บทความให้กำลังใจ(เหนือกว่าอิทธิปาฏิหาริย์)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,058
    (ต่อ)

    นี้คือเหตุผลที่ไมเคิลแอนเจโลไม่ปฏิเสธแท่งหินอ่อนที่บิดเบี้ยวผิดรูปแท่งนั้น เพราะเมื่อเขาเพ่งมอง สิ่งที่เขาเห็นคือรูปสลักอันงดงามที่ซ่อนอยู่ในแท่งหินสกปรกนั้น พูดอีกอย่างหนึ่ง เขาเห็น “แวว” หรือ “ศักยภาพ” ของสิ่งที่ดูเหมือนต่ำต้อย จะว่าไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่ต่ำต้อยไร้ค่าอย่างแท้จริง ทุกสิ่งล้วนมีประโยชน์หรือมีศักยภาพที่จะกลายเป็นสิ่งประเสริฐได้เสมอ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นประโยชน์หรือนำเอาศักยภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่หรือไม่ มูลสัตว์หากกองอยู่บนถนนย่อมกลายเป็นขยะหรือสิ่งปฏิกูลน่ารังเกียจ แต่ถ้าอยู่ในสวนก็กลายเป็นปุ๋ยที่บำรุงต้นไม้ให้งอกงาม ออกดอกออกผลน่าชื่นชม กิ่งไม้แห้งใบไม้เหลือง ที่ดูไร้ค่า หากนำมาตกแต่งในแจกัน ก็กลายเป็นสิ่งงดงามได้ คนที่สมองทึบอับปัญญาแต่เล็ก สามารถกลายเป็นนักเขียนหรือนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกได้ ไม่จำต้องพูดถึงพระอรหันต์จำนวนไม่น้อยที่เคยเป็นปุถุชนที่โง่งมหรือคนเกกมะเหรก แม้แต่วณิพก คนอัปลักษณ์ หรือฆาตกรที่ใคร ๆ พากันรังเกียจเหยียดหยาม ก็มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ทั้งนั้น

    ในการดึงศักยภาพออกมาให้เปล่งประกายนั้น สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือ วิริยะอุตสาหะ หากขาดความพากเพียรพยายาม แม้ไมเคิลแอนเจโลจะมีความมั่นอกมั่นใจในฝีมืออย่างไร ก็ไม่สามารถผลิตงานชั้นเลิศออกมาได้ จะว่าไปแล้วความพากเพียรพยายามนั้นสำคัญยิ่งกว่าความมั่นใจในฝีมือด้วยซ้ำ ห้าปีหลังจาก “เดวิด”สำเร็จเสร็จสิ้น ไมเคิลแอนเจโลได้รับการ “ขอร้อง”จากพระสันตปาปา ให้วาดภาพจิตรกรรมบนเพดานวิหารซิสซีนในกรุงวาติกัน เขาปฏิเสธทันที เพราะเขาถนัดแต่งานแกะสลัก ไม่เคยวาดภาพบนพื้นที่ขนาดใหญ่มาก่อน แต่ภายหลังก็จำยอมรับงานชิ้นนี้ ทั้ง ๆ ที่คาดว่างานชิ้นนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า (ในส่วนลึกเขาเชื่อว่านี้เป็นแผนของศิลปินคู่แข่งที่หวังทำลายชื่อเสียงของเขา)

    เขาทำงานชิ้นนี้ด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ เพราะนอกจากเป็นงานที่ไม่ถนัดแล้ว ยังต้องวาดภาพในท่าที่ลำบากอย่างยิ่ง ทั้งแหงนคอทั้งนอนวาด แต่เขาไม่ย่อท้อ ทำงานอย่างทุ่มเท โดยใช้สติปัญญาและความสามารถอย่างเต็มที่ กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาถึงสี่ปี โดยที่ไม่มีใครช่วยวาดด้วยเลย (เพราะฝีมือไม่ถูกใจเขา) ผลก็คือ ภาพจิตรกรรมที่สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้คนไม่เว้นแม้แต่ศิลปินชั้นนำ โดยเฉพาะภาพ “การสรรค์สร้างอดัม” ซึ่งมีพลังมาก ผลงานชิ้นนี้นอกจากจะงดงามแล้วยังแหวกขนบที่ถือปฏิบัติกันในเวลานั้น เกิดจิตรกรรมแนวใหม่ที่มีอิทธิพลต่อศิลปินยุคหลัง ๆ ความที่เขาเป็นประติมากร ภาพบุคคลมากหน้าหลายตาบนเพดาน จึงมีลักษณะคล้ายรูปแกะสลักที่มีความลึกและทรวดทรงเหมือนจริงผสานกับลักษณะอุดมคติ อีกทั้งยังมีท่วงท่าหลากหลาย ที่เป็นต้นแบบให้แก่งานชิ้นหลัง ๆ ทันทีที่ผลงานชิ้นนี้ปรากฏต่อสาธารณชน ไมเคิลแอนเจโลก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตรกรอัจฉริยะ กระทั่งทุกวันนี้ใครที่ไปกรุงโรมก็ยังต้องยอมเข้าแถวนานับชั่วโมงเพื่อเห็นภาพชุดนี้กับตา (เช่นเดียวกับภาพ “การพิพากษาครั้งสุดท้าย” ที่เขาวาดบนผนังวิหารเดียวกัน ๓๐ ปีต่อมา)

