ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย suekong, 10 เมษายน 2015.

  1. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    เทปชุดฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม เป็นเทปชุดที่ผมชอบมากชุดหนึ่ง
    แต่แปลกมากที่เมื่อค้นในเน็ตแล้ว ไม่เคยมีใครถอดเทปชุดนี้ออกมา
    และไม่รู้ทางวัดเคยนำเทปชุดนี้มาทำเป็นหนังสือหรือไม่ ในเมื่อไม่มีใครทำ
    ก็เลยจัดการเองซะเลย (ถ้าไปถามหลวงพ่อ อาจจะโดนสวนมาก็ได้ว่า
    ก็รอแกทำอยู่ไง ฮ่าๆๆ)
    หมายเหตุ
    * เครื่องหมาย ... (อาจจะมีจุดมากหรือน้อยกว่านี้) หมายถึง ข้อความตอนนั้น
    ฟังไม่ออก ไม่ชัดเจน หรือหากพิมพ์ออกมาตามที่ได้ยินแล้ว
    จะทำให้ข้อความตอนนั้นแหม่งๆ หรือเสียงในช่วงนั้นกระโดดมาก
    ทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง (เป็นมากในไฟล์ที่ ๓)
    * ในส่วนของชื่อคน จะพยายามสะกดตามความรู้ภาษาไทย เท่าที่มีอยู่ในหัวขี้เลื่อยของผม หากผิดพลาดไปอย่างไรก็ตาม ขออภัยอย่างสูงสำหรับเจ้าของชื่อครับ
    * ในส่วนที่หลวงพ่อยกบาลีขึ้นมา บางตอนผมไปค้นคำบาลีจริงๆ จากเน็ตมาเสริม ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นนะครับ
    * สำหรับข้อความทั้งหมด ยินดีและสนับสนุนให้เผยแพร่ต่อให้กว้างขวางยิ่งขึ้นนะครับ
    ฤาษีสอนลูกภาคใต้ (๒๐ ตอน)
    http://palungjit.org/threads/ฤาษีสอนลูกภาคใต้.556264/
    ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ (๑๘ ตอน)
    http://palungjit.org/threads/ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ.556267/
    ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม (๖ ตอน)
    http://palungjit.org/threads/ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม.548116/

    01.ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม@10 มีนาคม 2522.mp3
    เอ้อ ลูกและหลานที่รักทุกคน สำหรับวันนี้ ตรงกับวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๒
    ซึ่งคณะพวกเราได้เดินทางไปที่วัดดอนคนทา อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
    เพราะว่าไปที่นั่นมาวันที่ ๑๐ และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้ เรากำลังนั่งกันอยู่ที่โคนไทรงาม
    ความจริงไทรต้นนี้งาม จะเรียกว่าไทรงามก็ได้ จะเรียกว่าไทรย้อยก็ได้ รึว่าจะเรียกว่า
    ไทรค้ำรึค้ำไทรก็ได้ เพราะปรากฏว่ามีกิ่งยาวยืดยาด เลื้อยเป็นบริเวณกว้าง
    ส่วนที่ทรงตัวอยู่ได้เพราะอาศัยใช้เสาค้ำเข้าไว้ นี่แสดงว่าแม้ว่าต้นไม้ก็ต้องหาที่พึ่งเหมือนกัน
    ไม่ใช่ว่าจะอยู่โดดเดี่ยวอันเดียวกันได้ เหมือนกับคนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ก็มีความเป็น
    ที่จะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน

    การเดินทางในคณะของเราคราวนี้
    ก็เดินทางมาในนามของศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
    ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ตั้งขึ้น และก็มีท่านพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
    นายกรัฐมนตรีร่วมมือด้วยเต็มที่ และกองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งมีพลโททวนทอง
    สุวรรณทัตเป็นหัวหน้า ขอโทษ มีท่านพลเอกทวนทอง สุวรรณทัตเป็นหัวหน้า
    และก็มีพันเอกพิเศษชวาล เป็นมือในการกระทำการคราวนี้
    ร่วมไปด้วยบรรดาประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับบรรดาลูกๆ
    หรือว่าพี่น้องทุกคน พ่อมีความปลื้มใจมาก ที่ทุกคนทำงานกันไม่ได้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
    การเดินทางแต่ละคราว ก็ต้องใช้เงิน บรรดาลูกๆ ทุกคนมีรายได้ไม่มากนัก
    ถ้าจะไปเทียบกับคนที่เขาร่ำรวยก็เทียบกันไม่ได้เลย มีอาชีพกันตามสมควร
    แต่พ่อก็ดีใจอยู่นิดหนึ่ง ที่ลูกทุกคนได้ปริญญาเกือบทั้งหมด บางคนก็เป็นด็อกเตอร์
    บางคนได้ปริญญาโทมาจากต่างประเทศ และก็มีส่วนใหญ่ได้ปริญญาตรี
    ที่ไม่มีปริญญาก็มีความดี ที่ควรแก่การสรรเสริญ อันนี้พ่อดีใจ

    วันนี้ เรานั่งกันที่ต้นไทรงาม มองไปข้างหน้า จะเห็นไทรเลื้อยยาว มีรากย้อย
    ด้านขวามือของเรามีร้านขายอาหาร ด้านซ้ายมีศาลเจ้าแม่ เขาใช้ชื่อว่าเจ้าแม่ไทรงาม
    แต่ว่าศาลนี้พ่อมาเมื่อสองสามปีก่อนนี้ เดินๆ มาเดินเที่ยวไปคนเดียว เดินไปทางโน้นบ้าง
    เดินไปทางนี้บ้าง นั้นตอนนั้นดูว่าจะเป็นหลายปีมาแล้ว มากับนาวาอากาศเอกพิเศษ
    เอ้อ อาทร โรจนวิโภต โรจนวิภาต และก็ภรรยาของเธอ มาร่วมกันหลายคน เดินไปเดินมา
    ศาลาหลังนี้ ที่เขาปลูกไว้เวลานี้เขาใส่กุญแจที่หน้าบันได เมื่อเดิมทีเดียวพ่อมา
    คือพ่อขึ้นไปฉันภัตตาหารบนนั้น ไปนั่งเล่นบนนั้นได้แบบสบาย แต่ว่าที่เขาต้องใส่กุญแจอย่างนี้
    ก็อย่าไปโทษเจ้าหน้าที่ ถ้าคนดีทำดี เขาก็ไม่ใส่กุญแจปิด นี่แสดงว่าคนที่ใช้สิทธิ์เข้าไปใช้ที่ที่นั้น
    ทำความชั่วขึ้นมา อาจจะสร้างความรกร้างให้เกิดขึ้น ทำสกปรกเลอะเทอะ พ่อก็เคยเห็นบ่อยๆ
    แม้แต่บนรถ รึบนที่นั่งราวสะพาน ใกล้ๆ ที่บริเวณ บางทีเขากินอะไรแล้วเขาก็เหวี่ยงทิ้งไป
    ทำคล้ายๆ กับสุนัขที่มันล้างไม่เป็น เป็นอันว่า คงจะมีคนประเภทนั้น ตอนนั้นพ่อขึ้นไป
    และหลายๆ คนขึ้นไป รับประทานอาหารกันบนนั้น เจ้าหน้าที่มา แทนที่เขาจะห้าม กลับให้ความสะดวก
    แต่ว่าตอนนี้เรามองดู ได้แต่มองศาลาหลังนั้น เรือนกลางน้ำหลังนั้นเป็นที่มีความสุขสบาย
    แต่เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจเสียแล้ว

    ...ที่จะพูดเรื่องอื่นก็ขอเอาชื่อของคนที่มาร่วมกันคราวนี้ มากล่าวไว้ในที่นี้เป็นอนุสรณ์
    แต่ความจริงการเดินทางคราวนี้น่ะ เราเดินทางกันเป็นขบวนเล็กที่สุด เป็นอันว่าขบวนเล็กจิ๋วที่สุด
    แต่ว่ามีจำนวนคนที่เดินทางร่วมกันทั้งหมดถึง ๗๗ คน รถที่มาก็มีรถขุนแผนเป็นรถที่บรรทุกคนหนัก
    เรียกว่ามากกว่าเขาเพื่อน รถพลายชุมพลเป็นรถเตรียมน้ำมันและก็ครัว การเดินทางระหว่างนี้
    ไปไหนต้องมีน้ำมันบรรทุกไปร่วมด้วย เป็นรถเสบียง เสบียงของรถ
    และก็รถพลายชุมพลก็เป็นรถขนเสบียงมาเลี้ยงพวกเรา ตามธรรมดา ปั๊มน้ำมันเขามีอยู่มาก
    แต่ว่าเราอาศัยไม่ได้เรื่องน้ำมัน ไปที่ไหน ไปที่ใหม่กลับมาเขาบอกน้ำมันหมด ปั๊มนั้นก็น้ำมันหมด
    ปั๊มนี้ก็น้ำมันหมด ถ้าเราไม่มีการเตรียมการน้ำมันมา เราอาจจะต้องเข็นรถกลับที่เรา
    เรื่องน้ำมันนี่ ฟังพูดแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ ที่คนไทยผู้มีอำนาจในสมัยเมื่อปี พ.ศ. อะไรก็จำไม่ได้
    จำได้แต่ไม่พูด พ่อเคยให้คน คือว่าพ่อไม่ใช่ไปสนับสนุนเขานะ เขาไปเอง เขาไปติดต่อน้ำมัน
    ที่ตะวันออกกลาง ก็ได้บาร์เรลละ ๙.๕ เหรียญอเมริกัน แต่ว่าพอมาถึงประเทศไทยเข้า
    มึงขอเหรียญ กูขอเหรียญ ขึ้นไปเป็นราคา ๑๒ เหรียญ .๕ ก็เป็นอันว่าตกลงกันไม่ได้
    ในคราวนั้นความจริง เราตกลงกับเขาว่าเขาจะไม่ขึ้นราคาภายใน ๕ ปี ๙.๕ เหรียญอเมริกันนี่
    ต่อหนึ่งบาร์เรล เขาจะไม่ขึ้นภายใน ๕ ปี ถ้าน้ำมันโลกลดลง เขาจะลดตามเปอร์เซ็นต์
    แต่หลังจาก ๕ ปีมาแล้ว บังเอิญน้ำมันโลกราคาขึ้น เขาก็จะขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน
    ถึงยังไงๆ เราก็ได้ถูกกว่าเขา แต่ว่าลูกรักของพ่อ นิสัยของคนเลว ถ้ามีอำนาจ ก็อยากจะรวย
    พวกกินชาติ พวกขายชาติ พวกทำลายชาติ เวลานี้อิสรภาพเรื่องน้ำมันของเราไม่มี
    โรงกลั่นที่เกิดขึ้น ก็ต้องคิดถึงท่านจอมพลแปลก ป. พิบูลสงคราม หรือว่าหลวงพิบูลสงคราม
    เป็นคนดำริขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือว่าหลังจากอินโดจีน ต้องการให้มีน้ำมันเป็นของรัฐ
    เรื่องของน้ำมันเป็นของรัฐ เรื่องของข้าวเป็นของรัฐ เรื่องของอะไรต่ออะไรเป็นของรัฐ
    แนะนำให้ประชาชนมีสวนครัว มีเลี้ยงสัตว์ แต่ว่าพอจอมพลแปลกหมดอำนาจ น้ำมันเป็นของคนอื่น
    โรงงานให้เขาเช่าระยะยาวแล้วเวลานี้มีความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง เขาอยากจะขึ้นราคาเท่าไรก็ต้องตามใจเขา
    ทั้งๆ ที่เราบอกว่าเราติดต่อมาได้ ๙.๕ เหรียญอเมริกันต่อ ๑ บาร์เรล เขาบอกว่าเมืองแม่ของเขา
    ๑๒.๕ และปัญญาของคนไทยน่ะหมดแล้วรึ ไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขเรื่องน้ำมันแล้วหรือยังไง
    ควรจะงดเรื่องอื่นลงไปเสียบ้างที่มันมีความจำเป็นน้อย ถ้าเขาไม่พอใจเรามาเมื่อไร
    เขา.... ไฟเราก็มืดทั่วประเทศเมื่อนั้น ยวดยานพาหนะก็เคลื่อนไม่ได้
    การยึดประเทศไทยเป็นของไม่ยาก ถ้าหยุดน้ำมันเสียอย่างเดียว
    ข้าศึกเคลื่อนทัพมายึดประเทศไทยเมื่อใดก็ได้ ข้อนี้ทิ้งไว้ก่อน

