

    ถ้าจะไปดูต้นฉบับที่กองสุมอยู่ภายในนี้ราคาแสนเศษขายไม่ได้เพราะเป็นแม่บท ส่วนที่เสียเขารับไปฟังแล้วเอามาคืนต้องเปลี่ยนให้ใหม่ อันนี้จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ทำการสำรองไว้ อะไรก็ตามของมันต้องเสีย เขาฟังไม่รู้เรื่องมาคืน อันนี้ขอท่านทั้งหลายโปรดทราบว่า ถ้าฟังไม่ชัด เบาเกินไป หรือว่าฟังแล้วติดไม่หมด เอามาคืนเปลี่ยนใหม่ได้ทันที ไม่ต้องเกรงใจ เงินส่วนนี้ผมถือว่าผมทำเพื่อธรรมทาน ไม่ได้มุ่งมรรคผมใดๆ จะเอาเงินเข้ากระเป๋าร่ำรวยไม่ได้ปรารถนา ถ้าหากว่าไม่ปรารถนาทำไมถึงขาย บอกว่าเข็ด ถ้าทำแจกเดี๋ยวก็หมด แต่เอาไปวางทิ้งกัน คนไทยเรานี่ถ้าไม่เสียสตางค์กันบ้างไม่รักของ แต่เนื้อแท้จริงๆ ก็มีหลายท่านที่ขาดไปนี่ ผมจะเล่าให้ฟัง บางทีเขาสั่งซื้อมา ๑๐ คาสเซ็ท นึกเอ คาสเซ็ทอันต่อไปนี่ก็ดีเขาคงไม่ทราบผมก็แถมต่อ แถมต่อนี่ผมก็ต้องเอาสตางค์ไปซื้อจากเจ้าหน้าที่การบัญชีผู้ควบคุมแล้วก็ส่งไปให้ แต่เงินจำนวนนี้ผมไม่ได้ลงบัญชี ถือว่าเป็นเรื่องของผม เงินญาติโยมให้ผมมานี่ ผมส่งไปก็เป็นธรรมทาน บัญชีขาดเท่าไรก็ผสมของผมลงไปเท่านั้น เป็นอันว่าเวลานี้ หนึ่งแสนบาทเศษ ที่เงินยังขาดอยู่ยังไม่เข้ามา คงจะไม่เข้ามาเต็มเพราะผมแจกเรื่อย ใครจดหมายมาพูดว่ามีศรัทธามาก พูดเรื่องไม่พอใจในความเป็นอยู่ที่มีความวุ่นวายของโลก ผมให้ทันที แต่ไม่ใช่ให้หมดนะ ขืนให้หมดผมก็แย่ เพราะต้องเอาสตางค์ไปซื้อคาสเซ็ทจากเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง ท่านคุมบัญชีกันอยู่ ก็ถ้าไม่มีสตางค์จ่ายผมก็ให้ ไม่มีผมก็ไม่ให้ เพราะรู้แล้วว่าเงินส่วนตัวผมเป็นเงินของวัดไปหมด

    ท่านบอกว่าวันนี้ตอนเช้าเข้าอภิญญาสมาบัติหนัก ได้ผลเป็นพิเศษ เวลาค่ำเมื่อเอนตัวลงนอนเจริญวิปัสสนาต่อ ได้พบพระใหญ่ก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์ท่านใหญ่มาก เห็นจะเป็นพระพุทธกัสสป ท่านบันทึกว่าอย่างนั้น ว่าท่านสังเกตว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระวรกายก็ใหญ่ แต่เวลาพระพุทธกัสสปเสด็จท่านรู้สึกว่าใหญ่กว่ามาก ท่านทรงยิ้ม ตอนนี้ท่านเขียนว่าเรานั่งเจริญนะ นี่สังเกตว่าท่านทำทั้งนั่ง ทั้งนอน ทั้งยืน ทั้งเดิน จงกรมก็เอา จงกรมมากเมื่อยขาก็ยืนเฉยๆ บ้าง นอนบ้าง นั่งบ้าง ว่าดะ อิริยาบถสี่ไม่คลาด จิตทรงสมาบัติตลอดวัน ท่านบอกว่ามีไม้ติดหินหลายอัน คือไม้ติดอยู่ที่หินหลายอัน แล้วพระใหญ่มาถึงท่านก็หยิบไม้ไปหมด แต่ทว่าตอนท้ายเหลืออันเดียว หยิบไม้ไปเกือบหมด เหลืออยู่อันเดียว เป็นอันเข้าใจกัน ท่านจึงกราบทูลถามพระใหญ่ท่านว่า ทำไมไม่เอาไปให้หมดขอรับ พระใหญ่ท่านก็บอกว่าอวิชชายังไม่เอาไป จะทิ้งไว้ที่นี่ก่อน มันยังหนา มันยังหนัก ยังไม่เกลี้ยงไม่เกลา ยังไม่สะอาด อวิชชานี่ฉันยังไม่เอาไป จะทิ้งไว้ที่นี่ จะเอาไปเมื่อถึงเวลาสมควร มาตีใบ้กันแล้ว

    นี่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธกัสสป นี่ใครไม่เชื่อก็ทำให้ได้อภิญญาสี่นะ แล้วก็ใช้วิปัสสนาญาณให้สมควร มาช่วยกันแก้ไข มาช่วยกันค้นคว้าพระพุทธศาสนาด้วยตำราดี ผมเห็นชอบด้วย แต่ค้นคว้าตำรานี่ มาช่วยกันค้นคว้าในด้านปฏิบัติด้วย เพราะด้านตำราผมเคยฟังมาแล้ว เพียงแค่ปฐมฌานบอกว่า มีวิตก วิจาร สุข ปีติ เอกัคคตา ทุติยฌาน ตัดวิตกวิจาร พอเจริญสมาธิจิตเข้าถึงฌานที่สอง ทุติยฌาน คำภาวนาหายไป ไม่รู้เรื่องว่าเป็นอะไร ให้การค้นคว้าด้วยตำราก็ควรค้นคว้าด้วยการปฏิบัติด้วย เวลานี้ยังไม่สายเกินไป คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีครบ อย่าคิดว่ามรรคผลจะไม่มีนะสมัยนี้ ถ้าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสมบูรณ์เพียงใดต้องถือว่ามรรคผลยังสมบูรณ์อยู่เพียงนั้น เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่ยังสมบูรณ์อยู่ มีดอกผลมาก สวย กลิ่นหอม ผลมีรสหวานเต็มไปหมด แต่เราไม่สามารถดึงเอาผลไม้มาใช้ได้ แล้วเราจะหาว่าต้นไม้นั้นไม่มีดอกมีผลไม้ได้ ต้องถือว่าเราไม่สามารถดีกว่า สำหรับท่านผู้เฒ่าท่านเป็นนักกินักทัดทรงดอกไม้ ในเมื่อท่านเห็นต้นไม้ใหญ่สาขาใหญ่ ท่านก็พยายามทุกอย่างที่จะกินผลที่สุกที่สุดคืออรหันต์ให้ได้

    นี่ย้อนไปอีกนิดว่า เมื่อพระใหญ่ท่านมาหยิบไม้ไป ๙ อัน อีกอันหนึ่งไม่เอาไป ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร ท่านหมายเหตุไว้ว่า ตอนนั่งทำสมาธิอยู่นั้น รำพึงถึงกิเลสในสังโยชน์สิบประการ ท่านว่าท่านทำได้ดูเหมือนว่าทุกอย่างเหลือแต่อวิชชา สงสัยไหม เหลืออวิชชา มันต้องมีสิ่งสังเกตว่า ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติสามารถพิสูจน์จิตของตนเองได้ว่าใสขนาดไหน มันสะอาดแล้วหรือยัง ถ้าเป็นฌานโลกีย์ ขณะนี้จิตตั้งอยู่ฌานไหนขนาดไหน แต่ด้านวิปัสสนาญาณเขาต้องดูกันอีกจุดหนึ่งคือจุดเดียวกันแต่ว่าสีของจิตมันจะไม่เหมือนกัน นี่ว่าตามแบบฉบับของท่าน ท่านว่าอวิชชาตัวนี้ติดอยู่นิดหนึ่งเพราะว่า ๙ อย่างหมดเหลือก็อย่างเดียว แล้วไปตัดกันตรงไหน ก็ไปตัดกันตรงสักกายทิฏฐิจุดแรก

    ตามบันทึกของท่านลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๖ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๙ เช้าวันนี้มีเวลาเจริญสมณธรรมเพียง ๑ ชั่วโมง ดูซิ ท่านไม่มีเวลาว่างจริงๆ เวลาเจริญสมณธรรมจริงๆ ก็หมายความว่าเวลาว่างจากแขก จากคน ว่างนิดหนึ่งท่านไม่ปล่อยให้ว่าง เดินไปบิณฑบาตก็ใคร่ครวญพิจารณา เวลาฉันอาหารก็พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นไตรลักษณญาณ ฉันอาหารเสร็จ ทำวัตรก็ใช้อารมณ์พระกรรมฐานคือสมาธิทรงตัว ปากก็ว่าไป ใจไปตามเรื่องในด้านวิปัสสนาญาณหลังจากฉันอาหารแล้วมานั่งได้เพียง ๑ ชั่วโมง นั่งหรือนอนไม่ทราบเพราะว่าองค์นี้ท่านไม่ถือว่านั่งหรือนอนต่างกัน อิริยาบถต้องการแบบไหนท่านทำแบบนั้น ท่านบอกว่าท่านทำได้ ๑ ชั่วโมง เพราะมีแขกมาหา ขณะเจริญจิตเข้าสู่พระนิพพาน เหลืออวิชชานิดเดียวจิตเข้าสู่พระนิพพาน

    ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็จำให้ดีนะ ท่านก็ยกอารมณ์ของจิตเข้าไปสู่พระนิพพานเลย ไม่ใช่จิตนึกถึงพระนิพพาน ถ้าจิตเข้าถึงพระนิพพานอารมณ์มันสบายแจ่มใส มีอารมณ์เป็นสุขเบาๆ เยือกเย็นทุกอย่าง สบายจริงๆ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอารมณ์หนัก จิตมันเป็นสุข ฉะนั้นท่านจึงชอบไปพักที่นิพพานมาก

    ท่านบอกขณะที่เข้าไปถึงพระนิพพาน พบท่านพระมหากัจจายนะอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาแล้วสักครู่หนึ่งก็พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าๆ ทรงประทานโอวาทเป็นปุจฉาแบบถามตอบ นี่ตอนนี้ท่านเว้นไว้ นี่ผมคิดว่าเป็นการตอบถามเรื่องขันธ์ห้ากระมัง ฉันทะกับราคะ ผมไม่เดานะตอนนี้ เพราะว่าท่านทิ้งไว้ ผมไม่เดา ไปย้อนดูคำสอนเก่าที่พระโมคคัลลานะสอนก็แล้วกันว่าไม่มีการยึดอะไรว่ามันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ความหิวเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การป่วยไข้ไม่สบายเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เราด่าเธอๆ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ถ้าใจเกาะ อะไรพวกนี้เป็นต้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การจะต้องตายเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะจากสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ว่าไป ท่านถามแล้วตอบนี่ผมเดา ท่านไม่ได้เขียนไว้ ผมเข้าใจว่าเป็นทำนองนั้น

    ท่านถามตอบการยึดถือขันธ์ห้าสักครู่หนึ่ง เห็นพระเดินมา ๑๐ องค์เศษ องค์หน้าเดินห่าง องค์รองก็เดินห่าง คือเดินไม่ติดกัน นอกนั้นเดินชิดกัน ฟังให้ดีนะว่าพระเดินมา ๑๐ องค์เศษ องค์หน้าเดินห่างไปหน่อย องค์หลังก็เว้นห่างพอสมควร นอกจากนั้นเดินชิดกันเข้ามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านผู้เฒ่าท่านบอกว่าท่านถามท่านอาจารย์ใหญ่คือท่านมหากัจจายนะว่าพระที่มานี่เป็นใคร ท่านมหากัจจายนะท่านบอกว่าองค์หน้านั่นก็ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก วัดระฆัง เป็นพระอรหันต์ พระองค์นี้ผมก็สงสัยมานานมากว่าอารมณ์ของท่านว่องไวจริงๆ อารมณ์จิตเรานะแว่บไม่ได้ ท่านจับได้ทุกที ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดว่าท่านเป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอรหันต์ แต่ผมสงสัยอะไรก็ตามถ้ามีอะไรเกิดขึ้น

    อย่างคราวหนึ่ง ร้อยเอกไพบูลย์ บวชอยู่กับผม เธอเจริญกรรมฐานวันแรกเห็นคน ๔ คน ใหญ่ๆ มายืนใกล้ๆ วันต่อมาก็เห็นทุกวันก็เกิดความกลัว ก็บอกว่านั่นเป็นเทวดาที่ท้าวมหาราชส่งมาอารักขา เธอก็ไม่มั่นใจ เมื่อเธอไม่มั่นใจผมก็บอกว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้หาดอกไม้ธูปเทียนไปหาหลวงพ่อวัดระฆังเถอะ ตอนกลางคืนก็ไปหา พอส่งดอกไม้ธูปเทียนให้พระ ร้อยเอกไพบูลย์กราบท่าน ๓ ครั้ง เงยหน้าขึ้นมา ท่านบอกว่าจะไปกลัวเขาทำไมคน ๔ คนนั่น เขาเป็นเทวดามาอารักขาเธอ ต่อนี้ไปฉันรับเป็นอาจารย์ของเธอแล้ว เธอไม่ต้องกลัวนะ ท่านไม่ได้หลับหูหลับตาอะไรเลย พูดตรงทุกอย่าง ก็สงสัยว่าพระองค์นี้มีจริยาคล้ายพระอรหันต์มาแล้ว ผมจึงได้ยอมเคารพเรียกว่าจะให้กราบตรงเท้า บนเท้า ฝ่าเท้า ผมเอากับท่านทั้งนั้น ท่านดีจริงๆ ไม่ถือเนื้อถือตัว แต่ผมก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้านี่จะได้นั่งพยากรณ์ว่าใครเป็นพระอรหันต์ ผมก็ถวายความเคารพท่านเหมือนกับถวายความเคารพพระอรหันต์เท่านั้น แต่ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่ผมไม่ทราบ แต่นี่ท่านผู้เฒ่าบอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกว่าพระมหากัจจายนะบอก ก็เป็นเรื่องของท่าน ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ผมก็จัดว่ามีบุญมากเพราะผมกราบท่านมาหลายหน ท่านนั่งอยู่ผมยังไปกราบที่ตักท่านเลย พอกราบที่ตักครั้งแรกท่านเอามือกดหัวกับตักลูบหัวเป่าเพี้ยง บอกว่า เอา ตกลง ท่านว่าอย่างนี้หลายครั้ง ผมนึกนะผมเห็นท่านมีความว่องไวในอารมณ์ ผมนึกว่าธรรมใดที่พระคุณเจ้ารูปนี่ได้แล้วขอให้เห็นให้ได้ธรรมนั้นด้วยในชาตินี้โดยฉับพลัน แต่ผมนึกนะ ผมไม่ได้ออกปากพูด พอไปถึงผมก็กราบท่านที่ตักทุกที ท่านก็จับเป่าพรวดบอกว่าตกลงๆ เป็นอันว่าท่านคงจะรู้ใจผม ผมคิด เรื่องใจนึกนี่มีเรื่องเล่ากันเยอะ ถ้าเล่าถึงเรื่ององค์นี้ละเยอะ ไปดูในเรื่องจริงอิงนิทานเล่มหนึ่งหรือเล่มสองไม่ทราบ มีเรื่องของท่านอยู่ ท่านกล่าวบอกว่าองค์นี้ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกวัดระฆัง พระมหากัจจายะท่านบอกว่าอย่างนั้น


    ท่านก็บอกกับท่านผู้เฒ่าต่อไปว่าองค์รองลงไปอยู่จังหวัดปราจีน เป็นพระสกิทาคามี มิน่าเล่าจึงได้เดินไม่ชิดกันต้องห่าง บารมีเท่ากัน นอกจากนั้นเป็นพระโสดาบันทั้งหมด พระที่เป็นพระโสดาบันนี่ประมาณ ๑๑ องค์ ท่านบันทึกไว้อย่างนั้น องค์รองอยู่จังหวัดปราจีน แต่ทั้ง ๑๑ องค์นั่นคงจะไม่ใช่ปราจีนทั้งหมด ท่านกล่าวแต่ว่าท่านเจ้าคุณถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเราคำว่าเราหมายถึงท่านผู้เฒ่า ว่าพระองค์นี้มานั่งอยู่อย่างไรและเป็นอะไร แต่ความจริงท่านเป็นอรหันต์ท่านคงรู้ แต่คงจะถามเพื่ออะไรอย่างหนึ่ง เพื่อผลของเราที่พึงได้กระมัง นี่ท่านหมายเหตุไว้ ท่านบอกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า พระองค์นี้ไม่ช้าจะได้พระอรหันต์เพราะเดิมปรารถนาพุทธภูมิ เมื่อกลับจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิอย่างนี้ย่อมได้ผลฉับพลัน แหมฉับพลันนี่ล่อกันเหงือกแดงเลย จะใช้เวลาถึง ๒ เดือนได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ต่อมาท่านบอกว่าเราคำนึงถึงอารมณ์ที่ได้พบเห็นและก็ได้ฟังคิดว่าอาจจะเป็นอารมณ์เลื่อยลอย เอาอีกแล้วท่านบอกว่าท่านไม่เชื่อตัวท่านจริงๆ เลย เห็นอย่างนั้น พบอย่างนั้น ทั้งๆ อยู่ในอภิญญาสมาบัติ และจิตอารมณ์ตัวนั้นไปนั่งอยู่ในนิพพานเห็นแล้วได้ยินแล้วท่านก็คิดว่าอาจจะเป็นความฝันเลื่อยลอยไปก็ได้ จึงได้เข้าไปหาพระโมคคัลลานะ กราบท่านถามท่านว่า อารมณ์ที่มีความรู้สึกอย่างนี้เป็นของเลื่อนลอยหรือว่าเป็นความจริง พระโมคคัลลาน์ท่านก็บอกว่า นี่คุณสงสัยกันทั้งชาติแต่ความจริงมันหลายชาติมาแล้วกระมัง ตั้งหน้าตั้งตาสงสัยกันอยู่เรื่อย ก็คุณนั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า เวลานั้นคุณใช้อารมณ์อภิญญาผลสมาบัติขึ้นมา สภาพทุกอย่างมันไม่มีสภาพเลื่อนลอย ทำไมจึงต้องถามกันอย่างนี้อีก แต่ไม่เป็นไร สงสัยอะไรก็ถามได้เพื่อความมั่นใจ ท่านบอกว่าเรื่องที่คุณเห็นคุณได้ยินนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย เป็นจริงตามนั้น