    ไม่น่าเชื่อว่านี้คือผลงานที่ไมเคิลแอนเจโลลังเลใจที่จะรับทำเพราะไม่ถนัดและไม่มีความมั่นใจเลย แต่เป็นเพราะความพากเพียรอันแรงกล้า เขาจึงสามารถสร้างสรรค์ผลงานชั้นเลิศที่ลือเลื่องมาจนทุกวันนี้แม้ผ่านมา ๕ ศตวรรษแล้วก็ตาม นี้เป็นอีกตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ศักยภาพจะแสดงออกมาอย่างเต็มที่นั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ความพากเพียรพยายาม ปราศจากสิ่งนี้แล้วศักยภาพก็จะยังซุกซ่อนต่อไป และความสำเร็จก็มิอาจเกิดขึ้นได้
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255508.htm




     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,058
    เหนือกว่าอิทธิปาฏิหาริย์
    พระไพศาล วิสาโล

    แสดงธรรมงานละสังขารหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
    วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๗ ณ วัดภูเขาทอง

    วันนี้เป็นวันที่ ๑๓ แล้วสำหรับงานละสังขารของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นที่เคารพรักของพวกเราทุกคน พวกเราคงสังเกตเห็นว่างานนี้แตกต่างจากงานศพทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงานศพของพระหรือญาติโยม เพราะว่าไม่มีการสวดอภิธรรมอย่างที่คุ้นเคย หลวงพ่อได้ระบุไว้ว่าในพิธีศพของท่านให้สวดอภิธรรมแปลด้วย หรือไม่ก็สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแปล เพื่อให้ทั้งผู้สวดและญาติโยมเข้าใจความหมายของธรรมะขั้นสูง หลวงพ่อได้ระบุไว้ในพินัยกรรมว่า งานที่จัดให้ท่านขอให้มีศาสนพิธีพอประมาณ แต่เน้นศาสนธรรมให้มาก

    นอกจากการสวดแปลอย่างที่เราสาธยายเมื่อครู่แล้ว มีพิธีอีกหลายพิธีที่ไม่ปรากฏในงานนี้ อย่างเช่นการทอดผ้าบังสุกุล หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงไม่มี ก็ตอบง่าย ๆ เลยว่าหลวงพ่อไม่ได้ระบุเอาไว้ ที่จริงท่านห้ามด้วยซ้ำตามที่เขียนในบันทึกช่วงอาพาธ แต่ถ้าจะอธิบายให้มากกว่านี้ ก็ต้องถามก่อนว่าจะทอดผ้าบังสุกุลไปเพื่ออะไร ส่วนใหญ่ก็ตอบว่าเพื่ออุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ

    เวลาจัดงานศพให้ใครก็ตาม เจ้าภาพก็อยากอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ พิธีหนึ่งที่เราเชื่อว่าจะมีอานิสงส์ต่อผู้ล่วงลับ คือการทอดผ้าบังสุกุล ซึ่งเป็นสังฆทานอย่างหนึ่ง  แต่หลวงพ่อของเรา อาตมาเชื่อว่าท่านไม่ได้ต้องการบุญกุศลใด ๆ จากใครอีก เพราะท่านอยู่เหนือบุญเหนือบาปแล้ว  เรียกว่าท่านไปดีแล้ว ไม่ต้องอาศัยบุญจากใคร มีแต่พวกเรานั่นแหละที่ยังต้องการบุญกุศล ถ้าจะทำบุญกุศลก็ทำเพื่อตัวเราเองไม่ใช่ทำเพื่อหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่มีความจำเป็นแล้ว

    การทำบุญเพื่อตัวเองนั้นทำได้หลายวิธี เช่นการฟังธรรม บุญจากการฟังธรรมเรียกว่า ธรรมสวนมัย บุญที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม เจริญภาวนาเรียกว่า ภาวนามัย การเจริญกรรมฐานเป็นการทำบุญที่ชาวพุทธเรามักมองข้าม เรามักคิดว่ามีแต่การทำบุญด้วยการให้ทานเท่านั้น จึงเรียกติดปากว่าทำบุญให้ทาน หรือว่าต้องเลี้ยงพระ เรียกว่าทำบุญเลี้ยงพระ แต่นี่เป็นบุญชั้นต้นเท่านั้น ที่จริงแล้วมีบุญที่สูงกว่านั้น ประเสริฐกว่านั้นเช่น ภาวนามัยหรือ ทิฏฐุชุกรรม

