กิเลสมีอยู่ในตัวเราทุกคน แค่อย่าไปคิดปรุงแต่งต่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 เมษายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    22439090-2926-4614-970E-38D4BE6F636C.jpeg

    กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายนี้ ทุกคนมีอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่ง กิเลสก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายแก่เรา ได้

    กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบมานักต่อนักแล้วว่า เหมือนกับเราลวกก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ก็ไม่มีใครอยากที่จะกิน แต่เราเปลี่ยนจากน้ำเปล่าไปเป็นน้ำซุป มีการใส่หมูสับ ใส่ตังฉ่าย ใส่ต้นหอมสับ ใส่กุ้งแห้ง ใส่ถั่วลิสงป่น ใส่พริกป่น ใส่น้ำตาล ใส่น้ำปลา ใส่น้ำส้มสายชู ยิ่งปรุงก็ยิ่งอร่อย เมื่ออร่อยเรากินแล้วก็อยากกินอีก

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราไม่มีการปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ก็ไม่มีรสชาติ เราเองก็จะเบื่อหน่าย ถอนจิตออกมาเองโดยอัตโนมัติ การที่เราจะไม่ปรุงแต่งก็คือ หยุดการคิดให้ได้ เพราะว่าคิดเมื่อไรก็ปรุงแต่งเมื่อนั้น

    การที่เราจะหยุดความคิดได้ ในเบื้องต้นก็คือต้องอยู่กับปัจจุบัน เพราะว่าความคิดของเรานั้น ถ้าไม่ไปในอดีตก็จะไปในอนาคต ก็จะไปยึดติดห่วงหาอาลัยกับอดีต หรือไม่ก็จะไปยึดติดด้วยการฝันเฟื่องถึงอนาคต เราต้องอยู่กับปัจจุบันด้วยสติรู้ตัวสมบูรณ์พร้อม ก็จะสามารถหยุดการปรุงแต่งทั้งปวงลงได้

    การที่เราจะมีสติ อยู่กับปัจจุบันตรงหน้าได้ ก็คือการที่เราเอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจเข้าไป ตามลมหายใจออกมา ให้สภาพจิตอยู่แค่นี้ ก็จะไม่มีการปรุงแต่งไป รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสทั้งหลายก็จะดับลงชั่วคราว ถ้าเราสามารถที่จะรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องยาวนานไปได้ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ ท้ายสุดก็จะหมดกำลัง ตายไปเอง เรียกว่าการบรรลุมรรคผลแบบเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจในการกดข่มกิเลสจนกระทั่งหลุดพ้นได้

    หรือว่าท่านทั้งหลายพินิจพิจารณาว่า ร่างกายนี้ก็ดี รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายก็ดี ก่อทุกข์ก่อโทษให้เรามานานกัปกัลป์อนันตชาติแล้ว ถ้าหากว่าเราเกิดมามีร่างกายเช่นนี้อีก เราก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากเช่นนี้อีก ชาติแล้วชาติเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น เราควรที่จะพอ ควรที่จะเข็ดได้หรือยัง ?

    ถ้าหากว่าเราพอแล้ว เราเข็ดแล้ว เราก็ไม่พึงปรารถนาการเกิดมามีร่างกายนี้อีก ไม่พึงปรารถนาการเกิดมาในโลกที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเหล่านี้อีก เราก็ถอนกำลังใจของเราออกมาจากการยึดเกาะในร่างกายของตนเอง จากการยึดเกาะในร่างกายของคนอื่น จากการยึดเกาะในร่างกายของสัตว์อื่น จากการยึดเกาะในสรรพสิ่งทั้งปวง เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    ถ้าเป็นลักษณะนี้ เรียกว่าการบรรลุมรรคผลด้วยปัญญาวิมุติ ก็คือใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จนสภาพจิตยอมรับซึ่งความเป็นจริงเหล่านั้น แล้วปล่อยการเกาะเกี่ยวยึดติดทั้งปวง ก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...