    บันทึกของท่านต่อไปว่า ตอนกลางคืนตั้งใจจะทำให้ดี แต่เกิดความง่วง และมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน เกือบจะเสียเรื่อง แต่แล้วก็ข่มเสียได้ ปล่อยให้หลับไป เป็นอันว่า ท่านทั้งหลาย ตอนนี้เป็นอันว่าท่านผู้เฒ่าหลับไปแล้ว เราจะไปปลุกท่านได้อย่างไร พระแก่พระเฒ่าเดี๋ยวจะบาป ที่เราไม่ปลุกให้ตื่นเพราะว่าเหลือเวลาอีกนาทีเศษๆ เรามาย้ำกันสักนิดดีไหม เพราะพูดอะไรมันก็ไม่จบ ว่าปฏิปทาของท่านผู้เฒ่านี่ ผมอยากจะขอร้องท่าน อย่าลืมนะผมพูดซ้ำบ่อยๆ ว่า นับตั้งแต่คาสเซ็ท ๑๑ เป็นต้นมาควรจะเปิดฟังให้มาก แต่ความจริงพระอะไรที่มีปฏิปทาปฏิบัติอย่างเอาจริง ตอนหลังนี่ของท่านผู้เฒ่านี่ผมถวาย หรือญาติโยมพุทธบริษัทภายในนี่ก็เหมือนกัน ภายในที่อยู่ในวัดนะ ถ้านอกวัดไม่แจก ถ้าตั้งใจเอาจริงผมจะให้พระถ่ายทอดแจกให้ นับตั้งแต่ ๑๑ เป็นต้นไป จะกี่คาสเซ็ทก็ตาม เพื่อเป็นปฏิปทาในการปฏิบัติ แต่ว่าใครที่ไม่ปฏิบัติจริง ไม่เอาไปฟังจริง เห็นบอกว่าให้ อยากจะได้กับเขาบ้าง มาเอาไปแล้วเอาไปทิ้ง อันนี้เป็นโทษเพราะทำลายของสงฆ์เพราะทรัพย์สินนี่เป็นของสงฆ์ ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงออกทุนใหญ่ จัดว่าเป็นธรรมทานก็จริง ต้องเอามาใช้ให้เป็นธรรมจริงๆ ท่านให้ทำเป็นทาน ไม่ใช่ท่านให้ผลาญเงินของท่านไปนั่งเก็บไว้เฉยๆ แล้วทำอะไรไม่ได้ แล้วอย่าลืมนะ ทุกท่านที่รับไปแล้วจะต้องปฏิบัติให้ได้ตามนั้น อย่างน้อยที่สุดก็มีลีลาคล้ายคลึงกัน คือไม่ติดในความโลภ ไม่ติดในความรัก ไม่ติดในความโกรธ ไม่ติดในความหลง จึงจะถือว่าเป็นผู้รับการให้โดยแท้จริง ถ้าจิตยังติดอยู่เอาไปเก็บไว้เฉยๆ ตามเขาละก็ลงนรกก็ตามใจเถอะ

    สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอทุกท่านปฏิบัติตามอัธยาศัย พูดมาไม่ได้ เวลาเกินไปเสียแล้ว สวัสดี
     
  7. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๒๕.วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๐๖ จิตของเธอเหลือส่วนอวิชชาเท่านั้น นอกนั้นผ่องใสบริสุทธิ์แล้ว ท่านบอกว่าให้พิจารณาว่า ทุกสิ่งไม่มีอะไรเป็นของจริง เป็นของสมมติทั้งหมด ทุกสิ่งเป็นของไม่มีอะไรจริง เป็นของสมมติทั้งหมด ไม่มีอะไรแน่นอน ย่อมสลายตัวไปหมด ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ต้องพลัดพรากจากกันหมด ...แล้วท่านโมคคัลลาน์ก็อธิบายว่า ให้วิจัยถึงเหตุ


    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย วันนี้ก็ปรารภเรื่องปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าต่อไป ท่านบันทึกของท่านไว้ว่า เช้าวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๐๖ วันนี้แจ่มใสมาก เริ่มตั้งแต่เวลา ๙ น. เข้าพระกรรมฐานธรรมดาจนถึงที่สุด แล้วก็ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ เข้าอภิญญาผลสมาบัติพบท่านโมคคัลลาน์ อย่าลืมนะอภิญญาผลสมาบัติ อภิญญาพบใครก็ได้ พบท่านพระโมคคัลลาน์ แล้วก็ท่านพระมหากัจจายนะ ท่านอาจารย์ใหญ่จากฝ่ายวิปัสสนาทั้งสอง แล้วก็พบหลวงพ่อปาน ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงให้โอวาทว่า จิตของเธอเหลือส่วนอวิชชาเท่านั้น นอกนั้นผ่องใสบริสุทธิ์แล้ว ระหว่างนี้เป็นโคตรภูของอรหัตมรรค เข้าใจไหม

    คำว่าโคตรภูของอรหัตมรรคก็หมายความว่า ท่านผู้ใดที่ได้อนาคามีแล้ว กำลังปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอรหัตมรรค ในช่วงนี้เขาเรียกว่าโคตรภูของอรหัตมรรค เพราะช่วงนั้นเป็นการก้าวไปสู่โคตรภูของอรหัตมรรค ทีนี้คำว่าโคตรภูของอรหัตมรรคจริงๆ นั้น จะต้องเหลือตัวอวิชชาตัวเดียว อวิชชาตัวนี้ก็แนบนิ่งสนิทเกือบจะไม่มีแรง กำลังจะก้าวเข้าไปสู่ทางของอรหัตมรรค เหมือนกับที่คนหนึ่งยืนอยู่คร่อมลำรางเล็กๆ ขานี้ยังอยู่ฝั่งนี้ ขาโน้นเหยียบฝั่งโน้น ยังไม่ทันยกขา เป็นอันว่าเป็นโคตรภูของอรหัตมรรคยกเมื่อไรเป็นอรหัตมรรคเมื่อนั้น

    ท่านบอกว่าให้พิจารณาว่า ทุกสิ่งไม่มีอะไรเป็นของจริง เป็นของสมมติทั้งหมด นี่ความจริงแล้วก็ควรจะประมวลความจำไว้ให้ดีนะ ว่าแต่ละชั้นท่านสอนอะไรแบบไหน ท่านบอกว่าให้พิจารณาว่า ทุกสิ่งเป็นของไม่มีอะไรจริง เป็นของสมมติทั้งหมด ไม่มีอะไรแน่นอน ย่อมสลายตัวไปหมด ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ต้องพลัดพรากจากกันหมด ฟังแล้วก็คิดดูว่าร่างกายของเราเป็น นาย ก. นาย ข. ชื่อของเราเป็น นาย ก. นาย ข. มันก็สมมติ ร่างกายของเราเป็นชายเป็นหญิงเราก็สมมติมันมา ร่างกายมันทรงขึ้นมาแล้วมันก็พัง ไม่มีอะไรจะเหลือ สลายตัวหมด แล้วทุกสิ่งร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ทรัพย์สินทั้งหลายในโลกก็ดี มันไม่ใช่ที่พึ่งของเรา ในที่สุดเราคือจิต ก็ต้องพลัดพรากจากมันไป

    นี่ผมก็ขยายมานิด เป็นพระพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรนะ ฟังกันไว้ให้ดีแล้วก็จำ หากว่าท่านทำได้นะ ทำได้ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นมา ผมว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงสละทุนทรัพย์เพื่อเป็นธรรมทานก็ดี ท่านจะดีใจมาก เงินที่ผมขาดไปแสนหนึ่ง ผมเป็นคนไม่มีสตางค์ เงินส่วนนี้เป็นเงินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเงินของสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นส่วนใหญ่ แล้วเป็นเงินของบรรดาญาติโยมทั้งหลายบริจาคกันมามากบ้างน้อยบ้าง บริจาคกันเสมอ ผมจึงมีทุนขาด ไม่งั้นผมไม่มีทุนจะขาดผมก็เลิกไปนานแล้ว ไม่รู้จะเอาสตางค์ที่ไหนไปซื้อคาสเซ็ท คาสเซ็ทที่ซื้อมาก็ดีบ้างชั่วบ้างมันก็เป็นของธรรมดา ดีไม่ดีก็เสียไปเสียแล้ว ส่วนที่ตีราคาเป็นอัตราออกไปมันก็น่าจะเป็นกำไร ถ้าคิดแรงงานแล้วมันก็ไม่มีกำไร แล้วยังแถมมีคาสเซ็ทที่ต้องมานอนรอรับอยู่เป็นแม่บท

    อันนี้ราคาอันหนึ่งอย่างเลว ๘๐ บาทหรือร้อยบาท ผมว่าไม่อย่างนั้นก็ไม่ไหว แล้วสิ่งเหล่านี้นอนอยู่ข้างในนี่เกินกว่าสองแสนบาท ที่บอกว่าขาดๆ ก็ขาดส่วนที่เป็นคาสเซ็ทออกไปน่ะ แสนเศษๆ และของใช้ทั้งหมดอีกแสนกว่า นี่ไม่ใช่ทุนผม เป็นทุนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ แล้วก็ทุนของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ท่านถือเป็นธรรมทาน ต้องการให้พวกเรามีความดีได้ดีกัน ก็พยายามทุกอย่าง คำสอนใดที่เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนท่านผู้เฒ่า คำสอนอะไรที่พระโมคคัลลาน์พระมหากัจจายนะ และพระอื่นที่เป็นอรหันต์มาสอนท่านผู้เฒ่า จำเอาไว้ เพราะเป็นของหายาก ผมนี่ ถ้าผมได้ตำราท่านผู้เฒ่ามา ความจริงผมได้มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เพิ่งมาค้นได้เมื่อเดือนกันยายนหรืออะไรนี่แหละ ตอนนี้เองเท่านั้น บังเอิญไปเจอะเข้า ถ้าผมได้มาตั้งแต่หนุ่มๆ นะ บางทีผมอาจจะเป็นอะไรไปสักนิดหนึ่งก็ได้ อย่างเลวที่สุดอาจจะเป็นพระทรงฌานหรืออาจจะไปห้อยๆ ท้ายๆ โสดาปัตติมรรคนี่ อาจจะเป็นได้เหมือนกัน แต่ที่น่าเสียดายที่ผมได้เมื่อแก่มากเสียแล้ว แก่มากแล้วก็ยังไม่ยอม จะฟันมันไปจนกว่าชีวิตจะทรงตัว จะได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น

