เทคนิคและประสพการณ์การเอาตัวรอดในต่างแดนยุคเก่า..ของคนรุ่นก่อน..

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย modpong, 29 เมษายน 2015.

  1. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ............
    ...เอาละครับ..ตอนนี้..คุณมากิ..คงไม่ว่าง..ผมก็เกรงใจ
    ..ท่านผู้อ่านหลายท่าน..รวมถึง..น้องTHongchat..ของผมด้วย..ที่คงหงุดหงิด
    ..สงสัย..ใน..คาถา..ของผม...ผมก็จะขออนุญาตใช้ความรู้ต่ำต้อย..
    ..ที่ได้สอบถามเรื่องนี้มาจาก..คนญี่ปุ่นท่านอื่น..ที่ผมไม่อยากเล่าทีแรก..
    ..เพราะ..ผมต้องแปลและ..ทำความเข้าใจมาจาก..คนญี่ปุ่น..ที่ไม่เก่ง
    ด้านภาษาอังกฤษ..หลายคนมารวมกัน..ผิดพลาด..ขออภัยด้วยแล้วกัน..
    ...แต่..ความหมาย..ภาครวมไม่ผิดแน่..
    ........................................................
    ...." โกชิโซ่..ซามะ..เดชิตะ.."......
    ...............................................
    ...ประโยคนี้..จะแปลตรงตัว..หรือ..แปลตามความหมาย..แต่ละคำโดยตรง..ไม่ได้ครับ..
    ..เพราะ..มันเป็น..ประโยคเฉพาะ....ที่มีความหมายลึก..และใช้เฉพาะกิจ...
    ..........
    ....ใครๆ..ก็คงทราบว่า..ญี่ปุ่น..นั้นมีพิธีรีตรอง..มีขั้นตอนในชีวิต..
    ...ยิ่งกว่าคนชาติ..ไหน..มีธรรมเนียมเฉพาะอย่าง......
    .....ยิ่งเรื่อง..อาหาร..การกิน..ยิ่งแล้ว...ขนาดจะกินข้าว..ยังต้อง
    บอก..เลยว่า.."จะกินละน่ะ"..(..ผมไม่เคยทำเลย..แม้แต่..ไปกินข้าว..
    ที่บ้าน..คนญี่ปุ่น..เพราะผมบอกว่า..ผมเป็นคนไทย..และ..มีธรรมเนียม
    ..การกินแบบไทย..ไม่งั้นผมคงต้อง..ซู้ดซ้าด..โฮกฮาก..ตามแบบไอ้ยุ่น..
    ไปแล้ว..).........
    ...........ประโยคนี้..เป็นประโยคเฉพาะ..ของ.แขกผู้ที่ได้รับเชิญมา
    ...ทานอาหาร...จากเจ้าภาพ..หรือ..เจ้าบ้าน..คนญี่ปุ่น.....
    ...จะแสดงความชื่นชม..ยกย่อง..ต่อ..ฝีมือการทำอาหาร..ที่มีรสชาติ
    เป็นที่ถูกใจ..ของเขา(..และ..พรรคพวก..ในกรณีไปกันหลายคน..
    ..แล้ว..ผู้พูดเป็นตัวแทน..คนอื่นทั้งหมด)..เป็นการให้เกียรติ(โดยเฉพาะ)
    ..กับ..ผู้ที่ปรุงอาหาร..ก็เรียกว่า..เครดิต อันดับ ๑ คือ..ผู้ทำอาหาร..
    ...เครดิต อันดับ ๒ คือ..เจ้าภาพ....
    ...ถ้าจะเรียบเรียงเป็นภาษาไทย..ก็น่าจะออกไปทำนองนี้....
    ...."อาหารมื้อนี้..สร้างความอิ่มเอมในอรรถรสให้กับ(พวก)ผม..อย่างแท้จริง"
    .....ออก..ลิเก..ไปหน่อย....งั้นเอาใหม่....
    ...."อาหารมื้อนี้..มันทำให้(พวก)ผมเพลิดเพลินในการกินอย่างเปี่ยมล้น..จริงๆ"
    ........................
    ...ก็ไม่ทราบเหมือนกัน...ทำนองนี้...ถ้าผู้ทำอาหาร..ไม่อยู่ตรงนั้นด้วย..เราก็
    พูดกับ..เจ้าภาพ..หรือ..เจ้าบ้านแทน..แต่ถ้า..อยู่ที่นั่น..เราก็จะพูดกับเขาโดยตรง..
    ..................
    ....ห้าพันเปอร์เซนต์..สิ่งที่คุณจะได้รับ..พร้อมการโค้งต่ำอย่างสวยงาม..พร้อมกับ..คำพูด..
    ....โดโม่..อริงาโตะ..โกไซมัตชิตะ..(..ขอบคุณอย่างยิ่ง..ไม่ใช่แค่..โดโม(ขอบใจ)..
    ....หรือ..โดโม่ โดโม่(..ขอบใจมาก.)....).....
    ...................................
    .....ถ้าผิดพลาดใน..ส่วนใด..คุณมากิ..เข้ามาเมื่อไหร่..ก็ขอความกรุณาช่วย
    ....แก้ไข..และ..ท้วงติงด้วยครับ...ผมนั้น..เขียนจากความรู้สึกของตนเองครับ..
     
  2. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .....................
    ........ผมก็ยื่นแบ็งก์ ๑,๐๐๐ เยน..ไปให้..เขาก็ทอนกะตังกลับมา..ผมไม่นับหรอกครับ..ให้
    เกียรติเขา..เพราะขนาดมีลูกค้า..มากมายขนาดนี้..คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องโกงหรอก..แล้วที่
    ทราบ..ธรรมเนียมญี่ปุ่นเขาเรื่องแบบนี้เขาไม่มีอยู่แล้ว.....
    ....อีกอย่าง..ก็เกรงใจ..คนต่อหลังอีกเป็นสิบ..ผมรีบยกชามก๋วยเตี๋ยว..เดินออกมาข้างๆ..ซึ่ง..
    ก็มีคนอื่น..ยืนโซ้ยเส้นบะหมี่..กันดังสนั่น.
    ...........คราวนี้..ผมมาพิจารณาใกล้ๆ..อย่างจริงจัง..คือ..หน้าตามันไม่ได้เหมือน..ในนิตยสาร
    ญี่ปุ่นต่างๆที่ผมอ่าน..ที่ลงไว้เลย...ชามนั้น..จัดว่าใหญ่กว่าชามบะหมี่บ้านเรามาก(..นั่นคือความ
    คิดของคน..ที่ยังไม่รู้จัก..คุ้นเคยพวก..อาหารญี่ปุ่นอะไรเท่าไหร่)..หนักเลยครับ..ไม่ต้องบอก
    ก็รู้ว่า..ชามเดียวจอดแน่..ยังทึ่งไอ้ยุ่นคนอื่น..ที่มันเบิ้ล..ได้อีก.......
    .....ผมเอาเงินที่ทอน..ใส่กระเป๋าเสื้อด้านบนไว้..เพราะ..จะได้ไม่สับสน..เนื่องจากโดยปกติ..
    แบ็งก์..หรือ..เหรียญ..ผมจะใส่กระเป๋ากางเกง....ดังนั้น..เมื่อนับเงินในกระเป๋าเสื้อ..ผมก็จะแน่ใจ
    ได้ว่า..เขาทอนกลับมาเท่าไหร่..ชามละเท่าไหร่....แน่..ตอนนี้ผมยังไม่สนใจว่าราคาเท่าไหร่..
    ...แต่ผมกำลังสนใจ..ดูรายละเอียดไอ้ที่มันอยู่ในมือผม..มากกว่า....
    ...........แล้วผมก็นั่งยองๆ..ดูไปด้วย..และเตรียมกิน..(..ผมไม่ได้..เติม..อะไร..ไม่ว่า..พริกป่น..
    ..หรือ..โชยุ..เพราะต้องการทราบ..รสชาติเนื้อแท้ก่อน...)...ทั้งนั่งดู..และนั่งดม..อยู่ในบรรยา
    กาศที่ถือว่า..ยอดเยี่ยม..เพราะอยู่ริมปาร์ค..ร่มรื่น..และ..อากาศเย็นสบาย...กลิ่นที่มันเข้าจมูก
    มันทำให้..มีความรู้สึกถึง..ความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ..ในความรู้สึกของผม....
    .......ไอ้แพกุ้งทอด..ที่เขาโปะมาข้างบนนี่..มันใหญ่มากครับขนาดพอดี..กับชาม..บังเส้นอูด้ง..
    และ..น้ำ..มิดเลย...กุ้งก็ไม่ได้ตัวเล็กมาก..แต่ละตัวประมาณแท่งดินสอ..นอนคุดคู้อยู่ประมาณ
    ร่วมสิบตัว..เรียกว่าแน่นแพเลย...ผมเอาตะเกียบแหวก..ไอ้แพกุ้งนี่ลงไป..ก็พบกับ..เส้นอูด้ง..
    ที่ไม่เคยเห็น..มาก่อนในชีวิต..มันขาวอมเหลือง..ใหญ่..นวล..สวยมากในความคิดผม..แต่ที่..
    น่าสนใจกว่าคือ..น้ำก๋วยเตี๋ยวครับ..เพราะพอแหวกเจอน้ำ..กลิ่นก็พุ่งทะลักเข้าหาจมูกเพิ่ม
    เติม...กลิ่นมันมาจากไอ้นี่เอง...น้ำมันข้นมากๆครับ..สีไม่เหมือน..ก๋วยเตี๋ยวเนื้อบ้านเรา..คือ..
    ..เข้มจนเกือบ..ดำ..แต่มันออก..แดง..มากกว่า...ซึ่ง..บ้านเรา..มันจะออก..สีน้ำตาลมากกว่า..
    ..กลิ่นผักวอยขนาดเล็กที่..มันใส่ปนมาอย่างเพียบนี่..มันประสมกลมเกลียวกับ..กลิ่นน้ำก๋วย
    เตี๋ยวเป็นอย่างดี..ผมก็เริ่มกิน..โอ้โห..ความรู้สึกตอนนั้น..มันโคตรอร่อยเลย...เป็นอาหาร
    ญี่ปุ่นชนิดแรก..ตั้งแต่เหยียบแผ่นดินนี้..แล้วอร่อยที่สุด.....ยิ่งพอได้สัมผ้สกับ..ไอ้เส้นอูด้ง..
    นี่..เข้าไป..ความเนียน..เหนียว..หนึกนุ่มของมัน..เหนือกว่า..ไอ้เส้นบะหมี่ลำปำที่ผมเคยชอบ
    ซะอีก...ไอ้กุ้งแพนี่มันก็อร่อยมากทอดได้พอดี..ประสมประสานกับ..น้ำ..เส้น..ผัก..แล้วลงตัว
    มากๆ....ท้องผมแทบแตกตอนกินเสร็จ..ผมกินไป..ผมก้มองไอ้ยุ่นคนอื่น..กินไปด้วย..ปรากฏ
    ว่า..ทุกคนเหมือนกันหมด..คือ..จบด้วยการยกชามซด..จนเหี้ยน..เรียกว่า..สบายอีเมีย..ที่คอย
    ล้างชาม..มาก..เพราะมันไม่มีอะไรเหลือ..บนชามก๋วยเตี๋ยว..ให้ต้องเขี่ยทิ้งเลย..แม้แต่ชาม
    เดียว...ดังนั้นก็จึงไม่แปลกที่ผมจะทำแบบเดียวกัน..คือ..ซดจนเหี้ยน...
    .........ระหว่างทาง..ที่ผมเดินไป..สถานีชินจูกุ..ผมก็ล้วงเงินในกระเป๋าเสื้อที่..ไอ้ผ้วมันทอนมา
    ให้ผม..แค่เพียงอยากรู้เท่านั้น..ว่ามันชามละเท่าไหร่..มันไม่มีผลกับการตัดสินใจที่เลือก
    เอา..ที่นี่..เป็นแหล่งกินถาวรยามเช้า..ของผม..ตลอดเวลาที่อยู่ใน..โตเกียว.....
    ...........มันได้ตัดสิน..ด้วย..ตัวของมันเอง..ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..หลังจากที่ผมซดจนเหี้ยน..
    ..ในครั้งแรกที่กิน...จะเรียกว่า..FIRST LOVE..ก็คงไม่ผิดอะไร..ผมเองนั้น..ปกติเป็นคนที่..จะมี
    อะไร..ไม่เหมือนชาวบ้าน..ไม่ว่าแนวคิด..การแต่งตัว..วิถีในการดำรงชีวิต..และ..เป็นคนที่ไม่
    แคร์คนรอบข้างอยู่แล้ว..ทำอะไรถ้าตัวเองพอใจ..ก็ไอ้นั่นแหละ..ไม่สนใครทั้งสิ้น...
    .....แต่ที่ผมาเล่านี่...หลายอย่างมันก็พิสูจน์ว่า..มันไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดแบบนี้..มันถูกใจ..
    คนทุกระดับ..ตั้งแต่ใช้แรงงาน..ยัน..พนักงาน..แถมไล่ขึ้นไปถึง..ระดับผู้บริหารบริษัท..ด้วยซ้ำ..
    ...ดังนั้น..เรื่อง..ราคา..จึงไม่ใช่ที่มา..ของคนเหล่านี้ที่มุ่งหน้า..มาที่นี่...เขามาเพราะ..
    ......................เขาชอบ..........มันถูกอรรถรสเขา............
    .....ผมจึงคิดว่า..เออมึงคงไม่ได้คิดไปเอง..หรือ..เอารสนิยมการกินของตัวเองมาตัดสิน..
    .......ไอ้นี่..มันอร่อย..แบบ..อินเตอร์...แน่ๆ................
    ..........เงินทอน..นับได้...........๗๗๐...เยน......แสดงว่า..เทมปูระอูด้งชามควายนี่...
    .........ราคา..๒๓๐..เยน..(..ญี่ปุ่นชาวบ้าน..เรียก..”นิซังจู-เอ็น..เดส”..)...
    .........หรือ...๒๓ บาท..ในเวลาขณะนั้น........
    ....................
     