    ก็ขอคุยกับลูก วันนี้นะ มีใครมามั่งนะ ไหนขอรายชื่อหน่อยซิ
    ก็ ๑ ท่านพลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ ๒ หม่อมหลวงภาวิณี สุขสวัสดิ์
    ๓ คุณจิรศักดิ์ พูนผล เอ้อ จิรศักดิ์ทำงานดีมากนะ ปีนี้ทุ่นเงินรัฐบาล ทุ่นเงินของชาติไปได้
    ๒๐๐ ล้านเศษ ที่งานเขาทำไปแล้ว เขาเขียนแผนทับใหม่ นี่งานประเภทนี้น่ะมันทำให้ชาติบรรลัย
    จิรศักดิ์ช่วยไปแก้ไข ไปตรวจดูว่าของมีอยู่แล้วไม่ต้องทำใหม่ นั่นดีไม่ดีก็ต้องไปรื้อ
    จ้างคนรื้อ เสียของ แล้วก็ทำใหม่จ้างคนทำซื้อของใหม่ งานอย่างนี้ทำไปเถอะนะ
    นึกว่าเป็นการปิดทองในลำไส้พระก็แล้วกัน แต่ทว่าระวังคนขี้โกงเขาจะ เขาจะโกรธ
    เอ้า ก็ว่าต่อไป ๔ อาจารย์ประวีณ กุลศรี นี่มา มาเกือบทันนะ แต่ก็พอทัน
    ๕ คุณสุภาพ กุลศรี ๖ คุณพงษ์ อะไรเนี่ย พงษ์ธร หง่าว กุลศรี ๗ ปณิธาน เหมียว กุลศรี
    ๘ ทวิดา ... ๙ คุณยุพดี แอ๊ อ๋อ..เถ้าแก่แอ๊ ๑๑ นิตยาศรี เตี้ยม วัฒนปุตตานะ
    รึว่าไง จิตรลดา จิรคุณานันท์
    ๑๒ พรนุช คืนคงดี ๑๓ ปราโมทย์ ณ ระนอง แน่...นี่มีเจ้าเมืองระนองมาด้วยเนี่ย
    เราก็ใหญ่โตมาก มีพวกก๊กระนองมาด้วย จะได้ไปยึดแถวๆ โน้นอีก
    ๑๔ คุณสุธี สุวรรณทัต ๑๕ รัชนี เจนรถา ๑๖ พัชรี แป๊ว อ๋อ สว่างจิต แหมนี่นักพรรณนา
    ดำเนินความตามท้ายสมเด็จย่าเก่ง คนนี้นะ ๑๗ คุณศรีลักษณ์ หรือแดง รอดเดช
    ๑๘ สุดสวาท ณ ระนอง ๑๙ บุษพร จำปี คืนคงดี ๒๐ อำภา วังคง รึเดิมก็คืนคงดี
    ๒๑ คุณธีรชาติ วังดง ๒๒ คุณอำไพ พวงทอง อ๋อนี่นักเรียนนอกนะ มหาบัณฑิต
    และจิตรลดาก็มหาบัณฑิตเหมือนกัน ๒๓ คุณโยมปิ่น แม่ปิ่น พวงทอง ๒๔ คุณหมอลำจวน หงสเวช
    ๒๕ คุณพิศมัย โรจนกุศล อะโถนี่ก็คิดว่าวิลัยศักดิ์เสียอีก ไม่ใช่เหรอ คนละคนนะ
    ๒๖ คุณเฉลียว อนาวรรณอะไรเนี่ย อ่านไม่ค่อยออกนะ เอ้อ ใครเขียนมา
    ๒๗ คุณอัญเชิญ มณีจักร ๒๘ คุณสุนิสา อัครนิทัศน์ ๒๙ คุณสมศักดิ์ ชาติรักษา ๓๐ คุณปรีชา เพื่อแสง
    ๓๑ คุณพุทธา ธิติญาณ ๓๒ คุณวณิช เข็มแดง ๓๓ คุณยุพมั่น ตาโต ชัยบุตร ๓๔ คุณเกศินี ตุ๋ม สว่างจิต
    ๓๕ คุณเสริมศรี แป๋ว บุญยง ๓๖ นายปัญญา เพชร พงษ์เพชร ๓๗ คุณโสภา อะไรหนอ อ่านไม่ออกเลยเนี่ยคุณโสภาพรรณมั้ง และก็ปุ้น ...ตานนท์ ๒๘ เอ๊ย ๓๘ คุณศิรินทิพย์ อิง อ๋อ เปี๊ยกเล็ก จันทนศิริ
    ๓๙ คุณวันเพ็ญ วรรณวานิช นี่ล่ะก็จำๆ ชื่อกันไว้ อย่าให้มันแตกกันนะ
    ให้เรารวมตัวกันได้แต่อย่าแตกไป เที่ยวนี้เป็นเที่ยวที่เรามาน้อยที่สุด ใช้รถเพียงแค่
    กี่คันน้อ ใช้รถเพียงแค่ ๔ คัน คือ ขุนแผน และก็แม่ศรี พลายชุมพล และก็พลายเพชร
    พลายเพชรเป็นรถนำขบวน เป็นรถธุรการ เป็นรถเล็ก แม่ศรีหลวงพ่อนั่งมาเอง
    นั่งมาไม่กี่คน และก็ขุนแผนรู้สึกบรรทุกหนักหน่อย พลายชุมพลก็หนักเรื่องอาหาร
    เรื่องน้ำ น้ำมัน เอ้าว่ากันที่ชื่อคนต่อไป ๔๐ อาจารย์อนงค์ สินธุประภา
    และก็ ๔๑ คุณวันเพ็ญ แต๋ง สุโขมล ๔๒ คุณรังสิต อู๊ด วัฒนชิน ๔๓ คุณเพ็ญศรี แดง วัฒนชิน
    ๔๔ เด็กชายนิธิ วัฒนชิน ๔๕ เด็กชายกิตติ วัฒนชิน ๔๖ สมพร เปี๊ยก บุณยเกียรติ
    ๔๗ คุณชวลิต โรจนะ ๔๘ คุณเลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม อ๋อ เจ้าคุณวสุสิงหนาถน่ะเหรอ
    ๔๙ คุณอัญชัน ... ๕๐ คุณสุรีย์ ใหญ่ รอดเดช ๕๑ คุณกานดา อมาตยกุล ๕๒ แม่ชีสุนีย์
    แหม เราก็มากันเยอะนะ ๕๓ คุณจักรกฤษณ์ บุนนาค ๕๔ คุณวัชรี บุนนาค
    ๕๕ เด็กชายวรางคณา เก๋ บุนนาค ๕๖ เด็กชายกฤษณาวุฒิ โก้ บุนนาค อ๋อ
    โก้พระเอกนี่เรอะ ๕๗ นางปิ่นอนงค์ พงษ์เพชร
    ๕๘ นางบุหงา ภู่สมาน ๕๙ หม่อมหลวงวรรณสิริ มาณพ ๖๐ คุณพรหมณี อ๋อ ยักษ์เรอะ นกยักษ์
    ไชยบุตร เออ ชื่อชื่อพรหมณีสิ รู้แต่นกยักษ์ ๖๑ คุณสมจิต มณีวงศ์ ๖๒ เด็กหญิงมัทนียา สัตติยเลขา
    ๖๓ พันโทศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์ ๖๔ พลตำรวจถาวร ยุทธพงษาพิทักษ์ ๖๕ พลตำรวจสุวัฒน์ อั๋นประเสริฐ
    หือม์ นี่หน่วยกำลังที่กองบัญชาการทหารสูงสุดจัดมานะ และหน่วยปราบจลาจลจัดตำรวจมาให้
    ในนามของกองบัญชาการทหารสูงสุด แล้วก็ ๖๖ จ่าสิบตำรวจตระกูล เปาลิก ๖๗ นายสมนึก เจริญศรี
    ๖๘ นายเอี๊ยง แก้วจงประสิทธิ์ ๖๙ นายวิทัศน์ โกศล ๗๐ นายวิชัย กุศล
    ๗๑ พันจ่าอากาศเอก สาย ศิริรัตน์ ๗๒ คุณนนทา อนันตวงศ์ ๗๓ นาง อาจารย์สบสุข ประกอบวาทยกิจ
    ๗๔ พระอนันต์ ๗๕ พระชัยวัฒน์ ๗๖ ... ๗๗ พระโอฬาร
    ก็เห็นจะเป็น ๘๘ หลวงพ่อ นับไปนับมาเกือบหมดเวลา เป็นอันว่าที่เอาชื่อมาใส่ก็อาจจะเป็นที่รำคาญก็ช่างเถอะ
    จะได้จำไว้ ว่าขบวนงานของเราเป็นขบวนที่เล็กที่สุด แต่ว่าเราก็ต้องใช้คนถึง ๗๗ คน
    ๗๘ ทั้งหลวงพ่อ อีคราวนั้นเราไปเชียงรายกัน เราใช้รถยนต์ถึง ๑๑ คัน ดูเหมือนว่าจะเป็นขบวนไปปิคนิค
    ไปเที่ยวเล่น ไปตากอากาศ แต่ความจริงไม่ใช่ เราไปทำงานกัน สำหรับเอ้อต้นไทรรึว่าใต้ร่มไทรนี่จะพักไว้ก่อน
    มาคุยถึงผลงานเมื่อวานนี้ที่เราทำกัน คือวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๒ ที่วัดอะไรนะที่เราไปกันน่ะ ใครนึกออกมั้ย
    เออคุณจิรศักดิ์ว่าไร วัดดอนคนทาเรอะ วัดดอนคนทานี่คุณจิรศักดิ์เป็นคนนำเรื่องสร้างพระอุโบสถ
    เอาชื่อมาแล้วก็ทำเหรียญมาแจกแก่บรรดาประชาชน ก็รู้สึกว่าผลงานดีมาก ขอชมเชยนะ ใช้จ่ายเงินน้อย
    แต่ว่าทำพระอุโบสถได้สวย เราใช้จ่ายเงินเพียงแค่สองแสนบาท แต่ความจริงสองแสนบาทนี่ก็รู้สึกเงินมาก
    แต่ว่าจะไปคิดว่าจะไปสร้างอุโบสถที่ไหน ทั้ง....พระอุโบสถและก็มีกำแพงแก้วมันทำไม่ได้
    ถ้าไม่รู้จักกันก็ทำไม่ได้ ขอราคาเท่านี้ทำไม่ได้แน่ แต่นี่ทำได้สวยสดงดงาม ก็รู้สึกว่าคนสายนี้มีศรัทธาดีมาก
    ทวนความหลังซักนิดดีไหม เหลือเวลาอีกซักแปดนาที วานนี้ที่เราไปที่วัดดอนคนทา อำเภอบัวใหญ่
    จังหวัดนครราชสีมา ความจริงภาคอีสานนี่พ่อเองก็รู้สึกว่า จะมืดๆ อยู่ซักนิดหนึ่ง
    ความจริงอยากจะมาภาคอีสานแต่หาที่พักไม่ได้ อยากจะไปทุกจุดทุกตำบลทุกที่อยู่ของคน
    แต่เราก็ไม่รู้จักใคร ความสำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัย ความปลอดภัยของลูกๆ
    และก็ความหนักใจของเจ้าของที่ เพราะขบวนเรามันใหญ่ การมาวัดดอนคนทาคราวนี้รู้สึกว่าดีใจมาก
    มีโอกาสเข้าอีสาน เข้าไปในวัดเจ้าหน้าที่ก็รายงานให้ทราบ ว่าที่นี้มีน้ำเค็ม ขุดบ่อลงไปได้เกินกว่า ๑ เมตร
    นั่นหมายความว่าน้ำที่ได้มาเป็นน้ำเค็มรับประทานไม่ได้ น่าหนักใจ แต่ว่า การก้าวเข้าไปสู่ในบริเวณวัด
    เห็นคนมากันประมาณ ๔๐๐ คนเศษก็ดีใจ ดีที่ว่าดีก็เพราะว่าทุกคนที่เข้ามาน่ะ เขาไม่ได้มาเอาสตางค์พ่อ
    เขามาด้วยความตั้งใจ เข้าไปบางคนบอกว่า ผมคิดว่าฤาษีลิงดำน่ะมีแต่ชื่อ
    หรือว่าวิญญาณล่องลอยไปในอากาศคนคิดว่าตายแล้ว เพราะชื่อมาสร้างพระอุโบสถที่นี่แต่ตัวไม่ปรากฏ
    จึงได้เรียนให้ท่านผู้นั้นทราบว่า อยากจะมาเหมือนกัน แต่ทว่าโอกาสไม่มี เพราะว่าภารกิจมาก
    ทั้งภายนอกและภายใน บ้านก็ต้องสร้าง ชาติก็ต้องรักษา และก็น้ำใจคนก็ต้องทะนุบำรุง
    ช่วยกันทำ ช่วยคนละมือคนละไม้ ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    และก็ตามพระพุทธประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้า
    ก็ทรงสั่งสอนให้มีความเมตตาปรานี มีพรหมวิหาร ๔ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    และก็มีสังคหวัตถุ มีทานการให้ มีการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเป็นต้น
    ท่านผู้นั้นท่านก็พูดพรรณนาถึงความเป็นทุกข์ ความยากไร้ต่างๆ ในดินแดนแห่งนี้
    พ่อจึงได้ปรารภเรื่องการตั้งธนาคารข้าวขึ้น นั่นก็ยังไม่แน่ว่า รู้สึกว่าทางวัดท่านจะอ่อนๆ ไปสักนิดนึง
    ความจริงเรื่องตั้งธนาคารข้าวเนี่ยเป็นการทำที่ไม่ยาก และก็มีผลประโยชน์กับประเทศชาติมาก
    ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดูตัวอย่างนายอำเภอเชียงรายคนปัจจุบัน
    ชื่ออะไรพ่อก็ไม่รู้จักชื่อ ขึ้นไปเชียงรายคราวที่แล้วที่เราไปกันเดือนมกราคม เจ้าหน้าที่มารายงานให้ทราบว่า
    นายอำเภอเมืองคนนี้เก่งมาก ออกหนังสือเวียนไปถึงผู้ใหญ่บ้านกำนัน ก็ขอข้าว ข้าวสาร
    สำหรับคนที่ไม่ฝืดเคือง ขอบ้านละลิตร จะมารวมกันโดยเสด็จพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    เป็นอันว่าท่านนายอำเภอท่านคิดว่า ท่านได้ข้าวสัก ๓๐๐ กระสอบก็ดี แต่เนื้อแท้จริงๆ
    ได้แล้ว ๙๐๐ กระสอบเศษเมื่อพ่อไป คิดว่าคงเกินพันกระสอบ ทีนี้ถ้านายอำเภอทุกๆ อำเภอทำกันอย่างนี้
    พ่อคิดว่า เรื่องโจรผู้ร้ายในประเทศไทยมันก็มียาก คนที่จะเอาใจออกห่างก็มียาก และการให้ข้าวนี้
    เราก็ไม่ควรจะให้ฟรี เว้นไว้แต่กรณีจำเป็น ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ เขาช่วยตัวกันไม่ได้ เราก็ต้องให้ฟรี
    แต่ว่าทางที่ดีแล้วพ่อว่า ให้เป็นการกู้ยืมน่ะดีกว่า หรือว่าตั้งเป็นธนาคารข้าว
    ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำ ถ้าถึงยามอดเข้ามาก็ยืมไป หาได้ก็กลับมาคืน อดใหม่ก็เอาไปใหม่
    สำหรับคนที่มีทุนมีรอนมากก็สงเคราะห์กันคราวละเล็กละน้อย ก็ทุ่มสะสมกันลงไปไม่ช้า ข้าวแต่ละตำบล
    แต่ละหมู่บ้านจะมีเพียงพอ สำรองไว้สำหรับการอดอยากของบุคคลที่ไม่มี ที่มีความยากจน ถ้านายอำเภอทุกคน
    ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนในประเทศไทยทำอย่างนายอำเภอเชียงรายแบบนี้ พ่อว่า
    การแตกแยกความสามัคคี ...ลัทธิอย่างอื่นเข้ามาไม่มีในประเทศไทย แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
    ที่ข้าราชการฝ่ายปกครอง เรียนปกครองมาเหมือนกัน ทำงานอย่างเดียวกัน
    จะมีใครที่ไหนบ้างหนอที่ทำอย่างท่านนายอำเภอเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย อีกส่วนหนึ่ง
    ถ้าเราจะคิดกัน ทางวัดทุกวัดเป็นศูนย์ใจของคน ถ้าวัดทุกวัดนี่ทำอย่างท่านนายอำเภอน่ะแหละ
    แต่ว่าไม่ต้องไปออกหนังสือเวียน เพราะเราไม่มีอำนาจ เอากระบุงตะกร้ามาตั้งเข้า
    ถึงเวลาวันพระหนึ่ง ใครเข้ามาทำบุญก็บอกว่า จะรวบรวมข้าวสารและข้าวเปลือก
    รึว่าของแห้งต่างๆ เอาไว้สงเคราะห์คนจน สำหรับของกินของใช้ให้เลย
    สำหรับข้าวเราให้ยืม เพราะคนทุกคนต้องเลี้ยงตัวอยู่แล้ว ต้องหาได้ สมมุติว่า
    ท่านหาได้น้อย ขอยืมข้าวไปห้าถัง ท่านได้มาห้าถังวันนี้ ท่านเอามาชำระหนี้
    แต่วันพรุ่งนี้ท่านไม่มีกิน ท่านก็มาขอยืมไปใหม่ได้ พ่อว่าถ้าทุกคนทำ ถ้าทุกวัดทำอย่างนี้
    และนายอำเภอทุกท่านทำอย่างนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกท่านทำอย่างนี้
    ประเทศไทยเราก็จะมีความสุข ทางที่ดีถ้าโรงเรียนการปกครองจะตั้งเป็นหลักสูตรซะได้ก็ดี
    แต่ว่า การจะทำอะไรก็ตาม ถ้าเราจะออกปากเรี่ยไรเขา หรือออกปากบอกบุญเขา
    สตางค์ในกระเป๋าของเราก็ควรจะควักด้วย ก็ดูตัวอย่างผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย
    เอากัน พ.ศ.๒๕๒๐ ก็แล้วกัน จำง่ายๆ ๒๑ ๒๐ นี่นะ คนนั้นนั่นแหละ ลืมชื่อ
    ท่านไปบอกบุญเขาสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พอพูดจบมีพ่อเลี้ยง
    คือคนมีสตางค์เพียงแค่ ๑๐ ท่าน พูดจบท่านผู้ว่าราชการจังหวัดควักสตางค์มาจากกระเป๋า
    ๘,๐๐๐ บาท หนึ่งเดือนของท่าน ท่านบอกว่า ผมเป็นข้าราชการไม่มีรายได้พิเศษ ได้เท่านี้
    แต่ขอสละ ๑ เดือน ท่านจะสละกันคนละเท่าไหร่ก็ตามใจท่าน ในที่สุด วันนั้นท่านได้เงิน
    ๓ ล้านบาท แล้วต่อมาก็ปรากฏได้เพิ่มเติมมาเป็น ๕ ล้านรึ ๗ ล้านก็ไม่ทราบ
    เป็นอันว่าโรงพยาบาลนั้นหมด สร้างเสร็จ และใหญ่โตมโหฬารดีมาก กว้างขวางดี
    นี่เรื่องจิตวิทยาแบบนี้นะ ถ้าเราจะขอเขา เราออกก่อน ไม่ว่าที่ไหน งานก็สำเร็จ
    เอาล่ะบรรดาลูกรัก หน้านี้มองเวลาก็หมดซะแล้ว เทปชุดนี้รู้สึกว่าสั้นไปหน่อย
    รับฟังกันชุดหน้าต่อไป ข้างหน้านะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2015
  2. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    02.ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม@11 มีนาคม 2522.mp3
    เออสำหรับหน้านี้ พ่อก็จะของดเรื่องธนาคารข้าวเสีย แต่ความจริงวันนั้นก็ประกาศให้บรรดาประชาชนทราบ
    ว่าถ้าเริ่มตั้งธนาคารข้าว ศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร ที่ตั้งขึ้นตามพระราชประสงค์
    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเอาข้าวเริ่มต้นมาใส่ไว้ให้สัก ๒๐ กระสอบ และก็ในบางโอกาส
    จะนำยารักษาโรคมาแจก จะนำหมอมารักษาฟรี เอาเสื้อผ้าอาหาร อะไรก็ตาม
    เท่าที่หาได้จะมามอบให้....จุดจุดนี้ธนาคารข้าว เป็นการสงเคราะห์ฟรี แต่สำหรับข้าวนี่
    ถ้าจะเอาก็ต้องยืมกัน รู้สึกว่ามีบรรดาประชาชนหลายท่านด้วยกันแสดงความเห็นชอบด้วย
    แต่ทว่า ทางวัดหรือว่าทางเจ้าหน้าที่ที่นั่น แต่ความจริงวัดนี้ วัดดอนคนทานี่อยู่ติดอำเภอ
    อยู่ชิดอำเภอบัวใหญ่มาก ถ้าหากว่าท่านนักปกครองมีความหวังดีกับประชาชนของท่านก็ควรจะทำ
    เออวันนั้น พ่อเองก็รู้สึกปลื้มใจที่บรรดาลูกๆ ทุกคน และที่มากันทุกคนนี่ก็ทำงานกันด้วยความเต็มใจ
    แหมแดดก็แสนจะร้อนนะ เดือนมีนาคม นั่งอยู่แล้ว ไอแดดที่เข้ามาคล้ายๆ กับไอไฟ
    จะมองหน้าดูใคร แต่ว่าทุกคนเขามาก็ด้วยความสดชื่น เขามาในงานบอกว่าไม่เคยเห็นฤาษีลิงดำเลย
    ได้ยินแต่เสียง เสียงก็เอาเทปไปเปิด ได้ยินแต่เห็น ได้ยินแต่ชื่อ อยากจะรู้จักตัว คิดว่าตายไปนานแล้ว
    แหมเดชะบุญน่ะนะ ถ้ากำลังใจของท่านพวกนั้นท่านศักดิ์สิทธิ์ ท่านนึกว่าตายไปนานแล้วก็คงจะตายไปแล้ว
    ท่านมาด้วยความดีใจรู้สึกว่าอาหารการบริโภคก็ทำกันดีมาก แต่คนอย่างพ่อ อะไรพ่อก็กิน
    ขออย่างเดียว มีรสเค็มสักอย่างก็หมดเรื่อง มันก็ไม่มีความสำคัญในรสของอาหาร
    แต่ว่าขาดรสเค็มไม่ได้ คำว่าขาดไม่ได้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าติดไม่มีเค็มก็กินไม่ได้เลย ไม่ใช่ยังงั้น
    คือฝึกซะจนชินในสมัยที่ออกธุดงค์ คิดว่ามันจะมีอะไรรึไม่มีอะไรกินก็ช่างมัน
    แค่มีเกลือกินก็ใช้ได้ เท่านี้เอง พอนั้นก็เริ่ม ก็คุยกันไปถึงเรื่องต่างๆ โอภาปราศรัยไป คนมาก
    ก็รู้สึกว่า ไม่รู้จะคุยกับใครได้กี่คน ก็ได้แต่คนข้างหน้า ปะรัมเขาทำเขานั่งกันเต็มหมด
    ทุกคนเขาเป็นฝ่ายฟัง คุยไปคุยมา พ่อก็เห็นว่า ท่าเขาจะรำคาญ เมื่อฉันภัตตาหารเพลเสร็จ
    หลังจากเที่ยงนิดหน่อย จึงได้แนะนำในเรื่องของมโนมยิทธิ ต้องการให้เขาฝึก ลูกๆ นี่
    พ่อจะขออธิบายให้ลูกฟัง ลูกปฏิบัติกันได้ทุกคน แต่ว่าถ้าเราทำได้ถ้าคนอื่นเขาทำไม่ได้
    ลูกอย่าไปคิดว่าเขาไม่ดีนะ มันเป็นกิเลส มันเป็นมานะ คือว่า ต้องทำความรู้สึกอย่างนี้
    แหมร่มไทรนี่เย็นดีนะ เมื่อวานนี้ วันที่ ๑๐ เรานั่งคล้ายๆ กับนั่งกับกองไฟ
    วันนี้วันที่ ๑๑ มีนาคม เรานั่งใต้ร่มไทรคล้ายๆ กับนั่งแช่น้ำ เห็นไหมลูก
    ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ยมันเป็นอนิจจังไปหมด และก็ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันก็เป็นทุกขัง
    นี่เอาทิ้งกันไว้ก่อน

    วันนั้น เมื่อวานนี้ลูกคงจะฟังพ่อพูดแล้วก็แปลกใจ ถึงกับลูกพรนุชออกปาก
    ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามโนมยิทธิของเรานี่ของพระพุทธเจ้าท่านนะไม่ใช่ของพ่อ
    ความจริงหลักสูตรในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลมีอยู่ ๔ จุด คือสุกขวิปัสสโก เตวิชโช
    ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ดีเหมือนกันหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ ๔ แบบ
    ก็เพื่อให้เป็นอาหารใจ เขาเรียกกันว่า มโนสัญเจตนาหาร มโนสัญเจตนาหารก็แปลว่าอาหารทางใจ
    การปฏิบัติทางใจนี่ต้องตามใจคนชอบ สุกขวิปัสสโกปฏิบัติเรียบๆ ไม่ต้องการเห็นอะไรเลย
    เตวิชโช หูทิพย์ ตาทิพย์ ตาทิพย์ระลึกชาติได้ ฉฬภิญโญแสดงฤทธิ์ได้ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    รู้ทั้งหมด เท่ากับวิชชาสาม อภิญญาหก และสามารถรู้ภาษาของทั้งโลกทั้งหมดทั้งคนและสัตว์
    ทีนี้บางคนก็ต้องการเงียบสงัด บางคนก็ชอบสนุก แต่ผลจริงๆ ก็คือตัดกิเลสให้เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน

    ฉะนั้น ลูกจงอย่าทำลายอารมณ์ของบุคคลอื่น ใครเขาชอบอะไร เขาไม่ชอบเหมือนเรา
    จงอย่าว่าเขาเลว ท่านที่ปฏิบัติในขั้นสุกขวิปัสสโกนี่ ความจริง ท่านมีกำลังใจเข้มแข็งมาก
    คือว่า ปฏิบัติแบบเอาผ้าดำผูกตาเดินนี่ ไม่อดทนจริงๆ ไม่สำเร็จมรรคผล
    เราต้องสรรเสริญในขั้นวิริยะอุตสาหะ ขั้นเตวิชโชคือวิชชาสาม ขั้นนี้ก็ต้องใช้กำลังใจหนัก
    เพราะต้องทำฌาน ๔ ในกสิณให้ได้ตามกำลังใจชอบ แล้วสามารถวัดกำลังใจด้วยอำนาจอารมณ์อันเป็นทิพย์
    ก็หนักอีก สำหรับฉฬภิญโญได้อภิญญา ๖ จะต้องทำกสิณทั้ง ๑๐ อย่างได้ฌาน ๔ ทั้งหมด
    เข้าฌานตามลำดับฌาน เข้าฌานตามลำดับกสิณ เข้าฌานสลับฌานสลับกสิณ ต้องให้คล่อง
    ก็หนัก ปฏิสัมภิทัปปัตโตจะต้องเจริญสมาบัติ ๘ ได้คล่อง นี่ก็หนัก เป็นอันว่าต่างคนต่างหนัก
    ต่างคนต่างหนักไปคนละแบบ ฉะนั้นจงอย่าติกัน ดีเหมือนกันผลที่ได้จริงๆ ก็คือมรรคผลนิพพาน
    ไม่มีใครไปเลยนิพพาน ถ้าเลยนิพพานก็ต้องลงอเวจีอย่างพระเทวทัต ฉะนั้น ของทั้ง ๔ อย่างนี้
    ถ้าไม่ดีพระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสสอนมา จำให้ดีนะลูกนะ อย่าไปตำหนิเขา เมื่อวานนี้พ่อพูดจุดหนึ่ง
    ที่ลูกพรนุชบอกว่าไม่เคยได้ฟังมาเลย ความจริงพ่อก็ไม่เคยพูดที่ไหน การเจริญพระกรรมฐานเนี่ย
    โดยมากมักจะเอ๊า เอากันนิพพานๆๆ อย่างเดียว แต่ความจริงธรรมะของพระพุทธเจ้านี่
    ถ้าคนไหนจะไปถึงนิพพาน ไอ้นิพพานนี่เขาแปลว่าดับ ดับอะไรลูก จำได้มั้ย ที่ว่าดับก็คือดับทุกข์
    ทุกข์ที่มันจะมีกับเราเนี่ยมันดับไป ใจมันเย็น ใจมันสบาย อารมณ์มันเป็นสุข
    คำว่าดับไม่ได้หมายความว่าดับชีพ คือดับอารมณ์ที่เป็นทุกข์ ทีนี้ การเจริญพระกรรมฐาน
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้ พ่อนำด้วยวิธีมโนมยิทธิ คือว่า ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านก็ใช้ทุกอย่าง
    เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า มีความดีมีความสามารถไม่เท่าพระพุทธเจ้า จะเลือกสอนตามชอบใจอย่างพระพุทธเจ้า
    ก็ไม่ได้เพราะว่า เราไม่มีญาณพิเศษ พ่อก็ต้องทำแบบประเภทต้มยาหม้อใหญ่นะลูกนะ พ่อเต็มใจเหนื่อย
    ถ้าหากประชาชนมีความสุข การสอนด้านสุกขวิปัสสโกมีผลดี แต่ก็ดีแบบ....เพราะไม่มีราวบันไดเกาะ
    เพราะเรามีกำลังน้อย ถ้าอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นท่านเก่ง กำลังน้ำใจของท่านสูง
    ทรงสมาธิได้ดีมีความมั่นคงของจิตมาก อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ต้องใช้วิชชาสาม
    หรือว่าอภิญญาช่วยก็ได้ คือขึ้นบันไดเฉยๆ โดยไม่ต้องเกาะราวก็ได้

    แต่สำหรับพวกลูกทุกๆ คน หลายคนส่วนมาก ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
    กาลเวลาล่วงไปนานเท่าไร สัญญากับปัญญาของคนก็เสื่อมทรามลงมากเท่านั้น สัญญาแปลว่าความจำ
    ปัญญาแปลว่าความคิด คิดเห็นที่ถูกต้อง ข้อนี้เป็นความจริง พ่อลองใช้สุกขวิปัสสโกดูแล้ว
    ก็กลายเป็นน้ำขึ้นน้ำลง ประเดี๋ยวเขาก็ขึ้น เดี๋ยวก็ลง กำลังใจเดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ทราม
    เราก็ต้องหาบันไดเกาะคือนิมิต จึงหาทางคิดสอนในด้านวิชชาสาม ก็ไม่มีผล
    จึงมาหันมาจะไปสอนเอาอภิญญาหกก็ไม่ไหวแน่ แรงเกินไป
    จึงมาหากำลังใจที่...ที่เรียกกันว่ามโนมยิทธิ ก็พอดีบังเอิญ บังเอิญจริงๆ
    เป็นโอกาสถ่ายอุจจาระตรงร่อง ลูกชุดแรกไม่มีตัวอย่าง รู้สึกว่าจะทำกันลำบากสักหน่อย
    มาตอนหลังๆ นี่ วันเดียว วันเดียว วันเดียวกันเป็นสาย อย่างมากก็ ๔ วันได้
    สร้างความเพลิดเพลินเจริญใจ เห็นสวรรค์ก็ได้ เห็นพรหมโลกก็ได้ เห็นนิพพานก็ได้ เห็นนรกก็ได้
    เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ใครจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะทำอะไรที่ไหนปัจจุบันก็เห็นได้ รู้ได้
    ไปถึงได้ เอาจิตรับสัมผัสได้ด้วยอำนาจกำลังของจิต อันนี้รู้สึกว่าบรรดาลูกๆ ทุกคนจะมีกำลังขึ้นพ่อก็ดีใจ
    และก็ผลที่ทำให้เห็นอย่างนี้ เพียงแค่ระยะเดือนสองเดือนเศษๆ เราก็มีปริมาณคนที่รับไปแล้วประมาณ
    ๓,๐๐๐ คนเศษ ถึงวันพูดนี่พ่อคิดว่าเกินกว่า ๔,๐๐๐ คน เอาเริ่มต้นตั้งแต่ ๑๓ ธันวามาก็แล้วกัน
    ที่เราบุกกันใหญ่ พ่อได้อาศัยกำลังของลูกทุกด้านพ่อขอบใจลูก นี่ความดีของลูกนี่
    มันยากเหลือเกินที่พ่อจะเอาอะไรมาเทียบมาเคียง ให้มันสม่ำเสมอได้ และความจริงลูกทุกคนมีความดี
    แต่ขอลูกทุกคนจงรักษาความดีของลูกไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม แต่จงอย่าระเริงในความดีของตน
    คิดว่าเราดี จงนึกถึงคำสอนพระพุทธเจ้าไว้เสมอว่า อัตตนา โจทยตานัง จุดไหนที่เราดี
    เรารักษาความดีไว้ แต่ว่าจุดไหนที่เรายังไม่ดี พยายามทำลายความไม่ดีให้มันหมดไป ทรงไว้แต่ความดี
    ลูกรัก อย่างนี้ลูกทุกคนก็จะมีแต่ความดี