    การทำความเห็นให้ตรง หรือ ทิฏฐุชุกรรม เป็นบุญประการสุดท้ายของบุญกิริยาวัตถุ ๑๐  เราจะทำความเห็นให้ตรงได้อย่างไร ก็จากการฟังธรรม จากการเสวนา สนทนาธรรม และจากการปฏิบัติที่เรียกว่าภาวนา อันที่จริงเพียงแค่เรามากราบสรีระสังขารของหลวงพ่อ เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร แล้วย้อนกลับมามองที่ตัวเราว่า วันหนึ่งเราก็จะต้องสิ้นลมเหมือนกัน เพียงแค่พิจารณาแบบนี้ก็ได้บุญแล้วนะ เพราะว่ามันทำให้เราเกิดความไม่ประมาทในชีวิต ช่วยให้เราเห็นถึงความไม่จีรังของสังขาร ไม่ใช่แค่ความไม่จีรังของสังขารหลวงพ่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความไม่จีรังของสังขารที่เรียกว่าตัวเราด้วย

    พิจารณาเช่นนี้แล้วเราก็จะได้บุญ เพราะว่ามันช่วยทำให้เราเกิดความไม่ประมาท ขวนขวายในการทำความดี ทำให้เราใส่ใจที่จะฝึกฝนพัฒนาตน ยิ่งถ้าเราได้มารู้ว่าหลวงพ่อในยามอาพาธ ท่านป่วยแต่กาย ส่วนใจของท่านปกติ เมื่อท่านสิ้นลมก็เป็นการจากไปอย่างสงบ ไม่มีความทุรนทุราย เป็นการจากไปที่งดงามมาก แม้ว่าลูกศิษย์ลูกหาจะเสียใจ แต่ก็ได้เห็นภาพที่ประทับใจ ส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง แต่ได้สดับรับฟัง หรือเห็นจากบันทึกที่หลวงพ่อเขียนไว้ก่อนสิ้นลมไม่กี่นาที ท่านเขียนว่า “พวกเรา ขอให้หลวงพ่อตาย”

    ท่านเขียนอย่างนี้ไม่ใช่เพราะท่านอยากตาย ท่านไม่มีอาการของคนที่สิ้นหวังกับชีวิตหรือทุรนทุราย มีคนจำนวนไม่น้อยที่ป่วยแล้วเกิดทุกขเวทนามาก อยากให้ลูกหลานถอดท่อช่วยหายใจหรือปิดเครื่องช่วยชีวิตเพราะทุกข์ทรมานเหลือเกิน บางคนก็ขอให้หมอช่วยจบชีวิตของตัวเองด้วยการฉีดยาหรือทำให้หลับไปเลยก็ได้ อย่างที่เราเรียกว่า การุณยฆาต มีคนต้องการแบบนี้จากหมอและจากลูกหลานเพราะทนความทุกข์ทรมานไม่ไหว แต่หลวงพ่อไม่มีเจตนาอย่างนั้น ที่ท่านเขียนข้อความดังกล่าวท่านไม่ได้นึกถึงตัวเองเลย ท่านนึกถึงลูกศิษย์ลูกหาที่กำลังชุลมุน ที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อให้หลวงพ่อมีลมหายใจ แต่ตอนนั้นก้อนเนื้อบวมและปิดหลอดลมหรืออุดท่อหายใจมากขึ้นทุกที ๆ จนไม่มีทางรักษาเยียวยาได้ ในขณะที่ลูกศิษย์ลูกหาก็พยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