  3. thongchat

    thongchat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +2,195
    ยังติดตามอ่านอยู่นะครับพี่
     
  4. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ....................
    ....................ขณะนั้น..บ้านเรา..บะหมี่รถเข็นก็ชามละ ๒๐ บาท..แต่ปริมาณ..น้อยกว่ากัน
    แบบเทียบไม่ได้..เอาเทียบกันง่ายๆ..ก็..สามชามบ้านเรา..ยังน้อยกว่า..๒ ชามเจ้านี้..แล้วกัน
    ...ขนาดที่..ค่าครองชีพบ้านเรา..นั้นถูกกว่า..ญี่ปุ่น..หลายเท่าตัว..อย่างงี้ไม่เรียกว่า...
    ..โคตรถูก..ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว..ผมว่าเป็น ๑ ใน..บะหมี่แบบญี่ปุ่น(..ก็คือ..โซบะ..กับ..อูด้ง
    ..นะครับ...ราเมง..นั้นคือ..บะหมี่แบบจีน..)ที่ขายถูกไม่ที่สุด..ก็..เกือบที่สุดใน..โตเกียวแล้ว..
    ....แต่ไม่ต้องไป..สนใจ..ราคาหรอกครับ..เรื่อง..ความอร่อย..และ..คุณภาพสำคัญเหนือกว่า
    .....ร้านรถเข็น..ร้านนี้..มันเปลี่ยนพฤติกรรมของ..ผมในญี่ปุ่นไปตลอดกาล...นั่นคือ...
    ๑. หลังจากไปอยู่ที่สูนย์ซูคุบะแล้ว..ถ้าผมเข้ามาโตเกียว..คนเดียวเมื่อไหร่..ผมจะต้อง
    แวะ..ไปกินเสมอ...
    ๒. ทำให้เมื่อผมไปเมืองไหน(..หลายท่านอาจ..งง..ต้องย้อนกลับไปอ่านบางตอน..
    ที่ผมกล่าวว่า..ต้องออกทริป..ไปต่างจังหวัด..ทุกเดือน..เดือนละ ๑ อาทิตย์...นั่นทำให้ผม
    ได้ไป..เมืองต่างๆที่กระจายไปตาม..ภูมิภาคต่างๆของ..ญี่ปุ่น..มากกว่า ยี่สิบ..เมือง...ที่ว่า..
    นี่ไม่ใช่แค่ผ่านไปนะครับ...ไปดูงาน..ทานอาหาร..ถ้ารวมไปค้างด้วย..ก็มากกว่า สิบเมืองแล้ว..)
    ...แล้ว..พอกลางคืน..ผมจะหาโอกาศไป..ร้านขายบะหมี่ญี่ปุ่น..แล้วสั่ง..เท็มปูระอูด้ง..มากิน
    เปรียบเทียบ..ทุกครั้ง...ต้องขอยืมใช้สำนวนตุ๊ดหน่อย(ผมว่า..มันเท่ห์ดี)...
    ........ร้านรถเข็นชินจูกุ...ชนะเลิศ......
    ...นี่สำหรับตัวผมนะครับ..ผมไม่ใช่นักชิม..ผมให้คะแนนใครไม่ได้ว่า..กี่ดาว....
    ...และด้วย..รูปแบบที่ผมทำแบบนี้..จึงทำให้..ผมได้กิน..โซบะ..หรือ..ราเม็ง..น้อย
    ไปโดยปริยาย..เรียกว่า..ถ้าไม่มีใครเลี้ยงหรือ..สั่งมาให้ก็..คงไม่ได้กิน......
    ......ผมเพียงแค่ต้องการอยากรู้..ว่า..ไอ้ร้านเด็ดของผม..มันเด็ดจริงรึเปล่า..และ..
    ต้องทึ่งคือ..มันไม่เหมือนบะหมี่บ้านเรา..เพราะ..บะหมี่กวางตุ้ง..สั่งที่ไหน..จังหวัดไหน
    ..มันก็เกือบกันทุกที่..แต่ไอ้เทมปูระอูด้งนี่..ไปกินแต่ละที่..รสชาติก็มีต่างกัน..แถม..
    ไอ้ที่ใส่ลงไปในชาม..สว่นใหญ่แล้วมันยังไม่เหมือนกันอีก..ไม่ว่าผัก..รูปแบบการหั่นผัก..
    ...ตัวเทมปูระ..รูปแบบการทอด..การจัดวาง..และ..ไอ้กระจุ๊กกระจิ๊ก..ต่างๆที่เรามองเห็น
    ในชามมันก็ต่างกัน....
    .....ไอ้แบบที่ผมกินนี่..มีน้อยแห่งมากที่..ทำแบบนี้..แต่ถึงเป็นรูปแบบเดียวกัน..รายละเอียด
    ..มันก็ไม่เหมือนกัน..รวมถึงรสชาติด้วย.....ผมต้องค้นคว้าถามไถ่..เพิ่มเติมภายหลังถึงได้
    ..รู้ว่า..มันเป็น ๑ ในตระกูลของ..เทมปูระโซบะ..หรือ..เทมปูระอูด้ง(..มันอยู่ที่เลือก..ชนิด
    ของเส้นที่ใส่..)....ถ้าชื่อเต็มของมันก็คือ...คาคิอาเกะ-เท็มปูระอูด้ง..หรือ..บางแห่ง..
    อาจเรียกเป็น..คาคิอาเกะ-อูด้ง..ไปเลย......แต่ภาพรวม..มันก็คือ..เท็มปูระอูด้งแบบหนึ่ง
    ..ดังนั้น..เมื่อไม่ลงในรายละเอียด..การที่ลูกค้าสั่ง..ว่า..เท็มปูระอูด้ง..เฉยๆ..จึงไม่แปลก
    อะไร...(รวมทั้ง..เท็มปูระโซบะ..เฉยๆด้วย..ผมมันติดแต่เส้นอูด้ง..บางคนที่ชอบเส้นโซบะ
    ..อาจต่อว่า..ผมได้..ขอโทษที)
    ....ไอ้คำว่า..คาคิอาเกะ..มันก็คือชื่อของ..ไอ้แพกุ้งทอดกลมๆ..ที่ผมเอารูปมาให้ดู..คราว
    ก่อน..นั่นแหละครับ..แต่ละเจ้า..หรือ..แต่ละท้องถิ่น..เขาก็ทำไอ้..คาคิอาเกะ..นี่ต่างกัน..
    ..มีใส่โน่น..ใส่นี่เพิ่มเติมกันบ้าง..แต่ที่แน่ๆ..ตั้งแต่ผมกินมา..ไม่มีเจ้าไหน..ทำได้ใหญ่..
    จนบังทุกอย่างมิด..และกลมดิก..แบบไอ้ร้านเด็ดของผมเลย.....
    ..........จนปัจจุบันนี้..ถ้าผมไปร้านอาหารญี่ปุ่นที่ไหน..สิ่งแรกที่ผมสั่ง..มันก็คือ....
    ............................เท็มปูระอูด้ง....อยู่ดี..แม้รสชาติ..มันจะห่วยแตก..ก็ตาม.........
    .............................
    ......ผมว่า..ไอ้เรื่องนี้มาซะยืดยาว..นี่ขนาดผมไม่ได้..เป็นนักชิมนะเนี่ย......
    .......แล้วตั้งแต่..วันนั้น..จนถึง..เช้าวันสุดท้าย..ก่อนที่จะย้ายไปศูนย์ซูคุบะ...ทุกเช้า...
    ..ผมก็ไป..ที่เดิม..สั่งเหมือนเดิม..และ..ผมก็จะเห็นลูกค้าเจ้าเดิมๆ..ปริมาณคนประมานเดิม
    ..แม้แต่..ผู้บริหารคนนั้น..ก็เห็น..เกือบทุกครั้ง..ที่แวะไปกิน......
    ........ครับ..นี่คือความประทับใจ..ในโตเกียวของผม..แต่ผมก็มีโอกาศ..ที่เป็นครั้ง
    แรก..ของผมอย่างอื่นอีก...แล้วทำให้ชีวิตผม..ได้ผูกพันกับมันอย่างยาวนาน..และ..
    ทำให้มันผลาญ..เงิน..ของผมไปอย่างมหาศาล..ด้วย...
    ........................
     
  5. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,061
    ต้องขออภัยอย่างมากเเลยค่ะ ไม่ได้เข้ามาหลายวัน ติดภาระกิจยุ่งเหยิงอ่ะค่ะ

    การกล่าวคำว่า อิตาดะคิมัส ก่อนรับประทานอาหาร และกล่าวคำว่า โกะจิโซซาม่ะเดะชิต่ะ

    ถือเป็นมารยาทในการรับประทานอาหารของญี่ปุ่นค่ะ แม้แต่ทานอาหารในบ้านก็ยังต้องพูดค่ะ

    กล่าวคำว่า Itadakimasu (いただきます) ก่อนรับประทานอาหาร ถ้าแปล ก็คือ จะทานแล้วนะคะ(ครับ)

    และกล่าวคำว่า Gochisousama (ごちそうさま) หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น แปลง่ายๆก็คือ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ(ครับ)

    โดยอาจพนมมือในระดับอก และก้มศีรษะเล็กน้อย เพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้ที่ผลิตและปรุงอาหาร

    ตลอดจนธรรมชาติที่ประทานอาหารเหล่านั้นมาให้

    ที่จริงก็มีเรื่องมารยาทการใช้ตะเกียบอีกเยอะแยะค่ะ

    แต่ตอนนี้เราเอาแค่พื้นฐานแรกไปก่อนแระกันนะคะ

    สังเกตไหมคะว่า อาหารญี่ปุ่นที่ทำออกมา จะไม่เหลือเป็นเศษอาหาร หล้งจากทานเสร็จ

    แล้วก็ จะไม่ทานแล้วเหลือ ราเมนเนี่ย ชามใหญ่กว่าบ้านเรามากเลยค่ะ

    แต่ก็อร่อยมากด้วย จุดเด่นก็คือ น้ำซุป ค่ะ ทานโดยไม่ต้องปรุงอะไรเลยล่ะค่ะ



    จะทานแล้วนะคะ อิตะดะคิมัส
    [​IMG]


    โกะจิโซซาม่ะเดะชิต่ะ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ

    [​IMG]


    เวลาทานอาหารพวกราเมน ก็จะทำเสียง ซู้ดๆ ทานอย่างเอร็ดอร่อย ถือเป็นมารยาท อีกอย่างหนึ่งค่ะ

    เพราะถ้าเราทานเงียบๆ คนทำอาหารอาจจะคิดว่า อาหารเขาไม่อร่อย

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2015
  6. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ........................................
    ...ขอบคุณมากครับ..คุณมากิ.....
    ..ก็นั่นแหละ..ผมถึงไม่อยากแปล..หรือ..อธิบายก่อน..
    ..เพราะ..ผมฟัง..คำอธิบาย..ความหมายมา..จากไอ้ยุ่น..สอง-สามคน..ในยุคนั้น..มันก็คง..อธิบายให้ผม
    โอเวอร์..ไปหน่อย....
    ..แต่ผมลอง..ใช้มา..สาม-สี่..บ้าน..แม่บ้านเขาก็ยิ้มแฉ่ง..ขอบใจโค้ง..ไม่หยุดกัน...แถม..ชวนให้กลับมาทานอีก...
    ...ผมก็เลย..นึกเอาเองว่า..เออที่มันอธิบายมา..มันก็คงถูกของมัน..
    ....ก็ขอโทษ..ท่านผู้อ่านที่แปลไปล่วงหน้า..แต่มันเวอร์ไปหน่อย....
    ................
    ...แต่ที่แน่ๆคือ..ใช้ได้ผลดี..แน่นอนครับ..คาถานี้..
    ...เพราะ..ผมพิสูจน์ด้วยตัวเองมาหลายครั้ง...
    ....และ..ได้ผลดี..ทุกครั้ง....
    ................
    [COLOR=Blue]...ขอบคุณ..คุณมากิ..อีกครั้งครั[COLOR=Blue]บ...........[/COLOR][/COLOR]
     
