เรื่องเด่น ตายจากสุนัขชื่อ “ปุย” ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ 7

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 21 พฤศจิกายน 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    หลวงพ่อ-222.jpg

    ตายจากสุนัขชื่อ “ปุย” ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ 7


    “..มีลูกสุนัขตัวหนึ่งมันป่วย เจ้าตัวนี้เกิดมาใหม่ ๆ ตัวเบาเหมือนนุ่น ตัวเล็กที่สุด ต่อมาก็แข็งแรงแล้วก็ป่วย รุ่งขึ้นก็ตายตอนเช้า มันอยู่ข้างล่าง อาตมานอนอยู่ชั้นบนก็เห็นผู้ชาย 4-5 คน นุ่งขาวหุ่มขาวเป็นแบบคนธรรมดา รูปร่างใหญ่เดินเข้ามา อาตมามีความรู้สึกว่าเป็นพรหม จึงถามว่า “มาทำไม” เขาก็บอกว่า “ผมมารับปุยครับ” เจ้าหมาตัวนี้หมายเลข 34 อาตมาเรียกมันว่า “ปุย” เพราะขนปุยเหมือนหมาจู ถามว่า “ปุยคนไหน” ตอบว่า “คนนี้ครับ” ก็เลยถามว่า “ตายแล้วไปอยู่ไหนล่ะ” เขาตอบว่า “อยู่พรหมชั้นที่ 7 เขาเป็นท้าวมหาพรหม เขาลงมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็กลับ” แสดงว่าพรหมมารับพรหม..”

    *คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน เรื่องที่ 141 หน้า 306 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  2. นรวร มั่นมโนธรรม

    นรวร มั่นมโนธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +113
    สาธุคับ
     
  3. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,101
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    smAX4FmpcDEonfjqARToCEW4lr00DqwZQEfd8AlrdmhVWzMAovNYirud--yqUMY9MOR0aUuA&_nc_ht=scontent.fbkk5-7.jpg


    เรื่อง ตายจากสัตว์เดรัจฉานไปเกิดเป็นพรหม เทวดา

    (จากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน)

    ตายจากสุนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗
    "..มีลูกสุนัขตัวหนึ่งมันป่วย เจ้าตัวนี้เกิดมาใหม่ๆ ตัวเบาเหมือนนุ่น ตัวเล็กที่สุด ต่อมาก็แข็งแรงแล้วก็ป่วย รุ่งขึ้นก็ตายตอนเช้า มันอยู่ข้างล่าง อาตมานอนอยู่ชั้นบนก็เห็นผู้ชาย ๔-๕ คน นุ่งขาวห่มขาวเป็นแบบคนธรรมดา รูปร่างใหญ่เดินเข้ามา อาตมามีความรู้สึกว่าเป็นพรหม จึงถามว่า "มาทำไม" เขาก็บอกว่า "ผมมารับปุยครับ" เจ้าหมาตัวนี้หมายเลข ๓๔ อาตมาเรียกมันว่า "ปุย" เพราะขนปุยเหมือนหมาจู ถามว่า "ปุยคนไหน" ตอบว่า "คนนี้ครับ" ก็เลยถามว่า "ตายแล้วไปอยู่ไหนล่ะ" เขาตอบว่า "อยู่พรหมชั้นที่ ๗ เขาเป็นท้าวมหาพรหม เขาลงมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็กลับ"แสดงว่าพรหมมารับพรหม.."