    หลวงพ่อคงจะเห็นใจลูกศิษย์ ต้องการบอกให้ลูกศิษย์ปล่อยวาง ก็เลยเขียนข้อความนี้ทั้งที่ตอนนั้นท่านหายใจได้ลำบากมากแล้ว พอเขียนข้อความนี้เสร็จท่านก็ยื่นให้กับผู้ดูแลคืออาจารย์โน้ส แล้วท่านก็ประนมมือ ท่านทำเช่นนี้ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ทำหัตถการให้ท่าน เป็นการแสดงความขอบคุณ ใครที่รู้จักหลวงพ่อคำเขียนนั้นย่อมรู้ว่า การประนมมือของท่านนั้นทำง่ายมาก ทำโดยไม่มีความถือเนื้อถือตัว ท่านเจอลูกศิษย์ลูกหาท่านก็ประนมมือไหว้ก่อน ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนตั้งใจจะไปไหว้ท่านแต่ไหว้ไม่ทัน ท่านไหว้ก่อน ท่านไม่มีความถือตัวในเรื่องนี้เลย ในทำนองเดียวกันเวลาลูกศิษย์ลูกหาทำหัตถการให้ท่านเสร็จ ท่านก็จะขอบคุณด้วยการประนมมือ วันนั้นท่านก็ประนมมือเหมือนกัน แต่ลูกศิษย์เข้าใจว่านี่เป็นธรรมดาของท่านที่แสดงความขอบคุณ แต่ที่จริงแล้วอาจมีความหมายมากกว่านั้น คือ ท่านต้องการอำลาลูกศิษย์ ไม่ใช่แค่ขอบคุณแต่เป็นการอำลา ประนมมือเสร็จ สักพักท่านก็หลับตาและสิ้นลมไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,058
    (ต่อ)
    ถ้าเราได้ทราบถึงนาทีที่ท่านละสังขารไป เชื่อว่าเราจะไม่เพียงเกิดความประทับใจ แต่เชื่อว่านี่แหละคือทางที่เราควรจะเดินตามหลวงพ่อ คือเมื่อยังมีลมหายใจก็มีสติและความรู้สึกตัวอย่างที่หลวงพ่อสอน และเมื่อป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย มีสติมีความรู้สึกตัวเป็นเครื่องอยู่ และเมื่อถึงวินาทีที่จะละสังขารก็จากไปอย่างสงบ ท่านได้ทำเป็นแบบอย่างให้แก่พวกเรา เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็ควรที่เราจะตั้งปณิธานว่า เมื่อวันนั้นมาถึงเราจะพยายามทำให้ได้อย่างนั้น

    จริงอยู่เราอาจทำไม่ได้อย่างท่านหรือดีอย่างท่านได้ แต่ก็ควรทำให้ใกล้เคียงที่สุด ตั้งใจที่จะเดินตามท่าน ไม่ใช่เลียนแบบท่านนะ แต่ว่าตามรอยท่านด้วยการฝึกฝนอย่างที่ท่านได้พร่ำสอนและทำเป็นแบบอย่าง คือการมีสติ มีความรู้สึกตัว ถ้าเราตั้งใจเช่นนี้เราจะได้บุญได้กุศลมาก ที่มาที่นี่ไม่ใช่มาแค่คารวะสรีระของท่าน แต่ได้ธรรมะกลับไปเป็นเครื่องนำทางในการดำรงชีวิต ทั้งในยามปกติ ยามป่วย และในยามที่ต้องละจากโลกนี้ไป

    สิ่งที่หลวงพ่อคำเขียนมอบให้แก่พวกเรานั้นคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด นั่นคือธรรมะที่ท่านสอน แสดง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นแบบอย่าง ท่านอยู่ด้วยความรู้สึกตัว หลายคนเวลานึกถึงหลวงพ่อในฐานะที่เป็นอาจารย์กรรมฐาน ก็คาดหวังว่าท่านจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีความสามารถพิเศษทางจิต เช่นมีอภิญญา สามารถทายใจ นั่งทางในหรือว่าทำสิ่งเหนือมนุษย์ ใครที่คาดหวังอย่างนี้จากหลวงพ่อ จะไม่มีวันได้พบ เพราะหลวงพ่อ ไม่เอาสิ่งนี้เลย ที่ท่านไม่เอาไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้เรื่องพวกนี้ หลวงพ่อรู้เรื่องพวกนี้ดี เพราะว่าท่านเคยเป็นหมอธรรมก่อนที่จะมาบวช

    ท่านเป็นหมอธรรมมาตั้งแต่อายุ ๑๗ ปีจนกระทั่งอายุ ๓๐ ปี ท่านไม่ใช่แค่เป็นชาวนา ช่างก่อสร้าง แต่ท่านยังเป็นหมอธรรมมาถึง ๑๓ ปีท่านคลุกคลีอยู่กับเรื่องไสยศาสตร์ รักษาคนเจ็บป่วยและไล่ผีด้วยเวทมนต์คาถา หาของหายด้วยการนั่งทางใน เรื่องไสยศาสตร์ หรือคาถาอาคมหลวงพ่อเชี่ยวชาญมาตั้งแต่เป็นฆราวาส แต่พอได้มาพบธรรมจากการปฏิบัติ ตามแนวทางที่หลวงพ่อเทียนได้สอน ท่านพบว่าธรรมะที่เกิดจากวิปัสสนานั้นสูงส่งและประเสริฐที่สุด ท่านบอกว่าพอได้มารู้ธรรม เรื่องไสยศาสตร์ก็จืดไปเลย ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีแรงดึงดูดกับท่านอีกต่อไป ท่านวางเลย