  7. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ........................
    .......แต่ก่อนจะไปถึงนั่น..ผมก็ได้พบกับ..ของแปลกที่ไม่เคยได้พบมาก่อน..ในชีวิตอีกอย่าง
    ..ซึ่งหลังจากนั้น..ซักสิบกว่าปีให้หลัง..มันก็เข้ามาในไทย..และ..แพร่หลาย..ไปทั่วประเทศ..
    ..กลายเป็นธุรกิจ..ทำเงินดีอยู่หลายปีเลย..แต่เดี๋ยวนี้..ก็เกือบแทบหาไม่เจอแล้ว..ผมว่า..
    เมืองไทย..คนไทยนั้น..ชัดเจนที่ผ่านมา.หลายอย่างที่ผมเห็น..ของบางอย่างที่ไม่ได้เป็น..
    ธรรมชาติ..และ..รูปแบบ..ที่มาแต่ดั้งเดิม..พอเห่ออะไรซักอย่าง(..ซึ่งเมืองไทยนี่ขึ้นชื่ออยู่
    แล้ว..เรื่องเห่อของใหม่..ของแปลก..ใครป้อนเข้าไป..ยัดเยียดสื่อหน่อย..ก็แห่แหนตามกัน
    เรียกว่า..ถ้าไม่เกาะกระแส..กลายเป็นเชยไป...)....ก็เอากันใหญ่..นานๆไปมันก็หายเห่อ..
    ......ไอ้สิ่งที่ว่า..นั่นคือ..”บ่อตกปลากลางกรุง”...ผมเห็นครั้งแรกนั้น..เพราะมองลงมาจาก
    รถไฟ..(ช่วงที่มันวิ่ง..ข้างบน)..แถบย่านที่พักอาศัย..ของโตเกียว..เนื่องจากมันไกลพอสม
    ควร..ผมเห็นทีแรกผมเห็นเป็นบ่อสี่เหลี่ยมเล็กๆ..แล้วก็มีคนนั่งล้อมอยู่..แต่ไม่รู้เขาทำอะไร
    กัน..พอรถไฟผ่านไปอีกที่..คราวนี้อยู่ไม่ห่างทางรถไฟเท่าไหร่..จึงเห็นได้ชัด...
    .......อ๋อ..ไอ้ที่นั่งล้อมบ่อนี่..เขามาตกปลากันนั่นเอง...ตอนหลัง..ผมเลยไปดูเอาประสพการณ์
    หน่อย..เพราะมันยังไม่เคยเห็นมี..ธุรกิจอย่างนี้..มาก่อนในเมืองไทย..เมื่อไปเฝ้าดูถึงได้รู้ว่า..
    ..เจ้าของบ่อนี่..เอาปลามาปล่อยในบ่อ..แล้วก็เก็บตัง..ไอ้พวกนักตกปลาทั้งหลาย..ที่มาใช้
    บริการ..ตกปลา..ปลาตกได้..ก็ต้องปล่อยกลับ..ลงบ่อไป...พวกยืนดูซักพักด้วยความสงสาร
    ปลา..แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีกเลย..เพราะผมไม่ชอบตกปลา..ที่ไอ้พวกชอบมันบอกว่า..
    เป็นกีฬา..ผมก็ไม่รู้ว่า..มันเป็นกีฬาตรงไหน..ถ้าระหว่าง..คนกับปลานี่..ไม่ใช่แน่..เพราะ...
    ..ไอ้ปลา..มันไม่ได้สมัครมาเล่นด้วย..มันจะมาหากินของตามธรรมชาติมัน..แต่ไม่รู้ว่า..โดน
    คนหลอก..แม้จะปล่อยไป..แต่นึกสภาพเบ็ดที่มีเงี่ยง..แล้วมันทิ่มปาก..ไอ้ตอนที่ดึงออก..
    ไอ้เงี่ยง..ก็ปาดปาก..ขยายรอยแผล..เจ็บรอบสอง..ถึงปล่อยมันลงน้ำ..ปากมันก็คงกินอะไร
    ไม่ได้..ไปอีกหลายวัน..(ถึงอยากจะกิน..มันก็คงกลัวซ้ำรอยเดิมอีก)..ถ้าโชคร้าย..แผลมัน
    ติดเชื้อ..มันก็พลอยตายไปด้วย...ไอ้ปลาที่อยู่ในบ่อ..ที่มันกินเบ็ดแล้ว..กินเบ็ดอีก..ก็เพราะ
    มันหิว..มันไม่มีทางเลือก......
    ...........ผมก็อยากรู้ว่า..ถ้าเอาไอ้ตกนักปลา..ที่เรียกตัวเอง..ว่าเป็นนักกีฬา..จับอดข้าวซัก..
    สี่-ห้า..วัน..แล้วปล่อยลง..บ่อตกปลา..ใส่ชูชีพให้..แล้วมัดมือไพล่หลัง..ให้มันลอยคออยู่แบบ
    นั้น..แล้วก็เอาเศษไก่ย่าง..เกี่ยวกับเบ็ด..หย่อนลงไปในบ่อมั่ง..พวกมึงยังจะกล้ากิน..ไก่ย่าง
    แถมเบ็ด..มั้ย.....
    ............แล้วไอ้พวกนักตกปลา..นี่ชอบนักชอบหนา..ปลาสู้เบ็ด..อย่างปลากระสูบ..ปลาชะโด
    ...ถามว่า..จริงๆมันอยากสู้เรอะ..เจ็บปากจะตายห่ะ..มันไม่มีมือนี่หว่า..ถ้ามันมีมือ..มันก็คงไม่
    ดึงแรงอย่างงั้นหรอก..มันก็เอามือค่อยๆไปคีบเบ็ดออกจากปากมัน..ไม่ดีกว่าเหรอ..ปลามัน
    แรงเยอะ..มันก็คิดอย่างเดียวว่า..ต้องใช้แรงมันดึงออกจากปาก..ไอ้คนถือเบ็ด..มันไม่ได้เจ็บ
    อะไรเลย..คิดอย่างเดียว..มันดี......ผมว่าที่ผมคิดทีแรก..ไม่ต้องรอให้ไอ้พวกนี้..มันกินไก่ที่
    ติดอยู่กับเบ็ดหรอก...เอาเบ็ดเกี่ยวปาก..เกี่ยวคอหอย..แล้วเอาสายเบ็ด..ไปมัดติดกับ..ลำตัว
    ปลากระสูบ..หรือ..ปลาชะโด..มั่ง..อย่างงี้ซิ..ถึงจะเรียกว่า..เย่อกับปลา..ของจริง...อยู่ในน้ำ
    เสมอกัน..ไอ้คนถูกมัดมือไพล่หลัง..มีชูชีพ..ใช้ตีนว่ายได้..อยากรู้ว่า..ใครจะชนะ...
    ..........พวกนักตกปลาเมืองไทย..บอกว่า..อย่างงี้เอาเปรียบ..เพราะคนธรรมชาติอยู่บนบก..
    ...งั้นเปลี่ยนใหม่ให้..ยุติธรรมเลย..ทั้งสองฝ่าย....เอาเป็นตั้งแต่..อุปกรณ์...ทั้งสองปลาย
    เหมือนกัน..คือ..เป็น..เบ็ดทั้งคู่..ไม่ต้องมีคันเบ็ด..มายุ่ง...เอาเบ็ด..เกี่ยวปากปลาชะโด..หรือ
    ปลากระสูบ..โตเต็มวัย....ด้านนึง....เอาเบ็ดเกี่ยวติดเหงือก..นักตกปลา..แต่ต้องมัดมือไพล่
    หลังเหมือนเดิม..เพราะไม่งั้นเอามือมาแงะเบ็ดออกได้..เอาเปรียบปลา...แล้วเอาปลา..โยน
    ลงน้ำ..ส่วนคนอยู่ที่ตลิ่ง..แล้วก็..เย่อกัน..แบบยุติธรรม...อย่างงี้..เรียกว่าไม่ได้เปรียบ..เสีย
    เปรียบกัน..อย่างงี้..ถึงจะเรียกว่า..”สู้” กัน..ของจริง.......ผมรับประกันว่า...๑๐๐ ทั้ง ๑๐๐....
    ต่อให้เป็นยอดนักตกปลา..ก็ต้องขอยอมแพ้..ก่อนแน่นอน....
    .......โธ่..ลำพ้งไม่มี..คันเบ็ด..ถ้าถือเอ็นธรรมดา..ด้วยมือเปล่า..ก็ไม่มีทางตกปลาแบบนี้..
    ได้หรอกครับ..มือแหกแน่นอน..ไอ้คนเรานี่มันไม่รู้จะเอาเปรียบปลา..ไปขนาดไหน....
    ........................
     
  8. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ........................
    .........แต่ที่นี่..เรื่องตกปลานี่..ไอ้พ่อญี่ปุ่น..มันจะหล่อหลอม..ลูกชายมัน..ให้ตกปลากับ..พ่อ
    มัน..กันตั้งแต่เด็ก..ทำให้มันฝังเข้าไปในจิตวิญญาน..ทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นส่วนใหญ่..ชอบตกปลา
    กัน..ถ้าเป็นวันธรรมดา..เวลาทำงานของคนทั่วไป..คนก็เต็มบ่อ..เช่นกัน..เป็นไอ้พวกแก่..วัย
    ปลดเกษียน..ทั้งนั้น..พวกนี้ไม่รู้จะทำอะไร..สามารถนั่งอยู่ที่นั่นได้..ตั้งแต่เช้าจรดเย็น..แถม..
    ส่วนใหญ่..จะมีขวดน้ำ..และข้าวกล่องที่เมียทำไว้ให้..เอาติดตัวไว้ด้วย......
    ....ไม่ว่า..เหนือ..จรด..ใต้ในญี่ปุ่นที่ผมไปมา..มันก็เป็น..รูปแบบนี้กันหมด...ส่วนพอเสาร์-อาทิตย์
    ...ไอ้พ่อก็จะพา..ลูกชาย..หรือ..พรรคพวก..เพื่อนฝูง..ไปตามลำน้ำธรรมชาติ..ไปตกปลากัน..
    .....แล้ว..ส่วนใหญ่..ที่ผมสังเกต..มันก็ไม่ได้เฝ้าเบ็ดกันหรอก..นั่งกินเบียร์..คุยกันขโมงโฉงเฉง
    ...ไอ้คันเบ็ดนะ..ปักไว้(..จะมีไอ้ตัวค้ำปักลงในพื้น..แล้วเอาคันเบ็ดมาพาด..)...โดยมันจะติด..
    กะพรวนไว้...พอปลากินเบ็ด..สายเบ็ดตึง..มันก็จะรั้งคันเบ็ด..ทำให้คันเบ็ดขยับ..กะพรวนมันก็
    จะดัง..พวกมันก็จะมาดูว่า..เป็นเบ็ดของใคร..แล้วก็จัดการกันเอง..พอเสร็จ..มันก็ทำเหมือนเดิม
    อีก....จริงๆนะ..ผมก็ไม่ได้อยากดูหรอก..แต่เนื่องจากเวลาที่ผมไปดูงานต่างจังหวัด..ก็ต้องไป
    ที่แม่น้ำ..ที่เป็นสิ่งที่ผมเรียน..ไอ้พวกเวร..นี่..มันมาปักหลักอยู่ใกล้ๆ...ผมนะ..ดูตลิ่งแม่น้ำ....
    ลักษณะการกัดเซาะ..ของกระแสน้ำ...ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ..ไอ้พวกนี้..
    .......ดังนั้น..เมื่อธุรกิจบ่อตกปลา..ของบ้านเราซบเซาไปแล้ว...แต่ที่ญี่ปุ่น..มันก็ไม่มีการเปลี่ยน
    แปลง..เพราะมันสืบสาน..ฝังรากกันมาตลอดกาล.....
    ..........................
    ........กลับมาเรื่องที่ผมเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้..ที่ว่ามันผลาญเงิน..ผมไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
    ..ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...มันก็คือ..กล้องถ่ายรูป..นั่นเอง....
    .........ก่อนหน้านี้..ผมเคยได้ถ่ายรูป..นิดหน่อย..คือ..เป็นกล้องของพ่อผม..ผมแต่ก็เรียกว่า..
    ..”ถ่ายไม่เป็น”..ในภาษานักถ่ายภาพซะมากกว่า..เพราะไม่มีทฤษฎีอะไรในสมอง..ไม่ว่า..
    การจัดภาพ..การจัดแสง..เรียกว่า..ประเภทเขาเรียกให้มาถ่ายให้มากกว่า...จริงๆแล้ว..
    ในใจก็ชอบเหมือนกัน..เพราะผมเป็นคนชอบงานศิลป์..เพียงแต่ผมคิดจะทำอะไร..ก็ต้อง
    ทำจริงๆ..จังๆ..แต่เนื่องจากผมไม่มีปัญญามีกล้องของตนเอง..ก็เลยไม่มีโอกาศซักที..
    .......พอมารู้ตัวว่า..ได้ไป..ญี่ปุ่นแน่..ไอ้เรื่องนี้ก็เลยกลับ..เข้ามาในสมอง...เพราะอะไรหรือ
    ครับ.....เพราะ..กล้องที่ถือว่า..จะถ่ายแบบ..ใช้เทคนิคเข้าช่วยได้..ก็คือ..กล้องแบบ..
    ..เลนส์สะท้อนเดี่ยว ( SLR )...ปัญหาอันดับแรกสุด..ไม่ใช่ยี่ห้อ..แต่เป็นเรื่อง..ราคา...
    ...ผมรับราชการครั้งแรก..เมื่อปี..๒๕๒๐ ..ข้าราชการชั้นตรี(สมัยนั้น..ไม่มี..ซี)..มีปริญญา
    เงินเดือนขั้นแรก..๑,๗๕๐ บาท ขั้นที่เงินจะปรับขึ้นแต่ละขั้น..ก็อยู่ประมาณ ร้อยกว่าบาท..
    ถึง..สองร้อยกว่าบาท..ในห้าหกปีแรก...ก่อนที่ผมจะมาญี่ปุ่น..เงินเดือน..สองพันกว่าบาท..
    ...แต่กล้อง SLR ..ในยุคนั้น..ที่พอใช้ได้..ก็ไม่หนี...ห้าพันกว่า..ถึง..หกพัน..กว่าขึ้นไป..
    (กล้องพร้อมเลนส์มาตรฐาน)....นั่นคือ..เหตุผล..ที่ผมไม่สามารถจะ..มีกล้องได้...
    ....ลองมาเทียบกับในยุคนี้ดูซิครับ..เด็กจบปริญญาตรีใหม่ๆ..เงินเดือน..หมื่นกว่า..บาท..
    ..เงินเดือน แค่เดือนแรก..ก้สามารถซื้อ..มือถือ..ที่มีกล้องติดอยู่ในตัว..คุณภาพดี..ถ่าย
    ก็..มีลูกเล่นได้แล้ว..ช่วยแต่งภาพได้..แล้วชัดบัดซบ...กดอย่างเดียว..จัดตำแหน่งภาพ
    เป็นก็..จบ.....ขณะที่ยุคโน้น..กล้องปัญญาอ่อนกดอย่างเดียว..ภาพออกมาไม่ได้เรื่อง
    ไม่คม..ไม่ชัด..กล้อง SLR ต้องปรับโฟกัส..ปรับแสง..ปรับความเร็วชัตเตอร์..คนถ่ายภาพ
    มือใหม่..ไปถ่ายเข้า..บางทีภาพออกมาห่วยแตก..มากกว่าครึ่ง....
    ..........นั่นแหละครับ..สมัยก่อน..จึงยากมาก..ต้องเก็บเงินกันหลายปีมาก..กว่าจะได้กล้อง
    ซักตัว...แต่การมา..ญี่ปุ่น..นี่ถือว่าเป็นโอกาศดี...เรียกว่า..พวกรับทุนJICAของไทย..ยุคนั้น
    ..และก่อนนั้น..ไม่มีคนไหน..ที่ไม่ซื้อกล้องถ่ายรูป..ไม่ว่า..ชาย..หญิง..ถ่ายรูปเป็น..หรือ...
    ไม่เป็น..เพราะ..เราสามารถซื้อในราคาปลอดภาษี..สะพายเป็นของใช้ส่วนตัวได้..กลับไทย
    ก็ไม่ต้องเสีย..ภาษี...แล้วไอ้ปัจจัยที่..ช่วยให้ซื้อได้อีกอย่างก็คือ...
    .......การที่..ญี่ปุ่น..มันจ่ายเงินให้ใช้..เรียกว่า..สำหรับคนไทยแล้ว..เหลือใช้..ครับ..ดังนั้น..
    ...ทุกคนจึง..สามารถซื้อได้........
    ..........สำหรับผมเอง..ก็พอมีเงินเก็บอยู่ซัก..สองสามพันบาท..ก็เรียกว่าขนเงินไปด้วย..
    ..เพื่อไปสมทบ..กับ..เงินที่ได้..มันก็มีโอกาศเป็นเจ้าของ..กล้อง SLR..และ..พอมีเงินเหลือ
    ..สำหรับ..ซื้อพวก..แฟลช..ด้วย..(..กล้อง SLR ยุคนั้น..ไม่มี แฟลช ในตัวแบบยุคนี้นะครับ)
    .........................
     