    มโนมยิทธิทำให้คนเลิกสุรายาเมา ทำให้คนมีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ทำให้คนมีอารมณ์เป็นสมาธิตั้งมั่น มีหลายคนรายงาน ว่าที่บ้านเมื่อก่อนนี้เคยดิ้นรนเดือดร้อน กลุ้ม
    แต่พอฝึกได้เข้าใจสบาย เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกาลก่อนเคยรุนแรงกับใจ เวลานี้กระทบเข้าก็รู้สึกว่า
    ก็มีความรู้สึกว่าคล้ายๆ กับเคยถูกหินทุ่มมาแล้ว แต่กลับมาถูกปุยนุ่นทุ่มแทน แต่ความจริงน่ะการที่มามันเท่ากัน
    การรับสัมผัสทางจิตไม่เสมอกันมันเบา ท่านบอกว่าท่านมีความสุข สามีที่เคยออกบ้านก็ไม่ไป
    ภรรยาที่เคยไถลไปซื้อของมากๆ ก็ไม่ไป เห็นว่าการซื้อของใช้มากๆ ไม่เกิดประโยชน์
    เอาสตางค์เก็บไว้รักษาตัวให้มันมีความสุขภายในบ้านดีกว่า เรื่องเครื่องประดับประดาไม่มีความหมาย
    นี่มันลดไปเยอะนะลูกนะ พ่อเห็นประโยชน์อย่างนี้ แต่ทว่ามีอยู่องค์หนึ่งที่ไม่เห็นด้วย
    นั่นก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านบอกว่า ไม่ต้องเกาะ แต่อย่าไปตำหนิท่านนะ
    แต่ท่านกับพ่อน่ะเป็นคู่ทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าฟังแล้วต้องฟังให้ดีนะลูก
    ท่านพูดเอาเหตุเอาผล ท่านไม่ได้เถียงแบบคนเถียงเอาแพ้เอาชนะ และก็จะว่าท่านก็ไม่ถูก
    พ่อก็ชอบแหย่ท่านเหมือนกัน ท่านชอบเล่นสายสุกขวิปัสสโก แต่ว่าจะแอบๆ เล่นเตวิชโชเข้ามั่งรึเปล่า
    พ่อไม่แน่ใจนะ กำลังใจท่านเข้มแข็งมาก สมาธิของท่านดีมาก ท่านไม่คุย พ่อก็รู้ว่าท่านไม่ชอบพระสูตร
    แต่สมเด็จชอบพระสูตร พ่อก็ถวายเทปรัชนีเข้าไป ท่านก็ทรงติง ติงมานิดนึง

    ทีนี้พ่อก็มานึกๆ ถึงกำลังใจของพ่อว่า เออ พ่อนี่ใจมันเลวลงหรือยังไงหนอ
    เลยรักษากำลังใจไว้ได้ดีตามเดิม ไม่มีเครื่องพิสูจน์ จะพิสูจน์กับลูกๆ ก็ลูกทุกคนดีซะหมด
    พ่อก็ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง เอ้อ ทำไงดีล่ะ พ่อก็ให้พรนุชทำรายงาน ให้เที่ยวสวรรค์
    เที่ยวพรหม เที่ยวนิพพาน เที่ยวนรก แล้วก็ลองถวายเข้าไป พ่อนึกในใจ
    ว่าการถวายเข้าไปนี่มีความรู้สึกว่า ถ้าเจอะกันเมื่อไหร่
    พระองค์โจมตีแน่ แต่การโจมตีของพระองค์เป็นภาษิต ไม่พูดแบบนักเลงข้างถนน
    มีเหตุมีผลน่าฟัง พ่อเสียดายนะเวลาเข้าเฝ้าทุกครั้ง พ่อจะเอาเครื่องบันทึกเสียงไปด้วยก็เกรงจะไม่อนุญาต
    ถ้าพ่อเอาเครื่องบันทึกเสียงไปด้วยบันทึกมาล่ะก็ ลูกฟังแล้วจะจับใจมาก
    ลีลาของพระองค์มีละเอียดละออมาก การใช้สติปัญญาในการเจริญพระกรรมฐาน
    และก็มีความนุ่มนวลในพระราชดำรัส และมีการฉลาดในการใช้แนวความคิดที่ถูกต้อง
    อันนี้พ่อไม่ได้ถือว่าท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินละก็พ่อจะมานั่งยอท่าน

    สำหรับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จองค์นี้ไม่มีอะไรเวลาเข้าไป เข้าไปก็มีอย่างเดียว
    ห่วงประเทศชาติ ห่วงประชาชน ทำยังไงประชาชนจะมีความสุข ห่วงไทยทั้งภายใน
    ห่วงไทยที่อยู่นอกประเทศ นี่พระองค์ไม่ได้ห่วงตัวพระองค์เลย ทั้งสองพระองค์นี้น่ารักมาก
    กะสมเด็จพระเทพฯ อีกองค์หนึ่ง สำหรับสมเด็จพระบรมฯ กับสมเด็จองค์เล็กนั่น
    พ่อไม่ค่อยพบกับท่าน พ่อไม่ทราบ ท่านก็คงจะมีน้ำพระทัยคล้ายคลึงกัน นี่เป็นอันว่า
    พ่อก็ลองคิดว่า เอ๊ ถ้าพ่อส่งเทปพรนุชเข้าไปนี่
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องโจมตีแน่ พ่อก็ไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจว่าจะทรงโจมตีมั้ย
    ก็ลองดู ลองถวายเข้าไป พอพบกันเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ที่ภูพิงค์พระราชนิเวศน์
    เอ๊าจริงๆ จริงๆ พ่อดีใจมาก ดีใจที่โจมตีนะ เอ๊ยไม่ใช่ยังงั้นหรอก ดีใจว่ากำลังใจของพ่อยังใช้ได้อยู่
    คิดว่ามันเหลวแหลกไปเสียแล้ว ก็งานหนักๆ ไม่ค่อยได้ซักได้ซ้อม มัวห่วงนั่นห่วงนี่
    คิดว่าด้านกำลังใจมันจะเสีย พอถูกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโจมตี พ่อก็ดีใจ

    แต่ว่าน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ ลูกต้องจำนะลูกนะ แล้วสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
    สมเด็จพระเทพนี่ อย่าลืมว่าท่านห่วงคนทั้งชาติ ห่วงคนทั้งชาติทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ
    ทั้งหมดนี้ ท่านไม่เคยตรัสว่าใครเป็นศัตรูกับท่าน ท่านปรารภอย่างเดียว อยากจะสงเคราะห์เขาให้มีความสุข
    น้ำพระทัยแบบนี้ไม่ต้องเจริญกรรมฐานก็ได้ลูก เมตตาบารมีน่ะเต็มเปี่ยม ขันติบารมีเต็มเปี่ยม
    วิริยะบารมีเต็มเปี่ยม ปัญญาบารมีเต็มเปี่ยม ละมันเต็มทุกบารมี บารมีใดถ้าเต็มก็อันใดอันหนึ่งมันก็เต็มหมด
    เป็นอันว่า น้ำพระทัยทรงอยู่ในบารมี ๑๐ ครบ ทรงอยู่พรหมวิหาร ๔ ละอคติ อคติ ๔ คือฉันทาคติ
    ลำเอียงเพราะความรัก โทสาคติ ลำเอียงเพราะความโกรธ โมหาคติ ลำเอียงเพราะความหลง
    ภยาคติ ลำเอียงเพราะความกลัว สิ่งทั้งหลาย ๔ อย่างนี้จงอย่ามีในน้ำใจของลูก
    ดูตัวอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพฯ
    อีกทั้ง ๒ พระองค์คงคล้ายคลึงกัน ท่านไม่มีอะไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสให้ทราบ
    ว่าเวลานี้สมเด็จกำลังกลุ้ม หงุดหงิด บางทีโมโหร้าย ทั้งนี้เพราะว่า เรื่องอะไรต่ออะไรมันแหย่หูท่านอยู่เสมอ
    คนนั้นก็ทูลอย่างนั้น คนนี้ก็ทูลอย่างนี้

    ลูกจะเห็นว่า ทั้งหนังสือเวียนก็ดี ทั้งเสียงพูดก็ดี เขาด่าศักดินากัน
    เขาหาว่าท่านเป็นศักดินา แต่ลูกเอ๋ย พ่อฟังแล้วก็เหนื่อย พ่อคิดว่า ที่ไหนๆ มันก็มีศักดินา
    ถ้าที่ไหนมีประธานาธิบดี ที่ไหนมีนายกรัฐมนตรี ที่ไหนมีรัฐมนตรี ที่ไหนมีขุนนางเป็นหัวหน้าแนว
    ในการปกครอง ที่นั่นก็มีศักดินา แต่ศักดินาอย่างพระเจ้าแผ่นดิน กับศักดินาอย่างประธานาธิบดี
    พ่อต้องการศักดินาอย่างพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะคนที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินเนี่ย เป็นคราวหนึ่งถึงตายหรือว่าลาออก
    แต่ว่าประธานาธิบดี ๔ ปี ๕ ปีก็พ้นตำแหน่ง ลูกก็ลองดูนักการเมืองบางจุด จะเป็นประเทศไทย
    ประเทศเจ๊ก ประเทศลาว ประเทศแขก ก็คล้ายคลึงกัน ก็คนก็แค่คน เขายังไม่ได้เข้ามานั่งแป้นบริหารประเทศ
    บางคนสมัยก่อนโน้นนะ กินข้าวต้มกุ๊ยอยู่ข้างๆ ถนน พอเข้าบริหารประเทศได้เข้าประมาณซักปีเดียว
    ตึกรามใหญ่โตมโหฬาร ถ้าจะคิดว่าเขาจะเก็บเงินเดือนของเขา เงินเดือนที่เขามีอยู่
    จะเก็บไว้โดยไม่ใช้อะไรเลยมาสร้างตึก มันก็ทำไม่ได้ นี่เป็นอันจะเห็นได้ว่า
    นักการเมืองน่ะ มันก็อดจะกินเมืองกันไม่ได้ แต่ว่าอย่าไปโทษคนทุกคนนะลูกนะ ที่ท่านดีน่ะมีเยอะ
    นี่พ่อพูดสำหรับประเภทกิน ทีนี้ศักดินาอย่างพระเจ้าแผ่นดิน เขาตั้งขึ้นแล้วให้ เขาให้เงินปีจำกัด
    ปีเขาต้องให้เท่านี้ พระองค์เลือกเงินเดือนไม่ได้ เขาให้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไอ้การจะเซ็นหนังสือหนังหา
    ในตำแหน่งเกี่ยวกับการด้านเงินไม่มีนะพระเจ้าแผ่นดิน มันมีตามกระทรวงต่างๆ หรือนายกรัฐมนตรี
    หรือกรมกองต่างๆ สำหรับประธานาธิบดีเนี่ย เขาเข้ามาสี่ปีห้าปีเขามีอำนาจเซ็นเหมือนนายก
    อนุมัติโน่นอนุมัตินี่ ถ้าประธานาธิบดีไม่อนุมัติก็ไม่ได้ ถ้าหากว่าถ้าประธานาธิบดีท่านนั้นบังเอิญท่านหิวล่ะ
    ละก็ห้าปีมาที ห้าปีมาที สี่ปีมาที ก็จะกลายเป็นฝูงเหลือบเปลี่ยนฝูง พ่อคิดว่าถ้าคนเดียวเป็นตลอดชีวิต
    จะโกงจะกินยังไงก็ตามยังมีอิ่ม ถ้าเปลี่ยนกันเข้ามากินนี่ต้องรีบโกย ในนิทานสุภาษิต
    สมัยเมื่อพ่อเรียนชั้นประถม พ่อจำได้ว่า เจ้าวัวตัวหนึ่งมันไปนอนในบ่อ ฝูงเหลือบตอมเต็มทั้งตัว
    กินเลือดจนอิ่มแล้วก็เกาะเฉยๆ แล้วสัตว์อีกตัวหนึ่งพ่อจำไม่ได้ว่าจะเป็นแพะหรือสุนัขจิ้งจอกอะไรก็ไม่ทราบ
    มองลงไปเห็น บอกกับวัวบอกว่านี่แกนอนอยู่ทำไมเล่า ไอ้เจ้านี่มันสูบเลือดสูบเนื้อแกกิน
    ไล่ไปซะเถอะฉันช่วยไล่ให้ เอามั้ย วัวตัวนั้นก็ร้องขึ้นมาบอกว่าอย่าไปไล่เลย ไอ้เจ้าเหลือบฝูงนี้น่ะมันกินอิ่มแล้ว
    มันเกาะเฉยๆ หากท่านไล่ฝูงนี้ไป ฝูงใหม่มามันผอมอยู่ มันหิวอยู่ มันจะกินเลือดเราใหม่
    ในไม่ช้าเลือดเราก็จะหมดตัว

    นี่ขึ้นชื่อว่าศักดินา หมายความว่า คนที่อยู่ในชนชั้นการปกครอง
    มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองประเทศ ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ถ้าเปลี่ยนบ่อยๆ มันก็จะกลายเป็นเหลือบฝูงที่เปลี่ยน เปลี่ยนฝูงบ่อยๆ พ่อมีความเห็นอย่างนี้ คิดว่า มีพระมหากษัตริย์ ดีกว่ามีประธานาธิบดี
    ประธานาธิบดีงานทุกอย่างก็มาจากรัฐสภา พระมหากษัตริย์งานทุกอย่างก็มาจากรัฐสภา
    มันจะมีอะไรแตกต่างกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระมหากษัตริย์องค์นี้ ก็ไม่โกงไม่กินอยู่แล้ว
    มีแต่คิดให้อย่างเดียว เรามีไว้อย่างนี้ดีกว่า แต่ว่า เราก็ได้แต่พูดเท่านั้นนะ เราได้แต่พูด

    อย่างเรื่องน้ำมันก็เหมือนกัน พ่อพูดมาคอเกือบแตกตั้งแต่ปี ๑๘ ไม่มีใครระมัดระวังกัน
    ผลที่สุดเวลานี้เห็นแล้ว ทุกข์จากน้ำมันมันเกิดขึ้น เห็นมั้ย นี่เรามากันนี่ตามปกติปั๊มน้ำมันมีเยอะ
    เราต้องเอารถอีกคันหนึ่ง ซึ่งต้องเปลืองน้ำมันเป็นพิเศษขับบรรทุกน้ำมันมา
    ไม่งั้นเราก็กลับไม่ได้ ลูกเห็นไหมว่ามาตามทางน่ะ รถจอดกันเป็นแถว
    คอยน้ำมันตามปั๊มต่างๆ ถึงเข้าคิวกัน นี่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกน่ะมันเป็นอนิจจังหมด

    นี่พ่อพูดจะ...พูดถึงมโนมยิทธิ วันนั้นพ่อได้พูดกับเขา เมื่อวานนี้น่ะ พวกชาวบ้านบอกมโนมยิทธิ
    รึว่าถ้ากรรมฐานที่ทำ ไม่ใช่ว่าเราจะเห็นสวรรค์ เห็นพรหมโลก เห็นพรหม เห็นนรกได้อย่างเดียว
    เราใช้ประกอบกิจอาชีพในปัจจุบันให้มีความสุขได้ เพราะ ๑ เราสามารถใช้กำลังใจในการค้าขายทำไร่ทำนา
    รับราชการ หรือเป็นลูกจ้าง ว่าปีนี้จะปลูกอะไรดี ฝนจะแล้งหรือว่าฝนจะตก ปีนี้จะค้าขายอะไรดี
    เขาค้ากันขาดทุนถ้าเราจะค้าจะขาดทุนหรือได้กำไร อย่างนี้เรารู้ก่อน นี่พระกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น
    สุดแท้แต่เราจะใช้ ใช้ในการครองชีพก็ได้ เฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ได้มโนมยิทธิ จะต้องทรงศีล ๕ เป็นปกติ
    มีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ เมื่อทรงศีล ๕ เป็นปกติแล้วลูกจงคิด ว่าที่พ่อพูดเรื่องธรรมค้ำจุนโลกน่ะ
    แค่ศีล ๕ ตัวเดียวถ้ามีทุกคน โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข เราจะหาคนจนไม่ได้
    คุกตะรางไม่ต้องสร้าง ศาลตุลาการตำรวจทหารไม่ต้องมี งบประมาณทั้งหมดที่ตั้งกันมาปีๆ เป็นหมื่นๆ ล้าน
    เพื่อการใช้จ่ายเพื่อการป้องกันมันก็ไม่ต้องมี เงินทั้งหมดนี้ก็มาบำรุงความสุขซึ่งกันและกัน
    และประการที่ ๒ ต่างคนต่างมีความเมตตาหารือกันเป็นมิตรซึ่งกันและกัน โลกก็เต็มไปด้วยความสุข
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าสุดแล้วแต่เราจะใช้ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จะต้องเรียนเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว
    พ่อเห็นประโยชน์อย่างนี้ จึงได้นำ ทดลองเอามโนมยิทธิมาใช้ และก็เป็นที่ถูกใจคน
    เพราะเรื่องนรกสวรรค์นี่ เขาสงสัยกันมานาน เขาหาว่าพระโกหก พอเขาเห็นจริงก็เกิดความปลื้มใจ
    และทำให้บ้านของเขามีความสุข นี่ลูกเห็นมั้ยลูก ลูกเองก็ได้รับฟังมากับตัวเอง
    ที่รับรายงานจากบรรดาประชาชนทั้งหลายที่เขามาฝึก แล้วได้กลับไปบ้าน เขามีความสุข
    เขากลับมารายงานให้ฟัง พ่อบ้านที่ชอบเที่ยวก็เลิกเที่ยว แม่บ้านที่ฟุ่มเฟือยก็เลิกฟุ่มเฟือย
    ลูกที่ดื้อก็ไม่ดื้อ เอ้านี่มันมีความสุขมั้ย บ้านใกล้เรือนเคียงก็มีแต่ความสามัคคีซึ่งกันและกัน
    เอาล่ะสำหรับเทปหน้านี้ก็ยังไม่ได้อะไรกัน หมดซะอีกแล้วนี่ลูก ก็ฟังเทปที่สองต่อไปก็แล้วกันนะ
    สำหรับหน้านี้พ่อขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้เพราะว่าเวลามันหมดแล้ว สวัสดี
     
  3. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    03.ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม-เล่าเรื่องบัวคลี่@11 มีนาคม 2522.mp3
    เอ้อ สำหรับหน้านี้ พ่อก็ขอคุยต่อ การมาคราวนี้นะลูกนะ จงอย่าลืมความดีของพี่แดงและพี่โก๋
    พี่แดงก็คือพันโทศรีพันธุ์ วิชชุพันธุ์ หัวหน้าแผนก อ้า ทหารที่จันทึก โก๋ก็คือพันเอ้อพันเอกประวิทย์
    ศรลัมภ์ พยายามให้ความสะดวกเราเป็นอย่างดียิ่ง และคนที่เป็นแนวหน้าในการเดินทางคราวนี้
    ที่มีความเหน็ดเหนื่อยมากก็คือลุงเหม่หรือปู่เหม่ของลูก และก็ ช. เป็นอันว่า ช. แก่ เหม่ บุหงา
    และก็หลายคน ที่ต่างคนต่างมาช่วยกันทำครัว แม่ครัวนี่ก็ทำกันจริงๆ ไม่เคยเอาเงินเอาทองอะไรกันเลย
    ค่าจ้างแรงงานไม่มี ทิ้งบ้านทิ้งช่องกันมา แม่ครัวน่ะลำบากมากนะลูกนะ ต้องตื่นก่อน
    และก็นอนทีหลังเขา ก่อนที่เขาจะกินต้องทำแล้ว พอเขากินเสร็จแม่ครัวยังทำต่อ
    เก็บถ้วย ล้างชาม งานทุกอย่างอย่างนี้ลูกไปที่ไหนอย่าปล่อยให้แม่ครัวตามลำพัง
    ทำตามลำพัง ถ้าไปที่บ้านก็อย่าปล่อยให้บ้านเขาทำตามลำพัง ต้องจำศัพท์โบราณไว้ว่า
    เจ้าจงอย่านิ่งดูดาย ไปอยู่ที่ไหนนะ อยู่กับใครก็ตาม จงอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น
    เขาว่าอย่างงั้น แม้ว่าแก่แล้วทำอะไรไม่ได้ก็เล่นกับเด็ก ดึงเด็กเข้ามาเพิ่มความสนใจอยู่ในเรา
    พ่อแม่เจ้าของบ้านเขาจะได้มีเวลาทำกิจการงานอย่างอื่น อันนี้มันก็ความดีเป็นเสน่ห์
    แล้วเสน่ห์นี้ไม่ต้องไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหน

    หันเข้ามาพูดถึงวัดดอนคนทา พ่อนึกรักน้ำใจเขา แล้วก็นึกรักน้ำใจของลูกทุกคน
    เมื่อพ่ออธิบายให้เขาฟังว่า การเจริญมโนมยิทธิกรรมฐานนี่มีความสุขในชาตินี้
    และเราก็จะเปลื้องความสงสัยว่านรกมีจริงมั้ย สวรรค์มีจริงมั้ย พรหมโลกมีจริงมั้ย
    นอกจากนั้นจะทำมาหากินอะไร เราก็รู้ล่วงหน้าก่อน รู้สึกว่าเขาภูมิใจกันมาก
    ความจริงก็มีผลไปตามนั้นลูก ผลเป็นไปตามนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าพ่อบอกแล้ว
    ใช้ได้ทุกทางทั้งทางโลกและทางธรรม ความจริงใช้ในทางโลกทำมาหากินชื่อว่าโลก
    แต่อาการที่ทำเป็นทางธรรม อย่างเราไม่ข่มเหงซึ่งกันและกัน เราเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    เราไม่แย่งความรักซึ่งกันและกัน เราไม่โกหกมดเท็จกัน ไม่ดื่มสุราเมรัย
    อย่างนี้ก็เป็นทั้งทางโลกและธรรม โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย หมายความเราไม่ลิดรอน
    ให้ชาวโลกได้รับความเดือดร้อน และก็ทรงธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย
    พอเขามีความเข้าใจ พ่อเห็นใจเขาลูก เขาเก่งกันมาก คนประมาณ ๔๐๐ คนเศษ
    ที่พ่อทราบก็ทราบเพราะแจกเหรียญ.... แต่ก็มีการเวียนเทียนซักประมาณสัก ๓๐ เหรียญได้
    ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดา เราไปที่ไหนเพราะเราเคยเวียนเทียนมาก่อน
    เวียนเทียนรอบองค์พระเจดีย์บ้าง พระประธานบ้าง แต่เราก็ถูกเวียนเทียนเอาเหรียญ
    เอาของแจก แม้แต่แจกข้าว แจกปลา แจกผ้าผ่อนท่อนสไบเราก็ถูกเวียนเทียน
    หรือถูกกีดถูกกัน ความจริงทำให้เราเพิ่มบุญบารมีขึ้นอีก ดีเหมือนกัน
    แทนที่เราจะได้บุญกับเขาครั้งเดียว กลับมาได้เป็นสองครั้งสองคราว ดี ดีมาก