    หลวงพ่อเป็นอาจารย์กรรมฐานที่เคยผ่านเรื่องไสยศาสตร์มาก่อนบวช หลายคนตอนเป็นฆราวาสไม่ได้สนใจหรือมีความรู้เรื่องนี้ พอบวชแล้วจึงค่อยมาเอาดีทางนี้  ร่ำเรียนเวทมนตร์คาถา สะเดาะเคราะห์ ทำเครื่องรางของขลัง  แต่หลวงพ่อทำตรงกันข้าม เคยเชี่ยวชาญเคยจัดเจนมาก่อน แต่พอมาพบธรรมแล้วท่านก็วาง เพราะท่านรู้ว่าไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับธรรมะ จะว่าไปแล้วการเห็นธรรม รู้ธรรมนั้นเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าอิทธิปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนามี ๓ ประการ ประการแรกคือ อิทธิปาฏิหาริย์แปลว่าการกระทำที่บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ประการต่อมา อาเทศนาปาฏิหาริย์ หมายถึงความสามารถในการทายใจได้ ประการสุดท้าย คืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ หมายถึงธรรมะหรือคำสอนที่ปฏิบัติได้ผลจริงเป็นอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์อย่างหลังพระพุทธเจ้าสรรเสริญมากที่สุดเพราะทำให้พ้นทุกข์ได้ อิทธิปาฏิหาริย์นั้นไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์เลย อาจทำให้มีลาภสักการะ แต่ถ้าไม่มีธรรมะกำกับก็อาจทำให้หลงติดในลาภสักการะ แม้จะดำดินบินบน เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ไม่ช่วยให้ใจเป็นอิสระจากลาภสักการะได้ กลับดิ้นรนขวนขวายเพื่อลาภสักการะ อย่างเช่นพระเทวทัต เป็นคนที่มีอิทธิปาฏิหาริย์มาก แต่ก็ไม่สามารถเป็นอิสระจากกิเลสตัณหาได้ ถึงกับต้องการแยกตัวออกมาจากคณะสงฆ์ เพื่อเป็นใหญ่แทนพระพุทธเจ้า ในขณะที่พระญาติคนอื่น เช่น พระอานนท์ พระภัททิยะ แม้กระทั่งน้องสาวของพระเทวทัต คือนางยโสธราพิมพา รวมทั้งอุบาลี ซึ่งเป็นช่างตัดผม ท่านเหล่านี้ภายหลังบรรลุเป็นพระอรหันต์หมดเพราะอนุสาสนีปาฏิหาริย์ แต่พระเทวทัตลงเอยด้วยการตกนรก เพราะว่าไปหลงติดกับอิทธิปาฏิหาริย์

    อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นปาฏิหาริย์อย่างไร เป็นปาฏิหาริย์เพราะว่า แม้ต้องเจอความเจ็บป่วย พลัดพรากสูญเสีย เจอคำต่อว่าด่าทอ จิตก็ไม่หวั่นไหว เป็นปกติราบเรียบ แม้ความเจ็บป่วยจะบีบคั้นให้กายเป็นทุกข์ แต่ใจไม่เป็นทุกข์ เมื่อความตายมาถึง จิตใจก็กระเพื่อม ความแก่ ความเจ็บป่วย รวมทั้งความตายก็ไม่สามารถทำให้ใจเป็นทุกข์ได้ มิหนำซ้ำธรรมะที่เกิดจากอนุสาสนีปาฏิหาริย์ยังสามารถเอาชนะความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ แต่อิทธิปาฏิหาริย์ไม่เคยช่วยให้เอาชนะหรือพ้นจากความแก่ ความเจ็บ และความตายได้เลย

    การที่หลวงพ่อละสังขารด้วยอาการสงบนั้น ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ คนที่กำลังจะตายจากไปโดยไม่มีอาการทุรนทุราย ทั้ง ๆ ที่หายใจไม่ออก แต่ยังสงบนิ่งได้ เหมือนกับว่าความตายทำอะไรไม่ได้เลย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้วจะเรียกว่าอะไร แต่เป็นปาฏิหาริย์ที่ดูธรรมดาเพราะว่ามันไม่ได้ดูเหนือมนุษย์ ไม่เหมือนกับการเหาะเหินเดินอากาศ การหายตัว อาตมาอยู่กับหลวงพ่อคำเขียนมา ๓๐ กว่าปี ไม่เคยเห็นท่านพูดชื่นชมหรือแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ท่านสอนแต่ธรรมะล้วน ๆ และเป็นธรรมะขั้นแก่นธรรม ไม่ใช่แค่สอนด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ว่าทำให้ดู อยู่ให้เห็นด้วย ทำให้แต่ละขณะ แต่ละนาทีของท่านเป็นการแสดงธรรม แสดงภูมิจิต ภูมิปัญญาหรือภูมิธรรมโดยตลอด
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,058
    (ต่อ)
    หลวงพ่อไม่ชื่นชมอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะท่านประสบด้วยตัวเองว่าแค่ความรู้สึกตัวอย่างเดียวก็ช่วยท่านได้มากกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ หรือคาถาอาคม หลวงพ่อเล่าว่าสมัยที่ท่านบวชใหม่ ๆ ราวพรรษาแรกหรือพรรษาสอง มีคราวหนึ่งท่านไปพักในป่าไกลจากเพื่อน ๆ เข้าใจว่าเป็นที่วัดป่าพุทธอุทยาน ตอนนั้นท่านได้รู้ธรรมจากการปฏิบัติกับหลวงพ่อเทียนแล้ว แต่ยังไม่ถึงที่สุด วันหนึ่งมีผู้ร้ายถูกยิงตาย กว่าจะพบศพก็เน่าแล้ว ส่งกลิ่นเหม็น เมื่อเขาฝังศพท่านก็ไปดู เห็นหีบศพเป็นไม้ตะแบกแผ่นใหญ่ ท่านจึงขอเขาเพื่อเอามาทำเป็นเตียง เขาก็แกะให้ท่าน