    มาฟังของท่านต่อไป แล้วท่านโมคคัลลาน์ก็อธิบายว่า ให้วิจัยถึงเหตุ นี่ฟังของท่านให้ดีนะ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวอย่างนั้น ท่านสอนเพิ่มเติม ให้วิจัยถึงเหตุ เมื่อเห็นของที่เป็นรูป ให้วิจัยว่า รูปนั้นมาจากอะไร รูปตัวนี้มันมาจากอะไร รูปที่มีชีวิตมันมาจากธาตุสี่ ธาตุสี่มันทำอย่างไร มันถึงจะเกิด เรามานั่งนึกว่าธาตุสี่นี่มันทรงตัวไหม มันทรงตัวมันเป็นนิจจังหรืออนิจจัง เป็นทุกขังหรือเปล่า ถ้าเราไปยุ่งกับมัน ร่างกายเป็นธาตุสี่สำหรับเรา แล้วมันก็เป็นอนัตตา ธาตุสี่มันสะอาดหรือสกปรก นี่ผมขยายนะ ท่านบอกว่าคน คนมาจากอะไร แล้วมันเป็นคนอยู่ตลอดไปไหม ธาตุสี่มันทรงตัวตลอดไหม คนมาจากอะไร คนมาจากคน แล้วคนที่จะเกิดเป็นคนได้ก็มาจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มันมาจากความชั่ว การที่จะเกิดเป็นคนได้เพราะอาศัยเราคบความชั่ว กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม จึงมาเกิดเป็นคน แล้วก็อย่าไปสนใจกับความเป็นคนต่อไปเพื่อประโยชน์อะไร ทำลายความชั่วมันเสียซิ ท่านบอกว่าบ้านเรือนโรงมาจากอะไร ท่านบอกว่าบ้านเรือนโรงมาจากวัตถุธาตุ เป็นชิ้นเป็นอันมาประกอบกันเข้าเป็นบ้านเรือนโรง

    คนก็เหมือนกัน มาจากอาการ ๓๒ ธาตุ ๔ นี่ก็เหมือนกันมันก็มาจากส่วนที่สิ่งที่ผสมกัน แล้วก็พิจารณาหาสภาพความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันไม่มีอะไรทรงตัว มันแตกสลายหมด ฟังแล้วก็คิด คิดแล้วก็ทำ ฟังให้มากคิดให้มาก อันนี้แจก ผมบอกแล้วตั้งแต่คาสเซ็ทที่ ๑๑ จนกระทั่งจบ แจกๆ คนภายใน ไม่แจกคนภายนอก แจกคนภายนอกผมพังแน่ คนภายในที่รับฟังอยู่ ปัจจุบันนี่แจก แจกแล้วต้องเอาไปฟัง เอาไปหมกตกนรกทำลายของสงฆ์ เอาของสงฆ์ไปเพื่อทำลายตกนรก ผมไม่อนุญาตให้ ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้หลอกลวงสงฆ์ ถ้าเอาไปฟังแล้วเอาไปปฏิบัติพร้อมแจก ไม่ใช่มาจากไหนๆ ก็แจก จะแจกกันรุ่นเดียวเท่านี้นะ ไม่มีทุน ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทหรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถท่านพระราชทานมาอีก บอกว่าแจกแก่คนภายในได้ผมจะแจกต่อ ถ้ามิฉะนั้นแล้วผมขอแจกแต่รุ่นที่ปฏิบัติอยู่ปัจจุบันเท่านั้น แล้วก็ว่ากันไป ท่านบอกว่าให้พิจารณาหาสภาพตามความเป็นจริงว่ามันไม่มีอะไรทรงตัว มันแตกสลายหมด

    อ้า ย้อนถึงพระโมคคัลลาน์ใหม่นะ ย้อนไปย้อนมาแบบนี้เบื่อก็เบื่อไป ท่านบอกว่าจงพิจารณาวิจัยให้เห็น เมื่อเห็นของที่เป็นรูป ให้วิจัยว่ารูปนั้นมาจากอะไร คนมาจากอะไร บ้านเรือนโรงมาจากอะไร แล้วพิจารณาหาสภาพของความเป็นจริงว่ามันต้องแตกสลายหมด แล้วว่าพระอรหัตผลจะมาก่อนเวลาที่คิดไว้ แถมตีใบ้เสียด้วยว่า คิดไว้ว่ากี่วันก็ไม่ทราบ จุดนั้นบอกว่าภายใน ๖๐ วันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่วันที่เท่าไรผมจำไม่ได้ เปิดย้อนไปฟังก็แล้วกัน ท่านบอกว่าอรหัตผลจะมาก่อนเวลาที่คิดเอาไว้ ออกครึ้มๆ ท่านบอกว่าอย่างนั้น พอฟังขึ้นมาก็ครึ้มๆ พอครึ้มปับก็เข้าใจทันทีว่า เอ๊ะ นี่เราบ้าแล้วหรือ เราได้แล้วหรือนี่ ท่านว่าไอ้เจ้าเม่งเอ๋ย ท่านด่าตัวท่าน เอ็งฟังแต่คำพูด เอ็งคิดว่าเอ็งเป็นพระอรหัตผลแล้วหรือ เอ็งนี้มันเลวจัด เจ้าเม่งจงรู้จักตัวว่าเอ็งนี่มีสภาพเพียงกิ้งก่าเท่านั้น จงอย่าคิดทะเยอทะยานคิดว่าเจ้าเป็นช้าง แหม ท่านด่าตัวของท่านดี จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นช้างสารตัวที่เข้าสู่สงคราม เจ้ายังมีอารมณ์หวั่นไหวคือเจ้ายังแพ้อำนาจของอวิชชาอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงบอกเอง เจ้าจำได้ไหมเจ้าเม่ง ถ้าจำไม่ได้จงฟังข้า ข้าพูดให้เอ็งฟังว่าเจ้ายังแพ้อำนาจของอวิชชาอยู่ ถ้าเอ็งอยากจะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูห้ำหั่นอวิชชาให้แหลกรานไป ท่านบอกว่าตอนนี้ท่านตัดสินใจตายให้มันตาย ถ้าจะตายอยู่กับความเป็นอรหัตมรรคหรือความเป็นพระอนาคามีก็พร้อมแล้ว แค่นี้พร้อม ต่อนี้สู้ยันตาย เอาให้หนัก สู้มานานแล้ว ยอมตายมานานแล้ว เมื่อก่อนนี้ยอมตายขั้นฌานสมาบัติ

    ต่อมาองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงกล่าวว่า เราเป็นพระอริยเจ้า ฉะนั้นขั้นอรหัตผลเราจะสู้ยันตาย จะไม่ยอมคลายอารมณ์จิต พอคิดเท่านี้ฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการปรากฏขึ้น เป็นองค์สมเด็จพระบรมสุคต มาไวมาก ทีแรกแต่ก่อนเห็นฉัพพรรณรังสี ประเดี๋ยวหนึ่งพระองค์ก็ปรากฏ นี่เห็นแสงนิดหนึ่งพระองค์ก็ปรากฏทันทีบอกว่า สัมภเกสีเอ๋ย ลูก ผลข้างหน้าได้แน่ ตัดสินใจอย่างนั้นไม่ถูกนะลูกนะ ห้าวหาญเกินไป เร่งรัดเกินไป ผลจะยับยั้งอยู่แค่นี้ เจ้าจะไม่ได้อรหัตผล แล้วกัน ท่านบอกว่า แล้วกัน เราจะบ้าเอาจริงๆ เสียหน่อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยับยั้ง ต้องเชื่อ พระองค์พูดอะไรมาทั้งหมดต้องเชื่อทุกอย่าง ก็กราบถวายนมัสการขอประทานอภัยให้กับพระราชา แต่ท่านก็เป็นธรรมราชา ไม่เห็นผิดนี่ ก็พูดคนเดียวมันจะผิดอะไร ไม่มีใครเขาขัดคอ เขาก็ว่าไป ผมก็ว่าตามวิสัยของผมนี่ ท่านผู้เฒ่ามีใจเป็นอรหัตมรรค นี่คงมีใจไม่เหมือนผมหรอก ของผมนี่น่ากลัวคนบวมๆ เป่งๆ น่ากลัวจะเน่า เอา เน่าก็เน่าไป เขาว่าเป็นพระการเมือง การเมืองก็การเมือง การบ้านก็การบ้าน การวัดก็การวัด เป็นมันเสียทุกประการดีกว่า การเมืองเราไม่สมัครผู้แทน เราไม่ได้สมัครรัฐมนตรี


    เราต้องการให้เมืองของเราเป็นสุข เอา นี่จะออกนอกลู่นอนทาง เราทำทุกอย่างเป็นสาธารณประโยชน์ ทำให้คนเข้าใจกัน ใครจะหาว่าการเมืองการบ้านการวัดก็ช่างหัวชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ใช่ปากของเรา เขาว่าอย่างไรปากเราไม่ได้เมื่อยไปด้วย เขาพูดว่าเรา นินทาเรา ปากเขาเมื่อยเอง ช่างเขาปล่อยเขา เขาชมก็ยกประโยชน์ให้เขา เขานินทาก็ยกประโยชน์ให้เขา เรากินข้าวแล้วก็นอน นอนทำไม จะเอาตัวไปนอน เอาใจนอน ในใจนอนทำไม ในใจนอนหลับหูหลับตาไม่มองหน้ากิเลส เอาอย่างท่านผู้เฒ่าเล่นโก้ๆ สบายๆ อย่างพวกท่านทั้งหลายนี้ เป็นนายทหารก็ดีๆ หลายองค์บวชปับลาออก แน่ะ คนหนุ่มคนแน่นแบบนี้นี่เขาอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ได้เงินเดือนกัน นี่มีเงินเดือนแล้ว มียศแล้ว ลาออกขอบวชตลอดชีวิต มีหลายองค์เหมือนกันที่ได้ปริญญา ไม่ทำงานทำการ บางองค์สำเร็จมาจากต่างประเทศ ได้ปริญญา ไม่ทำงาน มาบวช บอกว่าจะบวชตลอดชีวิต ท่านมีงานดีเงินดี อ้าวมาบวชเสียแล้ว ทิ้งงานทิ้งเงิน ทำกิจพระศาสนา พวกท่านนี่เข้ามาเยอะแล้ว ตัดความโลภ ตัดยศฐาบรรดาศักดิ์ ตัดความโลภ เข้ามาเยอะแล้ว ดีกว่าผม ท่านมีความรู้สึกตัวท่านดีกว่าผมๆ ยังอีโหร่งโขร่งเขร่ง ดีเมื่อไรก็ไม่รู้ ตามใจ คนแก่นะ อย่าไปสนใจคนแก่