    คนทั้งหมดมีโอกาสเข้าร่วมฝึกพระกรรมฐานจริงๆ ประมาณ ๑๐๐ คนเศษนิดหน่อย
    ไม่ถึง ๑๕๐ คนนะ คือว่าที่ไม่มีให้ นอกนั้นต้องเป็นฝ่ายนั่งดู ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่อธิบาย
    ให้ศีลเสร็จ เวลาให้ใช้เจริญกรรมฐานจริงๆ อยู่ในเกณฑ์เวลา ๔๕ นาที พ่อก็จับเวลาไว้
    อากาศก็ร้อนจัด เด็กก็เล่นกัน รถก็วิ่งอยู่ข้างทาง แต่ผลปรากฏว่า
    จิตใจของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเคลื่อนเข้าไปได้ ไปมุมต่างๆ ไปภพต่างๆ ได้ถึง ๙๒ คน
    อันนี้พ่อก็ต้องขอขอบใจความดีของลูก ที่ลูกของพ่อทุกคนไม่ชินกับภาษา เขาว่าเฮ็ด
    ลูกก็ไม่รู้ว่าเฮ็ดเป็นยังไง หยังก็ไม่รู้ว่าหยังว่ายังไง ถามว่ามีชฎามั้ยเขาบอกว่ามีกระโจ้มหัว
    ถ้างั้นก็ต้องฝึกกันเรื่องภาษาต่อไป เป็นอันว่า ถึงยังงั้นก็ดี เราลากลู่ถูกังกันไปได้ถึง ๙๒ คน
    รู้สึกว่าผู้ที่ได้ปลื้มอกปลื้มใจกันไปตามๆ กัน นี่แหละศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราแจกของของหมดมันก็สิ้นของสิ้นความสุข
    ถ้าเราแจกน้ำใจให้คนประพฤติดีมีคนดีมีความสามัคคีซึ่งกันและกัน แล้วทำให้เขาสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า
    ควรจะทำอะไรมันจึงจะมีกินมีใช้ ทำเหตุไหนถ้าทำแบบนี้มันจะขาดทุน อย่างนี้เขาจะมีความสุข
    แจกอย่างนี้ชื่อว่าแจกอริยทรัพย์ แจกทรัพย์อันประเสริฐที่เขาใช้ไม่หมด ดีใจไหมลูก
    ดีใจนะ ทุกคนยกมือกันเป็นแถว ยิ้มดีใจ พ่อก็ดีใจกับเขาและก็ดีใจที่ลูกของพ่อทุกคนเป็นคนดี
    พอพ่อสั่งลูกทุกคนไม่ได้รีรอ ทำทันที รู้ใจพ่อ เพราะว่าพ่อไม่ชอบคนช้าอย่างหนึ่ง และก็ประการที่สอง
    พ่อไม่ชอบคนลังเล ขี้ขลาด เยื้องกรายช้า อันนี้พ่อไม่ชอบ ทำไมจึงไม่ชอบ ถามว่าถ้าคนอื่นเขาทำ
    พ่อจะเกลียดเขามั้ยพ่อก็ไม่เกลียด แต่ว่าพ่อไม่ชอบ ชอบทุกอย่างให้มันเร็วไปหมด ทำก็ทำเร็ว
    ได้ก็ได้เร็ว แล้วก็ดีด้วย เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ธรรมะของเราไม่ใช่ธรรมะเครื่องเนิ่นช้า
    ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง ต้องเร็วๆ ไวๆ เห็นมั้ย อย่างพวกลูกๆ ทำทุกอย่างเป็นที่...
    และเป็นที่รัก...ทั้งหลายเหล่านั้น เขาดีกันมาก เพราะฉะนั้นมันมีเมื่อวานนี้มีคนมาที่นี่.....
    (เสียงกระโดดจนฟังไม่รู้เรื่อง)

    ....พระทุกวัด ช่วยกันหาข้าวไว้เป็นกองทุนให้คนยืมกิน เราต้องถืออำนาจเด็ดขาด บอกว่า
    หากไม่ชำระหนี้จะไม่ให้กินเด็ดขาด แต่การจริงชำระหนี้ก็เป็นของไม่ยาก เขาได้มายืมไปห้าถังพ่อบอกแล้ว
    เขาได้มาห้าถังให้เขาใช้หนี้ ไม่มีเขาก็มายืมไป มันก็ได้ ถ้าเราจะให้ซะฟรีอย่างเดียวก็รู้สึกว่าจะ...
    คนขี้เกียจมาก....................เห็นมั้ยลูก เห็นว่าโลกนี้มันทุกข์.........การเรียนสมถวิปัสสนา
    อย่าไปถือตำรา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้เสร็จ ไปนั่งมองถึงไหนก็ดูความให้มันเห็น
    ว่าที่ไปนี่มันสุขหรือทุกข์ ใจเราแสดงอาการนี่มันสุขหรือมันทุกข์ ใจมันสุขหรือมันทุกข์
    ............นั่นก็คือที่พ่อ ไปคราวนี้พ่อแบก ๔ คัน แบก....๗๗ คน นี่เป็น.......ปริมาณคนน้อยที่สุด
    ......พอไปถึงสถานที่แล้วเพิ่มคน แบกคนอีก ๔๐๐ คนเศษ..........แบกถึง ๕๐๐ คน หนักมั้ยลูก
    ลองดูซิ การแบกอย่างนี้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ แต่ว่าพ่อไม่มีกังวลเสียลูก พ่อถือว่าทุกอย่างเป็นของธรรมดา
    ถ้าเราคิดทุกข์มันก็ทุกข์ มันต้องทุกข์ เพราะเราทน แต่ความทุกข์อันนี้ไม่.......ใจของพ่อ
    ฉะนั้นใจของพ่อก็คือสุข .........

    .....ทางภาคอีสานมีแต่แห้งแล้ง การเดินทางเข้ามาตลอดทาง เราดูได้ว่า
    บ้านช่องเรือนรวงของคนเหมือนกันนะลูกนะ บางคนบ้านใหญ่สวย บางคนบ้านหลัง... บางคนก็อยู่กระต๊อบ
    บางคนแต่งตัวสวย บางคนแต่งไม่สวย บางรายมีทรัพย์สิน บางรายไม่มีทรัพย์.........ก็ไม่ค่อยจะมี
    อาการที่จะเป็นอย่างนี้......มันเพราะว่า เรามีความดีไม่เท่ากัน ที่มีทรัพย์น้อยก็เพราะมีบารมีย่อหย่อนกว่า...
    และยิ่งใหญ่กว่า คนที่บริจาคมาก คำว่ามากนี่หมายถึงกำลังใจ คนให้บ่อยแม้ให้น้อยมันก็มาก
    ประเภทนี้เกิดกี่ชาติ....ก็รวย และ..........ลองดูสิลูก มันสุขทุกข์ ทีนี้ภาคกลางเรา
    ........ฐานะก็ถูกนินทาว่าร้าย รวยจนมีสภาพเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสภาพการเกิดนี่มันเป็นทุกข์
    เห็นทุกข์มั้ยลูก เห็นเหรอ ดีมาก จำไว้นะลูกนะว่าขันธ์ ๕ ถ้ามันมีอยู่ และมันเป็นทุกข์
    เราใช้มโนมยิทธิของเราท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ คือว่าไปสวรรค์ เห็นวิมานใครเขาสวย
    ก็ไปถามว่าวิมานของเขาทำไมสวยกว่าวิมานของเรา เขาบอกมาเราก็จำไว้แล้วทำตามเขา
    เห็นพรหมมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปีติ ก็ถามพรหมว่าปฏิบัติแบบไหน
    ถึงนิพพานจัดว่าเป็นแดนความสุข คนที่ไปท่องเที่ยวได้น่ะ อย่าพึงนึกนะว่าจะไปตายแล้วจะไปสวรรค์
    นิพพานไปพรหม ถ้ามีความประมาทก็ดูตัวอย่างพระเทวทัต แต่ทว่าปริมาณของคนที่ได้วิชชาสามและอภิญญา
    ไปนรกมีน้อย หายากเต็มที ก็เห็นมีท่านตัวดีอยู่ท่านเดียวคือท่านเทวทัต นอกนั้นเขาก็ไปนิพพานกันหมด
    ถ้าของนี้จะเป็นภัยล่ะก็ องค์สมเด็จพระบรมสุคตคือพระพุทธเจ้าน่ะท่านก็ไม่สอนไว้ ลูกจำไว้นะลูกนะ
    เรายอมลำบากชาตินี้ชาติเดียว ลำบากให้มันถึงที่สุด ไม่ใช่ลำบากเก็บลำบากจ่าย เขาอดที่ไหนเราไปที่นั่น
    เขาทุกข์ที่ไหนเราไปที่นั่น ไปช่วยบรรเทาเขาให้คลายความทุกข์ เขาจะมีความสุขมากรึมีความสุขน้อย
    เราไม่ต้องถือเป็นประมาณ ถือว่าเราช่วยเขาให้มีความสุขเนี่ยเป็นความสำคัญ สุขทางกายเป็นสุขไม่นานลูก
    ถ้าเราช่วยเขาสุขใจได้มันจะเป็นความสุขอย่างประเสริฐ ฉะนั้น ใครจะว่าพ่ออภิญญาสมาบัติดีหรือไม่ดี
    พ่อไม่เหลียวแล พ่อไม่ฟัง พ่อจะฟังอย่างเดียวคือเหตุผล ต้องการอย่างเดียวว่าเวลานี้คนหิวอะไร
    หิวสุกขวิปัสสโก หรือหิวเตวิชโช หิวฉฬภิญโญ หิวปฏิสัมภิทัปปัตโต เขาหิวขนมเราให้ขนมเขาชอบ
    เขาหิวอาหารเราก็ให้อาหาร เขาหิวน้ำเราให้น้ำ เขาหิวบุหรี่เราให้บุหรี่ เขาหิวสุราเราให้สุรา มันถึงจะถูกใจคน
    และเราก็ต้องดูผลว่าสิ่งที่เราให้มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ มันเป็นโทษหรือมันเป็นคุณ
    ถ้ามันเป็นโทษเราก็ไม่ให้ ถ้ามันเป็นคุณเราให้ นี่คุยกันตรงนี้นะ ทีนี้เราก็มาจากวัดคนทา อ้าดอนคนทาเสียทีนะ

    วัดดอนคนทาเป็นอนุสรณ์ ที่เราไปสร้างพระอุโบสถกัน คุณจิรศักดิ์นี่ก็ดีมาก รับราชการในกระทรวงมหาดไทย
    เป็นข้าราชการชั้นเอก ปิดทองก้นพระ อย่าลืมนะคุณจิรศักดิ์ เราทำดีน่ะมีคนด่า
    แต่เขาด่าเพราะเราทำความดีเราก็ควรจะยิ้ม ช่างเขาเถอะ เราไม่โกงไม่กินน่ะเป็นการสมควรแล้ว
    ช่วยราชการ ปีนี้ช่วยราชการได้ประมาณ ๒๕๐ ล้านเศษใช่มั้ย ของที่เขาสั่งไปทำ ของที่มีอยู่แล้วเนี่ยนะ
    คนสั่งทำมั้ยไม่ลืมตาอ้าปากซะบ้างก็ไม่รู้ ของที่มีอยู่แล้วสั่งให้ไปรื้อ ของยังดีอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
    แต่ไปรื้อแล้วก็ทำใหม่ ไอ้อาการอย่างนี้มันเป็นอาการของคนโง่ทึมทึก คนทำลายชาติ
    ต้องเรียกว่าคนทำลายชาติ เพราะทรัพย์สินของชาติต้องพินาศไปเพราะคนระยำพวกนี้
    มันไม่มีความดีอะไร ไม่รู้ว่าเขาจะจ้างกันไว้ทำไม คนเจ้าของเงินที่จ้างเขาไม่...ไม่รู้จักหน้าคนคือราษฎร
    แต่คนที่เอาคนประเภทนี้เข้ามาเนี่ย เขามาช่วยมีความหวังตั้งใจคิดจะช่วยกันทำลายชาติยังไงก็ไม่ทราบ
    จิรศักดิ์ทำไปก็แล้วกันนะ นี่ชื่อศักดิ์ๆ เหมือนกัน เกรียงศักดิ์ จิรศักดิ์ มันคล้ายๆ กัน
    ...ก็เล็กๆ เหมือนกันก็ดีแล้วล่ะ ช่วยกันนะ ช่วยกันทุกแง่ทุกมุมจะไปเอารัฐบาลคนเดียวกลุ่มเดียว
    คนไม่กี่คนน่ะมันไม่ไหว ถ้าข้าราชการประจำไม่ช่วยกันมันไปไม่รอด ถึงว่า
    คนที่ไม่ใช่ข้าราชการก็เหมือนกัน ต้องช่วยกันดูช่วยกันแล อย่าคิดว่าเขาเป็นข้าราชการใหญ่กว่าเรา
    เราจะต้องกลัวเขาเสมอไปไม่จำเป็น ตามระเบียบวินัยเรากลัว แต่ด้วยเหตุผลจะมัวกลัวอยู่ไม่ได้
    ต้องคิดว่าถ้าเราไม่ได้รับราชการเราไม่อดตายเรอะ เราเอาความดีสู้กันไม่ช้าคนชั่วมันก็พัง

    นี่เรามานั่งมองดูศาลซิลูกรัก เห็นมั้ย เห็นฝรั่งเขาเดินมามั้ย ฝรั่งสี่ห้าคนเดินไปข้างหน้า
    เจ้าไกด์หรือเจ้ากุ๊กน่ะก็พูดล้งเล้งๆ คนหลังเดินมายกมือไหว้หน่อยเดียว ลูกยิ้มกันเป็นแถว
    เพราะเขาไหว้หลวงพ่อ เห็นมั้ย ดีใจมั้ยลูกนึกรักเขามั้ย ว่าเขาเป็นคนดี ทุกคนเห็นพร้อมกันนะ
    ว่าเขาเป็นคนดีแต่นี่น่ะการชนะใจกันน่ะมันเป็นยังงี้ ความจริงฝรั่งคนนี้ไม่ได้ให้อะไรเราเลย
    แค่ยกมือไหว้ก้มศีรษะนิดหนึ่งเขาผ่านไปยิ้มๆ เท่านี้เราก็ชื่นใจทุกคนนึกรักว่าเขาเป็นคนดี
    นี่แหละธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าอัปปจายนธรรม อัปปจายนธรรมธรรมคือ
    ธรรมเป็นเครื่องอ่อนน้อม วันทะโก ปะฎิวันทะนัง เมื่อไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ
    ปูชา (ปูชะโก) ละภะเตปูชัง บูชาย่อมได้การบูชาตอบ ลูกจงจำไว้ให้ดีว่า คนที่เขามีศักดิ์ศรีเหนือกว่า
    คนมีความเจริญสูงกว่าคือ วัยวุฒโฑ เจริญด้วยวุฒิ ชาติวุฒโฑ เจริญด้วยชาติตระกูล
    และก็อะไรล่ะ คุณวุฒโฑ เจริญด้วยคุณความดี คนที่เขามีความเจริญสูงกว่า
    เช่นผู้บังคับบัญชา ท่านถ่อมตัวมาหาเรานั่นมันเป็นความดีของท่านนะลูกนะ
    ถ้าเราเอื้อมเงยตัวขึ้นไปเสมอท่าน ยืดตัวไปเสมอกับท่านมันเป็นความเลวของเรา
    เมื่อท่านถ่อมมาเราก็ถ่อมลงไปอีก อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่
    พ่อเข้าไปในพระราชฐานพบกับพระองค์คราวไร พระองค์ไม่ยอมนั่งสูงกว่า
    และก็ไม่ยอมนั่งเก้าอี้ คราวไปภูพิงค์คราวนี้ พ่อบอกว่าพ่อเข่าไม่ดี
    ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่จัดไว้ทั้งผ้าขาวและเก้าอี้ สำหรับนั่ง พ่อก็เลยนั่งผ้าขาว
    และพระองค์นั่งต่ำกับพื้น และก็รู้สึกว่า พระองค์ไม่มีอะไร ถ่อมตัวลงมาจนกระทั่ง
    แหม พูดกันง่ายๆ อย่างภาษาศัพท์ชาวบ้าน คุยแบบกันเองๆ แต่พ่อก็ต้องระวัง
    อย่าลืมว่าท่านเป็นกษัตริย์ แต่ท่านไม่ถือพระองค์ เมื่อท่านไม่ถือพระองค์เพียงใด
    ก็แสดงความดีของท่านมีมากเพียงนั้น เราก็ต้องระวังยอมรับนับถือในความดีของท่าน
    ท่านไม่มีอะไรแน่ บางทีท่านพบพ่อตอนไปที่ตำหนักน้อยโน่น ท่านก็นั่งปุ้บไปกับพื้นหญ้า
    อาจจะมีเสื่อเก่าๆ สักผืน ท่านี้นะพระองค์ทรงแสดงบ่อย และเวลาไปไหนก็ไม่เคยแสดงลีลาท่าทางว่า
    โอ๊ย ฉันเป็นเจ้าใหญ่นายโต ไม่เหมือนข้าราชการก้างๆ บางคน พ่อเคยเห็นมา จะอาเจียนตาย
    แหม ทำท่าตะโก้ราน นี่จำไว้นะลูกนะ ว่าอัปปจายนธรรม ธรรมซึ่งเป็นเครื่องอ่อนน้อม
    ทำให้จิตใจเราสบาย ดูตัวอย่างฝรั่งคนเมื่อกี้นี้ที่เขาเดินผ่านไป เขายกมือไหว้ เขายิ้มนิดหนึ่ง
    ก้มศีรษะหน่อยหนึ่ง ลูกทุกคนก็ดีใจ ชอบใจเขาพ่อก็ดีใจ แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันเลย
    เราก็ดีใจว่าเขาดี ถ้าเขาทำยังงั้นเราว่าเขาดี ถ้าเราทำมั่งล่ะ ถ้าเราทำบ้างคนอื่นจะว่าเราชั่วมีมั้ย
    ก็มี คนเลวๆ คนอกตัญญูไม่รู้คุณคนน่ะมีอยู่ แต่ช่างเขาเถอะ มีไม่กี่คนหรอกลูกในโลกนี้น่ะ
    และโลกนี้มีคนดีมาก มากกว่าคนชั่ว ตามโบราณท่านกล่าวเป็นคำพังเพยไว้ว่า คนชั่วก็มี
    คนดีก็มาก คนชั่วหายาก คนดีถมไป ฉะนั้น คนทุกคนเราต้องมองในแง่ของความดีไว้ก่อน

    ลูกมองเมื่อกี้ ตอนต้นโน้น พ่อพูดถึงเรื่องศาลค้างไว้นะ ศาลนี้ที่พ่อมากับนาวาอากาศเอกอาทร
    โรจนวิภาต หลายปีแล้ว ที่เธอเป็นผู้บังคับกองฝึก โรงเรียนการบิน สมัยที่ตั้งอยู่ที่นครราชสีมา
    พ่อเดินไปเดินมาเล่นๆ ของพ่อคนเดียว และปรากฏว่า ขณะที่เดินไปเดินมา
    ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามมา เธอเป็นผู้หญิงสาวสวย ทรวดทรงดีมาก เนื้อละเอียด
    ผิวขาว แต่งตัวชุดสีเขียว สีเขียวสีน้ำเงินน้ำแงนนี่พ่อไม่รู้ พ่อเรียกตระกูลสีเขียวก็แล้วกัน
    สีเขียวค่อนข้างเข้มๆ นิดๆ แต่ว่าสีสวยๆ เป็นสไบบางๆ สวยเดินตามมา
    พ่อก็แปลกใจว่า เอ๊ พวกเรามาไม่กี่คน และก็ผู้หญิงรูปร่างแบบนี้พวกเราก็ไม่มีมา
    ละมีรถที่เขาตามไปอีกสองคันเขาลง ก็ไม่มีผู้หญิงแบบนี้ มองดูไปกลุ่มของพวกเราที่นั่งอยู่
    เห็นยังครบกันทุกคน แต่ทุกคนคือพวกเราไปก็ใส่เสื้อ แต่ผู้หญิงคนนี้ห่มสไบ
    ตัวข้างในคล้ายๆ จะมีเสื้อชั้นในอยู่รัดเหมือนนครน่ะแหละ และก็มีผ้าสไบขนาดใหญ่คลุมอยู่
    ผ้ากับเสื้อสีเดียวกัน เธอเป็นสาวดูหน้าแล้วสาววัยรุ่นๆ จะว่า ๑๗-๑๘ สำหรับเด็กเวลานี้
    ก็หน้าแก่กว่า หน้าเธออ่อนคล้ายๆ ๑๒-๑๓ แต่ถ้า ๑๒-๑๓ ออกแดดก็หน้าแก่กว่าเธอ
    เธอยิ้มละไมเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นไหว้ ขณะที่ยกมือก็นั่งลง เธอนั่งพับเพียบไปกับพื้น

    พ่อก็แปลกใจหันมา แต่เห็นว่ามันเป็นที่โล่งแจ้ง ไม่ใช่เป็นที่ลับ มันก็ไม่แปลก
    จะปรับอาบัติกันก็ปรับไม่ได้เพราะไม่ตั้งใจควงแกมานี่ แกเดินตาม ไม่ทราบแกมาจากไหน
    และก็ผ้าที่ผ้านุ่งก็ นุ่งยาวไปใกล้ตาตุ่ม ขึ้นจีบหน้านาง เข็มขัดเส้นโต เป็นเข็มขัดทอง
    แต่ว่าแพรวพราวระยิบระยับไปด้วยเพชร คอเป็นสังวาลย์เอ้อที่เครื่องประดับเป็นสังวาลย์
    และก็ทับทรวง นิ้วเพรียวแพรวพราวไปด้วยเพชร สวยสดงดงามมาก
    ด้านศีรษะมีไอ้สายๆ คล้ายเพชรคาดผมไว้ แปลก เธอมองหน้าเธอก็ยิ้ม พ่อก็ยิ้ม
    เธอยิ้มท่าไหนพ่อไม่รู้แต่พ่อยิ้มสงสัย ว่ายัยนี่แกลูกเต้าเหล่าใครน้อ แอบมารู้จักเรา
    ซึ่งเป็นหลวงตาแก่ๆ เวลานั้นพ่อไม่ค่อยสบาย พ่อป่วย มาพักที่โรงเรียนการบิน
    นาวาเอกอาทรกับภรรยานำมา เก็บหนีแขก ไม่ใช่อะไรหรอก แขกผู้มาหาแกตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่งานของแก
    พ่อจะป่วยจะยากแกไม่รู้หรอก แกใช้ดะ และเธอสงสารก็จึงได้นำมา
    เอาพ่อมาพัก มาเที่ยวที่นี่ และพ่อนึกขึ้นมาได้ว่าเอ๊ะ นี่พวกเรามันมีอยู่จำกัด รูปร่างลักษณะแบบนี้
    การแต่งตัวแบบนี้ สมัยนั้นเขาใช้ผ้าแบบไหนมั้ยลูก ไอ้ผ้าชิ้นเล็กๆ อ่ะ ผู้หญิงอ่ะ
    ยาวซักคืบกว่าๆ มั้ง พอก้มก็เห็นก้นเลย แต่ว่ายัยคนนี้แกรวยผ้ามาก นุ่งไปถึงใกล้ตาตุ่ม
    มองดูรองเท้าก็สวย เธอมองคล้ายๆ จะล้อ ว่าพ่อสงสัยเธอก็ถามว่า เธอก็ถาม
    พูดมาคำว่า จำบัวคลี่ได้ไหมเจ้าคะ ถามว่าบัวคลี่ไหน เธอว่าบัวคลี่ในสมัยขุนช้างขุนแผนไงล่ะเจ้าคะ
    พอบอกบัวคลี่เท่านั้นแหละพ่อขนลุกเลย ลุกตัวไหนรู้มั้ย ไม่ใช่ขนลุกไปรักกันหรอก
    นึกเอ๊ะ ยายบัวคลี่นี่แกเป็นผีไปนานแล้วนี่ ดีไม่ดีจะมาล้วงตับไปกินนะมันก็แย่
    ละอีที่ตรงนี้มันก็ไกลกะคนหมู่คนอื่น จะวิ่งมาช่วยช่วย จะมาแย่งผีกินน่ะเห็นท่าจะไม่ไหว
    เธอคงจะรู้กำลังใจเธอบอกว่า แกก็ยิ้ม เธอยิ้มแล้วก็บอกว่า ไม่ต้องกลัวหรอกเจ้าค่ะ
    บัวคลี่ไม่ได้เคยเป็นศัตรูกับพระคุณเจ้า ที่มานี่ก็มาเพื่อนมัสการ เห็นว่าพระคุณเจ้าสงสัยก็เลยมา
    แต่พ่อก็เลยต้องขอให้ลูกสงสัยไปก่อนทีนะ เพราะเทปหน้านี้มันหมดแล้วนี่ ไปฟังหน้าหลังต่อไป
     