    ท่านเอาไม้แผ่นนั้นแช่น้ำทั้งเดือน แล้วก็เอาขึ้นมาขัด ฟอก ถู จากนั้นก็เอามาปูนอน แต่ก็ยังมีกลิ่น ยิ่งเวลาฝนตก กลิ่นก็ยิ่งเหม็น พอได้กลิ่นเหม็นทีไร ก็คิดถึงศพที่เน่า คืนหนึ่งหลับไปก็ฝันว่า ศพของผู้ชายคนนั้นกลิ้งมาหาท่าน ท่านจึงบริกรรมคาถาไล่ผี ศพนั้นก็กลิ้งกลับไป แต่พอหยุดบริกรรมมันก็กลิ้งเข้ามาหาอีก ท่านก็บริกรรมคาถาอีกมันกลิ้งออกไปอีก แต่มันก็กลิ้งกลับมาใหม่ทุกครั้ง ท่านสู้กับศพจนเหนื่อย แล้วท่านก็ตื่นขึ้นมา เมื่อตื่นแล้วก็ยังได้กลิ่นเหม็นอยู่อีก ท่านจึงยกมือสร้างจังหวะ พอความรู้สึกตัวกลับมา กลิ่นเหม็นก็หายไป ท่านว่าหลังจากนั้นไม่มีความกลัวผีอีกเลย

    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า คาถาอาคมนั้นช่วยได้เป็นครั้งเป็นคราว แต่สู้ความรู้สึกตัวไม่ได้ มันเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า อย่าไปฝากความหวังไว้กับคาถาอาคมเลย ความรู้สึกตัวนั้นประเสริฐที่สุดแล้ว

    ความรู้สึกตัวทำให้หลวงพ่อพบธรรมขั้นสูง เพราะเมื่อมีความรู้สึกตัวก็ไม่มีความหลง ช่วยทำให้จิตสามารถเห็นความจริงของกายและใจได้เป็นลำดับ จนกระทั่งปล่อยวางสิ่งทั้งปวง เพราะเห็นว่าสิ่งที่ยึดถือมันเป็นแค่มายาภาพ หลวงพ่อท่านบอกเสมอว่ามันเหมือนกับคนที่เคยดูนักเล่นกล ทีแรกก็หลงเชื่อ เห็นเขาดึงกระต่ายออกมาจากกระเป๋า หรือผ่าตัวออกเป็นสองท่อน คนก็ตื่นเต้น อัศจรรย์ใจ แต่พอรู้เทคนิคของนักเล่นกล มายากลของเขาก็หลอกเราไม่ได้อีกต่อไป เห็นแล้วก็รู้สึกจืดชืดไม่มีความตื่นเต้นเลย

    การที่ท่านเห็นธรรมจนกระทั่งพบว่า สิ่งที่คิดว่าเป็นตัวตนหรือตัวกูนั้น แท้จริงก็เป็นแค่มายาภาพที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา มันเหมือนมายากล เป็นแค่ของปลอม พอท่านเข้าใจความจริงขั้นปรมัตถ์ จิตก็วางหมด ไม่มีความตื่นเต้นกับอะไรอีกต่อไป เห็นอะไรก็วางได้ หลวงพ่อเทียนอธิบายว่าคนทั่วไปเวลาเกิดผัสสะ รับรู้อะไรก็ตาม ไม่ว่าทางตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ก็เหมือนกับขว้างดินเหนียวไปที่ข้างฝามันก็ติดหนึบ แต่พอปฏิบัติธรรมจนถึงที่สุดแล้ว ขว้างดินไป มันไม่ติดข้างฝาแล้ว หรือที่พระพุทธเจ้าอุปมาอุปไมยว่า เหมือนกับใบบัวที่น้ำฉาบไม่ติด น้ำฝนตกลงมาก็ไม่ติดใบบัว นี้เป็นสภาวะจิตของผู้ที่เห็นธรรมอย่างแจ่มแจ้ง กิเลสก็แปดเปื้อนไม่ได้ เมื่อเกิดผัสสะ ก็ไม่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อันนี้แหละคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ เกิดจากการเข้าถึงธรรมอย่างแจ่มแจ้ง