    ตายจากสุนัขชื่อ "โคล่า" ไปเกิดเป็นเทวดา

    "..สุนัขเขาไม่ได้แปลว่าหมา เขาแปลว่า "เล็บงาม" ถ้าหมาตามศัพท์คือ "สา" สุนัขนี่ไม่แน่บางตัวเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมามีสุนัขตัวหนึ่งชื่อ "โคล่า" มันแก่แล้วเดินจะไม่ไหว วันหนึ่งอาตมานอนดูมันอยู่ พระพุทธเจ้าท่านถามว่า "รู้จักโคล่าไหม" อาตมาถามท่านว่า "ทำไมครับ" ท่านตอบว่า "เธอเห็นมันแปลกบ้างไหม" ตอบว่า "เห็นครับ"

    เพราะว่าโคล่านี่ เวลาแม่มันอยู่มันกินมูมมาม กินเสร็จแล้วก็ออกไปเกะกะโวยวาย แม่มันเป็นสุนัขเรียบร้อย เวลาเขาให้กินยังไม่กินนั่งเรียบร้อย พอแม่มันตายวันนั้นมันทำท่าเหมือนแม่มันเลย เหมือนหมดทุกอย่างจนกระทั่งถึงวันตาย สมัยก่อนอาตมาขึ้นไปรับแขก เจ้าแม่มันขึ้นไปเป็นเพื่อน พอแม่มันตายแล้วก็พบโคล่าอยู่ข้างล่าง

    อาตมาจึงบอกว่า "โคล่า ตอนนี้แม่ตายแล้วนะ อาตมาไม่มีเพื่อนไปอยู่เป็นเพื่อน"

    พอวันรุ่งขึ้นก็ไปถึงที่รับแขก ต่อมาอาตมาก็บอกว่า "โคล่า กินข้าวถ้าหากอิ่มมั่งไม่อิ่มมั่งไปขอป้าเขานะ" พอถึงเวลากินข้าวโคล่าก็เข้าไปไม่ต้องนำไป ทุกอย่างบอกคราวเดียว ถ้าทำผิดปั๊บเขาก็ทำท่าแบบขออภัย สั่งงานคราวเดียวจำตลอดชีวิต เวลาใกล้เพลสั่งไว้ว่า "เวลาอาตมาหลับหรือเผลอมาเรียกด้วยนะ" พอ ๔ โมงโคล่ามาเรียก ตอนหลังบอก "๑๕ นาทีเพลค่อยมาเรียกนะ" อีก ๑๕ นาทีเพลโคล่ามาเรียกจริงๆ

    พระท่านก็เลยมาบอกว่า "เจ้าโคล่าเป็นพระโพธิสัตว์"

    และท่านยังบอกต่ออีกว่า "คนสงเคราะห์เลี้ยงพระโพธิสัตว์มีอานิสงส์มาก"

    อาตมาถามว่า "แล้วทำไมถึงลงมาเกิดเป็นสุนัขครับ"

    ท่านตอบว่า ลงมาช่วยดูแลของสงฆ์ สุนัขหรือแมวถ้าพระเลี้ยง ตายแล้วไปสวรรค์ทุกตัว ได้เปรียบกว่าคนมาก เพราะสุนัขแสนรู้นี้ถ้าไม่เกิดเป็นเทวดาก็เกิดเป็นคนแน่ เพราะตัวเมตตาเข้าถึง ทานบารมีเก่าเขามี เมตตาบารมีเริ่มเข้าสนอง ส่วนคนนี่ไม่แน่นอน จะไปอบายภูมิก็ได้ จะไปสวรรค์ก็ได้ จะไปพรหมก็ได้ หรือจะไปพระนิพพานก็ได้.."

    สุนัขที่วัดท่าซุงตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฟังเทศน์แล้วเลื่อนไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา

    "..วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ ตอนเช้าเวลาประมาณ ๘ นาฬิกาเศษๆ ท่านพระยายมราชมาบอกอาตมาว่า "เทวดา ๒ องค์เพิ่งเกิดใหม่ครับ คือเพิ่งเป็นเทวดาวันนี้ เมื่อวานนี้พระพุทธเจ้าเทศน์จึงไม่ได้ฟัง" และ ได้มีเทวดาอีก ๒๐ กว่าองค์เข้ามาใกล้ๆ อาตมาบอกว่า "ผมเคยเป็นสุนัขที่วัดของท่านครับ" ท่านพระยายมราชท่านบอกว่า "ทั้งหมดนี้เป็นเทวดาชั้นยามา แต่งชุดสีขาว" มีสุนัขอีกตัวหนึ่งตายทีหลังสุดบอกว่า "ผมเพิ่งตายเมื่อวานซืนนี้ครับ เมื่อวานนี้ได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เดิมทีเดียวผมอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พอฟังเทศน์จบจิตสะอาดขึ้น ได้เลื่อนไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา"

