::ตุสิตาภูมิ::

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 31 มกราคม 2015.

  1. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    ห่างไกลจากโลกสวรรค์ชั้นยามาภูมิขึ้นไปเบื้องบนประมาณ 42,000 โยชน์ ปรากฏว่าเป็นแดนสุขาวดีโลกสวรรค์ชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นโลกสวรรค์ที่ตั้งอยู่กลางนภากาศ เป็นที่สถิตอยู่แห่งปวงเทวดาชาวฟ้าทั้งหลายผู้ไม่มีความทุกข์ แต่กลับมีความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์ โดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราชทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทวาธิบดี ฉะนั้นโลกสวรรค์นี้จึงมีนามว่า
    ตุสิตภูมิ =ภูมิเป็นที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพผู้มีความยินดีแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์ ซึ่งมีพระสันดุสิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี

    สวรรค์ชั้นฟ้าแดนสุขาวดีอันมีนามว่า ตุสิตาภูมิ นี้เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่กลางนภากาศ ปรากฏว่ามีปราสาทวิมานอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน
    1 รัตนวิมาน วิมานแก้ว
    2 สุวรรณวิมาน วิมานทอง
    3. รชตวิมาน วิมานเงิน


    ปราสาทวิมานเหล่านี้ ตั้งอยู่เรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม แต่ละวิมานเป็นปราสาททิพย์ มีความวิจิตรตระการเหลือที่จะพรรณนา และมีรัตนปราการกำแพงแก้วล้อมรอบทุกๆวิมาน มีรัศนมีรุ่งเรืองเลื่อมพรรณรายสวยงามยิ่งกว่าปราสาทแห่งเทวดาทั้งหลายในสรวงสวรรค์ชั้นยามาภูมินอกจากนั้น ในเทวสถานชั้นนี้ ยังมีสระโบขรณีและสวนขวัญอุทยานทิพย์อีกมากมาย สำหรับเป็นที่เที่ยวพักผ่อนให้ได้รับความชื่นบานเริงสราญแห่งเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลาย

    ปวงเทพเจ้าทั้งหลาย ผู้เคยได้สร้างกามาวจรกุศลกรรม และผลแห่งกามาวจรกุศลกรรมชักนำให้มาอุบัติเกิด ณ โลกสวรรค์ชั้นตุสิตาภูมินี้ แต่ละองค์ย่อมมีองคาพยพและหน้าตาสวยงาม มีความสว่างกว่าเทพยดาชั้นต่ำๆ ทั้งมีจิตใจรู้บุญรู้ธรรมเป็นอย่างดี มีจิตยินดีต่อการที่จักได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก ทุกวันธรรมสวนะ ปวงเทพเจ้าเหล่าตุสิตาภูมิ ย่อมจะมีเทวสันนิบาตประชุมฟังธรรมกันอยู่เสมอมิได้ขาด โดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทพยสภาบดี ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าผู้เป็นพหูสูต เป็นผู้รู้ธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันมาก จึงทรงมีพระอัธยาศัยน้อมไปในการแสดงธรรม และการสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา


    มีกรณีพิเศษที่ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายควรจักจำไว้ง่ายๆ ก็คือว่าแดนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ตามปรกติธรรมดาแล้ว ย่อมเป็นที่สถิตอยู่แห่งเทพบุตรโพธิสัตว์อีกด้วย จริงอยู่พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ ก่อนที่จะลงมาบังเกิดในมุษยโลก และได้สำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นภพสุดท้าย พระองค์ท่านย่อมมาบังเกิดเป็นเทวบุตรโพธิสัตว์ ณ ดุสิตสวรรค์นี้ทุกพระองค์ ด้วยเหตุนี้ องค์สมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ผู้ ทรงมีเทวอำนาจและทรงมีพระอิสริยยศยิ่งใหญ่กว่าเทวดาทั้งปวงในดุสิตพิภพนี้ จึงมักทรงมีเทวโองการตรัสอัญเชิญให้เทวบุตรโพธิสัตว์ ผู้จักได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณให้เป็นองค์แสดงธรรมอยู่เสมอ เช่นในปัจจุบันนี้ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ผู้ทรงมีชื่อเสียงเลื่องลือ ปรากฏเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปในหมู่ชาวพุทธบริษัทว่า จักได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตอัตรกัปที่ 13 แห่งภัทรกัปนี้(ฎีกามาเลยยสูตรแบ่งกัปไว้ 4 แบบคืออายุกัป คือ กำหนดอายุสัตว์ เกิดมามีอายุเท่าไร เมื่ออายุสิ้นสุดลง เรียก 1 กัป ในยุคพุทธกาล 1 อายุกัปของมนุษย์ ประมาณ 100 ปี อันตรกัป คือ กำหนดอายุมนุษย์ ระยะเวลาที่อายุขัยของมนุษย์ ลงจากอสงไขยปีจนถึง 10 ปี แล้วขึ้นจาก 10 ปี จนถึงอสงไขยปี อสงไขยเท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว อสงไขยกัป = 64 อันตรกัป มหากัป = 4 อสงไขยกัป = 256 อันตรกัป ที่มา ::วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ภัทรกัปคือกัปที่เจริญ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์. กัปปัจจุบันเป็นภัทรกัป )
    [​IMG]