  9. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .........................
    .........แต่ตั้งวันแรก..ที่ไปย่านอาคิฮาบารา..แหล่งเครื่องใช้อิเลกโทรนิคส์..และ..กล้อง..
    ...ตอนอยู่เมืองไทย..พี่ๆที่มีประสพการณ์..ก็ช่วยเลือกกันไว้ก่อน..เฮ้ยไอ้ตัวนี้..เจ๋ง..แต่แพง
    หน่อย..ไอ้ตัวนี้ถ่ายง่ายกว่า..แต่ไม่เจ๋งเท่าไหร่....ฯลฯ..ผมละปวดหัวเลย..เลือกไม่ถูก....
    ....พอไปถึงโน่น..คนที่อยู่ก่อน..ที่เขาซื้อมาก่อนหน้า..ก็ให้ข้อมูล..ทั้งทางเทคนิค..และ..ราคา
    จริง..ที่เราจะไปซื้อ...หนักเข้าไปอีก..ไอ้ที่ตั้งใจมาทีแรก..ชักไม่ค่อยเหมาะแล้ว...ผมไปรอบ
    แรก..ไปดูของจริงมาก่อน..เก็บข้อมูล..โอ้โห..ทั้งยี่ห้อ..ทั้งรุ่น..เยอะชิปเป๋ง..ลายตาไปหมด..
    ขนแคตตาล็อก..มานั่งอ่านข้อมูลทางเทคนิค..ราคา..ที่โรงแรม..เวลาช่วงแรกที่..อยู่โตเกียว..ก็มี
    ไม่มาก..ต้องรีบตัดสินใจ..ไอ้เงินงวดแรก..ก็ได้มาแล้ว..รวมกับเงินที่เอามาด้วย..เหลือจะพอ..
    ...แต่ก็ต้องกันเผื่อไว้กิน..เที่ยวด้วย..ก่อนงวด ๒ จะออก..แต่ก็พออยู่ดี.....
    ......ผมก็ตัดสินใจเลย..เลือกกล้องได้มา..พร้อมกับ..ซื้อ..แฟลช..มาด้วย...รุ่งขึ้น..ก็เริ่มถ่ายเลย
    ..ภาพออกมาห่วย..มากกว่าดี..(ที่นั่น..ล้างอัด..รูป..ไม่แพง..ถูกกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ..และเร็ว)..
    ..ก็ฝึกไปเรื่อย..พอดี..คนไทยที่อยู่ก่อน..เขาแนะนำ..ว่า..ที่ศูนย์โตเกียวนี่..เขาประสานงาน..
    กับ..บริษัททัวร์..ประเภท 1 DAY ทัวร์..มีอยู่ ๓ – ๔ รายการให้เลือก..ผมก็เลือกเอา..ไว้
    ๒ รายการ...(..วันที่จะไป..จะ..เป็น..เสาร์..หรือ..อาทิตย์..ที่เราว่าง..)...รายการแรกที่ได้ไป..
    ก่อน..ก็เป็น..ล่องทะเลสาปฮาโกเน่....ส่วนรายการที่สอง..รอนานหน่อย..เป็น..นิคโกะ..ที่ต้อง
    รอนานเพราะ..กะให้มันตรงกับ..ต้นเมเปิลเปลี่ยนสีใบ..ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง....
    ......ทัวร์แรก..ก็รอไม่นาน..ได้ลองกล้อง..สีฟิลม์..ตุนไว้ ๔-๕ ม้วนเลย..เผื่อภาพออกมาไม่ดี..
    ..ก็เริ่มจะดีขึ้น..แต่คราวนี้..ก็อยากจะถ่ายไอ้ที่มันเริ่มเกิน..ความสามารถของอุปกรณ์..ที่มีซะแล้ว
    ...ตั้งแต่บัดนั้น..มันก็เริ่มจาก..ซื้อ..ฟิลเตอร์ใส่หน้าเลนส์..แบบต่างๆ..หนักเข้า..ก็เป็น..เลนส์
    ...ทีแรก..ก็เป็น..เลนส์ซูม..อ้าว..อยากได้ภาพมุมกว้าง..จะทำไงดี..ก็ต้องตามมาด้วย..
    เลนส์มุมกว้าง ( WIDE ANGLE )...ซูม..เท่าที่มี..มันยังน้อยไปหน่อย..ชักไม่พอต่อความ
    ต้องการ..ก็ตามมาด้วย..คอนเวอร์เทอร์ 2X ..เอามาต่อเชื่อม..เพื่อให้กำลังการซูมขยาย
    เป็น ๒ เท่า ..แล้ว..ก็ซื้อฟิลเตอร์..และ...ฯลฯ..เงินทั้งนั้นครับ..ที่หมดไป..แถมยุคผม..
    ยังเสียเปรียบ..ก็คือ..ถ้าไม่อัดรูป..ก็ไม่รู้ว่าเราถ่ายเป็นยังไง..พัฒนาการเป็นยังไง...ไม่ใช่
    ถ่ายภาพทั่วไปซะแล้ว..ดังนั้น..ปริมาณภาพถ่ายก็มหาศาลตามไปด้วย...เรียกว่า...กลับ
    มาจากญี่ปุ่น..ผมหมดไปกับไอ้บ้านี่..มากกว่าอย่างอื่น..แถมพาลมาต่อเนื่องที่เมืองไทย..
    บ้า..ถ่ายรูป..หนักเข้าไปอีก....แต่มันก็เป็นช่วงเวลานั้น..ซึ่งมันสนองความต้องการ..และ
    ให้ความสุขเพลิดเพลิน..ได้...อยู่กับมันได้ทั้งวัน...
    .........................
    .............แล้วก้มาถึงวันที่..ต้องจากกรุงโตเกียว..ครั้งแรก..เพราะพวกเราต้องย้ายไปอยู่
    ปักหลักที่..ศูนย์ซูคูบะ..ที่เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษจนติดปากกันว่า..TBIC..ส่วนที่โตเกียว
    ..เราก็เรียกว่า..TIC...ก่อนหน้าข้อมูลที่ทราบ..รู้ว่ามันอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว..และ..
    อยู่คนละจังหวัด..ที่นั้นคือ..จังหวัดอิบารากิ..นั่งรถไฟก็ชั่วโมงกว่าๆหน่อย..แต่วันที่ไป..
    ..เราไปรถบัสกัน...นั่นแหละ..ผมถึงรู้ว่า..โตเกียว..มองภาพทั่วไปไม่เห็นรถติดอะไร...
    ..นั้นคือ..ถนนข้างล่าง..แต่ทางด่วนลอยฟ้าแล้ว..มันติดใกล้เคียงกับกรุงเทพเลย.....
    ...ครึ่งชั่วโมง..ยังออกไปไม่พ้นโตเกียวเลย..พอรถออกพ้นโตเกียวไป...ทิวทัศน์..ระหว่าง
    ก็..ราบสนิท..กลายเป็นท้องนา..เป็นส่วนใหญ่..บ้านคนอยู่กันห่างๆ..แต่บ้านเรือนเมื่อ..
    ผมสังเกตดู..ก็จึงรู้ว่า..มันต่างจากบ้านเราชัดเจนอย่างหนึ่ง...บ้านที่อยู่กลางท้องนา..นั้น
    มัน..ใหญ่โตครับ..ไม่เป็นรูหนู..แบบในโตเกียว..มันต่างจาก..บ้านเราชัดเจน...บ้านเรา
    ตอนนั้น..ยังไม่มีคอนโดฯ...เขตชุมชุน..ในกรุงเทพ..นั้น..บ้านจะใหญ่โต...บ้านรอบนอก
    ..จะเล็ก...ยิ่งบ้านตามท้องนา..ยิ่งกระจอกหนักเข้าไปอีก..บ้านไม้..โทรม..เล็ก.....
    .........ที่นี่..ชาวนา..คือคนรวย..ครับ..เป็นพวกที่มีชีวิตอย่างสุขสบาย..ไม่ต้องปากกัด..
    ตีนถีบ..แบบบ้านเรา..ก็สามารถสร้างบ้านขนาดใหญ่..มีสวนดอกไม้รอบๆ..สวนญี่ปุ่น..
    รอบๆตัวบ้าน..ได้สบายๆ.....
    ......................
     
  10. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ......................
    ......ผมเคยเข้าไปในบ้านชาวนาสูงวัยชาวญี่ปุ่น..มาแล้ว..ด้วยความบังเอิญ..เอาไว้หลังๆ
    จะมาเล่าให้ฟัง.......
    .............พอเริ่มเข้าเขตเมือง..ซูคุบะ..บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยน..เห็นอาคารทันสมัย..ระดับ
    ไม่เกินสิบชั้นมากมาย..กระจายทั่วไปหมด...ซึ่งมันไม่รกตา..แบบคอนโดบ้านเราหรอกครับ..
    ..เพราะแต่ละอัน..สูงโด่..เกินเหตุ......ที่ผมเห็นนี่..จึงมาทราบภายหลังว่า....
    ............เมืองซูคุบะนี่..เดิมก็เป็นชุมชนชาวนาเล็กๆ..(ชื่อเมืองซูคุบะ..นี่ไม่เหมือนเมืองอื่น
    นะครับ..เพราะเขาไม่เขียนด้วยตัวคันจิ(ตัวจีน)..ซึ่งมีน้อยๆมากๆไม่น่าเกิน ๑๐ เมืองในญี่ปุ่น
    ..ชื่อเมืองเขียนด้วยตัว..ฮิรากานะ..(ตัวหนังสือตามแบบที่..คุณมากิ..เขียนไว้บ่อยๆนั่นแหละ)
    ...แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านั้น.งก็เป็นชุมชนที่มีอายุมาไม่นานนัก....
    ..........ญี่ปุ่นนั้นทางการเริ่มมีปัญหา..เรื่องหน่วยงานราชการ..(คล้ายๆเมื่อสิบกว่าปี..ที่บ้านเรา
    ไปสร้าง..ที่แถวแจ้งวัฒนะ..เมืองนนท์..แต่เขาเริ่มมาก่อนหน้าเราประมาณสามสิบปี)....ทางการ
    ก็ได้เลือกที่บริเวรนี้..แล้วกว้านซื้อ..กว้างใหญ่มหาศาล..(ใหญ่กว่า..ที่เราย้ายไปเป็นสิบกว่าเท่า)
    ...เขามีหลักเกณฑ์..ที่เป็นรากฐานสำคัญ..ก็คือ..ที่นี่..จะเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี....
    ....ดังนั้น..หน่วยงาน..ที่ย้ายมาที่นี่..แต่ละเจ้า..จะมีเนื้อที่เหลือเฟือ..รองรับไปได้เป็น..ห้าสิบปี..
    ...หน่วยงาน..ที่ย้ายมานี่มาจากเกือบทุกกระทรวง..แต่ส่วนที่ย้ายมานี่จะเน้นด้าน..วิทยาศาสตร์
    และ..เทคโนโลยี...นอกจากนั้น..เขาก็สร้างมหาวิทยาลัย..ที่เน้นแบบเดียวกันนี้ขึ้น..มาด้วย..
    ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก..ที่สอนเป็นแบบอินเตอร์เนชั่นแน้ล..คือ..สอนด้วยภาษาอังกฤษ..
    และมีทุน..มากมาย..ผมทราบมาภายหลัง..ว่า..มีคนไทยหลายคน..จบจากที่นี่...ซึ่งทำให้ที่นี่
    พิเศษ..เป็นมหาวิทยาลัย..ที่อาจารย์สอนเกินครึ่งมาจาก..ต่างชาติ..จนต้องมีการสร้างโบสถ์
    คริสต์หลังใหญ่..ประจำมหาวิทยาลัย..ผมเคยเข้าไปฟังสวดอยู่ครั้งหนึ่ง..ฝรั่งเต็มโบสถ์เลย..
    .........ต้องเข้าใจว่า..สมัยนั้น..(ก็คงสมัยนี้ด้วย)..ตำหรับตำราวิชาการ..ทางคณิตศาสตร์..
    วิทยาศาสตร์..ฟิสิกส์..เคมี..ชีว..ฯลฯและ..วิศวกรรมศาสตร์..เขาทำการแปลให้..เป็นภาษา
    ของเขา...เพื่อให้เด็กเรียนกัน..ตั้งแต่ชั้นประถม..มันเกิดปัญหา..เมื่อเวลา..เด็กญี่ปุ่นหัวดี
    ..ได้รับทุนด้านนี้..ไปเมืองนอกแล้วไปไม่รอด..การต่อโท..หรือเอก..ที่เมืองนอกเป็นเรื่อง
    ยาก..ขนาดด็อกเตอร์ญี่ปุ่น..จำนวนไม่น้อยที่สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้...การร่วมมือทำงาน
    วิจัย..กับชาติอื่นๆ..ก็มีปัญหา..ต้องคัดเอาแต่คนที่จบเมืองนอกไปร่วม..ไม่งั้นก็ต้องวุ่นวาย..
    คือ..ต้องมีล่ามประจำตัว.....ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์..นั้นเป็นศัพท์เฉพาะ..และจำนวนมากนั้น
    มัน..จะต้องรู้มาตั้งแต่..มัธยม..เมื่อออกเสียงผิด..มาตั้งแต่ต้น(..ก็คนสอนก็ออกเสียงผิด...
    ..คำอ่านที่สะกดเป็นภาษาญี่ปุ่น..มันก็ไม่ได้เรื่องเลย)...การสื่อสารกับคนอื่น..จึงลำบาก..
    .........อย่างผมเรียนหนังสือ..คณิตศาสตร์..เรขาคณิต..นี่ตั้งแต่มัธยมต้น..ใช้หนังสือที่พิมพ์
    จากเมืองนอกเลย..ของ..เอช.จี.ฮอลล์..อ่านจากในนั้นโดยตรง..การบ้าน..ก็ทำจากหนังสือ
    ฝรั่ง..ไม่มีการเรียนหนังสือฉบับไทย..ตอนช่วงหลังๆมัธยมปลายรู้สึกจะมีการแปลมาเป็นไทย
    ...แต่นั่นคือ..ข้อดี..คือ..เราคุ้นกับภาษามาตั้งแต่เด็ก...มาเรียนวิศวฯ..ก็เรียนหนังสือฝรั่ง..
    เป็นหลัก...เมื่อเวลา..ไปคุยกับฝรั่งทางวิชาการนั้น..การสื่อสารจึงไม่มีปัญหาอะไร....
    ...........ซึ่งเป็น..ข้อด้อย..และ..เป็นความอับอาย..ของญี่ปุ่น..ที่ต้องเก็บงำ..เพราะจะมีการ
    เหน็บแนม..จากทางฝรั่งเสมอ..ขณะยุคที่ผมไปนั้น...ญี่ปุ่นเป็นช่วงที่สูงสุด..ถือว่าเป็น..
    อารยชน..ผู้นำ..แห่งเอเซีย..ที่ฝรั่งยุโรป..ยังต้องก้มหัวให้...แต่มามีข้อเสียเรื่องนี้.......
    .....การสร้างมหาวิทยาลัยซูคูบะ..จึงเป็นจุดเริ่ม..และ..เขาก็พยายามเลียนแบบฝรั่ง..
    ให้เมืองซูคูบะ..เป็นเหมือนเมืองมหาวิทยาลัย..ไปในตัวด้วย..(เอาแบบคล้ายๆเมือง
    เบิรกเลย์..ในอเมริกา)...
    ............ส่วนที่..เป็นหน่วยงานราชการนั้น..ก็อยู่ติดๆกัน..เป็นย่านใหญ่โตมโหฬาร..
    (ใหญ่กว่า..เมืองทอง ๑,๒..และ ๓ รวมกันมาก )..หน่วยงานที่อยู่เหล่านี้..ส่วนใหญ่..
    จะเป็น..หน่วยงานด้านวิจัย..ทั้งหมด..ทุกด้านทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี..ก็..
    ขนาด..ศูนย์วิจัยทางอวกาศของญี่ปุ่น..ก็อยู่ที่นี่ด้วย....(..แม้แต่..การเกษตร..และ..
    สายทางแพทย์..และ..เภสัช..)....ลองนึกดูแล้วกัน..ว่าจะมีจำนวนตึกมาก..ขนาดไหน
    ...............ทั้งหมดนี่เพิ่งเสร็จดำเนินการย้ายกันเข้ามา..ได้ไม่ถึง..ห้าหกปี..ก่อนหน้า
    ที่ผมจะเข้ามาอยู่..มันเลย..ใหม่มาก..และ..ทันสมัยมาก..และ..TBIC..ที่ผมอยู่ก็เช่น
    กัน...ศูนย์นี่ก็อยู่แยกมาจาก..ส่วนราชการ..และ..มหาวิทยาลัย..แต่ก็อยู่ไม่ห่างกันมาก
    .......พอรถพวกเราเข้า..มาใกล้แล้วไอ้ยุ่นชี้ให้ดูว่า..ที่นี่แหละ..บ้านของเรา...พวกเรา
    ก็..เฮกันลั่น..เลย...มันยอดเยี่ยมมาก..ใหม่จ๋องเลย...
    .....................
    .................[​IMG]