    ก็เป็นอันว่าอาตมาได้บอกกับบรรดาเทวดาที่มาหาอาตมาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ การถวายสังฆทานก็ดี บวชพระก็ดี มีอานิสงส์มากแต่ว่าอานิสงส์ก็แค่กามาวจรสวรรค์ ฟังเทศน์ดีกว่า ถ้าฟังเทศน์แล้วเธอสามารถปฏิบัติได้ เธอก็มีโอกาสได้เป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อยหรือมิฉะนั้นก็เป็นพระอรหันต์..."

    สุนัขชื่อ "สิงห์ดอก" ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี

    "..ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท มีคนเอาหมามาปล่อยเสมอๆ จนปรากฏเป็นฝูงใหญ่ หมาฝูงนี้มีหัวหน้าอยู่ตัวหนึ่ง ตัวเป็นดอกๆ เลยเรียกกันว่า "เจ้าสิงห์ดอก" หมาตัวนี้รู้สึกว่าจะมีความเฉลียวฉลาดผิดหมาทั่วไป รู้จักฟังธรรมและบังคับบัญชาลูกน้อง เวลาจะมีคนมาขโมยของวัด เจ้าสิงห์ดอกจะจัดวางกำลังกองทัพหมาไว้ป้องกันเป็นอย่างดี

    วันหนึ่งไม่รู้ว่าเจ้าสิงห์ดอกเขานึกอย่างไร เขาจัดการวางกำลัง จัดกำลังไว้บนกุฏิ ๔ ตัว ที่วัดมีช่องทางเข้าวัด ๓ ทาง มันก็วางกำลังจุกไว้หมดทุกทาง แล้วก็มีอีกชุดหนึ่งนอนรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม สักประเดี๋ยวมันก็กระโดดไปทางฝั่งกุฏิของพระครูวิชาญ เดี๋ยวเดียวมีเสียงเป๋ง ไอ้ตัวนั้นคงหลับ ทุกคืนไม่เคยมีอย่างนี้ ก็เลยสั่งพระสั่งเณรว่าคืนนี้พร้อมไว้ เราเป็นทหารของพระพุทธเจ้า ถ้าใครมาเอาของสงฆ์ละเอาชีวิตแลกเลย

    เวลาสักทุ่มเศษๆ เราดับไฟเงียบแล้วนอนกันอยู่ที่นั่น ห้ามพูด ห้ามสูบบุหรี่ พอหกทุ่มกว่าๆ เสียงข้างล่างเจี๊ยวเลย คือที่ชายป่ามีเสียงเห่า เจ้าสิงห์ดอกก็เดินยามของเขาไม่ได้หยุดเลย พอมีเสียงเห่ามันก็ขับฝูงพิเศษพรวดออกไปตัวเขาก็กระโดดตาม

    ปรากฏว่าตอนเช้าได้ปืนกระบอกหนึ่ง ผ้าขาวม้า ๒ ผืน ป่าราบไปเลย

    โดยปกติต้องเลี้ยงข้าวกะละมังขนาดพระหิ้ว ๒ องค์ มื้อละตั้ง ๓ กะละมัง ชาวบ้านเขาเห็นเขากลัวหมาอด ทีนี้ก็เอาข้าวสารมาเลี้ยงหมาไม่ใช่เลี้ยงพระ คราวหนึ่งต้องไปที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เดือนหนึ่ง ก็สั่งพระสั่งเณรไว้ ให้สตางค์ไว้ ถ้าข้าวสารไม่มีกับข้าวไม่มีก็ให้เอาปลามาต้มเค็มเพราะมันกินได้นาน ถ้ามันเริ่มจะไม่กินก็เปลี่ยนเป็นต้มยำบ้าง ต้มส้มก็ได้ พอกลับมาปรากฏว่าสตางค์ไม่หมด เขาบอกว่าอาตมาไม่อยู่ ชาวบ้านเขากลัวหมาอดก็เอาต้มเค็มบ้าง ต้มส้มบ้าง หม้อใหญ่ๆ เลย