    พระองค์ก็สถิตเป็นเทวบุตรโพธิสัตว์อยู่ ณ ดุสิตสวรรค์ และมักทรงได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงธรรมโปรดเหล่าเทพบริษัทในดุสิตพิภพแดนสุขาวดีอยู่เสมอ รวมความแล้วก็ว่า ดุสิตสวรรค์นี้ เป็นพิภพที่สถิตแห่งปวงเทพเจ้าทั้งหลายผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งเทพเจ้าที่เป็นปุถุชนและเทพเจ้าที่เป็นพระอริยบุคคล

    เมื่อพูดถึงพระอริยบุคคลแล้ว ก็น่าจะมีปัญหาว่า มนุษยโลกและสวรรค์เทวโลกทั้ง 2 นี้โลกไหนจะมีพระอริยบุคคลมากกว่ากันในปัจจุบันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2018
  2. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    เพราะเหตุไร ในเทวโลกจึงมีความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนามากกว่ามนุษยโลกปัจจุบันนี้ ? เพราะปรากฏว่าในปัจจุบันนี้ พระอริยบุคคลผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐซึ่งสถิตอยู่ในเทวโลกทั้งหลายนั้นมีอยู่มากมาย มากกว่าพระอริยบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในมนุษยโลกนี้มากมายนัก หากจักพิจารณาไปด้วยความเศร้าสลดใจ ในความเสื่อมสลายแห่งพระบวรพุทธศาสนาแล้ว ผู้มีปัญญาจะเห็นได้ว่า เวลานี้ในมนุษยโลกอัตคัดขัดสนพระอริยบุคคลยิ่งนัก เพราะพระอริยบุคคลผู้รู้แจ้งเห็นจริงในมรรคผลนิพพานอย่างถูกต้องแท้จริงนั้น ดูเหมือนว่าจะหากันได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญเต็มทีแต่ในสวรรคเทวโลก บรรดาเทพบุตรเทพนารีที่มีคุณวิเศษทรงความเป็นพระอริยบุคคลนั้นมีอยู่มากมาย

    ทั้งนี้โดยเหตุที่ว่าในสมัยพุทธกาล คือ เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่นั้น บรรดาคฤหัสถ์และบรรชิตทั้งหลายที่อยู่ในกรุงสาวัตถี ราชคฤห์ ไพศาลี โกสัมพีและกรุงกบิลพัสดุ์เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ เมื่อได้สดับฟังพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้บรรลุมรรคผลสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลตามอำนาจวาสนาบารมีแห่งตนเป็นจำนวนมากมายบ้างก็ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด คือพระอรหันตอริยบุคคล บ้างก็ได้สำเร็จเป้นพระอริยบุคคลชั้นต่ำสุด คือพระโสดาบันอริยบุคคล และในสมัยพุทธกาลนั้นอีกเช่นกัน เหล่าเทวดาทั้งหลายที่อยู่ในโลกสวรคค์ทั้ง 6 ชั้น เมื่อได้มีโอกาสสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนากัณฑ์สำคัญๆ เช่น พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มหาสัมยสูตร อนัตตลักขณสูตร มหาสติปัฏฐานสูตร เหล่านี้เป็นต้นแล้ว ต่างก็มีจิตผ่องแผ้วได้บรรลุมรรคผลสำเร็จเป็นเทวดาผู้เป็นเทวดาผู้เป็นอริยบุคคลต่างชั้นตามอำนาจวาสนาบารมีแห่งตน โดยมีเทวดาบางจำพวกได้สำเร็จเป็นพระอรหันตอริยบุคคล บางจำพวกได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล


    ในบรรดาเทวดาอริยบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น สำหรับพระอรหันตอริยบุคคลและพระอนาคามีทรงพระคุณวิเศษประเสริฐนัก โดยที่พระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม เมื่อท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันตอริยบุคคลแล้ว ท่านดับขันธ์เคลื่อนแคล้วเข้าสู่พระปรินิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุขไป ส่วนท่านได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล ท่านก็ย่อมจักพากันจุติจากมนุษยโลกแลเทวโลก ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้บริสุทธิ์ สถิตเสวยพระพรหมสมบัติเป็นสุขอยู่ ณ ปัญจสุทธาวาสพรหมโลกอันไกลโพ้น

    สำหรับพระอริยบุคคลที่เราควรจะกล่าวถึงในกรณีนี้ ก็มีอยู่แต่พระอริยบุคคลชั้นต่ำ ที่เหลืออยู่อีก 2 จำพวกเท่านั้นคือ พระสกิทาคามีอริยบุคคล และพระโสดาบันอริยบุคคล ก็ในบรรดาพระอริยบุคคลทั้ง 2 จำพวกนี้ พระสกิทาคามีอริยบุคคลและพระโสดาบัน ที่เป็นมนุษย์ในโลกสมัยพุทธกาลดังกล่าวมาแล้วนั้น สำหรับท่านที่ไม่ได้ฌานสมาบัติ เมื่อท่านดับขันธ์สิ้นชีวิตตายจากมนุษย์โลกเรานี้แล้ว ท่านจะไปไหน? ท่านก็ย่อมต้องพากันไปอุบัติเกิดเป็นเทวดาอยู่ในโลกสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนี่เอง คราวนี้จะกล่าวฝ่ายพระสกิทาคามีและพระโสดาบันอริยบุคคลที่เป็นเทวดา ซึ่งปรากฏว่าได้บรรลุมรรคผลสุดที่จักนับประมาณได้ในสมัยพุทธกาลที่กล่าวแล้วนั้น สำหรับท่านที่ไม่ได้ฌานสมาบัติ ขณะนี้ก็คงจักยังเป็นเทวดาอริยบุคคลสถิตเสวยทิพยสมับัติเป็นสุขอยู่ที่โลกสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนี้อีกเช่นเดิม ยังไม่จุติไปไหน เพราะอายุของเทวดาทั้งหลายยืนยาวมากมายนัก

    เมื่อรวมพระอริยบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายเข้าด้วยกัน คือพระอริยบุคคลสกิทาคามีและพระอริยบุคคลโสดาบันซึ่งตายจากมนุษย์ไปผุดเกิดเป็นเทวดาอริยบุคคลใหม่ฝ่ายหนึ่ง กับพระอริยบุคคลสกิทาคามีและพระโสดาบัน ซึ่งเป็นเทวดาอยู่แต่เดิม และยังคงเสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ในโลกสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น นี้เช่นเดิม เพราะยังไม่ได้จุติไปไหนอีกฝ่ายหนึ่ง รวมเทวดาอริยบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายนี้เข้ากันแล้ว ผลจะปรากฏออกมาเป็นอย่างไรในโลกสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น จะมีพระอริยบุคคลน้อยหรือมาก? ถูกแล้ว โลกสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นในปัจจุบันทุกวันนี้ ปรากฏว่ามีเทวดาอริยบุคคลอยู่คับคั่งมากมาย สุดที่จักนับจักประมาณได้ ถ้าจะเทียบกับพระอริยบุคคล ซึ่งหาได้ยากในโลกมนุษยโลกนี้แล้ว ย่อมจักเทียบกันมิได้เลย เพราะมนุษย์ในโลกนี้ ดูเหมือนว่าปรากฏมีพระอริยบุคคลอยู่น้อยนักหนา