  4. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    04.ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม-เล่าเรื่องบัวคลี่ (ต่อ)@11 มีนาคม 2522.mp3
    เอ้อ ลูกรักของพ่อ ก็มาคุยกันถึงเรื่องบัวคลี่ต่อไป เมื่อเธอบอกว่าเธอเป็นบัวคลี่
    ตะกี้พ่อล้อลูกนิดหนึ่งว่าขนลุก แต่ความจริง พ่อไม่รู้สึกสัมผัส ทั้งนี้เพราะอะไร
    เพราะเรื่องผีๆ สางๆ นี่พ่อชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอมาในภาพสาวสวย
    มีอะไรจะกลัว แต่พ่อก็สงสัยเหมือนกัน ถ้าหากว่าพ่อเป็นหนุ่มอยู่ จะมีความรู้สึกยังไง
    แต่นี่พ่อแก่แล้ว ยังไงๆ มันก็ไม่ไหว อารมณ์เรื่องความรักในระหว่างเพศนี่ พ่อทิ้งมันซะแล้ว
    ไม่ได้หมายความว่าพ่อเป็นพระอนาคามี พ่อมีความรู้สึกตัวว่า แก่เกินวัย ไม่ควรยุ่งกะเรื่องพรรค์นี้ต่างหาก
    การเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่เป็น พ่อไม่รู้ พ่อถืออย่างเดียวคือว่า ต้องการธรรมะของพระพุทธเจ้า
    ต้องการทำลายสังโยชน์ ๑๐ ให้สิ้นไป แต่มันจะสิ้นรึยังก็เป็นเรื่องของกาลเวลา และเรื่องความสามารถ
    พ่อไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอะไรทั้งหมด จะเป็นอะไร เมื่อไร ที่ไหน ก็ช่าง ตายแล้วมีสุข
    มีชีวิตอยู่มีสุขก็แล้วกัน เมื่อเธอบอกว่าเธอเป็นบัวคลี่ และก็ลักษณะท่าทางเธอก็เป็นคนธรรมดาๆ
    เห็นเนื้อหนาๆ เหมือนกับคน แต่พ่อนั่ง ก่อนที่พ่อจะไปพ่อขอโอกาสเขานิดหนึ่ง
    ว่าพ่อจะไปนั่งเล่นตากลม เออ พ่อลืมบอกสถานที่ไป เวลานั้นพ่อไปนั่งเล่นอยู่ที่อาคารหลังในน้ำ
    ที่มีสะพานทอดไปในน้ำ นั่งคนเดียว คนอื่นเขาเห็นพ่อต้องการนั่งคนเดียวเขาก็ไม่กวน
    เขารู้ใจพ่อเพราะพ่อไม่สบาย อะไรก็ตามเถอะ อาทรกับภรรยาคือ ตุ๋ย ศิริรัตน์น่ะ ตุ๋ย หรือศิริรัตน์
    ถ้าเธอเห็นว่าอะไรจะเป็นความสุขของพ่อ เธอทำทุกอย่าง และเมื่อพ่อขอโอกาสไปนั่งแต่ลำพังผู้เดียว
    เธอก็ปล่อย พ่อก็นั่งตามสบาย

    พ่อนั่งคุยกับบัวคลี่ ถามว่าบัวคลี่ เธอเวลานี้อยู่ที่ไหน เธอตอบว่าอยู่ที่ศาลนี้เจ้าค่ะ
    ถามว่าอ้าว เธอเป็นเทวดาเรอะ เธอก็ตอบว่าเธอเป็นเทวดา ถามว่าเป็นภูมิเทวดาหรือรุกขเทวดา
    เธอบอกว่าเป็นรุกขเทวดา จึงได้ถามว่า ทำไมถึงมีบุญน้อยนักล่ะ ทำไมถึงไม่เป็นอากาศเทวดา
    เธอตอบว่าคลอดบุตรตาย ตกใจ เขาลือกันว่าขุนแผนผ่าท้องตาย แล้วก็จึงได้ถามว่าเวลานี้แล้ว
    ขุนแผนไปอยู่ที่ไหนล่ะ ขุนแผนก็ตายมาแล้วพบกับเธอบ้างมั้ย เธอตอบว่าเพิ่งพบเจ้าค่ะ
    ถามพบเมื่อไหร่ บอกพบไม่นานนัก ก็ถามว่าขุนแผนเวลานี้ตกนรกอยู่ขุมไหน
    เธอตอบว่าเมื่อก่อนตกขุมไหนก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ เธอไม่ได้ดู แต่เวลานี้ขุนแผนไม่ได้ตกนรก
    แล้วถามว่า ถ้ายังงั้นเวลานี้ขุนแผนอยู่ที่ไหน เธอก็บอกว่า แล้วค่อยรู้กัน
    ถามว่าเธอเห็นขุนแผนแล้วนะ เวลานี้ขุนแผนเป็นคนหรือว่าเป็นผี เธอตอบว่าเวลานี้ขุนแผนมาเป็นคน
    เกิดเป็นคนหลายสิบปีแล้ว ถามว่าหน้าที่การงานของขุนแผนเวลานี้ทำอะไร เธอตอบไม่เห็นทำอะไร
    เห็นเดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ขอข้าวเขากิน เลยถามว่าขุนแผนนี่มีบาปมากนักรึถึงได้เป็นขอทาน
    เธอก็ตอบว่าขุนแผนน่ะเป็นขอทานกิตติมศักดิ์ ใครจะให้ทานขุนแผนต้องไหว้ขุนแผนก่อน
    เอ๊ะ ชักแปลก นี่นึกในใจว่ายัยนี่รวนจริงๆ ว่ะ มันจะบอกกับเราดีๆ ก็ไม่ได้ ขุนแผนอยู่ที่ไหน
    ไล่ไปไล่มาก็เลยขี้เกียจถาม คุยกับบัวคลี่ดีกว่า ก็นึกในใจ ว่าถ้าเธอไปประกวดนางสาวไทยมีหวัง
    ท่าทางอ่อนช้อย นิ่มนวล พูดก็เสียงเพราะ จริยาดี จึงถามบัวคลี่ว่า ตามที่เขาเขียนเป็นนิยาย
    ว่าขุนแผนผ่าท้องเธอน่ะ จริงมั้ย เธอตอบว่าไม่จริงหรอกเจ้าค่ะ ฉันออกลูกเป็นลูกกรอก
    ออกลูกเป็นลูกกรอกแล้วขุนแผนเป็นคนมีปัญญา เป็นคนมีวิชา นำลูกเอาไปเลี้ยง
    ให้ชื่อว่ากุมารทอง ถามว่าแล้วก็เธอตายในขณะที่คลอดบุตรเลย
    รึว่าตายหลังจากนั้นมานาน เธอบอกว่าเธอป่วยอยู่ไม่นาน คลอดบุตรมาแล้วไม่เกิน ๓ เดือน
    เธอก็ตาย อาศัยที่ก่อนจะตาย พ่อแม่เวลานั้นเป็นคนนักสวดมนต์ไหว้พระ
    เธอก็ทำบ้างในสมัยที่เป็นสาว เออ ถึงถามว่าเวลาที่แต่งงานกับขุนแผนน่ะ อายุเท่าไหร่
    เธอตอบว่าอายุ ๑๕ ปีเศษๆ ตอนนั้นจิตก็ไม่เป็นบุญไม่เป็นกุศลนัก ไม่มีใครสอนกรรมฐานแบบท่านอย่างนี้
    แต่ท่านก็สอนกันที่อื่น แต่ว่าลูกผู้หญิงสมัยนั้น ออกจากบ้านก็ลำบาก ไปไหนมาไหนก็ต้องมีพ่อแม่คุม
    และก็อีกประการหนึ่ง ก็มีโอกาสได้ไปวัดกับแม่เวลาวันพระ เขารับศีลก็รับกันบ้างไม่รับบ้าง
    รับปากก็รับ ใจถือสากปากถือศีล หมายถึงว่า เขารับก็รับไปยังงั้นแหละ ไม่เต็มภาคภูมิ
    เวลาใส่บาตรก็ใส่ไปยังงั้น แต่เวลาใส่บาตรนี่แม่ห้ามเล่น ต้องใส่ให้นิ่มนวล ใส่ด้วยความเคารพ
    อาศัยความดีเล็กน้อยเท่านี้มาเกิดเป็นรุกขเทวดา ถามว่าวิมานของเธออยู่ที่ศาลเรอะ เธอบอกว่าไม่ใช่
    วิมานแตะอยู่กับต้นไทร แตะนิดเดียว วิมานใหญ่มั้ย ถามเธอ ขอดูหน่อยได้มั้ย
    เธอก็ให้ดู รู้สึกว่าวิมานของเธอสวยจริงๆ แพรวพราวตระการตา พระราชฐานก็สู้ไม่ได้
    ไม่ว่าที่ไหนในเมืองมนุษย์นี่ไม่มีอะไรสู้ได้ เพราะเป็นเพชรเป็นจริงๆ ถามว่าวิมานที่เป็นเพชรแพรวพราวเนี่ย
    ดูเหมือนว่าจะมีกำลังเกินไปกว่าวิมานของรุกขเทวดา และจึงอยากจะทราบว่า วิมานนี้ที่ได้
    ได้เดิมสวยเท่านี้หรือมาสวยทีหลัง เธอบอกว่ามาสวยทีหลังเจ้าค่ะ ถึงได้ถามว่าสวยทีหลังสวยยังไง
    เธอตอบว่า เพราะอาศัยบุญ เป็นรุกขเทวดาที่นี่เขาตั้งศาล เขาให้นามว่าเจ้าแม่ไทรงาม
    คราวนี้ ดิฉันมาอยู่ที่นี่ก็เป็นเทวดาที่มีอำนาจมากกว่าคนอื่น รุกขเทวดาอื่นๆ มีอำนาจน้อยกว่า
    คือมีรัศมีกายสว่างน้อยกว่า เขาจึงยกให้เป็นประธาน ถามว่า รุกขเทวดาที่นี่มีทั้งหมดเท่าไร
    บอกว่า เดิมทีเดียว ประจำทีเดียว ๑๒ ท่าน และเวลานี้มาเพิ่มอีก ๕ ท่านเป็น ๑๗ ท่าน

    เมื่อกี้นี้เมื่อท่านถามลูกถามหลานน่ะ มีคนเขานึกในใจกันว่า ๑๒ ก็มีหลายคน บางคนก็นึกว่า ๑๕ ก็มี
    ๑๗ ก็มี แต่ความจริงถ้าเขาเชื่อจิตเขาดวงแรก เขานึกว่าถ้าเขาไม่จับสมาธิก่อน จิตของเขาดีอยู่แล้วทุกคน
    อารมณ์เขาแจ่มใสมาก เขาดีกว่าดิฉันเจ้าค่ะ ถึงถามว่า เขาจะดียังไง เขายังเป็นมนุษย์อยู่
    เธอก็บอกตอบว่า เขาเป็นมนุษย์ก็จริงแหละ แต่ทว่าอารมณ์ใจเขาผ่องใส กายในเขาสวยมาก
    เขาตายแล้วเขาไปสูงกว่าฉัน ถามว่าเธอน้อยใจมั้ย เธอตอบก็มีความรู้สึกเหมือนกันเจ้าค่ะ
    น้อยใจนิดๆ ว่าสมัยเมื่อเราเป็นมนุษย์อยู่ เราสร้างความดีไม่พอ ถึงได้ถามต่อไปว่า ความดีของเธอ
    ที่มาเป็นเจ้าแม่ที่ศาลเนี่ย เธอทำอะไรบ้าง เธอก็ตอบว่า ให้ความสุขเขาเจ้าค่ะ ถ้าอะไรไม่เกินวิสัย
    ที่จะช่วยได้ เขามาบนบานศาลกล่าว เขาไหว้เขาขอให้ช่วยก็ช่วยตามกำลัง ถ้าช่วยไม่ได้ก็มีจิตแผ่เมตตา
    ด้วยกำลังจิตเท่านี้แหละ ทำให้วิมานสวยขึ้น ร่างกายสว่างขึ้น จึงได้ขอดูความจริงของเธอ รูปร่างของเธอ
    ถามเธอว่าที่เธอมาให้ดูเวลานี้ เป็นรูปของเทวดาหรือรูปของมนุษย์ เธอก็บอกว่าเป็นรูปของมนุษย์เจ้าค่ะ
    สมัยเป็นมนุษย์รูปร่างดิฉันแบบนี้ เห็นก็ตกใจ บอกอื้อหือ คิดว่าถ้าเราเป็นหนุ่มอยู่
    ถ้ายัยนี่แกเดินไปข้างหน้าเราวิ่งตามแหงๆ เลย ยังไงๆ กวดยันบ้านแน่ เป็นตายร้ายดีกันยังไงๆ
    ก็ต้องลองกันดูพักหนึ่ง จะตกลงด้วยหรือไม่ตกลงด้วยก็ต้องลองดูพักหนึ่ง นี่มนุษย์ของแกสวยขนาดนี้
    จึงขอดูภาพเป็นเทวดาของเธอ แหมแพรวพราวสวยก็มาก บางแจ๋ว เหมือนกับรูปภาพยนตร์
    บางมาดเธอก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็กลายร่างจากเทวดามาเป็นคนตามเดิม

    และก็ถามต่อไปว่า สำหรับกุมารทองเวลานี้ไปอยู่ที่ไหน เธอก็บอกว่ากุมารทองน่ะเวลานี้
    อาศัยที่พ่อเขาเป็นคนใจบุญ บอก เอ๊ะ ขุนแผนน่ะเจ้าชู้ ใจบุญรึ แกบอกว่าใจบุญ
    มีเมียมากเพราะใจดี เพราะผู้หญิงรัก ความจริงผู้หญิงหลายคนมาหาขุนแผนเอง
    ขุนแผนไม่ได้ไปหา อันนี้โทษไม่ได้ว่าเป็นคนเจ้าชู้
    และเนื้อแท้จริงๆ เป็นคนใจบุญมีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาผู้มีคุณ
    แล้วก็ได้ทำบุญขนาดใหญ่ให้แก่ลูก ๓ ครั้ง คือทำบุญถวายสังฆทานด้วย สร้างวิหารทานด้วย
    บวชพระด้วย คือสร้างกุฏิเสร็จและก็สร้างถวายวิหารทาน ถวายสังฆทาน บวชพระเสร็จ
    เพื่อให้ลูกกุมารทอง เพราะว่าลูกกุมารทองนี่เป็นกำลังใหญ่มากในการรบ ในการทำงานทุกอย่าง
    รู้สึกว่าพ่อรักมาก ฉะนั้นเวลานี้ ลูกกุมารทองจึงมีชีวิตอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    เรียนถามว่าเออเวลานี้เขามีพระอริยเจ้ามาก เทวดาทำบุญต่อได้ อยากจะทราบว่าลูกกุมารทอง
    และแม่บัวคลี่เนี่ยเป็นพระอริยะรึยัง เธอตอบว่าเป็นแล้วเจ้าค่ะ มิน่าล่ะรัศมีกายถึงได้สวยมาก
    ถามว่าบัวคลี่จะลงมาเกิดอีกมั้ย เธอบอกว่าเวลานี้เขาหนีกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ
    ไม่มีใครเขาอยากเป็นมนุษย์ ดิฉันก็เลยหนีบ้าง ถามว่า พวกที่มาทั้งหมดเนี่ย ลูกๆ ของฉัน
    ที่นั่งอยู่ ๗-๘ คนโน่น เคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า แกก็เลยชี้ไปที่ตุ๋ย บอกคนนี้เคยเล่นมาด้วยกันเจ้าค่ะ
    แต่ว่าพวกนั้นไม่เห็น นั่งคุย คุยไปคุยมาอยู่พักก็เป็นอันว่าถึงเวลา ก็เลยบอกว่าถ้ายังงั้นฉันจะลา
    ถ้ามีโอกาสล่ะก็ช่วยสงเคราะห์ด้วยนะ และก็สงเคราะห์สองคนผัวเมียนั่นด้วยเขาดีจริงๆ
    บอกไม่เป็นไรเจ้าค่ะเป็นพี่น้องกัน ถามว่ากลางคืนจะไปคุยเขาได้มั้ย บอกไม่ได้หรอก
    คุณผู้หญิงเขากลัวผีเจ้าค่ะ เดี๋ยวเขาหาว่าดิฉันเป็นผีดีไม่ดีบ้านช่องพังหมด

    เป็นอันว่าคุยกับบัวคลี่ที่ศาลเจ้าแม่ไทรงาม เวลานี้เธอเป็นพระอริยเจ้า กุมารทองก็เป็นพระอริยเจ้า
    เป็นคนที่มีอำนาจสำคัญอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต้องคิด เออลูกๆ ฟังแล้วรู้สึกเป็นไงบ้างลูก
    เพลินนะ ฟังแล้วรู้สึกว่าเพลิน แต่พ่อคุยให้ฟังเนี่ยพ่อต้องการให้ลูกคิด ว่าบัวคลี่นี่
    ความจริงเขามีชีวิตเหมือนเราๆ นะ ใช่มั้ยลูก ทุกคนรับว่าใช่ ดีแล้วลูก และบัวคลี่ก็เป็นคนสวย
    บัวคลี่มีสามีเป็นพระบำราบหรินทร์หรือขุนแผน เป็นแม่ทัพใหญ่ของสมเด็จพระพันวษา
    พระพันวษานี่ดูว่าพ่อจะไล่ไปเป็นรัชกาลที่ ๘ ของสุโขเอ้อของอยุธยา พระเจ้าสามพระยาน่ะ
    รัชกาลที่เท่าไหร่ไม่ทราบ พระเจ้าสามพระยานี่ชื่อจริงๆ ดูว่าจะเป็นพระอะไร สมเด็จพระอะไรนะ
    นึกไม่ออกซะแล้วนะ นึกไม่ออกบางทีพ่อก็นึกออกบางทีพ่อก็นึกไม่ออก ขี้เกียจทวนถาม
    อย่าลืมว่าเธอเป็นคนอย่างเรา เดิมทีเดียวเธอก็มีขันธ์ ๕ อย่างเรา นึกดูให้ดีนะลูกนะ
    และเวลานี้เธอมีกายเป็นทิพย์ ขันธ์ ๕ ไปไหนลูก หายไปหมดแล้ว จมดินจมทรายไปหมด ถูกลูก
    ละลูกคิดรึเปล่าว่าขันธ์ ๕ ของเราทุกคนเนี่ย จะต้องเป็นอย่างบัวคลี่ ทุกคนยอมรับว่าเป็น
    สมมติว่าทุกคนจะตายเวลานี้จะห่วงขันธ์ ๕ คือร่างกายมั้ย อ๋อทุกคนตอบว่าไม่ห่วง ดีมากลูก
    แต่ว่าอย่าลืมนะลูกนะเวลานี้เราคุยกันเรื่องธรรมะ ขณะใดที่คุยธรรมะ สั่งสนทนาโดยธรรม
    ขณะนั้นจิตย่อมว่างจากกิเลส แต่ว่าเวลาที่เลิกคุยธรรมะแล้ว ลูกอย่าเอาจิตไปเกาะกิเลสมากเกินไปนะ
    กิเลสเรายังมี แต่ว่าแรงที่เราจะฆ่ากิเลสก็ต้องมีด้วย พยายามทรงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วน
    ทรงศีลให้บริสุทธิ์ ทรงพรหมวิหาร ๔ ละอคติ ๔ พยายามตัดสังโยชน์ให้ได้มากที่สุด ให้บางที่สุด
    เราจะเป็นพระอริยะหรือไม่เป็นก็ช่าง เราท่องเที่ยวพระนิพพานได้จงอย่าคิดว่าเราถึงพระนิพพานแล้ว
    นั่นมันเรามีโอกาสไปเที่ยว ก็เช่นเดียวกับเรามาที่ไทรงามนี่ ที่อื่นที่จันทึกก็ร้อนจัด ที่อำเภอบัวใหญ่ก็ร้อนจัด
    เราออกไปข้างนอกบริเวณไทรงามก็ร้อนจัด นี่เรามานั่งใต้ร่มไทรงาม เราเย็นสบาย
    ไม่มีใครมีเหงื่อ ไม่มีใครแสดงความกระวนกระวาย ก็เป็นอันว่าเรามีความสุข ไทรงามนี่ถ้าเป็นบ้านของเรา
    มันจะมีความสุขมาก แต่ก็เราก็มีแต่โอกาสมาเที่ยวเท่านั้น ประเดี๋ยวเราก็ต้องกลับจันทึก
    แล้ววันพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางจากจันทึกกลับกรุงเทพ และกลับอุทัยธานี

    ลูกจำให้ดีว่า การที่ลูกได้มโนมยิทธิ ไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปถึงนิพพานได้ จงอย่าเข้าใจว่า
    เราเป็นเจ้าของนิพพาน หรือว่านิพพานจะเป็นสมบัติของเราแน่นอน ถ้ากำลังบารมีเรา
    ไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ ๑๐ เราก็ไปนิพพานไม่ได้ และจงตั้งใจไว้ว่า ถ้าหากว่าขันธ์ ๕ นี้พังเมื่อไหร่
    เราจะไปเกิดบนสวรรค์หรือพรหมก็ตาม ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด เราจะไม่ยอมลง
    เราจะตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญบารมีต่อไปให้ถึงนิพพานให้ได้ เพราะถ้ากำลังใจเราคิดไว้ตั้งแต่ขณะนี้
    ถ้าตายลงไปแล้ว ไปเป็นเทวดารึพรหมก็ตามที เราก็จะต่อบุญบารมีอย่างบัวคลี่เนี่ย
    บัวคลี่เธอกล้ายืนยัน ว่าเธอไปนิพพานแน่ เธอไม่กลับ ดีใจไหม ความจริงถ้าลูกจะสามารถระลึกชาติได้
    ลูกอาจจะคิดได้ว่าบัวคลี่ก็คือเป็นมิตรที่ดีในกาลก่อนของเรานั่นเอง เวลานี้ ทุกคนฟังเสียงพ่อ
    ก็ลองเอาจิตจับเป็นสมาธิ วิธีใช้สมาธิปัจจุบันทันด่วนนะลูก เมื่อซักครู่นี้พ่อถามว่า
    ที่นี่รุกขเทวดามากี่คน มีกี่คน ทุกคนรวมกำลังใจลงเป็นสมาธิจับลมหายใจเข้าออก
    อันนี้ไม่ถูกนะลูกนะ อันนี้ถ้าทำอย่างนี้เชื่องช้ามาก ไม่ทันแก่เวลา ดีไม่ดีอุปาทานก็กิน
    ตามปกติเขาต้องใช้แบบนี้ เราจะคุยกันอยู่ก็ดี เราจะทำงานอยู่ก็ดี อารมณ์ใจของเราจะอยู่ในสมาธิ
    คือในจุดๆ นั้น เราทำงานจิตอยู่ที่งาน เราคุยเรื่องอะไรจิตอยู่ที่คุย เวลานี้เราคุยธรรมะจิตอยู่ที่ธรรมะ
    เมื่อจิตรอรับฟังธรรมะอย่างนี้ก็ชื่อว่าจิตเป็นสุข จิตมีสมาธิ จิตสะอาด ปราศจากกิเลส
    ถ้าพ่อถามอะไรขึ้นมาปั๊บ เอาจิตจับทันที พ่อถามว่าที่นี่รุกขเทวดามีกี่ท่าน เราก็จับปั๊บทันที
    ว่ารุกขเทวดามีเท่าไหร่ จิตจะบอกทันทีอารมณ์เป็นทิพย์ นั่นจะถูกต้อง
    แต่ปริมาณนี่อาจจะย่อหย่อนกันไปบ้าง ทั้งนี้เพราะว่า เทวดาก็เทวดานั่นแหละ
    เทวดาถ้าเป็นมิตร ท่านอดที่จะล้อจะเลียนไม่ได้ ดีไม่ดีท่านมา ๑๐ ท่านแสดง ๓ ให้เห็น ๓
    อานุภาพเราสู้ท่านไม่ได้ เพราะท่านมีทิพย์ทั้งกาย เราแค่มีใจเป็นทิพย์ สู้ท่านไม่ได้
    เมื่อสู้ท่านไม่ได้แล้วทำไง ท่านก็บังเอาได้ ท่านก็หลีกเอาได้เร้นเอาได้ เป็นอันว่า คำถามที่ตอบมา
    มันจะผิดหรือจะถูก ทีหลังลูกจำไว้ ว่าจงอย่าใช้กำลังใจช้าพอพ่อถามพับเดียวลูกสงบจิตทันที
    ดึงจิตกลับจากอารมณ์เดิมอันนี้ไม่ถูกไม่ต้อง อันดับแรกถ้าหากว่าถ้าจะให้ดี ก่อนที่จะไปไหน
    ทำกำลังใจให้ดีถึงที่สุด นั่งรถอยู่จับอานาปานุสติกับคำภาวนาให้ทรงตัว และขณะที่อยากจะรู้
    หยุดภาวนา หยุดจับลมหายใจเข้าออก จับอารมณ์รู้ทันที เวลาที่เข้าคุยกันอยู่อยากจะรู้ก็จับอารมณ์รู้ทันที
    อย่าหวนไปกลับจับลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนา เท่านี้ ลูกทำไปบ่อยๆ จิตจะคล่องจะได้ของจริง