    นี่ท่านเห็นไหมล่ะ ท่านผู้เฒ่าท่านบอกว่าพอคิดเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านมาเลย ทรงบอกว่านี่ฟังให้ดีนะ ท่านเรียกตัวท่านเองว่าเจ้าเม่ง ครึ้มๆ น่ากลัวรูปร่างหน้าตาท่านคงจะใหญ่โตนะ ล่อไอ้เม่งเข้าเลย ท่านบอกว่ากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลง ขอประทานอภัยแล้ว ก็บอกว่า ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยผลที่ได้แล้วน่ากลัวจะเสื่อม เพราะพอจิตคิดอย่างนั้นก็คิดทันทีว่า เอ นี่เราจะเสื่อมเสียแล้วหรือ นี่ท่านเป็นโคตรภูอรหัตมรรคหน่อยเดียว นี่เสื่อมเสียแล้วกระมัง จิตจึงคิดแบบนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ท่านบอกว่า อนาคามีที่ได้มาแล้วไม่เสื่อม อย่าลืมว่าตอนนี้ยังไม่เป็นอรหัตมรรค เพียงแต่ท่านบอกว่าอีกไม่นาน พระโมคคัลลาน์บอกว่าอรหัตผลจะได้ก่อนเวลาที่คิดไว้ เท่านี้จิตคิดจะทุ่มเทใหญ่ ความจริงยังไม่ได้อรหัตมรรค เป็นเพียงโคตรภู อันนี้ท่านจึงตรัสว่าอนาคามีที่ได้แล้วไม่เสื่อม

    ท่านหมายเหตุบอกว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนจะได้อะไรมักจะมีเหตุให้จิตฟุ้งซ่านเสมอ ยิ่งเมื่ออยู่ในโคตรภูของพระโสดาบัน ในขณะนั้นพระในวัดหลายองค์หาเรื่องหาราวกับเจ้าอาวาสแล้วมันก็มาพาดพิงถึงท่านด้วย หาว่าท่านเข้ากับเจ้าอาวาสสร้างความเดือนร้อน อยากจะตีรันฟันแทง อยากจะท้าทายตลอดเวลา ท่านก็ทำเฉย บางทีท่านเดินไปข้างหน้า มันด่าบ้างอะไรบ้างท่านก็ยิ้มๆ บอกว่าด่ากันตามสบายๆ ด่ากันทำไมเล่า ผมไม่ได้ด่าคุณเลยนี่ คุณยังมาด่าผมทำไม ท่านก็บอกว่าท่านก็อดทนได้ ถึงสัตตักขัตตุงปรมะ เป็นอันว่าท่านได้พระโสดาบันเบื้องต้น พอถึงโคตรภูท่านก็อดทนมาถึงพระโสดาบันขั้นเล็กที่สุดคือสัตตักขัตตุง

    แล้วท่านก็บอกว่า ต่อมาเมื่อใกล้พรรษานี้ ก่อนจะเข้าพรรษานั้น จะได้เอกพีชีทั้งสองคราวจิตก็ฟุ้งซ่านอีก เมื่อจะเข้าพระโสดาละเอียดจิตก็ฟุ้งซ่าน มีเรื่องฟุ้งซ่านอีก เมื่อจะเข้าอนาคามีจิตก็ฟุ้งซ่านอีก นี่เข้าโคตรภูอรหัตมรรคก็ฟุ้งซ่านอีก ทีนี้ใหญ่เลย น่าคิดว่าก่อนที่จะต้องได้ดีคงจะต้องยุ่งก่อนเสียแล้ว นี่จำให้ดีนะ ตัวท่านฟังให้ดี ถ้ามีอะไรมากระทบก็ต้องนึกถึงปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ท่านบอกว่าก่อนของดีจะเข้ามามันจะต้องมีอะไรเข้ามาตัด คำว่าฟุ้งซ่านนี่อย่านึกว่า ฟุ้งซ่านเฉยๆ อยู่ดีๆ ถูกชาวบ้านเขาด่า เขาว่าเขาเสียดสีเขากลั่นแกล้ง จิปาถะ ไม่ใช่นึกฟุ้งซ่านอย่างเดียวนะ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะ ถ้าเรามีบ้านหลังเล็ก ถ้าเราจะปลูกบ้านหลังใหญ่ เราก็ต้องสรรหาสัมภาระให้มากกว่า ต้องหาเงินหาทอง นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องยุ่งนี่ ผมขอถือมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ท่านผู้เฒ่าพูดนะ ผม

    นี่สำหรับท่านผู้เฒ่า ท่านบอกว่าคืนนี้ตอนหัวค่ำทำได้เล็กน้อยก็ต้องนอนเพราะเพลียจัด ว่ากลางวันมาหนัก ฟัดมาเสียทั้งวัน ฟัด ล่อหนัก ห้ำหั่นกันให้แหลก ดีไม่ดีกิเลสไม่แหลก คนเกือบแหลก ลงเพลียนอนแผ่หลาสองสลึง แบบนี้มันก็ล่อกันแหลกแล้วกิเลสยังไม่แหลก เพลียแล้ว เมื่อนอนก็เห็นพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จก็หายเพลีย อารมณ์เพลียหายไปหมด ทำกิจต่อไปตีหนึ่ง ไม่ต้องนอนกันเลย มาถึงตีหนึ่งทำต่อไปอีก คือเวลาตีหนึ่งอารมณ์ตกคืออารมณ์จิตถอนจากฌาน ลืมตาดูนาฬิกา ตีหนึ่งแล้วหรือนี่ กว่าจะถึงเช้าอีกไม่เท่าไรแล้วนี่ รวบรวมกำลังใจใหม่เข้าอภิญญาผลสมาบัติ วันนั้นทั้งวันเป็นอันว่าไม่ต้องเลิกกัน ปฏิปทานี้ท่านถ้ายังไม่ถึงก็ยั้งๆ ไว้ก่อนนะ ท่านบอกว่าท่านยอมตายแล้ว ตอนนี้จะตายให้มันตายไป ในเมื่อวันทั้งวันมันไม่ได้หยุด จิตมันเป็นสุข กลางคืนพอจะพักเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียอีก แล้วสบายใจ มันอิ่มเอิบ ทำถึงตีหนึ่ง จิตตกๆ ลืมตา จิตตกคือจิตต้องการจะพัก เมื่อเห็นว่าเวลามาถึงนี่ เมื่อเห็นว่าทำมาถึงนี่ได้ต้องทำสว่างได้ ตัดสินใจเข้าอภิญญาผลสมาบัติ ทำจิตยกจิตปับ นู่นไปป๋ออยู่ที่นิพพาน ปล่อยให้ร่างกายมันหลับไปตามสบาย มองดูขันธ์ห้าเอ๋ยเจ้าจงหลับไปตามสบาย ถ้าเอ็งเพลียมากเอ็งจะตายเอ็งจะพังก็เชิญ ถ้าเธอพังเมื่อไร ฉันจะอยู่บนนี้ ฉันจะไม่ลงไป ถ้าตอนเช้าเธอยังไม่พัง ฉันจะลงไปทำกิจอื่นคือหาอาหารมาเลี้ยงเธอ เธอกับฉันมันคนละคนเสียแล้วนะจ๊ะ ฉันอาศัยเธอชั่วคราวเท่านั้น ต่อแต่นี้ไปเธอกับฉันตัดญาติขาดมิตรกัน เธอยังมีลมปราณอยู่เพียงใด ฉันก็ยังทะนุถนอมเธอตามกำลังเพื่อใช้ประโยชน์ เมื่อเธอสิ้นลมปราณเมื่อไร ฉันมาอยู่ที่ตรงนี้นะจ๊ะ ที่นี่เขาเรียกกันว่านิพพาน ท่านเขียนว่าอย่างนี้

    ท่านคุยกับขันธ์ห้าๆ มันก็ไม่คุยด้วย พูดไปเหมือนกับคนบ้า พูดไปมันก็เฉย ขันธ์ห้ามันก็หลับปี๋ มาอีกที ท่านมองดูเวลา นี่เวลาฟ้าสาง มันเช้ามืดแล้ว ลงเถอะ พอเช้ามืดลงมา เมื่อลงมาแล้วร่างกายก็ตื่นขึ้น ใจลงมาก็ตื่นขึ้น เห็นพื้นชั้นบนเป็นดาดฟ้าสูง ตอนนั้นท่านไปจุดหนึ่งในแดนนิพพานนะ อย่าลืม เห็นพื้นชั้นบนเป็นดาดฟ้าสูง เราขึ้นไปไม่ถึง ที่ท่านขึ้นไปถึงเป็นจุดของท่าน คือท่านขึ้นไปที่ของท่าน เป็นวิมานที่อยู่ของท่าน วิมานนี่ไปได้ นี่ผมอธิบายอย่างนี้ท่านจะหาว่ายุ่ง ความจริงไม่ยุ่งนะ ความจริงท่านเขียนของท่านมาเอง ว่าวิมานของท่านมี ท่านไปที่วิมานของท่าน เข้าไปได้แต่ว่าสีมันแจ่มใสไม่เต็มที่ แต่เข้าไปได้ ท่านว่าเห็นดาดฟ้าสูง เราขึ้นไม่ถึง เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนมองมาข้างล่าง เห็นพระพักตร์ของท่านๆ บอกว่า ไม่เป็นไร ฉันจะช่วย ท่านจะช่วยเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์จะช่วย

