บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน - การปฏิบัติธรรมของในหลวง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 12 ตุลาคม 2016.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,470
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    การปฏิบัติธรรมของในหลวง

    “ต่อไปนี้พ่อจะขอปรารภเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นบุคคลตัวอย่างที่มีความสามารถทั้งในด้านการปฏิบัติในเรื่องส่วนพระองค์ และในด้านปฏิบัติกับปวงชนชาวไทยทั้งหมดรวมทั้งปฏิบัติกับชาวต่างประเทศด้วย แม้แต่กระทั่งกับศัตรูพระองค์ก็ทรงเห็นว่าเป็นมิตร ไม่เคยคิดที่จะเป็นศัตรูกับใคร สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดนั่นก็คือพระองค์ทรงช่วยประชาชนทรงช่วยชาวโลกด้วยและก็ทรงช่วยพระองค์เองได้ดีที่สุด
    ในด้านของธรรมะสำหรับวันนี้พ่อจะขอนำพระราชจริยาวัตรของ พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวที่ทรงประพฤติปฏิบัติให้ลูกรักทั้งหลายจะพึงรับทราบ รับทราบแล้วก็จงปฏิบัติตามด้วยเพราะว่าจะช่วยให้พวกเราดี ก่อนที่จะพูดถึงธรรมะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติได้ ก็จะขอย้อนไปถึงจริยาวัตรของพระองค์ พระราชจริยาวัตรของพระองค์นี่เราจะรู้ไม่ได้เลยว่า ทรงทำอะไรบ้าง วันทั้งวัน พระองค์ไม่มีเวลาว่าง บางวันมีพระราชภารกิจตั้งแต่เช้าจรดเย็น เวลาเย็นก็ต้องมานั่งปฏิบัติงาน รับแขกกลางคืนอีก กว่าจะทรงเซ็นหนังสือได้ก็ต้องใช้เวลา ๒๔ นาฬิกาผ่านไป

    เมื่อทรงเซ็นหนังสือแล้ว หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงเจริญพระกรรมฐาน วันที่พ่อเข้าไปพบกับพระองค์ พระองค์ตรัสว่าเวลานี้การฟังเทปรู้สึกว่า ฟังไม่ค่อยจบ นอนฟัง ฟังไป ฟังไป รู้สึกว่าหนักเข้า ความไม่ได้ยินในเทปรู้สึกว่า เคลิ้มหลับ แต่ว่าพอเทปดังแกร๊ก รู้สึกตัวตื่นขึ้น แล้วก็พลิกฟังใหม่อีกหน้าหนึ่ง คราวนี้ก็หลับไปเลย พระองค์ทรงติพระองค์เองว่า รู้สึกว่าไม่ดี แต่พ่อกลับทูลพระองค์ไปว่า นั่นเป็นความดี เพราะว่าถ้าหลับในระหว่างการฟังธรรม ชื่อว่าจิตฝังอยู่ในธรรมตลอดเวลา และการฟังค่อย ๆ เคลิ้มไปทีละน้อย ๆ พอเทปหมดหน้า รู้สึกเสียงดังแกร๊ก ก็แสดงว่านั่นไม่ได้หลับ แต่ทว่าจิตฟังธรรมเป็นฌานสมาบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟังไม่ได้ยินเสียงเลยนั่นเป็นฌาน ๔ ความจริงเรื่องนี้ดีมาก ฉะนั้นขอบรรดาลูกรักทุกคนจงปฏิบัติเยี่ยงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จงอย่าอ้างว่าข้าพเจ้ามีงานมาก มีภารกิจมาก ไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีโอกาสเอาจิตเข้าไปฝึกฝนธรรมะ ..

    ..การปฏิบัติธรรมะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ พระองค์ทรงปรารภให้พ่อฟังดูเหมือนว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลที่ไม่มีเวลาว่าง เวลาใดถ้ามีโอกาสว่างนิดหนึ่ง ก็ใช้เวลาฟังเทปบ้าง วินิจฉัยธรรมะบ้าง และในบางขณะที่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปรอบ ๆ พระราชฐานที่พัก พระองค์จะถือเวลา ว่าจะเดินสักกี่ชั่วโมง ถ้าเดิน ๑ ชั่วโมง เอาเทปสะพายไปด้วย แล้วก็ฟัง ๒ หน้า ถ้าเดิน ๒ ชั่วโมง ก็ฟัง ๔ หน้าเทป อย่างนี้รู้สึกว่าพอดี จริยาวัตรส่วนนี้ ขอบรรดาลูกรักควรจะฝึกฝนใจให้มาก พยายามปฏิบัติตามพระองค์ให้มาก

    เวลาบูชาพระ พระองค์ก็ทรงสมาธิ ทำสมาธิ และวิปัสสนาญาณในระยะนั้น เวลาที่เสด็จบรรทมก็ทรงฟังเทป เป็นอันว่าพระองค์จะไม่ยอมให้เวลาที่ว่างอยู่เสียเปล่าไปในด้านของความดี จะพยายามหาทางบีบบังคับอารมณ์จิตให้อยู่ในขอบเขตของความดี คือฟังเสียงธรรมะ ขณะใดที่จิตสนใจในธรรม

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ขณะนั้นจิตย่อมว่างจากกิเลส ลูกต้องมีความขยันหมั่นเพียร มีความสนใจให้มาก เรียกกันว่าเป็นการปฏิบัติแบบเบา ๆ
    อีกประการหนึ่งการเจริญพระกรรมฐานของพระองค์อันดับแรก คงจะตั้งพระทัยมุ่งสมาธิเป็นฌานสมาบัติบทใดบทหนึ่ง และการที่พ่อไปพบกับพระองค์ตอนนั้นพระองค์ตรัสว่า การทำสมาธิเวลานี้ ไม่มุ่งหวังจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ ปล่อยไปตามสบาย จะถึงไหนก็ใช้ได้ เป็นที่พอใจ จริยาแบบนี้ลูกรักเป็นจริยาที่ดีที่สุด เพราะพ่อเองก็เคยตกอยู่ในความหวั่นไหวมามากแล้วทำให้ยุ่งยากใจเพราะการบังคับจิตต้องการจะให้ได้ฌานชั้นนั้นได้ฌานชั้นนี้ ..

    ..แต่ในที่สุดแทนที่มันจะดี มันก็กลับเลวสู้การปล่อยอารมณ์ใจสบายไม่ได้ การทรงสมาธิหรือพิจารณากรรมฐานในด้านสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาอย่างใดอย่าง หนึ่งก็ดี ถ้าจิตเราปล่อยไปตามสบาย มันจะถึงฌานไหนก็ช่าง เมื่อถึงไหนพอใจแค่นั้น อย่างนี้ถูก อารมณ์ฌานและวิปัสสนาญาณที่เข้าถึงใจ จะมีการทรงตัวและในที่สุดก็จะสามารถตัดกิเลสสมุจเฉทปหาน คือตัดกิเลสได้อย่างเด็ดขาดกิเลสไม่กำเริบ เรียกว่ามีอารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน วิธีปฏิบัติแบบนี้ลูกรักต้องพยายามปฏิบัติให้มาก คำว่ามากก็หมายความว่า การเว้นจากการงาน เมื่อยามว่าง ไม่ควรจะให้โอกาสปล่อยไป
    ฉะนั้นการปฏิบัติ ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงพยายามปฏิบัติเอาอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ลูกรักทั้งหลายจงจำไว้ว่า ความดีเกิดขึ้นกับเรามากคนเขาก็รักเรามาก แต่ถ้าความดีเกิดขึ้นกับเราน้อย คนเขาก็รักเราน้อย เมื่อคนรักน้อย คนเกลียดมาก เราก็มีความทุกข์กายทุกข์ใจมากกว่าความสุข เดินไปพบคนที่เรารัก หรือเขารักเรา เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใสมีความชื่นบาน แต่ถ้าไปพบคนที่เกลียดเราเมื่อไร เมื่อนั้นแหละความกลุ้มใจ กำเริบใจมันก็เกิดขึ้น เราจะหาความสุขไม่ได้ ..



    หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


    [​IMG]
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,470
    ในหลวงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ท่านก็ถามถึงธรรมมะไปหลายๆอย่าง เรียกว่าหลายอย่างน่ะละเอียดมาก แล้วก็ย้อนกันไปย้อนกันมา แต่ละจุดนี่ท่านถามละเอียดแบบนักเทศน์ก็ไม่เคยถามแบบนั้น ถามถึงเรื่องฌาน ถามถึงเรื่องอารมณ์วิปัสสนาญาณ
    ไปๆมาๆท่านก็... ท่านพูดมาคำ
    บอกว่า “เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิ เป็นความจริงไหมครับ...?”
    ก็เลยถวายพระพรบอกว่า
    “เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน เท่าที่ทราบพระองค์ปรารถนามานาน แต่เวลานี้บารมีก็เป็นปรมัตถบารมีแล้ว ก็เหลืออีกเพียง ๕ ชาติ ก็จะไปจบกิจ”
    นั่งเฉย...นั่งเฉยไปประเดี๋ยว
    บอก “โอ้โฮ! ต้อง ๕ ชาติหรือนี่” ชักหนักใจ!
    ท่านเลยบอกว่า “เอ๊ะ! นี่ผมนึกว่าชาติเดียวนี้ก็เต็มทีแล้วนะครับ ชาตินี้ชาติเดียวก็เต็มที”
    หมอเขาดูผม ผมให้หมอดู หมอเขาพยากรณ์บอกว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา และต่อไป ๓-๔ ปี บ้านเมืองก็จะอยู่ในเกณฑ์สงบเรียบร้อย ก็เป็นการดี
    ผมก็เลยถามเขาว่าถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้วก็ได้อยู่เป็นสุขเสียที ไม่เหน็ดเหนื่อยแล้วใช่ไหม หมอเขาตอบว่าไม่ใช่
    ท่านก็เลยถามหมอต่อไปอีกว่า ฉันต้องเหนื่อยจนตายใช่ไหม หมอเขานิ่ง ท่านบอกหมอเขานิ่ง
    แล้วท่านก็เลยหันมาถามว่า หลวงพ่อเห็นว่ายังไง ก็เลยตอบไปว่า ถ้าหมอเขาไม่ตอบอาตมาก็ตอบ ตอบว่าเหนื่อยยันตาย ท่านก็เลยหัวเราะ ก็เหนื่อยยันตาย! แต่วันนี้รู้สึกว่าท่านรื่นเริงมาก เห็นพวกชาววังเขาบอกว่า ตั้งแต่เสด็จไปภูพิงค์ฯนี่ท่านไม่เคยยิ้มกับใครเลย รู้สึกว่าพระพักตร์ท่านจะเครียดอยู่ตลอดเวลา แต่วันนั้นคุยกันท่านยิ้มอยู่ตลอดเวลา บางทีก็หัวเราะ ก็เล่นมวยวัดกันแล้วนี้น่ะ ท่านหัวเราะ ท่านก็เลยถามต่อ
    บอกว่า “ถ้าอย่างผมนี่...”
    แต่ความจริงเคยถามมาแล้วตั้งแต่ที่ดอยอ่างขาง
    “ถ้าทำไปนี่จะสำเร็จไหม...?”
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ : “ที่พระองค์ปฏิบัติมานี่มันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญบารมีกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นวิริยาธิกะ วิริยาธิกะนี่ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว ไอ้แสนกัปอาจจะยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ นี่หากว่าถ้าปรารถนาเป็นสาวกภูมิเฉยๆ ไม่ใช่อัครสาวก ก็บำเพ็ญบารมีเพียง ๑ อสงไขยกำไรแสนกัป อัครสาวกก็แค่ ๒ อสงไขยกำไรแสนกัป ทีนี้พระองค์ว่ามาตั้ง ๑๖ อสงไขยแล้ว ถ้าจะเป็นอรหันต์ชาตินี้ก็ควรจะได้ ถ้ากลับ”
    ท่านยิ้ม ท่านบอกว่า “ผมเบื่อเต็มที ไอ้โลกนี้มันเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ แต่ไอ้ที่ทำไปนี่ทำไปด้วยความเมตตา”
    ความจริงท่านมีเมตตาสูงนะ...
    ท่านก็เลยถามถึงเรื่องการปฏิบัติ ตั้งแต่พระโสดาบันขั้นต้นถึงเอกพิชี แล้วก็ไปสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านถามตามลำดับ ก็เลยถวายพระพรไปตามลำดับ แล้วท่านก็ไล่ไปไล่มา บอกคนที่จะเป็นอรหันต์นี่ ต้องเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ตามลำดับหรือเปล่า
    ก็เลยบอกว่า ตามที่อ่านในพระสูตรหรือในชาติปัจจุบันนี่ เท่าที่เคยพบมาหลายองค์ บางองค์ก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร เพราะว่าอารมณ์จิตมีความแรง มารู้ตัวกันจริงๆ เอาเมื่อจิตเข้าถึงอรหัตผล นั่นก็หมายความจิตมันตัดกิเลสเวลาเดียวกัน ก็หมายความถึงว่าเรานั่งสมาธิเพียงแค่ ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที นี่จิตมันตัดเร็ว ตัดจนกระทั่งตัวเองไม่รู้ว่าเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร มันเข้าไปจนอรหันต์ทันที อย่างนี้ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ หลังมาก็มีเยอะ ในสมัยที่อาตมาบวชแล้วก็มีเยอะ พระที่ได้ระดับนี้ก็ไม่รู้ตัว

    หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


    [​IMG]
     
  3. wat vrdigital

    wat vrdigital Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +113
    ในหลวงตรัสกับหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง เรื่อง "วัตถุและทรัพย์สินทุกอย่างของพระองค์"
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสกับอาตมา (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗
    วันนั้นเป็นวันเททองหล่อรูป หลวงพ่อปาน เนื่องในงานสร้างพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า..
    "เวลานี้จิตใจของผมไม่มีห่วงใยในวัตถุแล้วขอรับ เห็นว่าวัตถุทุกอย่างทรัพย์สินทุกอย่างที่เรารับมานี้ มันเป็นมรดกตกทอดจากญาติผู้ใหญ่
    แต่ว่าญาติผู้ใหญ่ที่หาไว้ให้นั้นก็ปรากฏว่า ทุกท่านเวลานี้ไม่มีใครอยู่เหลือเลย ตายหมด...
    แต่ละท่านที่ตายแล้ว ไม่มีใครแบกภาระ คือ ทรัพย์สมบัติไปได้เลย ปล่อยทอดทิ้งไว้ให้คนอื่นปกครองต่อไป ที่เสียหายไปก็มาก"
    ทรงตรัสต่อไปว่า
    "ผมไม่ติดใจในวัตถุ ไม่เยื่อใยในวัตถุ มียังไงกินอย่างนั้น มียังไงใช้อย่างนั้น
    มีความต้องการอย่างเดียว ถ้ามีวัตถุขึ้นมา ถ้าสามารถจะแจกจ่าย
    หรือหาทางทะนุบำรุงบรรดาประชาชนทั้งหลายโดยทั่วหน้าให้มีความสุขได้ อย่างนี้ผมพอใจ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...