    ..................[​IMG]

    .............นี่แหละครับ..บ้านใหม่ผมตอนนั้น TBIC...

     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    มีเพื่อนคนหนึ่งสามีจบวิศวจากญี่ปุ่น พอมาอยู่อเมริกาหางานทําไม่ได้เลยเพราะลิ้นแข็งเลยกลับไปรวยที่เมืองไทย(อธิบายเรื่องก๋วยเตี๋ยวเสียจนต้องรีบเข้าครัวไปทานSapporo Ichiban เลย)
     
  12. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ....................
    ...ขอบคุณครับพี่..ที่มาshrareเรื่องให้ทราบ..เดี๋ยวคนอ่านจะหาว่าผมอำ..นี่คือเรื่องจริง...
    ...ผมยกตัวอย่างให้อีกอัน..เรื่องของแม่พิมพ์ที่มีผลจนปัจจุบัน.....
    ..ผู้อ่านหลายท่านที่มีเพื่อน..หรือ..เคยธุรกิจ..หรือมีการสื่อสารพูดคุย..กับ..คนสิงค์โปร์..แล้วมีความรู้สึกว่า..มันพูดสำเนียงประหลาดมาก..พูดรู้เรื่องครับ..แต่..เหน่อ..แบบประหลาด..เป็นสำเนียง..เฉพาะตัว...
    .....มีที่มาครับ...เพราะยุคแรก..ที่อังกฤษ..เข้ามาปกครองนั้น...ส่วนใหญ่ที่มานั้น..คือ..ทหาร..นักธุรกิจ..ก็ไม่มีเวลามาสอนหนังสือ..ก็เลยให้พวก..ทหารช่วยสอน..ภาษาอังกฤษให้...คราวนี้..พวกทหาร..ก็ไม่ได้มีความรู้อะไร..ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่..นายสิบ..พวกนี้..ส่วนใหญ่เป็นพวกบ้านนอก..มีทั้งบ้านนอกชานลอนดอน..(ค็อกนีย์)..พวกเวลช์...
    ..พวกลิเวอร์พูลพันธุ์แท้(พวกนี้..เหน่อมาก)..พวกสก็อตไฮแลนด์(ยิ่งเหนือเข้าไปใหญ่)..และ..พวกไอริช....คนสิงค์โปร์ส่วนใหญ่..เป็นจีนฮกเกี้ยน..ซึ่ง
    เป็นจีน..ที่มีสำเนียงเฉพาะตัว..แต่ได้รับการสอนสำเนียงเพี้ยน(เหน่อ)สารพัดแบบ..เข้าไป..ก็หล่อหลอม..กลายเป็นสำเนียงใหม่เหน่อประหลาด..แล้วพวกนี้..กกลายเป็นครู..มาสอนเด็กๆ..รุ่นต่อรุ่น..เป็นร้อยปี..สำเนียงมันก็เลยฝังลึกเป็นรูปแบบ..ของตัวเอง...............
    ....เช่นเดียวกับ..ฟิลิปปินส์..ที่เป็นเมืองขึ้นเสปนมาเป็นร้อยปี..แล้ว..มาเป็นเมืองขึ้นอเมริกัน..พวกนี้ลิ้นมันเป็น..เสปน..เต็มตัว..ต้องมาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ..กันใหม่..มันก็เลยปรับไม่ค่อยได้...
    ..แล้วไอ้พวกนี้..ก็เป็นครูสอนภาษาต่อๆกันมารุ่นต่อรุ่นเช่นเดียวกัน...ไอ้ปินส์..มันเลยพูดอังกฤษ..ด้วยสำเนียงที่ไม่น่าฟัง(..แต่รู้เรื่อง..).....
    [COLOR=Blue]...พี่ไทย..ไม่มีสำเนียงอะไร..ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นฝรั่ง..[COLOR=Blue]แต่บางคนกระแดะ..จะพูดสำเนียงอเมริกัน..
    [COLOR=Blue]หรือ..บางคนพูดแบบไทย(คือ..ท[COLOR=Blue]ื่[/COLOR]อๆ..ไม่มีสูงไม่มีต่ำ)....แต่สรุปมาคล้ายกันคือ..พูดแล้วดูเหมือนดี..แต่คนฟังๆ..ไม่รู้เรื่อง...แต่ก็ยังดีกว่า..ญี่ปุ่น
    [COLOR=Blue].............................
    [COLOR=Blue]...เรื่องที่..ฮอกไกโด..มีเรื่องให้เล่าเยอะครับ..ต้องรอหน่อย...[/COLOR]
    [/COLOR][/COLOR] [/COLOR][/COLOR]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2015
  13. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .....................
    .....รูปทรงตึก..รูปแบบ..สีสันมันก็ไม่เหมือนใคร...เรียกว่า..สะดุดกว่าใครเพื่อน.......
    .......เมื่อพวกเราลงรถ..ก็ไปลงทะเบียน..รับกุญแจห้อง..และ..มีการปฐมนิเทศเล็กน้อย
    ..แนะนำ..ทั่วไป..ระเบียบบางส่วน..มาที่ล้อบบี้..ดูโน่นดูนี่..แล้วก็เห็นกลุ่มคนไทยกำลัง
    นั่งคุยกัน..ผมก็เลยเข้าไปแนะนำตัว..ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี..คนไทยอยู่ที่นี่ตอนนั้น
    ประมาณ สิบกว่า..เกือบ..ยี่สิบ..แต่..อย่างว่า..ครับบางคนก็ไปดูงาน..ที่ต่างจังหวัด..ไม่อยู่
    ตอนนั้น..ก็เลยเหลือประมาณ สิบกว่าคนหน่อยๆ..ก็แนะนำ..เรื่องต่างๆ..การใช้ของ..ห้อง
    สิ่งอำนวยความสะดวก..ส่วนต่างๆของพื้นที่ภายในศูนย์..ก็บอกว่า..พอดี..จะมีคนกลับเมือง
    ไทยอาทิตย์หน้า..อีกสามสี่วัน..ก็จัดรับน้องใหม่พร้อมกับเลี้ยงส่งคนเก่า..ไปด้วยในตัว...
    ....ผมเข้าไปเอากระเป๋า..เข้าห้อง..มันก็เหมือนห้องในโรงแรม..ดีๆนี่เอง..ต่างกันแค่...
    ..ไม่มีทีวี..แค่นั้นเอง..(แต่ไม่เป็นไรเพราะ..ผมซื้อวิทยุมีลำโพงในตัวเล็กๆมาฟัง..แก้เหงา
    ไว้ก่อนแล้ว)..พื้นพรหม...แอร์..เครื่องทำความร้อน..ห้องน้ำ-อ่างอาบน้ำ..ทุกอย่างใหม่มาก
    ..ผมก็ยังนึกดีใจว่า..ยังดีกว่าให้อยู่..TIC(ศูนย์โตเกียว)...เพราะมันเก่า..ห้องโทรมมาก..และ..
    ส่วนใหญ่จะไม่มี..ห้องน้ำในตัว...และ..หนวกหูกว่า....
    ........ตกเย็นนั้น..ก็ไปที่..โรงอาหาร..ที่ใหญ่กว้างขวางมาก...ที่นี่..เรียกว่า..โต๊ะใคร..โต๊ะมัน..
    ห้ามมาแหยมกัน...สำหรับ..โต๊ะคนไทย..รู้สึกว่าจะอยู่ทิศใต้..ก็ส่วนใหญ่ครับ..ที่มากิน..แต่บาง
    ส่วน..ก็ทำอาหารไทย..กินกันที่ห้อง..เพราะอาหารที่นี่ไม่ถูกปาก..และ..ก็ประหยัดไปในตัว...
    ....พวกคนไทยเรา..ก็จะมากินค่อนข้างเวลาเดียวกัน..ก็แลกเรื่องราวกันสารพัด..วันแรกนี่..
    ผม..ก็จะได้รับการถ่ายทอดข้อมูล..ความเป็นไปที่นี่..และสิ่งที่ควรเลี่ยง..หรือ..ควรปฏิบัติ...
    .........ที่นี่ผมว่า..มันคล้ายๆชุมชนคลองเตย..ที่ใหญ่..มันมีหลายแก๊งค์....ไอ้แก๊งค์ใหญ่สุด..
    ..ที่กร่างกว่าเพื่อน..เพราะปริมาณคนมากที่สุด..สาเหตุไม่ใช่อะไรหรอกครับ..มันพูดภาษา
    เดียวกัน..คือ..ภาษาเสปน..พวกละติน..ได้แก่..อเมริกากลาง..และ..อเมริกาใต้...ส่วน..
    บราซิล..ที่พูดโปรตุเกศ..นั้น..มันก็เป็นพันธมิตรกัน..ประเทศเดียว..คนไม่มาก(..แต่มากกว่า
    คนไทย..)..ซึ่งผมเคยเล่าแล้วว่า..โปรตุเกศ..กับ..เสปน..มันก็เหมือนไทยกับลาว...คือ..คุย
    กันรู้เรื่อง..โดยไม่ต้องใช้ภาษากลาง..ใช้ภาษาตัวเองได้เลย..และพวกนี้..ก็ถือว่าเป็น..ละติน
    เช่นกัน......กลุ่มนี้..มันมีกันซัก..๖๐ถึง๗๐ กว่าๆได้...อยู่ในโรงอาหารเวลามันมากันเต็มแล้ว..
    หนวกหูมาก...เพราะโดยสันดานพวกนี้..พูดกันธรรมดาก็ดังแล้ว..เหมือนคนทะเลาะกัน....
    ......อีกพวกที่..จับกลุ่มกันได้..ถึงแม้ไม่พูดภาษาเดียวกัน..แต่สีผิวเหมือนกัน...ก็คือ..
    ....กลุ่มไอ้มืด..ที่มาจากอาฟริกาทั้งหมด...จริงๆแล้ว..ถ้าตามภาษานั้น..มันมีอยู่๒ กลุ่มครับ..
    คือ..กลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษ..กับ..กลุ่มที่พูดฝรั่งเศษ..แต่เมื่อมาจากทวีปเดียวกัน..และต้อง
    ผนึกกำลัง..ก็ต้องยอมตาม..คือ..พูดอังกฤษ..เป็นภาษากลาง..เพราะ..ไอ้มืดที่ประเทศพูด
    ฝรั่งเศษ..แต่จะรับทุนนี้..ก็ต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ..อยู่แล้ว.....
    .....พวกนี้ก็..มีจำนวนใกล้เคียงกับ..กลุ่มละติน......
    ....อีกกลุ่ม..ที่มีจำนวนรองลงมาหน่อย..อันนี้..เป็นไปตามชาติพันธุ์..และ..ศาสนา..เลยรวม
    กันได้..นั่นคือพวกตะวันออกกลาง..และ..อาฟริกาเหนือ..แต่..บางคนก็ไม่ได้เป็นมุสลิม..
    เพราะอย่าง..สาวอียิปต์ที่เรียนวิชาเดียวกับผม..นี่เป็น..คริสต์..แต่คนอียิปต์ที่มานี่เกือบทั้ง
    หมด..เขาเป็นมุสลิม...และก็เกาะกลุ่มกับพวกอาหรับ..ด้วยกัน..ก็เลย..ต้องไปอยู่รวมกัน..
    ....ที่เหลือ..นี่..คือ..พวกเอเซีย..ที่จะเป็นกลุ่มประเทศใครประเทศมัน....ไม่ว่า..อินเดีย..
    ปากี..บังคลาเทศ...พม่า..ไทย..มาเลย์..อินโด..ฟิลิปินส์..ฯลฯ....
    .....ในโรงอาหาร..ก็..จะแยกโต๊ะกัน..ชัดเจน....ใน..กลุ่มอาเซียนนี่..ไทย..พม่า..มาเลย์..
    ..จะน้อยกว่าเพื่อน..(ตอนนั้น..กลุ่มคอมมิวนิสต์..ยังไม่เปิดประเทศ..ไม่ว่า..จีน..เกาหลีเหนือ
    ..เวียตนาม..เขมร..ลาว..จะไม่มีพวกเหล่านี้)
    ........สาเหตุ..อย่างเมืองไทย..ทั้งที่คนเยอะกว่าไอ้ปินส์..แต่ไม่รู้..กพ. ..มันจะรักษาหน้า
    อะไรไม่ทราบ....แต่ละปีทุนเยอะแยะ...แต่คัดเลือกส้น..อะไรไม่ทราบ...บางทุนก็ไม่ส่งไป
    บอกว่า..ทดสอบอังกฤษไม่ผ่าน...ส่วนใหญ่นะเขาให้สองทุนต่อวิชาทั้งนั้น.....
    ...แต่ก็ส่งมันแค่..คนเดียว..แบบผมก็มี...ผมไปถามเพื่อนที่เป็นอินโด..มันบอกว่า..
    ทุนJica..บ้านมัน..มีกี่ทุนส่งมา..ประเทศมันก็ส่งคนไปครบตามจำนวน...หน่วยงาน
    ที่เกี่ยวข้องคัดเลือกคนไป..ไม่ต้องทดสอบภาษาอะไร..เพราะมันบอกว่า..ก็ไอ้ยุ่นเอง
    ..มันยังพูดอังกฤษแทบไม่ได้..พูดได้ก็ฟังไม่รู้เรื่อง..แล้วพวกมึงจะโง่..ไปทดสอบภาษา
    อังกฤษ..ทำไม......................
    .............เออ....จริงของมัน........(..กูนะไม่โง่...แต่ไอ้พวก กพ. นี่แหละโง่ )....
    .....................................
     