    เณรที่มีหน้าที่อุ่นอาหารตอนนั้นชื่อ "เปีย" บอกอาตมาไม่อยู่ยิ่งรวยใหญ่

    คราวหนึ่งมีข่าวว่าผู้ร้ายจะมาเอาพระพุทธรูป เป็นพระสุโขทัยสำริดเงิน

    คำว่า "สำริด" มี ๓ อย่าง คือ มีทองคำ มีเงิน และก็ดีบุก เขาเรียกว่า "สามฤทธิ์" ไม่ใช่สำริด เราเรียกเสียงห้วนไป ตาชมช่างหล่อพระเขาบอก ถ้าออกสีของแร่ไหนมากก็เรียกสำริดอย่างนั้น นอกจากพระสุโขทัยสำริดเงินแล้วยังมีพระเชียงแสนอีก ๒ องค์ ของเก่าทั้งนั้นที่ขโมยมุ่งจะเอา มาวันหนึ่งยายแก่ไปหาหน่อไม้ ไปเจอะมันกำลังนอนสูบใบพลูอยู่ใต้กอไผ่ ๕ คน แกก็เลยส่งข่าวมาบอก ตอนนั้นหลังวัดยังเป็นป่าอยู่ แต่เวลานี้เขาถางหมดแล้ว พระครูวิชาญได้สร้างโรงเรียน เมื่อได้ข่าวก็ไปบอกผู้บังคับกองตำรวจชื่อ "จำลอง" เลยให้ตำรวจมา ๔ คน แกบอกว่า "หลวงพ่อทหารมาก ผมว่าตำรวจคนเดียวก็พอ"

    เอ..ดันไปเชื่อหมาเสียอีก พอดีทายกเขามาก็เลยบอกสองสามคืนให้มานอนด้วยกันหน่อย ยังไงๆ มันต้องกดคอพระครูวิชาญแน่ ไอ้จะปล้นแบบตูมตามน่ะมันไม่ทำหรอก

    พอคืนที่สองเจ้าสิงห์ดอกจัดเวรอีกแล้ว เลยบอกตำรวจสังเกตคืนนี้ขโมยต้องเข้า ให้เตรียมตะครุบให้ดีเถอะ ถึงเวลามันเข้ามา มองเห็นคนร้ายไปชิดกุฏิพระครูวิชาญ เอาไม้พาดกำลังจะปีนขึ้นเท่านั้น ไม่มีเสียงเลย เจ้าสิงห์ดอกบุกเงียบ มันฟัดเสียแหลกเลย หน้าตาเละหมด ได้ครบ ๕ คนโดยตำรวจไม่ต้องยิงเลย

    เจ้าสิงห์ดอกนี้มันเก่งจริงๆ เวลาเจริญพระกรรมฐานเขาต้องมาอยู่หมดทั้งฝูง วันนั้นมันจะตาย ตอนคํ่าเจริญพระกรรมฐานเขามาอยู่ด้วย ตอนตี ๒ ฉันออกไปเจริญพระกรรมฐานหน้ากุฏิคนเดียว ตามปกติมันนั่งอยู่หน้าลูกกรง แต่วันนั้นมันขอเข้าก็เลยให้เข้า มันเข้ามานอนเอาหัวพาดตัก พอตี ๔ พระลุกขึ้นทำวัตร มันก็ลุกบ้าง ปลัดบุญธรรมแกทักว่า "อ้อ..สิงห์ดอกรึมานี่ มาหาหลวงพี่ที่นี่" มันก็เข้าไปใกล้ไปนอนฟังจนจบ จบแล้วก็กลับมาที่หน้าพระพุทธรูปที่เขาเจริญพระกรรมฐาน แล้วตายตรงนั้น