    อนึ่ง การที่พระอริยบุคคลในโลกมีจำนวนน้อยกว่าพระอริยบุคคลบนเทวโลกนั้น ก็โดยเหตุว่าในปัจจุบันนี้ มนุษย์ที่เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนาเป็นคนทรามปัญญาเสียเป็นส่วนมาก มี ความสนใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นส่วนน้อย และในบรรดาผู้ที่มีความสนใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นหนทางให้ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลซึ่งมีเป็นส่วนน้อยอยู่แล้วโดยธรรมดาแล้วนั้น ก็จำเพาะให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานาเสียอีก เช่น ไม่มีวาสนาบารมีพอเพียงที่จะปฏิบัติวิปัสสนา

    กรรมฐานจนได้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานบ้าง ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไปได้โดยย่อหย่อน ไม่ถึงขั้นควรที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานบ้าง ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไปโดยไม่ถูกทาง คือดื้อดึงและดื้อรั้นเอาแต่ทิฐิแห่งตนเป็นที่ตั้ง ไม่นึกถึงหลักพระบาลีอรรถกถาปฏิบัติบำเพ็ญไปตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ที่โง่ๆ บ้าง ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไปด้วยความห่วงไยปลิโพธกังวลมีจิตใจฟุ้งซ่านไม่สามารถที่จะยังจิตแห่งตนให้ตั้งอยู่ในองค์มูลกรรมฐานบ้าง อ้างว่ามีธุระร้อยแปดพันประการไม่มีเวลาพอที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งที่ตนก็มีความสนใจอยู่บ้าง ดังนี้เป็นต้น รวมความแล้วก็ว่า เกิดอุปสรรคความขัดข้องนานาประการ ไม่ให้ท่านผู้สนใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเหล่านั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพาน จนสามารถได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมาได้ จะอย่างไรก็ดี ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงทราบไว้ว่า การที่จักสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมาได้นั้น มิใช่ว่าจักสำเร็จขึ้นมาได้ง่ายๆ โดยที่แท้ต้องเป็นผู้สนใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และต้องประกอบไปด้วยองคคุณดังต่อไปนี้ คือ

    1 ต้องเป็นติเหตุกบุคคล มีสันดานดีสมควรที่จักได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน
    2 ต้องเป็นผู้ที่เคยได้สร้างวาสนาบารมีเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาแล้วในชาติก่อน กอบทั้งมีวาสนาบารมีพรั่งพร้อมที่จะได้บรรลุธรรมวิเศษในชาติปัจจุบัน
    3 ต้องเป็นผู้มีความเพียรอย่างแรงกล้า อุตส่าห์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไปโดยไม่เกียจคร้านในชาติปัจจุบัน
    4 ต้องเป็นผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามวิธีปฏิบัติ ซึ่งถูกต้องตามหลักพระพุทธฏีกาอันปรากฏมีในพระบาลีอรรถกถา มิใช่ว่าก้มหน้าปฏิบัติวิปัสสนาไปตามยถามกรรม หรือปฏิบัติไปตามอัตโนมัติไม่มีหลักฐาน สุดแต่ทิฐิอันมีอยู่ในสันดานดิบแห่งตนจักบันดาลให้เป็นไป
    5 ต้องเป็นผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในสถานที่อันสงบสงัด เหมาะสมแก่การที่จะทำการเจริญภาวนามัยปัญญา กอบทั้งมีวิปัสสนาจารย์ที่เป็นพระอริยบุคคลคอยแนะนำพร่ำสอน เพื่อไม่ให้ปฏิบัติผิดพลาด
    6 ต้องเป็นผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไป โดยปราศจากปลิโพธความกังวลใจน้อยใหญ่ทั้งปวง
    7 ต้องเป็นผู้มีเวลา คือในขณะที่ปฏิบัติวิปัสสนาฐานอยู่นั้น ต้องอุทิศเวลาทั้งหมดให้อยู่ในบทกรรมฐาน
    [​IMG]

    ฉะนั้น บุคคลจำพวกที่สนใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในมนุษยโลกนี้ ซึ่งมีเป็นจำนวนน้อยอยู่แล้ว ซ้ำยังต้องเลือกเฟ้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ประกอบไปด้วยองคคุณต่างๆ ดังกล่าวมานั้นอีก จึงกาได้มิค่อยง่ายนัก เอา ละ...สมมติว่าบุคคลผู้สนใจการปฏิบัติวิปัสสนาก็มีอยู่แล้ว และบุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้ประกอบไปด้วยองคคุณต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ก็ไม่แน่อีกที่จะตัดสินลงไปว่า เขาจะสามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไปจนกระทั่งได้เป็นพระอริยบุคคล ต่อเมื่อใด เขาผู้นั้นเป็นผู้ประกอบพร้อมไปด้วยปธานิยังคะ ซึ่งได้แก่ องคคุณสำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนา 5 ประการคือ