    เอ้อ พ่อก็คิดว่า เรื่องการคุยกันนี่ ก็น่าจะใกล้จบ พ่อคิดว่าจะคุยเรื่องต้นไม้ แต่กลายเป็นคุยเรื่องบัวคลี่
    ก็ดีเหมือนกัน พ่อลืมถามไปนะ เวลาจะหมดซะแล้ว เวลาเหลืออยู่เกือบจะได้เวลากลับ
    เกิดอยากจะถามว่า ใครเห็นบัวคลี่บ้างไหมจ๊ะ แต่ดูเหมือนว่า คุณหมอรัญจวนจะเจอะท่านมันๆ ล่ะมั้ง
    มันขอม เขากล่าวกันว่า ที่พระเจดีย์อะไรปราสาทหินพิมาย มีมีอยู่สามมัน เป็นผู้สร้าง
    มันหนึ่งและก็มันที่เท่าไรกับมันที่เท่าไรน่ะ มันมัน วรมันวรมันน่ะ แกสร้าง แล้วก็วันพรุ่งนี้ เอ้อ
    ไม่ใช่พรุ่งนี้ล่ะ ประเดี๋ยวหนึ่ง เราก็จะคุยกันถึงเรื่องมันๆ ต่อไป

    ตอนนี้ขอลูกทั้งหมดทำกำลังใจอย่างบัวคลี่นะ ดูบัวคลี่เป็นตัวอย่าง แล้วก็ดูศาลของบัวคลี่เป็นตัวอย่าง
    ดูอาคารริมชายน้ำที่ทอดไปในน้ำเป็นตัวอย่าง แล้วก็ดูต้นไทรเป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไทร
    เดิมที่เกิดโต เกิดขึ้นมาใหม่ๆ ต้นก็เล็กไม่โต แต่เวลานี้เวลาผ่านไป ๓๐๐ ปีเศษ ต้นไทรมีใหญ่สาขามาก
    แต่ลูกจงอย่าคิดว่าของที่มีอยู่นี่มันเป็นของเก่านะ ความจริงของเก่ามันสลายตัวไปของใหม่มันเกิดแทน
    แต่ลูกอาจจะเถียงว่าต้นไทรนี่ก็ต้นเดิม อันนี้พ่อไม่เถียง ถ้ามองกันด้วยตาจะเห็นว่าต้นไทรเป็นต้นเดิม
    ถ้าจะเห็นด้วยปัญญาจะเห็นว่าต้นไทรต้นเก่าตายอยู่เสมอ ต้นใหม่เกิดใหม่เสมอ ถ้าต้นเดิมจริงๆ
    ต้นไทรปัจจุบันก็ไม่ต้องกินอาหาร นี่เวลานี้ รากของต้นไทรกำลังกินอาหารทั้งใต้ดินทั้งอากาศ
    เลื้อยไปถ้าอยู่ไกลน้ำดินแห้งแล้ง ต้นไทรต้นนี้ก็ผุพังไปนานแล้ว นี่ของเก่ามันหมดไปของใหม่มันแทนที่
    ก็เหมือนกับร่างกายของเรานี้ ที่เราต้องกินอาหารทุกวันๆ ก็เพราะว่าของเก่ามันหมดไป
    ของใหม่มันเกิดขึ้นมาแทน เมื่อของใหม่เกิดขึ้นมาแทนทำยังไง ของเก่าสลายตัวไป
    ถ้าเราไม่เอาของใหม่เข้าไปแทน เราก็พังไป เหมือนกับร่างกายของบัวคลี่ ไปดูศาลของเจ้าแม่ไทรงาม
    เขาสร้างใหม่ๆ ก็สวย เวลานี้ก็ทรุดโทรมมาก ก็เหมือนกับร่างกายของเรา มันไม่มีอะไรทดแทน
    มีแต่สีและก็น้ำมันที่เขาทา แต่เนื้อแท้จริงๆ ของไม้มันผุให้เราเห็น ไอ้อาคารที่ทอดไปในน้ำใหม่ๆ
    พ่อมาก็สวย พ่อมาก็ไม่ใหม่นักแต่ก็ยังสวยกว่านี้ มาปีนี้รู้สึกว่าสีทรุดโทรมลงไปมาก
    ไม้ก็เก่าลง บางส่วนผุ เห็นมั้ยลูกรัก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เกิดมาแล้วมันเป็นอนิจจัง
    ไม่เที่ยงหมด มันเกิดขึ้นมาแล้วก็เสื่อมไป ตามที่พระท่านว่าบังสุกุล คือเป็นคาถา
    ที่พระกับพระอินทร์กล่าวเมื่อพระพุทธเจ้านิพพาน ว่าอะนิจจาวะตะสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
    มันทรุดโทรมตามที่เห็น อุปปาทะวะยะธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป มันก็เสื่อมนะ เนี่ย
    อย่างเราๆ ก็แก่ ต้นไทรก็แก่ ศาลก็แก่ บ้านก็แก่ อุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป
    เหมือนกับร่างกายของ ของบัวคลี่ บัวคลี่เวลานี้เธอสวย ความจริงพ่อพูดนี่ เธอก็มาอยู่ใกล้ๆ นะ
    ที่นี่มีรุกขเทวดา ๑๗ ท่าน มานั่งอยู่ที่พวกเราทั้งหมด ถ้าเรามาด้วยกันก็มีรุกขเทวดาเยอะ
    อากาศเทวดาก็มี พรหมก็มี ลูก ใช้จิตเพื่อรู้เดี๋ยวนี้จะรู้ได้ทันที
    เราได้รับความเมตตาปรานีจากท่านผู้ทรงความดี แต่ท่านผู้ทรงความดีทั้งหลายทั้งหมดนี้ก็มีร่างกายเหมือนเรา
    แต่เวลานี้ร่างกายของท่านพังไปหมดแล้วลูกรัก อย่าลืมนะ ว่าการเกิดมีชีวิตของเราคล้ายกับ
    เรามานั่งอยู่ใต้ๆ ร่มไทรงาม ร่างกายคือขันธ์ ๕ คล้ายร่มไทรงาม จิตเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ใต้ต้นไทรงาม
    มีความสุข แต่เมื่อกาลเวลามาถึง เราก็ต้องลุกจากที่นี้กลับที่เดิม นั่นก็คือ
    เหมือนกับจิตที่เข้ามาอาศัยต้นไทรงาม เมื่อถึงวาระแล้ว จิตก็ต้องพรากไป ฉะนั้น
    ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราจะอยู่เท่านั้นปี เท่านี้ปี
    คิดว่าในช่วงวินาทีปัจจุบันนี้ เรามีชีวิตอยู่ เราจะตัดสินใจตามสมเด็จพระบรมครู
    ว่าโลกไม่เที่ยง อารมณ์ของเราเป็นอย่างนั้น โลกเป็นทุกข์ อารมณ์ของเราเห็นอย่างนั้น
    โลกเป็นอนัตตา อารมณ์ของเราเห็นเป็นอย่างนั้น นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
    นิพพานัง ปรมัง สูญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างจากอารมณ์ชั่วอย่างยิ่ง ฉะนั้น
    ขอบรรดาลูกชายลูกหญิงทั้งหมด จงพากันกำหนดจิตตัดสังโยชน์ ๑๐ มีสักกายทิฐิ
    วิจิกิจฉา สีลัพตะปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
    ทำลายอย่างยิ่งคืออวิชชาคือความโง่ให้สิ้นไป กำลังใจของลูกทั้งหลายจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง
    จะมีแต่ความสุขสำราญ พระนิพพานอยู่แค่เอื้อมนะลูกนะ สำหรับตอนนี้พ่อก็ต้องขอหยุดนิดนึงนะลูกนะ
    เพราะว่า เทปมันหมดแล้วนี่ คุยกัน ในเมื่อเราคุยกันแล้วเราก็เอาเสียงไว้ฟังกันด้วย
    ช่วยเป็นที่ระลึกว่าปีว่าวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๒ เราได้มานั่งคุยกันที่โคนต้นไทรงาม ใต้ร่มไทรงาม
    และอยู่ในดินแดนที่ อ้าบัวคลี่ซึ่งเป็นสหายเก่าของพวกเรา ได้เป็นเจ้าที่คือเป็นใหญ่อยู่ในที่นี้
    เห็นมั้ยลูก กำหนดจิตซักนิดซิ บัวคลี่ยกโมทนาความดีของลูก ทั้งท่านรุกขเทวดา อากาศเทวดา
    พรหมทั้งหมด ท่านยกมือขึ้นโมทนา เอ้าพ่อขอเวลานิดนะเพื่อเปลี่ยนหน้าเทป
    เราจะได้คุยกันถึงเรื่องอื่นต่อไป
     
  5. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    05.ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม@11 มีนาคม 2522.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย สำหรับชั่วโมงนี้ เป็นชั่วโมงสุดท้าย ความจริงเรามาอยู่กันที่นี่ เวลาผ่านไป ๓ ชั่วโมงเศษแล้ว
    อาศัยการหาอาหารบริโภคกันบ้าง นั่งคุยกันเรื่องอื่นบ้าง แล้วก็มาตอนท้าย ลูกๆ ก็ยกภาระให้แก่พ่อ
    ให้พ่อคุยให้ลูกฟัง ความจริงเรื่องของพ่อนะลูกรัก มันเป็นเรื่องของคนแก่ ที่คนหนุ่มคนสาว
    เขาฟังกันยากอยู่สักหน่อย ทั้งนี้ พ่อก็ไม่ได้ตำหนิคนหนุ่มคนสาว เพราะอะไร เพราะว่า
    เมื่อสมัยพ่อยังเป็นหนุ่มอยู่ ก็มีความเห็นไม่ตรงกับคนแก่เหมือนกัน เออ แต่ว่าเวลานี้ ก็มีความรู้สึกว่า
    คนแก่นี่ท่านพูดถูก แต่ว่าแก่ก็มีแก่หลายอย่างเหมือนกัน แก่ฟักแก่แฟงแก่แตงแก่น้ำเต้า
    แก่พวกนี้ไม่ได้ความ มันต้องแก่ประเภทใช้สติปัญญา พ่อเองก็เป็นคนอ่อนด้วยปัญญาเหมือนกัน
    ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่สมบูรณ์ไปด้วยปัญญา แต่ก็อาศัยสัญญาที่จำมาได้ สัญญาเวลานี้มันก็ชักจะผุๆ
    ไปเหมือนกัน และก็มีปัญญาอยู่บ้างผสมผเสกัน ถ้าจะเทียบกับปัญญาของบัณฑิต
    พ่อมีความรู้สึกว่า ปัญญาของพ่อหรือว่าสัญญาของพ่อ ไม่ได้หนึ่งในหลายสิบล้านในปัญญาของบัณฑิต
    บัณฑิตในที่นี้ พ่อหมายถึงพระอรหันต์ที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ยกเว้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียแล้ว
    ไม่มีบุคคลใด ไม่มีบุคคลประเภทใดจะมีปัญญาเสมอเหมือนอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
    ต้องวงเล็บนะลูกนะ วงเล็บว่ายกเว้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ชั่วโมงสุดท้ายนี้ รู้สึกว่า จะเป็นชั่วโมงเศร้าๆ สักนิดนึงนะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า
    พ่อจะเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดให้ฟัง แต่ก่อนที่จะนำเรื่องเก่ามาพูดให้ลูกฟังนี่ ขอลูกจงนำ
    เอาพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ซึ่งทรงตรัสกับพ่อมาวันที่
    ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ที่ภูพิงค์พระราชนิเวศน์ พระบรมราโชบายนี้รู้สึกว่าสละสลวยมาก
    ลูกคิดมั้ยว่า ถ้าลูกได้เป็นพระมหากษัตริย์ และก็มีงานหนักเครียด เพื่อหวังความอยู่รอดของปวงชนชาวไทย
    และก็ต้องการให้ทุกคนมีความสุข พระราชภารกิจในฐานะพระมหากษัตริย์ก็หนัก
    ยังจะแถมวางแผนเพื่อความสุขกับประชาชนทั้งชาติ ถ้าจะดูตามหมายกำหนดการแต่ละวันแต่ละวัน
    ก็จะรู้สึกว่า แต่คนอื่นน่ะพ่อไม่รู้นะ ตามความรู้สึกของพ่อ พ่อคิดว่าสมองพ่อผุแน่ เวลานี้รู้แล้ว
    เมื่อตอนเด็กๆ อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินกะเขาเหมือนกัน เห็นเขาเป็นนายทหารผู้ใหญ่
    ก็อยากจะเป็นนายทหารใหญ่ นายทหารใหญ่ประเภทนั่งโต๊ะไม่ชอบ คือว่าไม่ใช่ไม่ชอบคนอื่นนะ
    ตัวเองไม่ชอบ คิดว่าถ้าได้เป็นนายทหารใหญ่ เราจะนำกำลังทหารไปฝึกที่นั่น ไปซ้อมที่นี่ ทำยังงั้น
    วางแผนที่นี่ ตอนเด็กๆ อายุ ๔-๕ ปี พ่อยังจำได้ พ่อเกิดมาระยะนั้นจนกระทั่งถึงอายุ ๑๗ ปี
    เรื่องการวางแผนรบนี่ วางมาตลอด และก็ไม่รู้จะรบกับใคร ก็เลยรบกับพวกเด็กๆ ด้วยกัน
    ในฐานะที่หากว่ากองทัพเขาเรียกว่าแม่ทัพ แต่พ่อเป็นเด็กเขาเรียกว่าเด็กหัวโจก ถ้ารู้สึกว่ากลุ่มเด็ก
    ที่มีเพื่อนอยู่ด้วยกันประมาณสิบคนเศษหายเงียบเข้าไป ไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย ผู้ใหญ่ก็เดาได้แล้ว
    บอกว่าเจ้าโม่งนั่นมันคงไปวางแผนการรบอีกแล้ว ดูซิมันจะรบท่าไหน วางแผนข้าศึกมีกำลังมากกว่า
    เรามีกำลังน้อยกว่า เราจะลวงข้าศึกด้วยวิธีไหนและจะตีข้าศึกด้วยวิธีไหน ทำยังไงจึงจะเอาชนะข้าศึก
    นอกจากจะใช้กำลังแล้วก็ใช้จิตวิทยา ให้ข้าศึกหลงกล เล่นมันส่งเดชไปตามประสาเด็กซน

    แต่ว่า ตอนนี้ก็กลายมาเป็นทหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกองทัพธรรม
    ก็ดีเหมือนกัน รบกับสิ่งที่มองไม่เห็นตัวคืออารมณ์ของจิต รบไปรบมาพ่อคิดว่าพ่อแพ้นะลูกนะ
    พ่อคิดว่าพ่อไม่ชนะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมีกำลังมากเหลือเกินลูก ที่ท่านเขียนเป็นคำพังเพยไว้ว่า
    กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปดน่ะ ความจริงพ่อว่า ต้องเอาศูนย์ใส่อีกห้าสิบศูนย์ พ่อยอมแพ้กิเลส
    กำลังใจของพ่อนับตั้งแต่อายุ ๒๕ ปีเป็นต้นมา มองเห็นหน้ากิเลสมาสลอนหมด
    เห็นกิเลสเหมือนกะยักษ์ร้ายลูกรัก โลภะความโลภ ราคะความรัก โทสะความโกรธ โมหะความหลง
    มองดูแล้วมันเหมือนกับไฟเผาผลาญ ดูแล้วคล้ายหน้ากุมภกัณฑ์ที่แยกเขี้ยวเข้าใส่คล้ายจะกัด
    อาศัยคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคเตือนใจพ่อ พ่อก็เลยยอมแพ้กิเลส
    จึงในตอนนั้นเป็นความรู้สึกอย่างเดียวว่า กิเลสเนี่ยเราไม่สู้ ยอมแพ้ราบคาบดีกว่าต่อสู้กับกิเลส
    มันคิดแพ้แต่เนื้อแท้จริงๆ มันยังไม่ค่อยจะแพ้ บางทีเผลอไปหน่อยชักจะเริ่มชนะกิเลส คิดว่าชนะ
    แต่ความจริงจะเข้าไปเป็นทาสของกิเลส เวลานี้พ่อแก่แล้วลูกรัก อายุหกสิบปีเศษ พ่อไม่สู้กิเลสแล้ว
    พ่อยอมกลัวกิเลส ฉะนั้น ภพใดที่มีกิเลสสิงอยู่ แม้จะมีปริมาณน้อยอย่างพรหมโลกก็ดี
    พ่อคิดว่าพ่อไม่อยากอยู่ที่นั่น สิ่งที่อยากจะไปก็คือพระนิพพาน แต่หนทางพระนิพพานใกล้หรือไกล
    อยู่ที่ไหน จะรู้ได้ยังไงนั่นว่ากันทีหลัง อาศัยการตายครั้งที่สามของพ่อเป็นปัจจัย สร้างความสุขใจให้แก่พ่อ
    พ่อมีความรู้สึกว่า เรายอมแพ้กิเลส ดีกว่าเป็นผู้ชนะ คิดจะเอาชนะกิเลส วิธียอมแพ้ก็คือ
    หลบไม่ยอมพบหน้ากับกิเลส กิเลสนี่เราฆ่าไม่ตาย แต่ทว่า เราจะต้องเอาใจของเราหลบกิเลสไปให้พ้น
    วิธีหลบกิเลสยังไง ก็ต้องหวนเข้ามาหาพระบรมราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงตรัสเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ พ่อย้ำบ่อยๆ นะ อย่าเพิ่งรำคาญนะ คนที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินเนี่ย
    หาเวลายาก แต่พ่อก็รู้สึกว่า พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยะ เวลานี้มีข้าราชการผู้ใหญ่ส่วนมาก
    ท่านก็หันเข้ามาเล่น โดยวิธีหาทางแพ้กิเลส ที่ว่าเราถือว่าเราแพ้กิเลส แพ้เป็นพระชนะเป็นครู
    เขาว่ายังงั้น คำว่าแพ้เป็นพระหมายความว่า เราไม่ยอมพบหน้ากับกิเลสซะเลย ความยุ่ง
    หรือว่าวุ่นวายใจมันก็ไม่มี ทีนี้การที่เราจะยอมแพ้กิเลสได้ก็ต้องหาวิธีเบื้องต้น วิธีเบื้องต้นของพ่อ
    ที่พ่อคิดขึ้นมาได้ก็ดี ศึกษาจากครูสอนก็ดี ใช้ตามตำราก็ดี รู้สึกว่า มันพอจะคลานต้วมเตี้ยมไปได้
    แต่ไม่แนบเนียนนัก แต่ว่าพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ ทรงตรัสออกมา
    พ่อรู้สึกว่าแนบเนียนดีจริงๆ นี่ไม่ได้ยกพระเจ้าอยู่หัวนะ ไม่ใช่ยกย่องอะไรดีก็ว่ากันดี อะไรที่ไม่ดี
    เราก็ต้องว่าไม่ดี พูดกันตรงไปตรงมา แต่เรื่องที่ไม่ดีของพระองค์พ่อไม่ทราบ ดีหรือไม่ดี
    จะรู้ได้หรือไม่ได้ต้องอยู่ใกล้จึงจะรู้ ถ้าอยู่ไกลๆ จะไปนั่งตำหนิใครให้ดู มันก็ไม่ควร ท่านว่าอย่างนี้
    ท่านทรงตรัสแนะนำกับปิยสหายของท่าน หรือเขาเรียกว่า พระสหาย พระสหายหรือว่าชีสหายบ้างก็ไม่ทราบ
    ท่านบอกว่าท่านมีเพื่อนร่วมปฏิบัติกรรมฐานอยู่ด้วยกัน ผู้หญิงห้าผู้ชายห้าเป็นสิบ จะเป็นใครบ้างพ่อไม่รู้
    แนะนำวิธีที่ปฏิบัติเพื่อสมาธิจิต บอกให้ทำจิตเหมือนกะอยู่ในห้องเงียบ อือม์ ของท่านดีมากลูกรัก
    ทรงเปรียบเทียบว่า ห้องเล็กๆ อย่างฝรั่งเขารับแขก แขกประมาณห้าสิบคน มึงก็พูดอย่างนี้
    กูก็พูดอย่างโน้น มึงวางโน่น กูโยนนี่ มึงกินเหล้า กูกินขนม ล่อกันเอะอะโวยวาย ถ้าบังเอิญจะมีใครเข้ามา
    สมมติว่ามีแจกัน พระองค์ทรงชี้ไปที่แจกัน สมมติว่ามีแจกันอยู่ ใครจะมาหยิบอะไรไปมันก็ไม่รู้
    เพราะอะไร เพราะความวุ่นวายในห้องมันมีมาก แต่ทว่าถ้าห้องนั้นสงัด อยู่เงียบๆ เหมือนกะอยู่คนเดียว
    ทุกคนไม่วุ่นวาย ใช้สายตามองไปรอบๆ ห้อง สังเกตใครจะเข้าใครจะออก อย่างนี้ถ้าบังเอิญศัตรู คู่แค้น
    หรือว่าขโมยจะเข้ามาหยิบของอะไรก็ทราบได้ทันที ข้อนี้มีอุปมาฉันใด พระองค์ทรงตรัส
    ว่าก็เหมือนกับจิตของเรา ถ้าเราไม่รวบรวมกำลังใจให้เป็นสมาธิ คำว่าสมาธินี่ลูกรัก ก็แปลว่าการตั้งใจ
    เอาใจไปตั้งไว้ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่สนใจกะอะไรอย่างอื่นภายนอกเลย
    เหมือนกับที่ลูกกำลังฟังเสียงของพ่อนี่ ถ้าพ่อจะเดานะ ลูกของพ่อทุกคนตั้งใจฟัง
    บางคนถึงกะเอาเครื่องบันทึกเสียงมาวางไว้ เกรงว่าเสียงพ่อจะหายไป นี่ก็เป็นความดีของลูก
    ความดีอันนี้เป็นเครื่องประทับใจพ่อ พ่อไม่เหนื่อยเพราะลูก จะมีความยาก จะมีความลำบากยังไงก็ตาม
    เพื่อความสุขของลูกทุกคน ถ้าสิ่งนั้นไม่เกินพิสัย พ่อพร้อมจะทำทุกอย่าง แม้ร่างกายจะยกไม่ขึ้น
    ก็จะพร้อมที่จะต่อสู้กับอันตรายของ..อันตรายทางร่างกาย อะไรถ้าไม่เกินวิสัย สิ่งนั้นพ่อจะทำเพื่อลูก
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าลูกของพ่อทุกคนเป็นคนดี มีความกตัญญูกตเวทีสงเคราะห์ช่วยพ่อ
    ด้วยเหตุนานาประการ ถ้าเราจะพรรณนากันก็หลายชั่วโมงมันก็ไม่จบความดีของลูก
    เวลานี้ลูกตั้งใจฟังเสียงพ่อ มีความรู้สึกว่า มีบางครั้ง ใจมันจะลอยไปภายนอกสักนิดหนึ่ง
    แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนใหญ่ใจมันรวมอยู่ที่เสียงของพ่อ ลูกบางคน อาจจะแปลกใจมั้ย
    แต่ความจริงลูกทุกคนไม่แปลกใจ นอกจากคนอื่น ที่พ่อรู้ก็เพราะว่าเห็นกระแสจิต จิตของลูกพ่อเห็น
    ใครจะขาวจะเขียวจะแดงจะด่างจะดำยังไงพ่อเห็น พ่อทราบ เป็นธรรมดา เรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด
    เราจะเอาดีทุกอย่างไม่ได้ เพราะงั้น ถามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
    สมาธิจิตเมื่อเราทำสมาธิ จิตจับอารมณ์โดยเฉพาะ มันก็จะรู้อาการเคลื่อนมาของข้าศึก คือข้าศึกของจิตก็คือ
    หนึ่ง ราคะความรัก โลภะความโลภ โทสะความโกรธ โมหะความหลง เป็นต้น ซึ่งเป็นรากเหง้าใหญ่
    นโยบายของเขาจะมาท่าไหนเราก็รู้ เราคอยระมัดระวัง ถ้าเขาจะเข้าประตูเราก็โจมตีก่อน อย่างน้อยที่สุด
    เราจะเผลอบ้างก็นิดหน่อยเท่านั้น เราอาจจะเพลี่ยงพล้ำกับข้าศึกแต่เราไม่ถึงตาย ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
    ใจของเราถ้าทรงสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คำว่าสมาธิก็ได้แก่ ทรงสติสัมปชัญญะสมบูรณ์นั่นเอง
    สติแปลว่า นึกไว้ว่า เวลานี้เราจะทำอะไร เราจะคิดถึงเรื่องอะไร สัมปชัญญะ รู้ตัวว่าเราทำแล้วรึยัง
    ถูกต้องไหม นี่ถ้าเราระวังๆ อยู่อย่างนี้ ความเพลี่ยงพล้ำกับข้าศึกคือกิเลสก็ไม่มี เออ ต่อนี้ไป
    จำไว้นะลูกนะ นี่เป็นพระบรมราโชบาย เอางี้ก็แล้วกัน เป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ที่ทรงดำรัสแก่พระสหาย ในการเจริญพระกรรมฐาน เห็นมั้ย ว่าพระองค์น่ะงานหนักแสนหนัก บางครั้ง
    พ่อพบท่าน สงสารมากลูกรัก ทรงพระพักตร์ซีดเซียว แสดงอาการเหน็ดเหนื่อย น้ำเสียงที่แสดง
    พระสุรเสียงที่เปล่งออกมาก็รู้สึกว่าเหนื่อย แต่ก็พร้อมที่จะทำงานทุกอย่าง
    บางทีไปมีพระราชภารกิจกับปวงชนชาวไทยแต่เช้า กลับมาเย็น ตอนกลางคืนก็มีแขกถึงสองยาม ตีหนึ่ง
    ลองคิดดู แล้วพระองค์ก็ทรงต้องเซ็นหนังสือต่างๆ อีก กว่าจะได้หลับ อาจจะเป็นเวลาตีสอง
    แล้วมองกันดูแล้วคิดว่า พระองค์ไม่น่าจะมีเวลา ที่จะเอาสมองที่ไหนมาวิจัยธรรมะคำสอน
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าไม่น่าจะมีเวลาเจริญพระกรรมฐาน คนถ้าลงฉลาดลูกรัก
    งานทุกอย่างเป็นกรรมฐานหมด ต่อนี้ไป พ่อก็จะของด เรื่องนี้พูดไปก็ยาวมาก เพราะว่า พระราชดำรัสสั้นๆ
    ตีความหมายได้คลุมพระไตรปิฎกสามปิฎกหมดเลย จำไว้นะลูกนะ ท่านพูดน้อย แต่มีความหมายยาว
    พ่อไม่ได้ยกย่อง ไม่ได้ยกย่องแต่พระเจ้าอยู่หัวองค์เดียว เวลานี้ ข้าราชการผู้น้อยผู้ใหญ่เด็กนักเรียน
    ก็ปฏิบัติกันมาก พ่อดีใจที่เห็นคนเป็นคนดี ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยความเยือกเย็น