    หลวงพ่อเมื่อรู้ธรรมก็พยายามสอนผู้คนให้เห็นอย่างท่านบ้าง ท่านได้ติดตามหลวงพ่อเทียนไปตามที่ต่าง ๆ แล้วแต่หลวงพ่อเทียนจะบอกหรือสั่ง จากเมืองเลย ไปวัดโมกข์ขอนแก่น จากวัดโมกข์ก็ไปวัดชลประทานฯ จากนั้นก็ไปวัดสนามใน หลวงพ่อคำเขียนได้อยู่ช่วยหลวงพ่อเทียนที่วัดสนามในปี ๒๕๑๘ ตอนนั้นแถวนั้นยังมีความเป็นชนบทมาก รถโดยสารยังมีสภาพเหมือนรถในหนังเรื่อง “ลูกอีสาน” เลย ที่เรียกว่ารถโคตรทรหด แต่ว่าตอนหลังนักศึกษาเริ่มไปปฏิบัติธรรมที่วัดสนามในมากขึ้น หลวงพ่อเทียนจึงตั้งใจปักหลักพัฒนาวัดสนามในให้เป็นวัดสำหรับการปฏิบัติธรรมของคนเมือง เพราะหลวงพ่อเทียนอยากหยิบยื่นธรรมะให้คนเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นก็มีวัดโมกข์อีกแห่งที่อยู่ใกล้เมืองขอนแก่น

    หลวงพ่อคำเขียนแทนที่จะปักหลักอยู่ที่วัดสนามในหรือวัดโมกข์ตามที่หลวงพ่อเทียนแนะนำ ท่านกลับคิดไม่เหมือนคนอื่น ท่านตัดสินใจมาอยู่บนหลังเขาภูโค้ง ซึ่งตอนนั้นทุรกันดารมาก ไม่มีถนนขึ้นมาจากแก้งคร้อ ต้องปีนเขาขึ้นมาอาตมาจำได้ว่าครั้งแรกที่ขึ้นมาปี ๒๕๒๓ แม้แต่รถจากแก้งคร้อมาถึงตีนเขา ก็มีแค่วันละเที่ยวเท่านั้นเอง

    อะไรทำให้หลวงพ่อเลือกที่จะมาปักหลักอยู่บนหลังเขาอันทุรกันดาร ทั้ง ๆ ที่ท่านมีที่ทางที่จะไป ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์ก็อยากให้ท่านอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านให้เหตุผลว่า การที่คนกรุงเทพฯ เข้าวัดเป็นเรื่องที่ดี แต่ท่านว่าคนดีไม่น่าห่วง ที่น่าห่วงคือคนที่ไม่เข้าวัด คนไกลวัดต่างหาก ท่านเห็นว่าคนบนหลังเขาไกลวัดไกลธรรมะมาก แม้ตอนนั้นท่ามะไฟหวานมีวัดแล้ว แต่พระก็ไม่ค่อยสนใจสอนธรรมะแก่ชาวบ้าน ชอบเล่นว่าวมากกว่า หลวงพ่อคำเขียนเล่าว่าตอนมาที่ท่ามะไฟหวานเมื่อปี ๒๕๒๐ ตามคำนิมนต์ของญาติโยม วัดเตียนโล่งเลยเพราะเจ้าอาวาสคนก่อนตัดต้นไม้หมดจะได้เล่นว่าวสะดวก ท่านต้องปลูกต้นไม้ขึ้นมาจนกระทั่งเป็นป่าอย่างทุกวันนี้ หลวงพ่ออยากมาสงเคราะห์คนชนบทที่ไกลธรรมะ นี่เป็นเหตุผลสำคัญทำให้ท่านมาอยู่บนหลังเขา อย่างไรก็ตามท่านก็ยังลงไปช่วยงานหมู่คณะตามที่หลวงพ่อเทียนขอ

    หลวงพ่อคำเขียนเคารพหลวงพ่อเทียนมาก หลวงพ่อเทียนจะให้ท่านไปช่วยสอนที่ไหนท่านก็ไป ไปถึงหาดใหญ่ท่านก็ไป แต่พอเสร็จธุระแล้วท่านก็กลับมา การมาอยู่บนหลังเขาหลวงพ่อเทียนท่านไม่เห็นด้วยเลย หลวงพ่อเทียนพูดหลายครั้งว่า คนรู้ธรรมะจะมาหลบอยู่ในป่าเหมือนหนูเหมือนลิงเหมือนค่างได้อย่างไร คนรู้ธรรมะต้องอยู่กับคน แต่หลวงพ่อคำเขียนเป็นตัวของท่านเอง แม้ว่าท่านจะเคารพหลวงพ่อเทียนมาก โดยเฉพาะในยามอาพาธ ท่านพูดถึงหลวงพ่อเทียนบ่อยครั้ง พูดถึงด้วยความเคารพ ด้วยความซาบซึ้ง ท่านเรียกตัวเองว่า “ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียน” ท่านพูดว่า “ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนมีธรรมนำพา ไม่มีวันตาย” ท่านภูมิใจในความเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเทียน แต่ในบางเรื่องท่านเป็นตัวของตัวเอง ท่านจึงเลือกขึ้นมาอยู่บนหลังเขา