    เวลาเขาตายเราก็ไม่รู้ พอใกล้สว่าง เห็นเทวดาองค์หนึ่งสว่างจ้าเลย ถามว่า "ใคร" เขาตอบว่า "ผมเทวดาสิงห์ดอกครับ" ถามชื่อจริงๆ เขาก็บอกแต่จำไม่ได้แล้ว ทรงผ้าพื้นเขียว เสื้อพื้นขาวแต่เพชรพราว ถามแกว่า "อยู่ชั้นไหน" ตอบว่า "ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีครับ" ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีนี่เขาต้องได้ฌาน ๔ นะ เขาบอกว่า "ผมก็ได้เหมือนกันนี่ครับ" เอ๊ะ ได้อย่างไร เขาอธิบายว่า"ที่หลวงพ่อไปทำพระกรรมฐานนั้น ผมก็ไปนั่งด้วยความเคารพ จิตมันทรงตัว"

    จริงสิ เวลาเทศน์เป็นไม่ได้ เจ้าสิงห์ดอกเขามานั่งหรี่ตามอง ทำหางกระดุกกระดิกๆ ชอบใจจนกว่าจะจบ ไม่ว่าใครเทศน์มันก็ไป พอพระตีระฆังเท่านั้นไปแล้วอยู่ไม่ได้

    นี่เห็นไหม หมาไปเป็นเทวดาได้ แต่คนถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นหมาก็ซวยเต็มทีละ.."

    ตายจากสุนัขชื่อ "เจ้าขุน" อยู่ที่วัดท่าซุง ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    "..วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ อาตมากลับจากรับแขกตอนเย็นก็ทราบว่า "เจ้าขุนป่วยหนัก" คำว่า "เจ้าขุน" เป็นชื่อสุนัขตัวหนึ่งเป็นสุนัขตัวที่ ๑๓ ที่เรียกว่า "เจ้าขุน" ก็เพราะว่าในสมัยหนึ่งขนมันหลุดหมด มันเป็นโรคเรื้อนก็เลยเรียก "เจ้าขุน" เพราะขนไม่มีอาตมาก็เรียกเจ้าขุนแทนขุนช้าง

    ต่อมา โยมสมัคร บอกว่า "มียาขนานหนึ่ง คนที่เป็นโรค ชันนะตุ ที่เกิดบนหัว เมื่อเกิดขึ้นแล้วผมหลุดหมด หัวเป็นแผลเป็น เขาใช้เปลือกต้นแคถากมาแล้วก็เอาไปแช่นํ้าซาวข้าว แช่สัก ๕-๗ วันแล้วนำมาทาผมขึ้นเต็มศีรษะ" ก็ลองมาทาเจ้าขุน ปรากฏว่าไม่นานขนขึ้นสวยหนากว่าเก่ามาก เจ้าขุนนี่เป็นหมาที่มีความจงรักภักดี แต่ว่าไม่ค่อยจะยอมให้จับ เรียกชื่อเมื่อไรถอยหลังหนีไปไกลเมื่อนั้น ถ้าไม่เรียกก็ย่องเข้ามาหาเอง ๒-๓ วันเข้ามาหาทีลูบคลำได้ ถ้าเรื่องอยู่ยามเป็นหน้าที่ของเขา เขาอยู่ยามดีจริงๆ คืนทั้งคืนไม่ยอมหลับก็มี นอกจากว่ามีสุนัขตัวอื่นไปเปลี่ยน

    พอวันรุ่งขึ้นเจ้าขุนก็ตาย เย็นวันนั้นอาตมากำลังเดินขึ้นบันไดหลังจากไปเยี่ยมฝูงสุนัขที่เลี้ยงไว้แล้ว ก็เห็นชายคนหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้า จึงถามว่า "ขุนใช่ไหม" เขาตอบว่า "ใช่ครับ" อาตมาบอกว่า "ขุน เอ็งมีความดีอยู่มาก มีความจงรักภักดีต่ออาตมา และอีกประการหนึ่งก็ช่วยรักษาของสงฆ์ ก็เป็นบุญใหญ่ ผลบุญใดที่พ่อทำแล้วตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบัน ขอเธอจงโมทนารับผลเช่นเดียวกับพ่อตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" เธอยกมือไหว้แล้วก็หายไป