  14. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .....................................
    ............นั่นแหละครับ..เลยทำให้จำนวนของพวกอินโดใน..ศูนย์เลยมากที่สุด..ในกลุ่ม
    อาเซียน...เรียกว่าจัดเต็มตามสูตร..ซึ่งก็เหมือนพวกละติน..ที่ผมเห็นไม่ว่าทุนไหน..มันก็
    ส่งมาคู่ตลอด...ผมก็เริ่มค่อยๆเรียนรู้ที่มาที่ไป..สิ่งหนึ่งที่พวกผู้ชายจะต้องทำ..ซึ่งไม่ใช่
    มารยาท..แต่มีความจำเป็นเพื่อพิทักษ์..และปกป้อง..สตรีไทย..ที่อยู่ด้วยกัน..มันมีที่มา..
    ..ก็เพราะ..ไอ้ตัวสำคัญ..ก็คือ..๒ กลุ่มใหญ่..คือ..พวกละติน..และ..ไอ้มืด....
    ....เนื่องจาก..สตรีไทย..ตั้งแต่สาว..ไปจน..สาวใหญ่..ในกลุ่มเอเซียนั้น..ถือว่ามีหน้าตา..
    และ..รูปร่าง..จัดว่าดีกว่า..ใคร..เว้นแต่..สาวๆละติน..ที่ต้องยอมความเอ็กซ์..ที่เป็นธรรม..
    ชาติ..ของเขา..รวมถึงหน้าตาตมเข้ม..จมูกโด่ง..และผิวค่อนข้างขาว(..อันนี้ไม่นับพวก..
    อีมืด..ที่เป็นละติน..ซึ่งส่วนใหญ่มาที่นี่น้อย..)..อึ๋ม..และหุ่นได้เปรียบ..คนบ้านเรา...
    ....ก็ยอมให้พวกเดียวเท่านั้นละครับ..นี่ไม่ใช่ยกยอกันเองนะเรื่องจริง....
    ...อินเดีย..ปากี..บังคลา..พวกนี้..นุ่งส่าหรี..พุงกระเพื่อม..สะโพกสุดจะทน..ต่อให้นมโต..
    ..แค่ไหน..ก็ทดแทน..ก้นและไขมันแก้มก้นคุณเธอ..ไม่ได้....
    ...อีปินส์ทั้งหลาย..ก็หน้าตาสุดเห่ย..จมูกแบน..กว้าง..เตี้ย..หุ่นไม่สมส่วน..ผิวคล้ำด้าน..
    ...และแต่ละนาง..แม่มโคตรจะขี้บ่น..พูดด่าได้ต่อเนื่องไม่มีหยุด..ขนาดพวกเดียวกันเองก็โดน
    ไม่ทราบว่า..ทานอะไรเป็นประจำ..ถึงได้หน้าตาหารอยยิ้มไม่เจอ..บอกบุญไม่รับ..กันทั้งนั้น
    ...เรียกว่า..ไม่ต้องคิดมาสะเออะทียบสาวไทยเลย..จัดอยู่ในพวกหน้าตาห่วยสุด...
    .......อย่าเอาสาวตากาล็อก..พันธุ์แท้..ที่มีอยู่ปริมาณมาก..ไปปนกับ..พวกสายลูกผสมเลือด
    เสปน..หรือ..อเมริกัน..เจ้าอาณานิคมเก่า..ซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยมากๆ..และ..ที่อยู่ที่ศูนย์นี่
    ..ไม่มีพวกนี้สักคน.....
    .....สาวอินโดนี่..คล้ายคนปักษ์ใต้..ผิวเข้ม..ตาคม..แต่หุ่นแย่มาก..เพราะไม่รู้พระเจ้าประทาน
    ..สะโพก..ขนาด..สี่สิบกว่านิ้ว..มาให้ทำไม..เตี้ย..หน้าอกก็ไม่อึ๋ม..ไม่ว่า..ส่วนบนจะแค่พอดู
    ดี..แต่มันไม่เข้ากับส่วนล่าง..ขาก็น้องๆโต๊ะบิลเลียด..กันทั้งนั้น...
    .....สาวอาหรับ..ถึงสวย..ก็แต่งกายมิดชิด..คลุมหัว..และไม่คุยกับใคร.....
    ..............แล้วอะไร..ถึงเป็น..สาเหตุ..นอกเหนือ..จากความงาม.....
    ....ก็เพราะ..ความมีอัธยาศัยนั่นแหละ....และ..ยิ้มค่อนข้างง่าย..ถึงไม่ยิ้ม..ก็ไม่บูดบึ้ง....
    ....ถ้ามาคุย..ถามโน่นนี่..สาวไทยก็พูดด้วย..พอประมาณ..ถ้าจับสังเกตว่า..ไม่ใช่เจตนาจริง..
    ถึง..จะเดินหนี......
    .....ถามว่า..แล้ว..เป้าหมายอันดับหนึ่ง..ของพวกไอ้มืด..ก็น่าจะเลือก..สวยมาก่อน..และมี
    อัธยาศัยบ้าง..อย่างพวกละติน..ใช่ครับ..แต่...พวกละติน..นี่จริงๆมันเหยียดผิว..นะครับ..
    ยุคโน่น...พวกผู้ชายละติน..เห็นพวกไอ้มืดทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย..เข้าไปใกล้..หรือ..พยายาม
    ชวน..สาวละตินคุยเมื่อไหร่(..ส่วนใหญ่ไอ้มืดมันก็รู้..ก็พยายามสังเกตว่า..ไม่มีผู้ชายละติน
    อยู่แถวนั้น..ถึงจะเข้าไป)...พวกมันเดินรี่เข้าไปผลักอก..ชวนมีเรื่องทันที...
    .......พวกไอ้มืด..จะไม่กล้าหรอกครับ..เพราะถ้าฉะจริงๆ..ก็คงโดนรุม..เพราะไอ้มืดนะถึง
    กลุ่มมันจะใหญ่..แต่มันไม่ได้แนบแน่นก็จริงๆ..แค่เกาะกัน..ให้มันดูดี...คนจะมาช่วยก็มีแต่
    พวกชาติเดียวกัน...ผิดกับพวกละติน..ที่แม่มกินเหล้าร้องเพลง..กอดคอกันเต้นรำ..กันตลอด
    ไม่รู้ชาติไหนบ้าง..มั่วไปหมด...เหมือนกับเป็นชาติเดียวกัน..คือ..ชาติละติน.....
    ............ดังนั้น..เมื่อทางโน้นลำบาก..ก็เลยมาหา..อันดับสอง.....ก็คือสาวไทย....
    ...ซึ่ง..ทั้งไอ้มืด..และ..ไอ้ละติน..มันชอบ..เพราะ..สาวไทยตัวเล็ก..และ..สมส่วน....
    ....พวกละติน..นี่มันชอบ..พวกคนเอเซีย....และ..เหยื่อของมันอีพวกคือ...สาวญี่ปุ่น..ที่บ้าฝรั่ง
    ...สาวญี่ปุ่น..ยุคโน้น(ยุคนี้..ผมไม่ทราบครับ..ไม่ได้สัมผัส)..มันบ้าฝรั่ง..พวกละตินนี่..มันก็
    สายเลือดฝรั่งเสปน..เกือบทั้งนั้น..ลูกผสมอินเดียน..มีบ้าง....มันก็คือฝรั่งดีๆนี่เอง...แล้ว
    พวกนี้มันก็ฉลาด...เพราะผู้ชายฝรั่งที่..สาวญี่ปุ่นชอบก็คือ..ไอ้กัน...ฝรั่งเศษ..อิตาเลี่ยน..
    รวมถึง..ฝรั่งยุโรป...แต่ถ้าหาไม่ได้..หน้าเป็นฝรั่งก็โอเค...พวกห่ะนี่..เวลาไปเที่ยว..ไปกัน
    ๒-๓..คน..ส่วนใหญ่มันก็จะไปหลอกสาวยุ่นว่า...เป็นไอ้เลี่ยนมั่ง...เป็นเสปนมั่ง...ซึ่ง
    สาวยุ่น..จะไม่มีทางรู้..เพราะภาษาอิตาเลี่ยน..กับ..เสปนต่างกันไม่มาก..และพวกนี้ส่วนใหญ่
    มันก็พอรู้เรื่องภาษาอิตาเลี่ยน..งูๆปลาๆ..ถูไถ..พอได้........
    ..........................
     