    ความจริงท่านบอกว่าตอนนั้นท่านเห็น พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ท่านมหากัจจายนะ พระอนุรุทธ์ แล้วก็ท่านอาจารย์ใหญ่ บอกว่าฉันจะช่วยๆ แต่สมเด็จท่านเสด็จประทับยืนข้างบน ท่านทรงบอกว่าองค์นี้ไม่ได้มาจากพุทธวิสัยต้องฉันช่วยเอง คนอื่นช่วยไม่ได้ แล้วท่านก็แบมือออกมา แล้วก็กวนมียานิดหนึ่งส่งให้ฉัน ท่านบอกว่าเรารับเข้ามาฉันแต่ว่าบ้วนมาเสียก้อนหนึ่งแล้วคืนเขาไปเสียบ้าง เสร็จแล้วมารู้สึกตัวว่าขึ้นไปอยู่ชั้นบนได้ แต่ว่าขึ้นไปอยู่ด้านนอกมีห้องฝาโปร่ง เอาละท่านทั้งหลาย ไปไหนไม่ไหวแล้ว หมดเวลาแล้ว วันนี้ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอบรรดาท่านทั้งหลายตั้งใจทำตามกิจของท่านทั้งหลายตามอัธยาศัยที่เห็นสมควร สวัสดี
     
  8. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ๒๖.นี่เธอ หลังจากนี้ไปจงเข้าอภิญญาผลสมาบัติทุกๆ วันนะ จะให้ผลแก่บรรดาประชาชนในปัจจุบันนี้ ในฐานะที่เรามีชีวิตอยู่เพราะอาศัยชาวบ้านเลี้ยง วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๖ เจ้าเป็นพระขีณาสพตั้งแต่เวลา ๔ น. วันนี้


    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับเรื่องท่านผู้เฒ่าก็ฟังกันต่อไป ปฏิปทาใดที่ท่านทั้งหลายเห็นว่าสมควรกับจริยาของท่านก็สอนกันมาแล้ว สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องคิดเรื่องพิจารณา เป็นอันว่าขอย้อนนิดหนึ่ง

    ท่านกล่าวว่า คืนนี้ตอนหัวค่ำทำได้เล็กน้อยแล้วก็เพลีย เมื่อเพลียแล้วก็นอน นอนแล้วก็จิตจับสมาธิ เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จ จิตก็มีกำลัง เข้าอภิญญาผลสมาบัติถึงเวลาตีหนึ่ง มองดูเวลามันเหลือเวลาอีกหน่อยเดียวก็เช้า ทำต่อไป พอเช้ามืด ทำไปเห็นพื้นชั้นบนเป็นดาดฟ้าสูงเราขึ้นไปไม่ถึง ตอนนั้นปรากฏว่าเห็นพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลาน์ พระมหากัจจายนะ แล้วก็เห็นจะเป็นพระอนุรุทธ์อีกองค์ เขียนไม่ชัด ชะโงกหน้ามาบอกว่าฉันจะช่วย แต่ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนประทับให้เห็นพระพักตร์ บอกว่าองค์นี้เธอช่วยไม่ได้ ฉันต้องช่วยเอง เพราะมาจากพุทธวิสัย คือปรารถนาพุทธภูมิ แล้วก็ทรงเอามือกวนยาแล้วก็ส่งให้

    ตามบันทึกของท่าน ท่านกล่าวว่าเราบ้วนไปเสียก้อนหนึ่งแล้วก็กลืนเข้าไปบ้าง เสร็จแล้วก็มีความรู้สึกว่าขึ้นไปยืนอยู่ชั้นบน ไปยืนได้แค่ด้านนอก เข้าข้างในไม่ได้ ข้างในมีฝาโปร่งกั้น แลเห็นพระสงฆ์ทั้งหลายเยอะ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในนั้น ขณะนั้นเราเปล่งอุทานว่า สุขัง สุขัง สุปฏิฐิตัง จำให้ดีนะ ว่าสุขัง สุขัง สุปฏิฐิตัง และจะเข้าไปในห้องที่กั้นนั้น เห็นท่านพระสารีบุตรยืนอยู่หน้าประตู ท่านบอกว่ายังเข้าไม่ได้ ถามท่านว่าที่เราเข้า ที่กระผมยืนอยู่ตรงนี้เขาเรียกว่าอะไรขอรับ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า การที่ยืนอยู่ตรงนี้เขาเรียกว่าเป็นเขตของอรหัตมรรค ในห้องนั้นเป็นเขตของอรหัตผล กราบเรียนท่านว่าเมื่อไรจะเข้าได้ขอรับ ท่านบอกว่าเห็นจะเป็นวันแรม ๑ ค่ำกระมัง ฟังคำท่านให้ดีนะท่านใช้เวลาไม่จำกัด เพราะดีไม่ดีเร่งรัดจะถึงเร็วกว่า เห็นจะเป็นเวลาแรมหนึ่งค่ำกระมังจะเข้าได้ เพราะว่าสมเด็จช่วยจึงเร็ว ถ้าหากว่าท่านไม่ช่วยเร่งรัด ก็จะต้องถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๗ อีก ๑ ปี

    คำว่าช่วยในที่นี้ ฟังไว้ให้ดีนะว่าพุทธศาสนาของเราช่วยกันด้วยวิธียกไม่ได้ คือช่วยก็ช่วยแนะนำชี้จุดที่ใกล้จิตโดยเฉพาะ แล้วก็ช่วยแนะนำว่า นี่มากเกินไป หย่อนมาเสียหน่อย หย่อนไปหน่อย เร่งเข้าอีกนิด นี่ เขาช่วยกันแบบนี้ ช่วยแนะนำ ถ้าเราไม่เอาถ่านก็ไม่มีทาง อย่างพวกเรานี่ที่อยู่กันมากๆ นี่ ฟังกันทุกวันแล้วไม่เอาถ่านก็โน่นละ อเวจีมหานรกโลกันต์นั่นแหละ ฟังกันวันละ ๔ ครั้งถ้ายังไม่ได้อะไรเลยมันจะไปได้ดีอย่างไร ที่เขาไม่ฟังเขายังได้ดี อย่างท่านผู้เฒ่านี่ท่านไม่มีโอกาสจะรับฟังแบบนี้ ถ้ามีตำราแบบนี้ท่านคงไปนานกว่านี้แล้ว เป็นอันว่าให้จำคำว่าช่วยไว้ คำว่าช่วยนี่ไม่ใช่ช่วยยกยอปอปั้น ช่วยแนะช่วยนำช่วยทำให้ถูกให้ต้อง ท่านกล่าวแต่ว่าท่านช่วยให้เร็วเข้า

    แล้วเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็พระอริยสงฆ์หลายรูป ถือสายสิญจน์สลับกัน นั่งอยู่ข้างหน้า ท่านสวดว่า โคตมเกหิ อย่างนี้เป็นต้น ในบทวิรูปักเข ฟังท่านแล้วก็ท่านว่า การสวดจะมีผลอะไร ท่านบอกว่าการสวดจะได้ให้คนเขาเมตตาเรา ท่านบอกว่าท่าน ถามท่านพระสารีบุตรว่าจะเอาไปใช้อะไร ใช้อะไรได้บ้าง ก็เราไปเสกของให้คนกินให้คนใช้ เช่นแป้ง สีผึ้ง น้ำมนต์ เป็นต้น ได้ทุกอย่าง เสกอะไรก็ได้ อธิษฐานให้คนมีเมตตากัน ให้มีความรักกัน จะมีประโยชน์ให้โลกมีสันติสุขยิ่งขึ้น มีแต่ความสุข ถ้าคนรักกันทั้งหมดแล้วโลกมันก็มีความสุข นี่หมายความว่าคนประเภทนี้ถ้าได้ของไปใช้กันนะ ถ้าไม่ได้ไปก็ไม่มี ต้องรู้ ไม่ใช่นั่งเสกอยู่ตรงนี้โลกก็มีความสุขหมด ถ้าจะให้ดีนะ กลางคืนทุกคืนนั่งทำสมาธิ เอาคาถาบทนี้ทำสมาธิเสียทุกคืนดีไหม อธิษฐานใจให้โลกทั้งโลกนี้จงรักกัน สงสารกัน เมตตากัน ปราศจากการเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ขอให้ทุกคนมีความเห็นใจเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โลกจะได้มีความสุข อันนี้น่ากลัวจะดีนะ พวกเราควรจะซ้อมกันเสียนะ ใช้เวลาสักเวลาหนึ่งทำเป็นสมาธิจิตขึ้นโคตมเกหิน่ะในบทวิรูปักเข ถึงเมตตัง เมตตัง ถึงอปาเกหิ อิเม เมตตัง เมตตัง ใช้อารมณ์แค่เมตตัง เมตตังก็แล้วกันนะ ไปดูในเจ็ดตำนาน ท่านกล่าวว่าโลกจะมีความสุขขึ้น