    หลังจากนั้นเวลาประมาณ ๖ โมงเย็นเศษๆ อาตมาพักผ่อนนอนภาวนาคาถาบทที่ทำให้จิตเป็นสุข ชอบบทไหนก็ภาวนาบทนั้นทำอารมณ์ให้เป็นสุขตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ พอสักประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่ามี ชายใส่ชฎาสวยงามมากมีเพชรแพรวพราวเป็นระยับ สวยกว่าชฎาลิเกมาก ตัวก็เป็นเพชรแพรวพราวเป็นเทวดายืนสง่างามมากแต่ว่าอยู่ไกล ยืนระหว่างวิมานซึ่งใหญ่โตมากเป็นทองคำ เสาก็เป็นทองคำแต่หลังคาเป็นแก้ว ก็มีความรู้สึกว่า "นี่มันเจ้าขุนนี่" จึงถามว่า "นั่นเทวดาเจ้าขุนใช่ไหม" เขาตอบว่า "ใช่ครับ" อาตมาถามต่อว่า "เมื่อเธอเป็นสุนัขเธอก็กลัวไม่กล้าเข้าใกล้ วันดีคืนดีถึงจะเข้ามาหาแต่วันปกติถ้าเรียกมา เธอจะไม่ยอมเข้าใกล้จะวิ่งหนีออกไป เวลานี้เป็นเทวดาแล้วทำไมจึงอยู่ไกลอีก" เธอก็ตอบว่า "ผมเป็นเทวดาผมก็ยังกลัวครับ" ถามว่า "เธอจะกลัวทำไม ให้เข้ามาใกล้ๆ" วิมานเธอก็ลอยมาใกล้ ถามว่า "เวลานี้เธออยู่ที่ไหน" เธอตอบว่า "ผมอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ" ถามว่า "มีความสุขดีไหม" เธอตอบว่า "มีความสุขดีมาก" ถามว่า "ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ทำไมจึงกลัวอาตมา" เธอก็ตอบว่า "ไม่ทราบเป็นอะไรครับ ผมก็รักอาตมาแต่มันมีความรู้สึกกลัวครับ" อาตมาเลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อไปเป็นหัวหน้ายามนะ น้องที่อยู่ข้างหลังบางทีมันหลับ ใครจะไปใครจะมามันไม่เห็น ก็คอยเตือนน้องมัน"

    อาตมาให้เรียกพวกสุนัขที่ตายแล้วทั้งหมดมาพร้อมกัน ปรากฏว่ามากันนับร้อย คือสุนัขที่เลี้ยงเองบ้าง ที่พบตายในระหว่างทางที่ถูกรถชนตายบ้าง ที่ไปเห็นก็ให้บุญให้กุศลเธอ ที่มากันทั้งหมดเวลานี้เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีความสวยสดงดงาม

    คนเราถ้ามีอารมณ์จิตที่เป็นกุศล มันมีความได้กำไรดีกว่าสัตว์เพราะว่าคนรู้ภาษาว่านี่เราทำบุญ แต่สัตว์มีหน้าที่อย่างเดียวคือโมทนาเมื่อตายแล้ว สัตว์ที่อยู่กับพระมีหน้าที่รักษาของสงฆ์ ใครมามันก็เห่าบ้างกรรโชกบ้าง พวกที่จะขโมยของสงฆ์ก็ไม่กล้าจึงหลีกเลี่ยงไป เป็นอันว่าของสงฆ์ก็ปลอดภัย ดังเช่น "เจ้าขุน" บัดนี้ได้ตายไปแล้วและไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก.."


    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...