  15. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ..........................
    ..............อ่านไปอ่านมา...ผู้อ่านอาจนึกหมั่นไส้..และ..ไม่เชื่อ..หรือ..สงสัยว่า..มึงรู้อะไร
    นักหนาวะ..ก็มึงเป็น..คนไทย..ไม่ใช่ไอ้พวกละติน..หรือ..ไอ้มืด...เรื่องไอ้มืดนะง่าย..เพราะ
    มันไม่มีอะไรลึกซึ้งมาก..ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า..ผมเป็นคนช่างสังเกต..อยากเรียนรู้สิ่งแปลก
    ..ก็..พฤติกรรมไอ้มืด..นี่แหละ..ผมอยู่ที่นี่นาน..จนทราบดี..นอกจากนั้น..บางอย่าง..สงสัยอะไร
    ผมก็ถามไอ้มืดเพื่อนที่เรียนด้วยกันเอา..แค่นี้..ก็รู้แล้ว...
    .....แต่ไอ้พวกละติน..นี่มันลึกซึ้ง..ลูกเล่นเยอะมาก..แค่สังเกตไม่พอครับ..ยิ่งทำให้ผมสงสัย
    ..เข้าไปอีก...แต่คนที่ทำให้ผมเข้าใจไอ้พวกนี้ดี..ก็คือ..ไอ้ออร์แลนโด้..เพื่อนสนิทชาวบราซิล
    ของผม..ที่ไปไหนไปกันบ่อย...เนื่องจากที่ผมเคยเล่าไปหลายตอนก่อนหน้านี้..ที่ผมสนิทกับ
    มันได้เพราะ..มันเป็นละติน..ที่พฤติกรรมตรงกันข้ามกับพวกละติน..ผมว่ามันนิสัยคล้ายๆคนไทย
    ที่เป็นสุภาพบุรุษ..และ..สุภาพ..ถึงแม้ช่วงกลางคืนส่วนใหญ่..มันก็จะอยู่กับกลุ่มบราซิล..และ
    พวกละติน..แต่กลางวันมัน..ก็ไม่ได้สนิทกับพวกละติน..ที่เรียนด้วยกันกับผม..กลับมาสนิทกับ
    กลุ่มผมมากกว่า...โดยเฉพาะผม..ผมสงสัยอะไรเกี่ยวกับพวกละติน..ผมถามมัน..มันก็บอกผม
    หมด..ยิ่งถามยิ่งรู้ซึ้งถึง..สันดานความเจ้าเล่ห์ของไอ้พวกนี้..ก็ถามที่สงสัยนิดสงสัยหน่อย...
    จนหมด..นั่นแหละ..มันยังเป็นคนยืนยันเลยว่า..สาวไทยนี่..นิสัยดี..สุภาพน่ารัก..รูปร่างดี..เลย
    ...ส่วนไอ้ฟราซิสโก้..มันก็เป็นเล่ารายละเอียดของพวก..สาวๆตากาล็อก..ให้ฟัง..แถมมันด่า
    พวกบ้านเดียวกับมันเลย..บอกว่า..ใครได้สาวปินส์..ไปเป็นเมีย..มึงเตรียมจุกอุดหู..ไว้ได้เลย
    ..แม่มบ่นไม่หยุด..แต่งใหม่ๆยิ้มดี..แต่แค่ปีแรกเท่านั้น...(จำได้มั้ยครับ..ตอนช่วงแรกๆที่ผม
    เล่าว่า..ต้องพาสาวปินส์๒คน..ไปแหล่งช้อบปิ้งตึกม่วง..นั่นแหละครับ..แค่ช่วงเวลา..จาก
    ซูคุบะไปโตเกียว..จนพากลับ..มาก็ซึ้งพอสมควรแล้ว..).....ผมยังบอก..ผม..กับ..ไอ้โด้..
    (..เพราะ..โสด..ทั้งคู่)..ว่าอย่าขืน..หลงไปแต่งกับสาวปินส์ด้วยละ...
    ........................
    ........ไอ้ละติน..กับ..ไอ้มืด..นี่เวลามันจะเข้าไปหลีใคร..นี่ลีลาต่างกันเยอะ....ไอ้มืดนี่ก็ไม่ได้
    เป็นพวกบ้ากามทั้งหมด..แต่คนหนุ่มส่วนใหญ่..จะคล้ายกัน..คือ..มันหลงตัวเอง...มันรู้ว่า
    ..ไม่ว่า..ใครก้ต้องเคยดูหนังเอ็กซ์แบบสามเอ็กซ์กันมาทั้งนั้น..และ..พระเอกที่โดดเด่น..เพราะ
    อาวุธประจำกาย..ก็คือพวกมัน..ทำให้มันพากภูมิใจ..แล้วพวกมันในหนังแบบนี้จะเป็นตัวเอก
    กัน...มันก็เลยคิดว่า..พวกสาวๆชาติต่างๆคง..หลงไหลได้ปลื้ม..กับพวกมันไปด้วย...
    .....คือ..มันคิดว่ามันเท่ห์..นั่นแหละครับ..มันก็เลยพยายามส่งความรู้สึกโดยตรง..โดยเฉพาะ
    ดวงตาที่ค่อนข้างโปน..ของพวกมัน..เรียกว่า..เห็นตามัน..ก็รู้ทันที..เวลาพวกมันคุยกันตามปกติ
    ..ตาก็ธรรมดา..แต่เวลาสาวๆไม่ว่าชาติไหนเดินผ่านมา..แม่มก็จะสะกิดกัน..แล้วสายตาก็จะ
    เปลี่ยนเป็น..ลามก..ทันที....
    .........แล้วเป้นยังไง...ก็..อดแดก..ไงครับ..ผู้หญิงไหนใครจะเอา..คือ..ทั้งหน้าตา..สีผิว..
    กลิ่น(..ไอ้นี่เรื่องสำคัญ..ที่จะต้องเล่ากันเยอะภายหลัง)..เสียง...มันออกแนว..น่ากลัว..น่า
    รังเกียจ..สาวๆไทย..ก็เล่าให้ผม..แม้แต่สาวชาติอื่น..ที่สนิทพอคุยกันได้..ก็มีความเห็นแบบ
    เดียวกัน..แต่ไอ้พวกนี้ก็เป็นสันดาน..ถึงไม่ได้ผล..กูก็ชอบของอย่างงี้...
    .(....อย่าเอาไอ้มืดพวกนี้..ไปเหมารวมกับ..ไอ้มืด อเมริกัน..อังกฤษ..นะครับ..มันต่างกัน..
    ผู้อ่านหลายท่านอาจจะงงที่ผมเล่า..ก็เท่าที่เห็น..ตัวตนจริงมั่ง..หรือ..ในภาพยนตร์..นั่นมัน
    เป็น.งพวกที่เจริญแล้ว..บรรพบุรุษหลายรุ่น..ก็เกิดมาในแดนศิวิไลซ์..พวกนั้นทันสมัย..และ
    มีลีลา..เท่ห์..และ..ลูกเล่นอาจจะเยอะกว่าฝรั่งอีก....
    ......ไอ้มืดที่..TBIC..นี้..กำเนิดจากอาฟริกาโดยตรง..เมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้ว..ดิบเถื่อนกว่า
    เมืองไทยเยอะ..ไอ้มืดที่เรียนกับผม..มันก็บอกว่า..เด็กๆอยู่อาศัยใน..กระท่อม..อยู่ในเผ่า..
    ...พวกนี้..มันแทบไม่รู้จักมารยาทสังคมอะไร..ซึ่งบางทีก็ต้องให้อภัย..มาเจอไฟฟ้าตอนโต
    เข้ามาเรียนในเมืองแล้ว..แต่มีหลายคน..ที่เป็นนักล่าทุน..ได้ไปเมืองนอกเมืองนา..มาก่อน
    หน้า..ไอ้พวกนี้เคยเจอแสงสี..ก็มักจะมีลูกเล่นและกวนตีน...แต่ส่วนใหญ่มันเชยมากครับ..
    ..แต่งเนื้อแต่งตัวดูรู้เลย..ว่า..บ้านนอกแท้..คือนอกจากจะบ้านนอกมันก็แย่แล้ว..แถมเป็น
    บ้านนอกในเมืองที่ไม่มีความศิวิไลซ์..มันก็ไปกันใหญ่...)
    ......................................
     
  16. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ......................................
    .....เรียกว่า..สายตามาก่อน..แม้มันจะทำมาเป็นแกล้งมาสอบถามอะไร..เรียกว่าพอเดินเข้า
    มาก็รู้ได้ทันที..ว่าเรื่องจริง..หรือ..ข้ออ้าง...เรื่องนี้สาวไทย..คนหนึ่ง..ที่ประสพปัญหา..กับ
    พวกไอ้มืด..มากกว่าเพื่อน..เป็นคนเล่าให้ผมฟังเอง..เธอค่อนข้างสนิทกับผม..มาญี่ปุ่น..
    หลังผม..และเธอนี่แหละ..ที่พาผมไปฟังบาทหลวงสวดที่โสถ์คริสต์..ในซูคูบะ..เพราะเธอ
    เป็น..คริสเตียนครับ..ค่อนข้างเคร่ง..พอสมควร.......ผมเอง..ต้องทำหน้าที่เป็น BODY GUARD
    บ่อย...จะมีไอ้มืดตัวนึง..มันเรียนอยู่กับเธอ..และชอบเธอมาก..คอยตอแยเธอเรื่อย..จนเธอ
    เครียด..และมาเล่าให้คนไทยฟัง...พวกเราต้องคอยทำหน้าที่เป็นปีเตอร์ กัน ไปด้วย..แล้วก็
    ไม่รู้ว่า..หน้าตาเธอ..เข้าเสปกไอ้มืดรึไงไม่ทราบ..มีไอ้มืดอื่น..ก็คอยเหล่พยายามจะเข้ามาจีบ
    ..เธอ..หลายคน..เรียกว่า..เธอบอกเบื่อมาก..( ผมก็เห็นกับตา..เลยกล้าพูด..ต้องรีบเข้าไปแทรก
    ซะก่อน..).................
    ..............กลับมาถึงเรื่องเราพวกผู้ชายต้องคอยดูแลเรื่องนี้..ก็คือ..อย่างถ้าอย่างตอนทานข้าว
    เสร็จมื้อเย็นเป็นกลุ่มที่โต๊ะ..พอแยกย้ายกัน..สาวคนไหน..จะกลับห้อง..ก็อย่างน้อยจะมีผู้ชาย
    ๑ คน..เดินไปเป็นเพื่อน..แล้วไปส่งจนถึงห้อง...ที่ต้องเป็นอย่างนี้..ไม่ใช่กระแดะ..เพราะสาวๆ
    มีประสพการณ์..กันจน..ประชุมร่วมกันกับคนไทยทั้งหมด..ทำรูปแบบนี้มาก่อนหน้าที่ผมจะมา
    แล้ว..แล้วสาวๆอวุโส..ก็จะเป็นพี่เลี้ยงแนะนำสาวรุ่นใหม่..และแนะนำว่า..พวกเราทำกันแบบนี้
    ..อย่าแปลกใจ..ถ้าเดินออกไปคนเดียวแล้วมีผู้ชายไทย..ไปเดินประกบข้าง..ให้เข้าใจไว้ว่า..
    เป็นหน้าที่เขา..เขาไม่ได้มาจีบ..ทั้งหมดนี้..เพื่อความปลอดภัย..และ..ความสบายใจของตัวเอง..
    ..............อ้าว..หลายท่านสงสัยว่า..แล้วถ้าไปกินอาหาร..อยู่คนเดียว..ตอนช่วงเวลาอื่น..
    ...หรือ..ออกจากห้องเดินมาคนเดียวละจะทำยังไง...อันนี่..พี่ใหญ่ฝ่ายหญิง..เขาจะแนะนำ..
    สาวที่มาใหม่..ให้เตรียมไว้ก่อนเลยก็คือ...ตอนไปกินอาหารที่ห้องอาหาร..ให้หยิบมีดตัดเนื้อ
    (มีดสำหรับหั่นเสต้ก)..มาด้วย..แล้วอมไว้เลย..เอาติดตัวไว้ตลอด..เวลาออกมานอกห้อง...
    ..จะออกมาเพื่อออกกำลังกาย..หรือ..อะไรก็ตาม..ก็ต้องเหน็บไว้...กันไว้ก่อน..เพราะประสพ
    การณ์มีแล้วเช่นกัน..ที่ไม่มีชายไทยอยู่แถวนั้น..ไอ้พวกที่จ้องอยู่ไม่ว่า..พวกละติน..หรือ..ไอ้
    มืด..มีเข้ามาจิ๊จ๊ะ..สาวไทยก็ชักมีดออกมาขู่เลย..ได้ผลครับ..เผ่นเลย...ที่สาวไทย..เราใช้..
    มีดหั่นเนื้อ..เพราะถ้าเกิดต้องใช้จริงๆ..บาดแผลมันไม่รุนแรงมาก..จะได้รู้ว่าเป็นการป้องกันตัว
    จริงๆ....
    ...........ไอ้มีดนี่..ไม่ใช่แค่สาวไทยนะครับ..มีไอ้น้องอยู่คนอยู่กรมส่งเสริม..หรือ..กรมวิชาการ
    เกษตร..นี่แหละ..ผมจำไม่ได้มั่น..กับ..น้องๆหน่วยงานอื่นหลายคน..พกติดตัวเหมือนกัน....
    ...เพราะ..มันเป็นอะไรไม่ทราบ..ที่คนไทยเรา..มักจะต้องมีเรื่อง..กับชาติอื่นเรื่อย..เพราะอาจ
    จะเรื่องศักดิ์ศรี..และ..ไม่ยอมให้ใครมาหลู่...และ..ก็มีเรื่องจริงๆ..ล่อกันนัว..ไว้ผมจะเล่าภาย
    หลัง..ผมเองนะก็มีเหมือนกันแต่ไม่ต้องถึงขั้นเจ็บตัวกัน..มีเป็นเรื่องส่วนตัว..ไม่ได้เป็นกลุ่ม...
    ...ไว้จะเล่าตอนหลัง..............
    ........กลับไปพูดถึง..ไอ้พวกละตินนี่..มันแสบจนได้ที่จริงๆ..เพราะไอ้เรื่อง..ปากว่ามือถึง...
    ..ของมัน..อย่างที่ผมบอก..มันจะนอนกับสาวญี่ปุ่น..มันจะถือโอกาสเอาตอนไปต่างจังหวัดนี่
    แหละ..ไปเที่ยววันหรือกลางคืนแถวนั้น..แล้วพอเจอสาวญี่ปุ่นที่ทำท่าสนใจมันๆจะเข้าประกบ
    ..แล้วด้วยลีลาอย่างว่า..แค่คืนเดียวไม่แคล้ว..พอมันจัดการเสร็จ..เขาก็ย้ายเมืองไปที่อื่น...
    สาวๆที่มันหลอกล่อไว้..ก็ไม่มีปัญญามาตามหามันแล้ว...ผู้อ่านอาจแปลกใจ..แต่มันเป็นเรื่อง
    จริง..ที่ผู้หญิงสาวๆญี่ปุ่น..ต่อให้มีการศึกษาแล้ว..ก็เหอะ..เนื้อแท้เขาจะซื่อมากครับ...มาก
    กว่าสาวเหนือเมืองไทยอีก..และเชื่อไว้ใจคนง่าย..ยิ่งพวกที่อยู่ตามหัวเมืองต่างๆนี่ยิ่งไปใหญ่
    ...และก็เรื่อง..ไอ้ความนิยมชมชอบฝรั่งเป็นพิเศษ..มาบังตา..นี่ก็เลยเสริมความโง่เข้าไปใหญ่
    (..แต่สาวสวยระดับนางงามของพวกไอ้ละตินนี่(เป็นบราซิล..ตาสีฟ้า..ผมสีน้ำตาลบลอนด์)..
    ..ก็อาจจะโดนบาปกรรมที่ไอ้พวกห่ะ..นี่ทำกับสาวญี่ปุ่นไว้..ผลสุดท้าย...ป่อง..เสร็จไอ้ยุ่น...
    ....ไว้..ว่างๆจะมาเล่าให้ฟัง..ตอนหลัง..เหตุเกิดในสมัยผมนี่แหละ..โคตรเสียดายเลย..)
    ................ผมกับ..ไอ้กลุ่มผม..คือ..ไอ้โด้..ไอ้ซิงก์..ไอ้โก้..ชอบเอาไอ้จุดนี้..มาล้อเล่นเอา
    มาเป็นเรื่องตลก..แต่พวกเราไม่ได้ทำให้เสียหายอะไรมาก..แค่เอาขำๆ.....
    ........ผมนี่แหละ..ตัวนำและ..ตัวออกความคิด..คนที่สนับสนุนสำคัญคือ..ไอ้ซิงก์..เพราะมัน
    บอกว่า..กูอยู่กับมึงนี่ดีวะ..นอกจากมีเรื่องขำๆ..ยังมีเรื่องแปลกๆให้เจออีก..มันบอกอยู่
    บ้านมัน..เรื่องสนุกก็มีแค่เล่นกับลูก..แค่นั้นเอง......
    .............................
     