    เป็นเวลาหลายปีทีเดียวที่ใครขึ้นมาวัดสุคะโตจะพูดคล้าย ๆ กันว่า ทำไมหลวงพ่อมาอยู่ไกลเหลือเกิน ทำไมไม่อยู่ใกล้ ๆ เพราะมาลำบาก แต่ตอนนี้คนไม่ค่อยบ่นกันแล้วว่าวัดป่าสุคะโตอยู่ไกล แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นนั่นคือ ผู้คนพากันขึ้นมาปฏิบัติศึกษาธรรมที่วัดป่าสุคะโตกันมากขึ้น และอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้

    อาตมาเชื่อว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนหลายคนคงคาดไม่ถึงว่าวัดป่าสุคะโต จะกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีคนขึ้นมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าเมื่อ ๓๐ ปีก่อนนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีคนเมืองขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไรตั้งมากมาย เพราะไม่มีถนน ต้องปีนเขาขึ้นมา แม้เมื่อมีถนนแล้ว จากแก้งคร้อขึ้นมายังวัดป่าระยะทาง ๓๐ กิโลเมตรต้องใช้เวลาถึง ๒ ชั่วโมง แต่หลวงพ่อยืนหยัดที่จะทำวัดป่าสุคะโตให้เป็นวัดสำหรับการปฏิบัติธรรม อาตมาเชื่อว่าเป็นเพราะท่านมีสายตาที่ยาวไกล ว่าสักวันหนึ่งคนเมืองจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แล้วสิ่งที่หลายคนคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น ผู้คนหลั่งไหลกันมาจากทุกสารทิศ เดินทางมาวัดป่าสุคะโต เพื่อมาปฏิบัติธรรม เพื่อแสวงหาความสงบเย็นทางใจ

    เพียงแค่ท่านรักษาป่าให้ร่มครึ้มก็มีคุณูปการมากแล้ว เพราะหลายคนที่มาวัดป่าสุคะโตพูดคล้ายกันว่าที่นี่ร่มรื่น สงบมาก นี่เป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้ และเป็นสิ่งที่เขาโหยหา หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการความสงบด้วยซ้ำ รู้แต่ว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต แต่พอมาวัดป่าสุคะโตเพียงชั่วโมงแรกก็รู้เลยว่า นี่คือความสงบที่เขาต้องการ  ตอนแรกก็สงบกายก่อน แต่ต่อไปก็พบว่าที่เขาขาดจริง ๆ และต้องการอย่างยิ่งก็คือความสงบใจ นี้คือสิ่งที่คนในเมืองขาด แต่อาจไม่รู้ว่าตัวเองขาด รู้แค่ว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิต ทำให้เขาไม่มีความสุข แม้จะมีเงินทอง มีความสะดวกสบาย จนมาถึงที่นี่จึงรู้ว่าความสงบใจคือสิ่งที่เขาปรารถนา

    อันนี้จะเรียกว่าเป็นเพราะหลวงพ่อมีสายตาที่ยาวไกลก็ได้ ถึงแม้ทีแรกท่านจะไม่ได้คิดถึงคนเมืองมากเท่ากับชาวบ้านแถวนี้ เพราะว่าท่านอยากจะช่วยสงเคราะห์คนกลุ่มหลัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปท่านก็เห็นว่าชาวเมืองเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่น่าจะได้รับอานิสงส์แห่งธรรมะที่ท่านสอนแสดง

    พวกเราที่ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโต ได้พบความสงบและความสว่างจากการปฏิบัติธรรม ตามที่หลวงพ่อได้สอนได้ชี้แนะ นับว่าเป็นผู้ที่โชคดีมาก ที่ได้รับประโยชน์จากการที่หลวงพ่อทุ่มเททั้งแรงกายและสติปัญญา หากหลวงพ่อไม่ได้ทุ่มเทอย่างนี้ พวกเราก็อาจจะยังต้องระหกระเหินแสวงหากันต่อไป หรือยังจมอยู่ในความทุกข์ที่มองไม่เห็นทางออก

    อาตมาอยากจะฝากให้พวกเราได้ใช้ประโยชน์ จากสิ่งที่หลวงพ่อได้ทุ่มเทให้เกิดผลมากขึ้น ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะละจากพวกเราไปแล้ว แต่สิ่งที่ท่านสอนและได้ทำไว้เป็นแบบอย่างยังอยู่ไม่ได้ไปไหน และนั่นคือมรดกธรรมที่พวกเราควรน้อมรับนำมาปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนเอง และเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับเรา
    :- https://visalo.org/article/person15lpKumkien13.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...