    1 ต้องเป็นผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และวิปัสสนาจารย์ผู้บอกพระกรรมฐานต้องเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง อาจสามารถที่จักปฏิบัติวิปัสสนาไปโดยไม่หยุดยั้งทั้งกลางวัน กลางคืน
    3 ต้องเป็นผู้ซื่อตรงดำรงอยู่ในความสัตย์ ไม่มีมายาสาไถยกับพระวิปัสสนาจารย์ หรือในหมู่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยกัน
    4 ต้องเป็นผู้มีจิตมั่นคงเด็ดขาดอธิษฐานใจอยู่ว่าเลือดและเนื้อแห่งเรานี้ แม้จะเหือดแห้งไปคงเหลือแต่หนัง เส้น เอ็น กระดูกอยู่ก็ตามที เราจะไม่ยอมละความเพียรที่จะปฏิบัติเพื่อให้บรรรลุมรรคผลนิพพาน
    5 ต้องเป็นผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งผ่านอุทยัพยญาณอย่างอ่อนไปเสียก่อนแล้ว

    เมื่อใดประกอบไปด้วยองคคุณทั้ง 5 ประการนี้แล้ว เมื่อนั้นจึงเป็นที่มั่นใจได้ว่า เขาคงจักสามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไป จนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลนิพพานสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในมนุษยโลกนี้ได้ หากว่าขาดองคคุณเหล่านั้นไปสักประการใดประการหนึ่งแล้วก็จงหวังเถิดว่าชาติหน้ายังมี อย่าไปหวังเอามรรคผลนิพพานในชาตินี้เลย ไม่มีทางสำเร็จเด็ดขาด คือว่าถึงแม้จักมีความปรารถนาความอยากได้มรรคผลนิพพาน อยากได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้อย่างมากมายเพียงไรก็ตามที ย่อมไม่มีทางที่จักสำเร็จได้อย่างแน่นอน โดยเหตุที่ในปัจจุบันทุกวันนี้ การที่จะได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมาได้นั้นเป็นการยากนักหนาดังกล่าวมานี้เอง เพราะฉะนั้น พระอริยบุคคลที่มีอยู่ในมนุษยโลกนี้ จึงมีอยู่น้อยกว่าพระอริยบุคคลเทวดาที่มีอยู่ในแดนสุขาวดัโลกสวรรค์

    สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ได้ทรงมีพระมหากรุณาตรัสถึงการที่มนุษย์เรานี้ จักมีโอกาสไปอุบัติเกิดเป็นเทวดา ณ แดนสุขาวดีดุสิตสวรรค์ และการที่มนุษย์จักได้มีโอกาสไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรผู้ยศยิ่งใหญ่ดำรงตำแหน่งเป็นที่ สมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ซึ่งเป็นเทวาธิบดีมีอำนาจเหนือเทพเจ้าทั้งหลายในดุสิตตาภูมินี้ไว้ในบุญกริยาวุตถุสูตร โดยใจความว่า “ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ การทำบุญกริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานอันมีประมาณยิ่งกระทำบุญกริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลอันประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อเขาผู้นั้นถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมจักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิตสวรรค์
    ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ก็สมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราชในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นพระองค์ได้ทรงกระทำบุญกริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานอันเป็นอดิเรก ได้ทรงกระทำบุญกริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลอันเป็นอดิเรก ฉะนั้นพระองค์จึงทรงเจริญรุ่งเรืองก้าวล่วงเทวดาชั้นดุสิตทั้งหลายโดยฐานะ 10 ประการคือ
    อายุทิพย์ 1 วรรณทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1 อธิปไตยทิพย์ 1 รูปทิพย์ 1 เสียงทิพย์ 1 กลิ่นทิพย์ 1 รสทิพย์ 1 โผฏฐัพพทิพย์ 1” ดังนี้

    จบตอน
    คัดลอกจากหนังสือ กรรมทีปนี
    พระพรหมโมลี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดยานนาวา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...