    จึงทูลถามต่อไปว่า เมื่อไรกระผมจะเสร็จกิจเสียทีขอรับ
    นี่เอาเรื่อยนะ ท่านบอกว่าวันแรมเก้าค่ำจะได้เสร็จกิจ ท่านคงขี้เกียจกระมัง ถามบ่อยๆ ไม่จำเสียที ท่านก็สงสัยเรื่อย ท่านบอกว่า คำภาวนาท่านอาจารย์ใหญ่ให้ใช้ นิพพานสุขัง ท่านบอกว่าคำภาวนานี่ควรใช้คำว่า นิพพานสุขัง ความจริงคาถาบทนี้ที่อาตมาเคยบอกใครว่า นิพพานังก็แล้วกัน เห็นว่าอารมณ์ยังอ่อนอยู่ ให้จิตยึดพระนิพพาน แล้วต่อมาหลวงปู่ชุ่มท่านบอกว่าต่อสุขังเสียตัวซิ บอกคนนั้นว่านิพพานสุขัง ถ้าหลวงปู่ชุ่มท่านบอกว่าอย่างนี้ หลวงปู่ชุ่มท่านเป็นอะไร อันนี้ผมก็ไม่วิจารณ์ นี่ท่านอาจารย์ใหญ่บอกให้ภาวนาว่านิพพานสุขังนะ เห็นไหมการปฏิบัตินี่มันไต่เต้าตามกันมันหนีกันไม่พ้น คือยังไงๆ ถ้าหาแล้วจะเข้าจุดนี้เหมือนกัน ประตูที่เข้ามันมีประตูเดียว จะมาจากกี่ทางกี่ช่องก็ตาม ประตูใหญ่เข้าข้างในมีประตูเดียว ถ้าใครไม่ผ่านประตูนั้นแล้วจะถึงจุดนั้นได้อย่างไร วันนี้จบกันเสียทีนะ

    ท่านบอกว่าตรงนี้ให้ใช้คำว่านิพพานสุขัง หรือว่าถ้าจะเปล่งอุทานว่า สุขัง สุขัง สุปฏิฐิตัง ก็สุดแล้วแต่อารมณ์ แต่ยามปกติให้ใช้ว่านิพพานสุขัง ตอน สุพัง สัง สุปฏิฐิตัง เป็นคำอุทานที่เปล่งออกมาโดยไม่ได้นึก ยามปกติให้ภาวนาว่า นิพพานสุขัง ให้เป็นอารมณ์ จิตพยายามนึกตัดอารมณ์อย่างอื่นตามที่กล่าวมา ท่านกล่าวในบันทึกว่า พอจบแล้วเราก็ต่อสู้กับอวิชชาสู้กัน อวิชชา คือท่านเห็นจิตของท่านรู้สึกว่าอวิชชาเบาไปไม่แข็งแรง ดูใจวันนี้คือดูจิตของท่านเอง ดูจิตนี่ใช้ญาณดูนะ ถ้าเราไม่มีญาณก็ดูอารมณ์ใช้ได้เหมือนกัน ว่าอารมณ์มันเกาะอะไร ว่าวันนี้เหลือจุดมัวอยู่นิดเดียว นอกจากนั้นรัศมีหมดแล้ว เหลือจุดมัวอยู่นิดหนึ่งบางๆ ท่านบันทึกบอกว่าดีใจจริงๆ นอนไม่หลับเลยตลอดคืน จะไปหลับอะไรเล่า เช้ามืด ก็จากหัวค่ำจะหลับสตาร์ทปรืดขึ้นไป ลงมาตีหนึ่งแล้ว สตาร์ทขึ้นไปอีก เช้ามืดลงมา มันจะหลับอะไร ทั้งคืนทั้งวันนี่ล่อ ๒๔ ช.ม. เลย แต่การทำแบบนี้เป็นเรื่องของผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ อย่าตามกันนะ เพราะว่าพอท่านทิ้งขันธ์ๆ มันก็ได้พัก อารมณ์ของท่านไม่ได้พักแต่ท่านอยู่เป็นสุข ท่านพักจากกิเลสเป็นสุขกว่าพักธรรมดา นี่ขันธ์ห้ามันได้พัก ขันธ์ห้ามันหลับ เมื่ออทิสมานกายออกไปแล้วมันก็ทิ้งขันธ์ห้าไว้มันก็พักของมัน ความเหน็ดเหนื่อยจึงไม่มี

    ท่านกล่าวว่า ในระหว่างนั้น เห็นชาวบ้านวิ่งกันไปวิ่งกันมา วิ่งทวนฝนน้ำเชี่ยว มันเป็นภาพนิมิต ชาวบ้านวิ่งทวนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ท่านมองเห็นหญิงแก่ทำท่าจะตาย บอกแกว่าโยมอย่าวิ่งทวนกระแสน้ำสิ มันลำบาก วิ่งตามน้ำสบาย แกก็ไม่ยอมเชื่อ แกก็ทวนกระแสน้ำกันไป ท่านว่าเรานึกว่าภาพที่เห็นนี้เป็นภาพของบุคคลที่เป็นมิจฉาทิษฐิ จะตักเตือนสั่งสอนอย่างไรก็ไม่รู้จักเอา แล้วท่านก็เข้าอภิญญาผลสมาบัติไว้ทุกๆ วัน แล้วต่อนี้ไปพระองค์ตรัสว่า ผมอ่านข้ามไปนิดหนึ่ง แล้วท่านบอกว่า ตอนนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า นี่เธอ หลังจากนี้ไปจงเข้าอภิญญาผลสมาบัติทุกๆ วันนะ จะให้ผลแก่บรรดาประชาชนในปัจจุบันนี้ ในฐานะที่เรามีชีวิตอยู่เพราะอาศัยชาวบ้านเลี้ยง วัดวาอารามที่เราอยู่ผ้าผ่อนท่อนสไบที่เราใช้ ร่างกายที่เราใช้ อาหารที่เรากินเข้าไป ยารักษาโรค เราอาศัยชาวบ้าน จงใช้อภิญญาผลสมาบัติเป็นปกติ ชาวบ้านที่เขาทำบุญด้วยจะมีผลตอบแทนในปัจจุบัน แล้วก็มีผลมาก ท่านบอกว่าท่านน้อมรับคำสั่งขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความปลื้มใจ

    หลังจากนั้นท่านบันทึกต่อไปว่า วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๖ เวลา ๒.๔๕ น. ตื่นจากหลับคราวนี้เห็นจะอานละซิ นอนตื่นมา ๒.๔๕ น. เจริญสมณธรรมไปถึงตีสี่ พระมา คำว่าพระก็หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาแจ้งว่าเจ้าเจริญธรรมให้แจ้ง ถึงไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดไม่โกรธในฐานะที่ควรโกรธ ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ขัดเคืองอย่างนี้ ชื่อว่าได้อริยผลสมบูรณ์แล้ว เจ้าเป็นพระขีณาสพตั้งแต่เวลา ๔ น. วันนี้ (กลางเดือนเก้าพอดี) เห็นไหมเหนื่อยไหมนี่ จำให้ดีนะ ผมชอบจำตอนสรุปนี่ น่ากลัวต้องเขียนติดไว้ที่หน้าผากเสียแล้ว แต่กระจกก็ไม่ได้ส่องเสียด้วย

    ท่านบอกว่าวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๖ เวลา ๒.๔๕ น. ตื่นจากที่นอน เจริญสมณธรรมทันที จนถึงเวลา ๔ น. เป๋ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการ อย่าลืม ได้มาแจ้งว่า

    เจ้าเจริญธรรมให้แจ้งจนถึงไม่รักในฐานะที่ควรรัก เจ้ามีอารมณ์ไม่เกลียดในฐานะที่ควรจะเกลียด เจ้าไม่โกรธในฐานะที่ควรจะโกรธ เจ้าไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรจะขัดเคือง อย่างนี้ชื่อว่าได้อริยผลสมบูรณ์แล้ว

    คำว่าสมบูรณ์นี่ต้องเป็นอรหัตผล

    ฉะนั้นเจ้าจึงชื่อว่าเป็นพระขีณาสพ

    คำว่าขีณาสพ หมายความว่าเป็นผู้มีอาสวะกิเลสอันสิ้นแล้ว คืออรหันต์นั่นเอง

    เจ้าเป็นพระขีณาสพตั้งแต่เวลา ๔ น. วันนี้

    คือกลางเดือนเก้าพอดี ดีใจไหม ทำไม่ยากกระมัง พยายามทำหน่อยนะ ฝืนใจหน่อย

    เราจะไม่รักในฐานะที่ควรรัก รักนี่รักด้วยอำนาจของกิเลสนะ อย่าลืม รักอยากจะได้ใครมาเป็นผัว อยากจะได้ใครมาเป็นเมีย เอากันง่ายๆ นะ รักด้วยเมตตาปรานีนี่ไม่เป็นไร และก็ไม่เกลียด รักนี่นอกจากไม่รักเป็นผัวเป็นเมียแล้ว ไม่รักผูกพันด้วยนะ มีความรักมีความเมตตาในพรหมวิหาร แต่ไม่ผูกพัน เขาจะตายเขาจะป่วยนั่นมันเรื่องของเขา เราให้การเมตตาปรานีเป็นปกติ นี่ผมขอขยาย แล้วมันทำน่าเกลียด เราไม่เกลียด แต่ถ้าทำผิดวินัยเราต้องลงโทษเพื่อให้ทรงความดี ไม่โกรธในฐานะที่ควรจะโกรธ เราไม่โกรธแต่ต้องโทษเพราะเขามีความผิด ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรขัดเคือง แต่เราก็ต้องลงโทษถ้าเขามีความผิดเพื่อรักษาความดีเข้าไว้

    ตอนนี้น่าฟัง ฟังให้ดีนะ

    ไม่รักในฐานะที่ควรจะรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรจะเกลียด ไม่โกรธในฐานะที่ควรจะโกรธ ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรจะขัดเคือง รำคาญไหม ผมว่าไว้อย่างนี้เพื่อให้ท่านทั้งหลายรับฟังไว้ ถ้าทำใจได้อย่างนี้เป็นพระอรหันต์ แล้วประเดี๋ยวพระอรหันต์สั่งลงโทษ ถามว่าโกรธหรือพระพุทธเจ้ายังสั่งลงโทษนี่ พระพุทธเจ้าโกรธไหมล่ะ จำให้ดีน่ะ นี่น่ากลัวท่านจะตัวลอยเลยนะ เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ว่าตี ๔ วันนี้ พอถึงเวลาตีสี่ท่านก็มา หมายความว่าเวลานั้นเอง ตัดความเป็นอรหัตผลได้ตรงนั้น พอจิตเข้าถึงอรหัตผล พระพุทธเจ้าก็เสด็จทันทีนั่นเองรับรอง