    ตอนนี้มาใช้สติสัมปชัญญะ เอาล่ะ ใช้ปัญญาด้วย ช่วยกันใช้ ว่าเมื่อกี้นี้ที่เวลาที่ผ่านมา
    บุคคลสำคัญที่ยกขึ้นมาเป็นพระเอกนางเอก ก็คือขุนแผนกับบัวคลี่ คนสองคนนี้ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
    ยกหางมั้ย คำว่าดีก็ตามประวัติที่เขาเขียนไว้ รึจะเป็นหนังสืออ่านเล่นก็ช่าง รู้สึกว่าขุนแผนนี่เป็นคนเก่ง
    ทำงานแก่ประเทศชาติมาก แต่บัวคลี่ก็เป็นคนดี สร้างความชื่นใจแก่ขุนแผนเมื่อเวลาเหน็ดเหนื่อยกลับเข้ามา
    จริยาใดที่เป็นหน้าที่ของกุลสตรีที่จะปฏิบัติกับสามี บัวคลี่ทำทุกอย่าง ความบัวคลี่สมัยนั้น
    กับบัวคลี่สมัยนี้ก็เหมือนกัน พ่อคิดว่า ถ้าบังเอิญ พ่อจะเป็นขุนแผน พ่อมีบัวคลี่คนเดียวก็ชื่นใจมากแล้ว
    แต่ทว่าสมัยนั้น ขุนแผนท่านเป็นคนใจดี มีจิตเมตตาไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีของหญิงทั้งหลาย
    ฉะนั้น กำลังใจของท่านก็ต้องหว่านไปเหมือนกะแหและอวน คลุมคนที่หวังดีเข้าไว้ เป็นอันว่า
    คนสองคนที่พูดกันนี่ หนึ่งบัวคลี่เป็นกุลสตรีที่ดีมาก มีระเบียบประเพณีมากสมัยโน้น ผู้หญิงเขาต้องเก็บตัว
    รักษาศักดิ์ศรีของสตรี ผู้ชายฝ่ายผู้ชายก็ดีทำประโยชน์กับประเทศชาติ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
    ในตอนท้ายถึงกับเป็นพระยา เอ๊ะรึเจ้าพระยา จะเป็นอะไรก็ช่าง ลูกรัก เวลานี้ กระดูกของคนสองคนอยู่ที่ไหน
    ไม่มีแล้วใช่มั้ย โลกนี้เป็นนิจจังหรือเป็นอนิจจังลูกรักเอ๋ย เรานึกถึงคนสองคนแล้วก็นึกถึงตัวของเราเอง
    ว่าสภาพของท่านเป็นยังไง สภาพของเราก็เป็นยังงั้น พ่อพูดไปถึงตอนไหน
    ขอให้ลูกทั้งหลายตรวจเอาใจของลูกจ่อจดจ่อไปตามเสียง ใช้ทิพยจักขุญาณ
    หรือมโนมยิทธิติดตามกระแสเสียงไปด้วย จิตจะได้มีความสุข เวลานี้พูดถึงขุนแผนกับบัวคลี่
    เราก็ใช้จิตดูว่า บัวคลี่อยู่ที่ไหน ขุนแผนอยู่ที่ไหน บัวคลี่เธอยืนยันว่า เธอเป็นรุกขเทวดา
    แต่ว่ามีรัศมีกายวิมานสวยมาก ใหญ่มากกว่าเทวดาองค์อื่น รัศมีกายก็สว่างมาก
    เธอยอมรับว่าเธอเป็นพระอริยเจ้า ในฐานะที่เธอเป็นเทวดาแล้ว ศึกษาปฏิบัติต่อ
    แต่ว่าพ่อขุนแผนจอมเจ้าชู้เนี่ยไปอยู่ขุมไหนกันแน่ก็ไม่แน่นัก ขอลูกทุกคนเอาจิตติดตาม
    ตามไปแล้วเห็นแล้วก็ถอยหลังไปว่า คนสองคนเนี่ย เกิดชาติเดียวเท่านั้นรึเกิดมาแล้วหลายๆ ชาติ
    แต่ละชาติต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความเกิดมันดีรึลูก
    เรายังจะเกิดกันต่อไปหรือ ปิยะโต ชายะเต โสโก ปิยะโต ชายะเต ภะยัง ท่านกล่าวว่า ความเศร้าโศกเสียใจ
    เกิดจากความรัก ภัยอันตรายเกิดจากความรัก การจะตายครั้งหนึ่ง เราจะตาย พ่อจะตาย แม่จะตาย
    พี่จะตาย น้องจะตาย จะต้องพลัดพรากจากกัน ถ้าเราตัดกำลังใจไม่ได้ เรายังสู้กับกิเลสอยู่
    มันก็เสียวใจ เสียวจิตใจ หวาดเสียว หรือว่าจิตใจสะดุ้ง หรือว่ามีความเศร้าโศกเสียใจ
    ที่คนที่เป็นที่รัก ของที่เป็นที่รักจะต้องจากกันไป ถ้าเขาไม่จากเรา เราก็จากเขา ด้วยอำนาจของความตาย

    ขุนแผนรบเพื่อไทยให้ทรงอยู่ แต่เวลานี้พ่อโฉมตรูขุนแผนก็ไม่มีตัวซะแล้ว มาตอนนี้ จุดนี้เรานั่งอยู่กับบัวคลี่
    บัวคลี่ก็เป็นคนดีให้กำลังใจกับขุนแผนแม่ทัพใหญ่ แต่เวลานี้ บัวคลี่ ยาใจเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน
    ร่างกายของเจ้าไปหมกอยู่ที่ไหน เหลือแต่กระแสใจที่เรียกกันว่าจิตหรืออทิสสมานกาย อ้าว
    เทวดาก็ร้องไห้ด้วยหรือ เทวดาร้องไห้เป็นหรือจ๊ะ เห็นบัวคลี่เช็ดน้ำตา ว่ายังไงนึกถึงความหลัง
    จะมีประโยชน์อะไร นึกถึงความหลังว่า... อ๋อ เธอบอกว่านึกถึงความหลัง ที่พูดมายังงี้บอก
    ที่ร้องที่น้ำตาไหล มีน้ำตาแสดงเหมือนมีน้ำตาแต่น้ำตาไม่มี เอามือเอาผ้า เอาผ้าทิพย์ไปแตะที่ตา
    ทำเหมือนน้ำตาจะไหลเหมือนลิเก แต่ท่านบอกว่าที่ทำอย่างนี้ไม่ได้ร้องไห้เสียใจ ว่าเสียดายความดี
    เมื่อขณะที่มีชีวิตอยู่น่ะสร้างความดีน้อยไป ไม่เหมือนกับพวกพี่ๆ น้องๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ เธอว่ายังงั้น
    พี่ๆ น้องๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ได้กำไรมาก โอ๋ บัวคลี่เอ๋ย ทำไมจึงว่ายังงั้นเล่า เวลานี้เธอเป็นเทวดา
    และเธอก็เป็นพระอริยเจ้า พวกพี่ๆ น้องๆ น่ะเสียทีพวกเธอมาก เพราะว่าเธอจะก้าวเข้าไปสู่นิพพานได้โดยง่าย
    เพราะภารกิจของเทวดาไม่มี เธอยกมือไหว้ เห็นมั้ยลูก ยกมือพนมมือบอกสิ่งนั้นจริง แต่ด้านความดี
    ถ้าทำได้เหมือนพี่ๆ น้องๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ ป่านนี้ก็ไปนิพพานแล้ว อ๋อ อย่างงั้นเรอะ

    เอาล่ะเป็นอันว่า ขอจบตรงนี้เถอะนะไม่เป็นไร ถ้ายังงั้นก็ดูใจ ดูใจพี่ใจน้อง
    เทียบกับใจของบัวคลี่น่ะเป็นยังไงจ๊ะ เธอชี้ให้ดูใจ กระแสจิตที่พุ่งออกมาของคนทุกคน
    รู้สึกว่าเวลานี้ ใจสะอาดจากกิเลส มีความผ่องใสมาก และก็เธอก็ชี้ให้ดูใจของเธอ น่ารัก
    ใจผ่องใสเป็นพิเศษ ว่ายังไง สั่งพี่สั่งน้องมั้ย เดี๋ยวเทปหน้านี้มันจะหมด เกะกะระรานมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว
    สั่งพี่สั่งน้องหรือเปล่า จะขอเลยๆ เรื่องนี้ไปซักหน่อย อ๋อ สั่งเรอะ สั่งว่า ขอพี่บ้างน้องบ้าง
    ที่มานั่งอยู่ที่นี่ทุกคน ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญกุศล อย่าสนใจกับกายของเรา และอย่าสนใจกับกายของบุคคลอื่น
    อย่าสนใจกับทรัพย์สินทั้งหลายให้มากเกินไป ดูร่างกายของบัวคลี่ ดูร่างกายของขุนแผน
    ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกัน เวลานี้ร่างกายนั้นไม่มีความหมาย ส่วนที่มีความสำคัญก็คือใจ
    ขอให้ชำระใจให้สะอาดแล้วจะมีความสุข อ๋อเธอบอกต่อไป ว่าทุกคนถ้าไม่ประมาท
    ตายแล้วมีความสุขถึงที่สุด แต่ก็มีบางคนยังลังเลอยู่ จิตใจยังวนอยู่ ขอให้ตั้งอารมณ์ให้ตรงพระนิพพาน
    แล้วพยายามทำลายกิเลสให้เป็นสมุทเฉทปหาน ตัดสังโยชน์สิบประการให้ได้ พระนิพพานจะมีความหมาย
    ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย เธอบอกไม่มีอะไรแล้ว เท่านี้แหละเจ้าค่ะ ว่างั้น
    ก็น่าเสียดายชีวิต เวลานั้นคิดน้อยไป ถ้ามีโอกาสอย่างพี่ๆ น้องๆ ทั้งหลายนี่ บัวคลี่จะดีกว่านี้มาก
    เอ้า ขอขอบใจนะ พอดีเทปหน้านี้หมดไป อ๋อประเดี๋ยว ประเดี๋ยวเล่าอะไรให้ฟังหน่อยนะ
    มารู้เรื่องเก่าๆ เอ้า สำหรับหน้านี้นะลูกรัก เป็นอันว่าพักกันไป ชั่วโมงนี้ก็ถือว่าเป็นชั่วโมงจบ
    เวลามันจะสามโมงเย็นอยู่แล้วนะ ประเดี๋ยวจะได้ไป เอ้า ขอพักนิดนึง พลิกเทปหน้าใหม่
     
  6. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    06.ฤาษีสอนลูกใต้ร่มไทรงาม@11 มีนาคม 2522.mp3
    เอ้อ ลูกรักของพ่อทุกคน ต่อนี้ไปก็มาดูอดีตกัน สถานที่เรานั่ง
    บริเวณที่เราผ่านมา ก่อนที่เราจะมาถึงไทรงาม เราก็แวะที่ปราสาทพิมายก่อน
    หรือเรียกว่าปราสาทหินพิมาย ความจริงในที่นี้ ปราสาทนี้
    เขาสร้างด้วยหินแข็งแรง ลูกรัก เอามาเทียบกับร่างกายของเราแล้ว
    หินมันแข็งแรงมาก ร่างกายเราอ่อนปวกเปียก เหลวเลอะ ไม่เหมือนกับหิน
    เขาสร้างโดยวิจิตรตระการตา มีจิตรกรรมต่างๆ น่ารัก คนโบราณนี่
    รู้สึกว่าฉลาดและมีความสามารถสูง ตามหนังสือประวัติ เขาบอกว่า
    เจ้าขอมที่ลงท้ายว่าวรมันถึง ๓ มัน วรมัน วรมัน วรมัน ก็เรียกว่า
    ๓ มันก็แล้วกัน จะสร้างกันถึง ๓ วาระ เป็นที่สำหรับสักการะบูชา
    เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ สมัยโน้นลูกรัก พระราชฐานของพระราชาเขาทำด้วยบ้านไม้
    เรายังจะเห็นได้ว่า ที่จังหวัดพิษณุโลก พระราชฐานของพระนารายณ์มหาราช
    ที่เคยไปประทับ เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ จัดเป็นห้องหลายห้อง
    พ่อเคยขึ้นไปแล้วก็นึกถึงความหลัง นึกถึงความหลังว่า
    ถ้าพระนารายณ์ท่านทรงอยู่ ท่านจะประทับตรงไหนบ้าง ที่นี่ห้องอะไร
    นี่ห้องทำอะไรพ่อก็ได้เดาๆ เอาเท่านั้น มันจะถูกจะต้องหรือไม่ก็ไม่ทราบ
    เดาไปเดามาคิดว่าพระนารายณ์นี่คงจะชอบบูชาพระ นั่งบูชาพระ
    นั่งสวดมนต์ นั่งเจริญพระกรรมฐาน แผ่เมตตาจิต
    เพราะว่าน้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ส่วนใหญ่ เป็นน้ำพระทัยของบุคคล
    ผู้มุ่งความดีกับปวงชนชาวประชา ชาวพสกนิกรของพระองค์
    เอาล่ะ เดี๋ยวก็เลี้ยวไปหาพระนารายณ์อีกสัก ๑๐๐ วันมันก็ไม่จบ

    เป็นอันว่า มองดูปราสาทลูกรัก คิดมั่งรึเปล่า ว่าปราสาทเนี่ย เมื่ออดีต
    แข็งแรงสวยสดงดงาม มีกำแพงล้อมรอบ แต่ทว่าเวลานี้
    ปราสาทมันพังอยู่แล้ว ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า โลกเป็นอนิจจัง
    มองดูปราสาทแล้วก็หันเข้ามามองตัวตัวลูกเอง รึมองดูพ่อก็ได้
    พ่อเกิดมาพ่อไม่แก่เท่านี้หรอกลูก พ่อเป็นเด็ก ต่อมาพ่อก็เป็นหนุ่ม
    ต่อมาก็เป็นวัยกลางคน เวลานี้เป็นวัยกลิ้งคนแล้ว ไม่ใช่วัยกลิ้งคนอื่น
    กลิ้งตัวเอง มันจะเดินไม่ไหว แข้งขาจะไปไม่ไหวอยู่แล้ว จะกลิ้งอยู่แล้ว
    แล้วต่อไปไม่ช้าก็เป็นวัยผี ลูกรักทุกคนก็มีสภาพอย่างนั้น
    ตอนนี้เอาจิตนึกวาดภาพ ว่าชีวิตที่ผ่านมา มีกี่อัตภาพที่เกิดในโลกมนุษย์
    เกิดเป็นคนก็เกิด เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เกิด จิตวาดภาพนึกถึงความหลัง
    ตั้งจิตคิดว่า อัตภาพที่ผ่านมาแล้วเท่าไร จงปรากฏกับสายใจของข้าพเจ้าเวลานี้
    ภาพของทุกคนก็จะปรากฏ ดูทีรึว่าเราทิ้งร่างกายมาแล้วเท่าไหร่
    แล้วทำไมเราจะมัวสนใจกะร่างกายนี้จนเกินไป มีบางคน
    ก็ยังสนใจกับร่างกายของบุคคลอื่น แต่เรื่องบุพเพสันนิวาสพ่อไม่เถียง
    ถ้ามันมีความจำเป็นจะต้องแต่งงาน ก็คิดว่าแต่งชาตินี้ชาติเดียว ก็ดีเหมือนกัน
    เข้าไปผจญกับความทุกข์ให้มันจริงๆ จะรู้ว่าไอ้ทุกข์แห่งการครองคู่อยู่ครองกัน
    มันทุกข์ขนาดไหน แต่ถ้าหากว่าเป็นบุพเพสันนิวาสแล้ว เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน
    เห็นใจ ถือว่าเข้าโรงเรียน โรงงานฝึกก็แล้วกัน

    สำหรับปราสาทหินพิมาย ที่ตรงนั้น และก็ที่ตรงลานบริเวณที่เรานั่งอยู่นี่
    รอบๆ บริเวณนี้ ไม่ใช่จะมีเมืองมีพระราชาแต่พวกวรมันเท่านั้น
    พวกวรเราก็เคยเป็นพระราชาอยู่ ใช้นามสมัยนั้นใช้นามว่าพรหมทัตหมด
    เหมือนกับขอมก็ลงท้ายว่าวรมันหมด ฝ่ายพวกไทยก็ขึ้นต้นด้วยพรหมทัต
    เอ๊ย ลงท้ายด้วยพรหมทัต พวกละว้าหรือไทยก็เป็นคนพวกเดียวกัน
    และนี่จะขอกล่าวพรหมทัตที่ลึกเข้าไปอีก ลึกเข้าไปจากพรหมทัตของไทย
    ก็คือเป็นพรหมทัตในสมัยที่พระพุทธเจ้าของเรา เสวยพระชาติเป็นปาจิตตกุมาร
    เล่าเรื่องกันซักนิดดีมั้ย ย้อนหลัง ไม่ต้องพูดอะไรให้มาก ผ่านคุณหญิงโมมา
    ก็นึกสภาพว่าเวลานั้นคุณหญิงโมท่านทำอะไรบ้าง ท่านเป็นผู้หญิงธรรมดา
    แต่เมื่อเวลาข้าศึกเข้ามาถึงที่ แม้แต่นารีก็มีพิษ เหมือนกับลูกพญานาค
    แม้จะเป็นนาคตัวเมียก็มีพิษ ถ้าช้างถึงจะเป็นช้างพังคือช้างตัวเมียก็มีกำลังกล้า
    ฉะนั้น คุณหญิงโมซึ่งเป็นสาวไทยใจกล้า ประกอบไปด้วยปัญญา ยอมเสียสละกายนิดหนึ่ง
    ยอมเพื่อรักษาชาติให้คงอยู่ แล้วเวลานี้ ความดีของท่านยังปรากฏ เขายังหล่ออนุสาวรีย์ไว้
    แต่ว่าร่างกายของท่านหญิงโมไปทางไหนหมด เวลานี้เราเหลือแต่ภาพ
    นี่ความโหยหวนแห่งใจมันจะเกิดขึ้น ถ้าเราจะคิดเมามันในกามโลกีย์ ก็จงคิดว่า
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านมีศักดิ์ศรีใหญ่ มีอำนาจวาสนาบารมี มีกำลังกายกำลังใจดี
    เวลานี้ท่านรึเปล่าท่านตาย เมื่อท่านตายแล้วเราจะอยู่มั้ยล่ะ อยู่ชั่วฟ้าดินสลายมั้ย
    หวนนึกถึงอัตภาพของร่างกายที่ผ่านมาแล้วเท่าไหร่ เป็นคนเท่าไร เป็นสัตว์เท่าไร
    เป็นเปรตเป็นอสุรกายเป็นสัตว์นรกเป็นเทวดาเป็นพรหมเท่าไหร่ นั่นมันขังอยู่ไม่ได้
    ทำไมจึงจะมาหลงเหลาหลงใหลใฝ่ฝันเมามันเพื่อจะทรงอยู่ของชีวิต หาความทรงอยู่ของชีวิตต่อไป
    มันไม่มีหรอกลูก อย่าแสวงหามันให้เกินพอดีเลย