  17. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305
    คุณเป็นพวกเหยียดผิวซินะครับน่ารังเกียจจัง
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    สมัยนั้นชาวยิวก็รังเกียจชาวต่างชาติมากขนาดไม่ยอมให้ใครดูแลคนไข้เขาก็เป็นคนไทยคนเดียวใน ร พ นั้น แต่ทํางานดีจนเขาชอบ มีอยู่คืนหนึ่งเวรดึก ใน ICU ก็มี Philipine1 Korean 1 Thai 1 India 1 Chinese 1 เอาละซิใครจะดูแลคนไข้ของหมอคนนี้ เลยต้องให้Supervisor โทรไปถาม ถ้าเขาไม่ยอมก็หาคนมาเองก็แล้วกัน ปรากฎว่าเขายอม เราทํางานดีตอนหลังเขาเลยกลับมาสนใจชาวต่างชาติ ที่คุยกันนี่มันเรื่องราวของ 30กว่าปีแล้วนะคะ
     
  19. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ................
    ...ขอบคุณครับ..พี่SUPATORN..ที่มาชี้แจงเพิ่มเติม...
    ...สำหรับผม..คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ..สีของผิวไม่เกี่ยว...
    ...ผมพูดไปแล้วว่า..พวกนี้มาจากอาฟริกันโดยตรง..ส่วนนิสัยก็ยังไม่ได้
    ปรับเป็นสากล..นี่มันเมื่อกว่า ๓๐ ปีก่อน..คนพวกนี้..ไม่ได้คิดว่า..
    ...คนอื่นเขาไม่ชอบอะไรใน
    ตัวเอง..ก็ทำตัวปกติ....
    .....มันไม่ได้เกี่ยวกับ.."สีผิว"..แต่มันเกี๋ยวกับ"พฤติกรรม"...
    ....ถามว่า..ทำไม ๑๐๐ เปอร์เซนต์ที่..สาวไทยที่นั่น..ไม่ชอบ..ไอ้มืด.
    .....ในขณะนั้น....
    ....๑. พวกนี้..ส่วนใหญ่จะออกแนว..ลามก..
    .....๒. พวกนี้..หน้าตา..น่ากลัว...
    ......๓. พวกนี้ ..กลิ่นตัวแรงมาก..ออกแนวเหม็นเขียว..ถ้าอยู่ใน
    ที่อับ..กับ..พวกนี้นาน..เช่น..ลิฟท์..จะทำให้เกิดการคลื่นไส้..นี่..
    ..ไม่ใช่เฉพาะ..ผู้หญิงไทย..ผู้ชายไทยที่นั่น ๑๐๐ เปอร์เซนต์..ก็..รับได้ยาก
    เช่นกัน...และ..เคยมี..สาวไทยอ้วกแตกมาแล้ว..ที่TBIC..เพราะ
    ไปขึ้น..ลิฟท์..ตอนที่มีพวกนี้อยู่กัน ๒-๓ คน...พอประตูลิฟท์
    เปิด..ก็พุ่งเลย...
    ...สาเหตุ..เป็นกลิ่นเฉพาะตัวที่เหม็นกว่าคนทั่วไป..และ..
    ..พวกนี้..อาทิตย์..จะอาบน้ำซัก ๑ ครั้ง..เพราะเป็นความเคยชิน..
    ....มันอยู่กับ..พวกมันเอง..มันไม่รู้หรอกว่า..ตัวมันเหม็นขนาดไหน..
    ...........
    ...............
    ....ดังนั้นก่อนที่จะประเมินใคร..ก็ขอความกรุณาทบทวนก่อว่า..
    ....คุณทราบข้อมูลได้ขนาดไหน...นะครับ....
    .....ผมว่ามาแพราะ..ประสพการณ์..ที่สัมผัสจริงเมื่อกว่า.สามสิบปีก่อน..
    .....ไม่ใช่อ่านข้อมูล..มา..และใช้ความรู้สึก...
    .......และมันเป็นการกล่าวถึง..ไอ้มืด..ที่นั่น..และ..เวลาช่วงนั้น..
    ....คุณไม่มีประสพการณ์แบบผม..ที่นั่น..และ..เวลานั้น..ก็คงไม่เหมาะสม.....ที่จะมาประเมิน..คนอื่น..นะครับ..
    .......และ..ผมจะบอกด้วยว่า..ผมไม่ได้เป็นคนเหยียดผิว..หรอกครับ..
    ......เพราะหลังจาก..นั้นเมื่อผม..ได้มีโอกาศไปเรียนที่..ยุโรป..
    .....เพื่อนที่สนิท..ที่สุดของผม..และรู้ใจกันมากกว่าเพื่อน...
    ........เป็น..คนที่มาจาก..อาฟริกา..และ..ดำเป็นเหนี่ยง..
    .........เป็น..ชาวเคนย่า..มาจาก..เมืองไนโรบี..ขื่อ."อิรัสตุส"..
    .........ผมนะในใจ..ยกย่องมันด้วยซ้ำ..ผม....ได้เรียนรู้
    .....อะไรใหม่ๆ..จากกมัน..เยอะ..ในทางกลับกัน..มันก็ได้รู้จากผมด้วย..
    .......ขนาดผม..ไปที่นั่น..มีคนไทย..ที่ไปด้วยอีกคน..ผมยังไม่สนิท
    ........กับเขา..เท่า..ไอ้อิรัสตุส...เลย..และ..ผมยังมีเรื่องเล่าของมัน
    ........กับ..ผม..หลังจากนี้..อีกเยอะ....
    ...................................
    .....แล้วอย่างนี้..ผมเป็นคนเหยียดผิว..รึเปล่าไม่ทราบครับ..
    ..........ท่านผู้อ่าน..........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2015
  20. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .............................
    .....เรื่องของเรื่องพวกเรา..ก็รู้ว่าสาวไอ้ยุ่น..นี่มันบ้าฝรั่งยิ่งผมออกบลอนด์..หรือ..น้ำตาลนี่..
    พิมพ์นิยมเลย...เวลาเราเดินไปไหน..เป็นกลุ่ม..แม้แต่ที่ในโตเกียว..เวลาเดินผ่านสาวๆ...
    ไม่ว่า..มาเดี่ยว..หรือ..เป็นกลุ่ม..สายตาสาวๆไม่ได้เหลือบมาที่..ไอ้กะเหรี่ยง๓ ตัว(ไทย..ปินส์
    ..เนปาล..เลย..(ความจริง..ไอ้ซิงก์มันก็หล่อ..แต่เสือกไว้หนวดไว้เครา..ปิดบังหน้าตาตัวเอง..
    แต่ผิวมัน..แย่..เพราะออกสีน้ำตาล..และ..ขนแขนหยิกรุงรัง..ผมว่าสาวๆคงดูไม่สะอาดสะอ้าน).
    ....ทุกราย..สายตาไปมองที่..ไอ้โด้...แถมอมยิ้มหวานให้..ส่วนไอ้โด้มันมีอัธยาศัย..ส่งยิ้มแบบ
    อายๆ..น้อยๆกลับคืนไปให้...ถ้ามากันเป็นกลุ่มละก็..มีกรี๊ดกร๊าด..กันเล็กๆเลย..ที่แน่ๆกว่า๙๐
    เปอร์เซนต์...ต้องเหลียวหลังกันมามองอีกครั้ง...ซุบซิบหัวเราะกันใหญ่...ตอนแรกๆ..พวก
    เราก็มีแซว..มันก็หัวเราะอายๆ..แต่ตอนหลังมันเยอะ..จนไม่มีใครไปสนใจ.....
    .......ผมว่า..ไอ้เสน่ห์ของมัน..ผมเคยเล่าว่าไว้ก่อนว่า..คือ..ตา..ของมันนี่แหละ..รวมทั้งองค์ประ
    กอบ..คือ..คิ้วสีน้ำตาลที่..หนา..และ..ยาวมาก...ตามันถึงจะลึกแบบฝรั่ง..แต่..ขนตามัน..นี่โดด
    เด่นมาก..สีน้ำตาล..หนา..ยาว..งอนเช้งเลย..กอปรกับ..สีตาที่โดดเด่นเป็นพิเศษ..คือ..ม่านตา
    ประมาณ ๙๐ เปอร์เซนต์..เป็น..สีเขียว..มีเฉพาะขอบนอก..ที่เป็น..สีน้ำตาลอ่อน..เป็นวงบางๆ
    พอถัดเข้าไปจนถึง..ตาดำ..จะเป็นสีเขียวสดๆ..ทั้งหมด...มันบอกผมว่า..ตาสีเขียวนี่..ต้นตอจริงๆ
    คือ..คนอิตาเลี่ยนที่อยู่ภาคเหนือ..ปู่มันเดิมเป็นคนเมืองเนเปิล..แล้วอพยพมาอยู่บราซิล..
    ...นามสกุลมัน..”นาตาเล่”..ก็เป็น..นามสกุลของคนอิตาเลี่ยน....ผมกลับมาไทย..ก็ลองมาค้น
    คว้าดู..ก็เป็นจริงอย่างมันว่า...เรียกว่า..ถ้าคุณเห็นฝรั่งไม่ว่าชาติไหน..แล้วตาเป็นสีเขียว..ก็
    บอกได้เลยว่า..ต้องมีเชื้อสายอิตาเลี่ยนภาคเหนือ..ปนในสายเลือดแน่นอน....ผมเคยลอง
    พิสูจน์..ตาสีเขียวของมัน..มาแล้ว...ว่า..มันดึงดูดสาวๆยุ่นแม้ในค่ำคืนได้มั้ย......
    ..ขนาดเราเดินกันกลางคืน..ผมเลยลองเล่นๆ..ให้มันเดินสวนกับผม..ภายใต้แสงไฟ..ถนน
    นี่..ว่าจะเห็นสีตา..มันมั้ย..ปรากฏว่า..มันก็เห็นได้ครับ..แต่เห็นเป็นสีเดียว..คือ..เขียว...
    ....................................
    ....ผมทดลองว่า...สิ่งที่ดึงดูด..สาวๆของมันเป็น..ตา..ของมัน..รึเปล่าเท่านั้น...เพราะ..มันได้ผล
    ทั้งกลางวัน..กลางคืน..ซึ่งความจริงองค์ประกอบอื่นของมัน..ไอ้ละตินคนอื่น..ก็ยังดีกว่ามันอีก..
    ..อย่างจมูก..ผมว่า..มันก็โด่ง..และรูปทรงก็งั้นๆ...ผมมันก็หยักโศกมากและ..หัวค่อนข้างจะเถิก
    เล็กน้อย.....แต่รูปร่างมันดีมาก..สูงเพรียว..แต่ไม่ผอม..และไหล่กว้าง...(ไอ้โด้นี่แปลกกว่า...
    ..บราซิลคนอื่นนะครับ...เพราะมัน..ไม่ชอบเตะบอล..คือ..ถ้าไม่มีอะไรเล่นก็เตะได้..แต่ไม่เก่ง
    ..เพราะ..มันชอบกีฬาอย่างอื่น..นั่นคือ..วอลเล่ย์บอล....)....พวกเราไปอยู่ญี่ปุ่นได้ซัก ๒ เดือน
    มั้ง..วันนึง..ระหว่างที่ออกต่างจังหวัดและไปค้างที่โรงแรม..จำไม่ได้ว่า..เป็น..โอซาก้า..หรือ..
    นาโงย่า...ระหว่างที่ออกเดินเล่นด้วยกันหลังจากทานอาหารแล้ว...ผมเองก็เริ่มไอเดีย..
    ...............ผมก็นั่งวางแผน..ที่ค๊อฟฟี่ช้อบ..บอกกับทั้งสามคนว่า..มึงสองคน..ก็เห็นแล้วว่า..
    ไอ้โด้นะ..หน้าตามันเรียกความสนใจ..พวกสาวยุ่นมากขนาดไหน..ขนาดวัยคุณน้า..ยังเหลียว..
    ...แต่แค่มอง..มันพิสูจน์ศักยภาพไม่ได้เต็มที่..อย่างไอ้พวกเราสามคนนี่ไม้ต้องทดลอง..ครั้งนี้
    เลย..เพราะทุกคนก็เคยมาแล้ว..ขนาดเดินเข้าไปยังไม่ทันอ้าปาก..มันก็เดินหนี..ยกมือบ๊ายบาย
    (..ไอ้๒ ตัว..หัวเราะกัน..เพราะมันเป็นเรื่องจริง..แค่คิดจะถามทาง..ก็ยังไม่เวอร์ค..คือ...
    ..จริงๆแล้ว..ไม่ใช่เรื่องไร้น้ำใจครับ..คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่น้ำใจดี..แต่พอเห็นคนต่างชาติ..เดินเข้า
    มาหา..ความที่ตัวเองส่วนใหญ่นอกจากจะฟังไม่ออก..เรื่องพูดยิ่งหนักเข้าไปอีก..เขาก็เลยตัด
    ปัญหา..ด้วยการเดินหนีซะเลย..ไม่เหมือนคนไทย..ที่อยากแสดงศักยภาพ..และมีความพยายาม
    ..นอกจากนี้..ภาษายังดีกว่า..พวกไอ้ยุ่น..แบบนี้จึงมีน้อย.......บางคน..วิ่งหนีด้วยซ้ำ...)
    ..ดังนั้นกูเคยกับไอ้ด้บอกว่า..ก็มีเทคนิคพิเศษ..ที่คงใช้ได้เฉพาะตัวไอ้โด้..แล้วมันจะได้ฝึกไว้
    ใช้ประโยชน์ด้วย..ก็คือ..หน้าตาของมันนี่แหละ..เพราะ..เวลาหลงทางมึง..ก็จะได้กล้าที่จะทำ..
    ..เพราะกูเห็น..มึงชอบอายไม่อยากจะพูดจะถามใคร..แล้วพวกกูก็จะได้รู้ว่า..หน้าตามึง..เอาชนะ
    พฤติกรรม..ชอบเดินหนี..โบกมือบ๊ายบาย..ของพวกสาวยุ่นได้หรือเปล่า..ยิ่งกว่านั้น..ก็ให้มัน
    ยิ่งกว่าเข้าไปอีกคือ..ให้มันไปส่งมึงถึงที่เลย....
    .........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...