    ท่านบันทึกต่อไปว่า วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๐๖ ตอนเช้าติดสงสัยในตน เพราะเรื่องความเป็นขีณาสพ เอาแล้ว นักเลงนักสงสัยมันต้องอย่างนั้น ใครว่าอะไรนี่พระพุทธเจ้าตรัสยังสงสัยตลอดเวลา ก็เอาคนจะสงสัยเสียอย่าง ก็คนไม่ไว้ใจตัว

    ตอนเช้าเวลาตื่นขึ้นมาแต่เช้า ๖ โมงเช้า ยังไม่เช้าตรู่ไปบิณฑบาต กลับมาแล้วก็ปรากฏว่ามีคณะมูลฐานแกก็มาชุมนุมกันว่า คนสันดานเลวแบบนี้มันจะเอาดีได้อย่างไร ทั้งผู้หญิงผู้ชายเชียวนะ มานั่งรุมกันจับกลุ่มกัน เขาพูดกัน เขาไม่ด่าท่านหรอก เขาว่าใครก็ไม่รู้ คนสันดานเลวๆ น่ะเขาสอนแบบใหม่น่ะดีแล้ว แบบนี้วิธีลัดไม่รู้จักเอา ทำเป็นเต่าพันล้านปี คนประเภทนี้จะเอาดีอย่างไร จะทำสำนักเสียด้วย แต่ความจริงคนแบบนี้ควรจะหาทางไล่ไปเสียให้พ้นสำนักนี้ อาจารย์ใหญ่เขาว่า พออาจารย์ใหญ่ว่าลูกน้องก็ผสม ผู้ดีว่าขี้ข้าก็พลอย เขาก็ว่ากันเยอะ ดูซิ บ้าๆ บอๆ ไปเดินอยู่คนเดียวที่ป่าช้าบ้าง ไปอยู่ที่เมรุบ้าง กว่าจะกลับมาก็ดึกๆ ดื่นๆ เด็กสาวๆ ผู้หญิงสาวๆ ก็มาหาทั้งวัน นี่น่ากลัวจะหลงสาวๆ เวลาที่เดินอยู่คนเดียวตอนเย็นกลับมาไม่เป็นไร ไปเดินอยู่เมรุไกลดึกๆ ดื่นๆ นัดใครมาหาบ้างก็ไม่รู้ แล้วกลางวันก็ทำตัวเหมือนพระศาสดา เหมือนกับพระอรหันต์ คนอย่างนี้มันเป็นเชื้อสายของพระเทวทัต ท่านว่าอย่างนั้น ท่านว่ากันแบบสบายๆ เพลินๆ ฟังเพลินสบายใจ

    ตอนนี้ท่านบอกว่าท่านก็นั่งฟังอยู่ฟังเขา เอ นี่เขาด่าเราเราก็รู้นี่นะ ถามใจว่าโกรธไหม ใจมันยิ้ม นี่เขาบ่นส่งเดช นี่เขาจะไปไหนกันนะ เขาจะไปอเวจีนี่นะ แล้วนั่งฟังจิตใจก็สุขสบาย แต่มันรู้ว่าเขาว่าเขาด่า

    แล้วต่อมาวันนั้นก็ปรากฏว่าเทพธิดามาเป็นแถวเชียว สวยๆ แจ๋วๆ มีของสวยๆ ตัวก็แต่งสวย ของมาให้ก็สวยๆ ประดับประดา ของนิดหน่อยๆ ก็แต่งเสียสวยสดงดงาม บางทีของกระดาษที่ตกแต่งมาราคามากกว่าของข้างในเสียอีก มาก็พูดจาปราศรัยดีๆ พูดไพเราะ เป็นจริยาที่ท่านสมัยหนึ่งที่เป็นฆราวาส ถ้าสมัยนั้นพบคนแบบนี้แล้วก็พ้นกันไม่ได้แน่ ดีไม่ดีก็ต้องคลุกคลีกันถึงพักหนึ่ง ถึงแม้จะไม่อยู่ด้วยกันนาน ก็เริ่มมีความสงสัยว่านี่เขาแต่งตัวสีเขียว รู้ แดงก็รู้ว่าแดง ชมพูก็รู้ว่าชมพู สีที่ชอบแต่งมานักสีเขียวอ่อนๆ สีเหลืองอะไรพวกนี้ มาเข้ากับสีเนื้อดูตระการตา

    วันนี้มันมีทั้งสองอย่าง มีทั้งอารมณ์กระทบที่มีเรื่องนินทาว่าร้ายเสียดสี ยั่วความโกรธ มีทั้งอารมณ์แห่งความรัก พอสาวๆ ผ่านไปแล้ว เขาก็ว่านั่นไงล่ะ ทำตัวเป็นศาสดาทำเป็นผู้ดีผู้เดิน สาวๆ มากันเป็นแถวแต่งตัวกันอย่างนี้ เอาของกำนัลมาให้อย่างนี้มันควรจะหลบไปพบกันเวลากลางคืนในป่าช้าหรือในป่าละเมาะใกล้ๆ ทำท่าเป็นเดินจงกรมน่ะไม่ใช่ ไปนัดสาวๆ มาพบกัน ท่านฟังท่านก็ยิ้ม

    แล้วท่านก็สงสัยๆ ว่า นี่มันยังไม่ได้ยินเขาว่าอย่างนี้ ยังรู้ว่าเขานินทาจะเอาสาวๆ มา เขาไม่ได้มาชวนรักหรอก ความจริงเขาก็มาตามอัธยาศัยของเขาเขาก็แต่งตัวสวยๆ ตามแบบฉบับ การที่เอาของมาให้เขาก็ให้ด้วยความปรานี เขาไม่ได้มาชวนรักชวนสึก จริยาวาจาเขาก็เรียบร้อยละมุนละไมน่ารัก แต่ทว่าพวกนั้นมานั่งใสอยู่ตลอดเวลา ก็สงสัยว่าคนสวยก็รู้ว่าสวย ของสวยก็รู้ว่าสวย เขาว่าก็รู้ว่านี่จะเป็นพระขีณาสพจริงๆ หรือเปล่านี่ หรือเราฝันไป เอาอีกแล้วฝันอีกแล้ว

    เป็นอันว่าตอนนั้นสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จถึงพอดี จึงตรัสให้โอวาทว่าสัมภเกสี ขึ้นชื่อว่าพระขีณาสพท่านยังมีรำพึง พระขีณาสพมีอารมณ์ อารมณ์ที่กระทบจิต มีอารมณ์แบบอารมณ์ที่ขัดข้องทุกอย่างแต่ระงับเสียได้ทันท่วงที นี่หมายความว่าพระอรหันต์นี่ยังมีการรำพึง มีอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต เขาด่าไม่ใช่หูหนวกนี่ รู้เขาด่า เขาชมรู้เขาชม แต่อารมณ์กระทบประเภทนี้เมื่อกระทบแล้วตัดทันทีคือไม่รับเลย กระทบปังหล่นตุบ นี่อารมณ์ของพระขีณาสพเป็นอย่างนี้ ท่านว่าอย่างนั้น พระขีณาสพไม่ใช่เสาที่ปักไว้เฉยๆ ที่เรียกว่าพระขีณาสพ ก็เพราะว่าตัดอารมณ์ที่ขัดข้องได้ทันท่วงที

    อันนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่รับฟัง จำไว้ให้ดี อย่านึกว่าพระอรหันต์ไม่รู้สึกอะไรเลยนะ นี่เป็นพระพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมจะอ่านให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาทรงให้โอวาทว่า พระขีณาสพมีรำพึง มีอารมณ์กระทบ จิตมีอารมณ์ที่ขัดข้องทุกอย่าง แต่ก็ระงับเสียได้ทันท่วงที พระขีณาสพไม่ใช่เสาปักไว้เฉยๆ ที่เรียกว่าพระขีณาสพก็เพราะว่าดับอารมณ์ที่ขัดข้องได้ทันท่วงที

    เป็นอันว่าเรื่องราวของท่านผู้เฒ่าผู้นี้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ทั้งนี้เพราะว่าเรื่องราวของท่านหมดแล้ว ขอสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วเมื่อได้สดับแล้วจงจำ จำแล้วจงคิด คิดแล้วจงปฏิบัติตาม อย่างน้อยที่สุดเรามีทางสำหรับเดิน คือมีบุคคลตัวอย่าง ถ้าเราจะทำอะไรก็อาจจะได้สมความปรารถนาโดยไม่ช้านัก สำหรับเวลานี้ปรากฏว่าเหลืออีก ๑ นาที ขอหยุดก่อนดีกว่า ขอบรรดาท่านทั้งหลายตั้งอิริยาบถตามที่ท่านทั้งหลายต้องการ จะนั่งจะนอนจะยืน จะเดินก็ได้ จริยาใดที่ท่านผู้เฒ่านำมาเล่าตั้งแต่ต้นจนอวสานนี่ผมนำมาเล่าแทนท่าน ความจริงผมขโมยหนังสือท่านมาเล่าให้ฟัง ขอทุกท่านเลือกจริยานั้นปฏิบัติตามอัธยาศัยของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์ทรงสมาธิจิต รักษาไว้ให้มาก จะได้มีผลตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีความประสงค์ เอาละ สำหรับเวลานี้มองดูเวลาก็หมดแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอทุกท่านที่สดับแล้วจงได้ บรรลุธรรมตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานแล้วในปัจจุบันฉับพลันเถิด สวัสดี
     
  9. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023

แชร์หน้านี้

Loading...