    ต่อท้ายไปก็ขอย้อนต้นนิด เมื่อสมัยนั้นพระพุทธเจ้าของเราเป็นหน่อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์
    มีนามว่าปาจิตตกุมาร เป็นลูกของพระราชา เมืองอะไรพ่อจำไม่ได้
    อยู่ตรงแถบจังหวัดอุบลราชธานี เมืองแถวนี้ พระราชาทรงพระนามลงท้ายว่า
    พรหมทัต และก็บังเอิญท่านผู้นี้ปาจิตตกุมาร พอที่จะครองราชสมบัติได้
    พระราชบิดาต้องการให้หาหญิงที่พอใจ ท่านไปหาใครท่านก็ไม่รักสักคน
    ว่าหน้ามลกุลสตรีทั้งหลายดีแสนดีแต่ก็ไม่เป็นที่ถูกใจ พระราชบิดาก็หนักใจ
    จึงเรียกโหรมา โหรมาพยากรณ์ โหรนี่ก็โหรจริงๆ แถมห้อยแถมแขวนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
    จะลงชื่อลงหยิบอะไรกระดานชนวนมาลงเลขฉับๆๆ เข้าให้ พอลงเสร็จก็พยากรณ์บอก
    สตรีใดในโลกนี้ที่เป็นคู่ครองของปาจิตตกุมารน่ะไม่มี แต่ว่าคู่ครองเกิดแล้วเวลานี้
    เกิดแล้ว แต่ยังไม่คลอด โอ้โห แล้วก็ชี้ทางว่าเกิดอยู่ในทิศนี้นะ ชี้ตรงมาทิศนี้
    เวลานี้อยู่ในครรภ์มารดา แต่คนอื่นจะมองไม่เห็น ถ้าปาจิตตกุมารไปจะมองเห็น
    มารดาเป็นชาวนา เห็นมั้ยล่ะ แต่ว่าเวลาที่มารดาเดินไปแล้วก็ ปาจิตตกุมารจะเห็นพระเศวตฉัตรกั้นข้างบน
    นั่นแหละ หน้ามลคือโฉมตรูคู่ครองของปาจิตตกุมารอยู่ในท้องของหญิงผู้นั้น
    โอ้โห อายุ ๒๐ ปี คอยนางยอดนารีที่อยู่ในท้อง มาแต่งงานกันอายุ ๑๖ ก็ ๓๖ ปี
    ละไม่แก่มาก เดี๋ยวนี้ผู้ยายผู้ชายอายุ ๗๐ แต่งงานกับผู้หญิงอายุ ๑๗ ยังได้
    ยังไหว แต่น่ากลัวไม่เป็นเรื่อง ถ้าเมาแบบนั้นไม่เป็นเรื่องพังแน่ เป็นอันว่า
    ในที่สุด ปาจิตตกุมารก็มาสังเกตการณ์เห็นเป็นตามความเป็นจริง ตามโหรทำนายทุกอย่าง
    จึงเป็นลูกจ้างคือเป็นคนช่วยงานบ้านนั้น ละก็ ปลอมตัวมาแล้วก็ให้
    พระราชบิดาก็ส่งเงินลับๆ มาช่วยตระกูลนั้นจนกระทั่งมีความมั่งคั่งสมบูรณ์
    ต่อมาจนกระทั่งนารีรัตน์คนนั้นคลอดออกมาแล้ว ก็ประคบประหงมพยายามเลี้ยง
    กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เมื่อยอดนารีได้อายุ ๑๖ ปีก็แต่งงานกัน
    นี่ขอเล่าลัดๆ แต่นารีคนนี้นั้น ปรากฏว่า เกิดขึ้นมาแล้วสวยจริงๆ เอ๊
    สวยเท่าบัวคลี่ได้มั้ยจ๊ะ แม่บัวคลี่แกยังนั่งอยู่นะ บัวคลี่บอกว่าสวยกว่า
    รูปร่างคนละแบบ เพราะว่านารีรัตน์คนนั้นรูปร่างคล้ายๆ ทรวดทรงเดียวกับแม่ศรี
    ใช่มั้ย แม่ศรีก็มานะ นี่ที่เรานั่งกันอยู่นี่เต็มไปหมดนะ ใช้อำนาจทิพยจักขุญาณซิลูกรัก
    ใช้ให้มันคล่อง พ่อพูดถึงใครจับเอาจิตจับทันที และก็ถ้าสงสัย ก็...จดไว้ก็ได้
    ว่าใครแต่งตัวสีอะไรจดย่อๆ และก็มาจอยกัน ถ้าไม่มั่นใจ พ่อจะตัดสินให้
    เราไปที่ไหนใช้อารมณ์จิตที่นั่น แล้วเวลานี้ปาจิตตกุมารกะยอดเยาวมาลย์คนดี
    เวลานี้กระดูกก็ไม่เหลือ แล้วจากนั้นก็เกิดๆ ตายๆ มาอีกหลายชาติ จนกระทั่งมาบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถคือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เห็นมั้ยลูกรัก
    ตอนมาเป็นพระพุทธเจ้านี่ร่างกายก็พังอีกแล้ว เนื่องนิพพาน เวลานี้เรามีพระบรมสารีริกธาตุ
    เป็นขวัญใจของชาวพุทธทั้งหลาย ที่บูชากัน แต่ว่าพระวรกายขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา
    ก็สูญสลายไปแล้ว เห็นไหมว่าโลกหาที่สุด หาจุดจบไม่ได้ จำไว้นะลูกนะ
    พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า การเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์
    ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ การที่จะตายเข้ามาเป็นทุกข์ ความจริง
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นกฎธรรมดา ที่เราอยากจะโง่ไปแบกเอาราคะเข้ามา
    แบกเอาโลภะเข้ามา แบกเอาโทสะเข้ามา แบกเอาโมหะเข้ามา ถ้าเราทำใจเฉยๆ
    ไม่สนใจกับราคะความรัก เห็นคนก็อย่าดูแต่หนัง พังหนังเข้าไปถึงเนื้อ
    พังเนื้อเข้าไปถึงกระดูก พังกระดูกเข้าไปถึงตับไตไส้ปอด ดูสภาวะความจริง
    การเคลื่อนไปของร่างกาย เพียงเท่านี้ใจเราก็ไม่ติด อารมณ์จิตมันก็ปลอดจากราคะแห่งความกำหนัดยินดี
    แต่ความโลภเข้ามาอีกทีก็ดูว่า คนที่เขาเป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ใหญ่น่ะ เขาตายแล้ว
    เขาแบกอะไรไปบ้าง ดีไม่ดีความโลภกดตัวให้จมลงไปสู่นรก เยอะแยะไป
    อย่างพระเทวทัตเป็นต้น และอารมณ์แห่งโทสะ ก็ดูตัวอย่างเทวทัตก็เหมือนกัน
    เมื่อความปรารถนาไม่สมหวัง ก็เกิดความโกรธในพระพุทธเจ้า จะฆ่าพระพุทธเจ้าเพื่อยึดอำนาจ
    ก็ประเพณีแห่งความเป็นพระเขาตัดกิเลส แต่เทวทัตไปสั่งสมกิเลสก็เลยลงอเวจีไป
    ยังไม่จบ พระเทวทัตแสดงละครยังไม่จบ แต่พระพุทธเจ้าแสดงจบแล้ว
    พวกเราก็ขอตั้งสัตยาธิษฐานถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีแล้วลูก
    ยกมือไหว้ น้อมใจนมัสการ คิดว่าธรรมใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงบรรลุแล้ว ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าทุกคนบรรลุธรรมนั้นในชาตินี้ด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ
    และก็จงอย่าขออย่างเดียวนะลูก ขอแล้วท่านให้ ให้แล้วเราก็ต้องจัดทำปฏิบัติ
    ราคะจะกำจัดด้วยอำนาจ กามฉันทะกับกายคตานุสติ โลภะกำจัดด้วยความเห็นใจซึ่งกันและกัน
    และก็มีทานการให้ เป็นในสังคหวัตถุ โทสะ เราจะกำจัดได้ด้วยอำนาจเมตตาบารมี
    โมหะตัวนี้ก็ใช้ปัญญาดูของจริงที่เราผ่านที่พ่อพูดมา ว่าแต่ละคนแต่ละคน
    ไม่จบไม่จบ เราจะไปเกาะไอ้จุดที่ไม่จบนี่เพื่อประโยชน์อะไร รักษากำลังใจไว้ในขอบเขต
    ให้จิตมันสงัด คล้ายๆ กับเราอยู่ในห้องคนเดียว แล้วคอยระวังห้อง
    อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัส ทำอารมณ์จิตของเราสงัด
    แนบนิ่งอยู่ในกำลังของศีลก็ดี สมาธิก็ดี ของวิปัสสนาญาณก็ดี
    กิเลสทั้งหลายเหล่านี้มันไม่กล้าเข้า เพราะว่าเรามีสติสัมปชัญญะคอยมองหน้ามันอยู่เสมอ
    มันกลัวตาใจ ไม่ได้กลัวตาเนื้อ มันกลัวตาใจ ถ้าตาเนื้อนี่มันวิ่งเข้าใส่ ถ้าตาใจมันกลัว
    พ่อจึงพยายามสอนให้ลูกรู้จักวิธีใช้ตาใจ นั่นเป็นอันว่าปาจิตตกุมารรายนั้น
    ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาใหม่อีกตั้งหลายครั้ง
    เวลานี้ร่างกายก็พัง พระองค์ไปนิพพาน ไปดูพวกวรมันทั้งหลาย ที่มีอำนาจศักดิ์ศรีใหญ่ในเวลานั้น
    เวลานี้ร่างกายเขาอยู่ที่ไหน ซากศพเขาทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นอันว่าโฉมตรูเวลานั้น
    มีอำนาจราชศักดิ์ ปกครองที่นั่นยึดเมืองที่นี่ ความจริงเขตนี้มันเป็นเขตไทย
    เขตละว้าก็คือเขตไทย เขามาตั้งอยู่ในแดนเขมรนครวัดนครธมโน่น เขาสร้างอยู่ในเขตโน้น
    แต่ทว่าอาศัยที่เราน่ะมีมากกว่าเขา แต่เราไม่ได้รวมตัวกัน เขาก็ถืออำนาจมาตั้งเมืองปั๊กเข้าให้
    แล้วก็บอก คนที่อยู่ตั้งแต่นี่ถึงนี่ไปต้องอยู่ในบังคับบัญชาของฉัน ในเมื่อพวกเรา
    ไทยเรามันไม่ได้รวมตัวกัน เราก็จำยอม อย่างนี้เขาเรียกว่า ประเภทจำยอม
    แต่คนที่จำบังคับกับคนจำยอม ต่างคนก็ต่างคนจำตายไปด้วยกันทั้งหมด
    อย่างนี้ก็ตั้งต้นบรรเลงกันด้วยเพลงมอญ เท่งทึ้ง เท่งทึ้ง เท่งทึ้ง ปี่โหยหวนยวนใจนั่นมันเพราะดีมาก
    จะได้สะดุดใจว่า ความตายมันเข้ามาถึง ความตายมันเดินเข้ามาหาเราทุกลมหายใจเข้าหายใจออก
    หายใจเข้าครั้งหนึ่ง ชีวิตใหม่มาครั้งหนึ่ง หายใจออกครั้งหนึ่ง ชีวิตเก่าสลายไปครั้งหนึ่ง
    หายใจใหม่เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตใหม่มันเกิดมันเกิดติดต่อกัน ถ้าลมหายใจขาดตอนเมื่อไร
    หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตายแน่ นึกภาพถึงความตายลูกรัก
    บทละครตัวอย่างก็คือปาจิตตกุมาร และพระชายา บรรดาพวกวรมันทั้งหลาย
    ขุนแผน บัวคลี่ในที่นี้ ฮั่นแน่ คนสำคัญก็มาเหมือนกัน คนสำคัญก็คือวันทอง
    ที่เขาหาเป็นชู้ แต่ความจริงไม่ใช่ ขุนช้างท่านก็มา อ๋อ พระยา พระยาภาณุมาศหัวไม่เหม่งก็มา
    มาด้วย วันนี้เล่นเรื่องขุนช้างขุนแผนกันดีมั้ย แสดงละครซะเลยเป็นไง
    ตายแหงแก๋ ท่านบอกว่าแหงแก๋ไปหมดแล้ว เวลานี้มีแต่ผีช้างผีแผนแล้ว
    ขุนช้างขุนแผนไม่มี วันทองลาวทองบัวคลี่ทองประศรี ใครต่อใครขุนไกร
    ขุนไกลขุนใกล้ไม่มี มีแต่ผีหมด จะว่าไงก็ว่าไป เวลาเหลืออยู่ ๘ นาที เอ้า
    พี่ขุน จะบอกลูกบอกหลานว่ายังไง ชี้ไปที่ใครล่ะ ลาวทอง พรรณวดีศรีโสภาคใช่ไหม
    ใช่เจ้าค่ะ ว่างั้นนะ ว่ายังไงรึ บอกว่าพูดย่อๆ ซี ลูกจะได้จำได้
    อ้าวแล้วบอกฉันมาซีจ๊ะ ให้พูดว่ายังไง

    เอ้าบอกสอนลูก ว่าลูกทุกคน พ่อเหนื่อยมาก อ้าว ลูกก็เหนื่อยมาก อย่าลืม
    อย่าไปหาแต่พ่อเหนื่อยมากซิลูกจะเสียกำลังใจ ท่านบอกว่าถูก
    ลูกเหนื่อยมาก แต่พ่อเหนื่อยคนเดียวเพื่อลูกตั้งเป็นร้อยเป็นพัน ลูกหลายคน
    เหนื่อยเพื่อพ่อคนเดียว อย่าลืมนะว่าพ่อมันยุ่งนะ มันหาเรื่องเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา
    นี่เธอตอบมาเหนื่อยเพื่อลูกใช่ไหม ก็บอกว่าใช่ ที่ทำนี่ทำเพื่อลูก ละก็ทำเพื่อคนทุกคน
    ความจริงธรรมะของพระพุทธเจ้าพอกินพอใช้แล้ว ถ้าจะกินจะใช้แต่ว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่เขานี่
    ก็ต้องหาเผื่อลูก สั่งว่ายังไงอีก ชี้ไปที่นาฬิกา เวลาเหลืออีก ๖ นาที
    ไว้ขอเตือนว่า แม่ขอสั่ง ว่าทุกคนที่มานี่เป็นลูกทั้งหมด บางชาติอาจจะเป็นลูกคนอื่น
    แต่ก็ผ่านมา ผ่านในฐานะผ่านเธอซึ่งเป็นแม่มาก่อน ก็ขอสั่งลูกทุกคน
    ว่าธรรมใดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พ่อแนะนำแล้ว ขอลูกทุกคน
    จงตั้งอารมณ์นั้น รักษาอารมณ์ ทรงธรรมอันนั้นไว้ด้วยดี จงอย่าคิดว่า
    ชีวิตินทรีย์ของพ่อจะอยู่กับลูกตลอดกาลตลอดสมัย เพราะว่าเวลานี้
    ร่างกายมันบุบบับเต็มทีแล้ว เกือบจะทนไม่ไหว จะต้องอาศัยกำลังใจเข้าประคับประคองอีกส่วนหนึ่ง
    แต่กำลังกายอย่างเดียวมันทรงตัวไม่ไหว ฉะนั้น ถ้าลูกทุกคนยังรักพ่อยังรักแม่
    ก็ขอให้ทุกคนรักษาความดีที่มีอยู่แล้ว ให้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม และก็จงสร้างความดีตลอดไป
    ขึ้นชื่อว่าความดีใด ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงแนะนำไว้แล้ว ขอลูกทุกคนจงนำไปประพฤติปฏิบัติ โดยส่วนสุดที่มีความสำคัญ
    นั่นก็คือ อย่าเมากายจนเกินไป นี่เป็นถ้อยคำของแม่ศรีนะ อย่าเมากาย อย่าเมาชีวิต
    จงอย่าคิดว่าร่างกายของใครดี ดูร่างกายของเรานี้มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม
    และมีความเสื่อมโทรมเป็นธรรมดา ไม่ช้ามันก็พัง อยู่คนเดียวมีความสุข
    สุขอย่างคนๆ เดียวแต่ก็ทุกข์อย่างมีขันธ์ ๕ ฉะนั้นขอลูกทุกคน จงตั้งหน้าตั้งตาปลงจิตคิดว่า
    อะนิจจา วะตะสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทะวะยะธัมมิโน
    เมื่อเกิดขึ้นก็เสื่อมไปคือแก่ไปทีละน้อยๆ ทรุดโทรมไป อุปปัตชิตตะวา
    นิรุชฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วในที่สุด มันก็ตาย ให้เอาใจนึกถึงภาพของคนตาย
    ว่าเวลานี้ คนที่เขาตายมานอนอยู่ข้างหน้าของเรา สภาพมันเป็นยังไง
    เตสังวูปะสะโมสุโข ร่างกายที่เปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้าเรางดไม่มีซะได้แล้ว
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า จะมีกายแก้วคือพระนิพพาน

    อ๋อแม่ศรีท่านบอกว่า เธอแนะนำเท่านี้ล่ะนะ แล้วขอขมวดท้ายว่า ขอลูกทุกคน
    นึกถึงสภาพนี้ไว้เป็นปกติ อย่ารื่นเริงจนเกินไป และก็จงอย่าทำใจหดหู่
    เมื่อกฎของกรรมมาถึง เราจะต้องสู้เพื่อหักล้างในการเกิด เราจะไม่เกิดต่อไป
    ขอทุกคนรักษากำลังใจ อย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ว่าเราจะทรงไว้ซึ่งความดี ไม่มีความเลว ตามกำลังของจิต ตอนนี้เวลานี้
    ทุกคนมีจิตเป็นทิพย์ ให้รักษาความเป็นทิพย์ไว้ให้ดียิ่ง ต่อสู้ต่ออุปสรรคทุกอย่าง
    เราต้องเป็นลูกที่มีความกตัญญูรู้คุณ เป็นคนที่มีความกตัญญูรู้คุณในบุคคลของชาติ
    ในคนในชาติเดียวกันหรือชาติอื่น ไม่ว่าชาติไหนใครทั้งหมด ถ้าเขามีคุณกับเรา
    เราจะสนองคุณท่านด้วยความดี อารมณ์ใดที่เป็นอารมณ์ที่ไม่ดี จงตัดอารมณ์นั้นไป
    รักษากำลังใจไว้เพื่อพระนิพพานโดยเฉพาะ จิตหวนคิดขึ้นมาว่า ไฟร้ายที่จะไหม้ใจ
    คือ ๑ ราคะ ความรักในระหว่างเพศ โลภะความโลภกอบโกยทรัพย์สินมากเกินไป
    โทสะอันตรายใหญ่คือความรุ่มร้อนของใจ เกิดด้วยอำนาจของความโกรธ
    และจิตใจที่มองไม่เห็นโทษที่เรียกกันว่าโมหะคือความหลง จงอย่ามีในจิตของลูก
    และลงท้ายว่าแม่ขอลาก่อน ขอความปรารถนาดีของแม่ จงมีแก่ลูกทุกคนสวัสดี

    เขาไปแล้วลูกรัก มองดูเวลาเวลานี้ถึงเวลา ๑๕ นาฬิกาพอดี ถ้าจะคุยกันไปอีกก็ไม่จบหรอก
    พ่อพูดไม่จบ จบเสียงหมดเสียงเมื่อไหร่ตายเมื่อนั้น ถ้ายังไม่ตายก็มีเรื่องพูด
    คิดว่าการคุยกันวันนี้นะ คิดว่าลูกของพ่อซึ่งเป็นคนดี จงจะมีประโยชน์กับลูกบ้างไม่มากก็น้อย
    ตามสมควร เอาล่ะเวลาหมดแล้วละก็ลาซิ ลาแม่ศรีซะ ลาท่านขุนช้างหัวไม่เหม่ง
    เฮ่อ ฮ่าๆๆ อย่าๆ อย่ากำหมัด อย่ากำหมัด อย่าน่ะ พอว่าหัวไม่เหม่งล่ะทำท่ากำหมัด
    เก่งเรอะ และก็ลาบัวคลี่ ลาทุกๆ คน และขอบคุณท่านผู้ที่ทรงอทิสสมานกาย
    ที่มากับขบวนผู้ใหญ่ของเรา ท่านได้สนองความดีกับพวกเรา คือรักษาระมัดระวังภัยอันตรายให้
    แต่อย่าลืมว่าเทวดาหรือพรหมทั้งหลาย ต้องรักษาเราได้เพียงแค่กฎของกรรมเท่านั้น
    ถ้าสิ่งใดที่เป็นเหตุเกินวิสัยท่านก็ไม่สามารถจะควบคุมเราได้ เอาล่ะลูกรัก
    ทุกคนเตรียมตัวขึ้นรถได้แล้ว ก่อนจะไป ก็ใช้กำลังใจลาบัวคลี่
    ถ้าไม่เห็นตัวก็นึกถึงศาลเพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ สวัสดี
     
  7. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    โมทนาสาธุอย่างยิ่งครับ ผมเองก็ชอบฟัง ทั้งฟังเอง นั่งทำงานไปก็มักจะเปิดฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องไป แล้วก็จะเปิดให้คนในบ้านฟังบ่อยๆ หลายคนที่ฟังชอบที่แม่บัวคลี่พูด ชอบที่แม่บัวคลี่ปฏิบัติต่อพ่อขุนแผน ลีลาแบบนี้หาดูได้ยากมากในปัจจุบัน อ่านตามในเว๊ปแม้คนที่ปรารถนานางแก้วคู่บารมีอันดับหนึ่ง ลีลาก็ยังห่างไกลกับแม่บัวคลี่ อย่าเอาถึงแม่ราวทองเลย
     
  8. Chutha

    Chutha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +16,903
    ขอบคุณมากค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...