เราควรสั่งสมเสบียงบุญเพื่อเดินทางไกล

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 กันยายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    IMG_9479.jpeg

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล (สะอิ้ง สิรินนฺโท) ท่านพูดถึงอานิสงส์การสวดมนต์เมื่อไร ท่านก็จะถามว่า รู้ไหมว่าคนเราที่ตาย ๆ กัน มีสาเหตุกี่อย่าง ? ท่านบอกว่า ในโลกนี้ที่ตายกันอยู่นะ สาเหตุแรกคืออดตาย..ไม่มีจะกิน ดูอย่างทางแอฟริกา ขนาดอีแร้งมายืนรอเลยว่าจะตายเมื่อไร อันดับที่สอง...ป่วยตาย อันดับที่สาม...อุบัติเหตุตาย อันดับที่สี่...แก่ตาย

    ท่านบอกว่า อดตายเพราะว่าในอดีตไม่เคยให้ทานไว้ ขาดทานบารมี เพราะฉะนั้น..ถ้าให้ทานนี่ป้องกันการอดตายได้ ป่วยตายเพราะว่าเราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้บ่อย ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรารักษาศีลเป็นปกติ โดยเฉพาะศีลข้อที่ ๑ จะป้องกันการป่วยตายได้

    สำหรับอุบัติเหตุตาย ท่านบอกว่าขาดบุญรักษา ขาดเทวดารักษา วิธีแก้ก็คือ ขยันหมั่นสวดมนต์บ่อย ๆ นอกจากสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวเองแล้ว เทวดาท่านชอบใจยังตามรักษาอีกด้วย เพราะฉะนั้น..ให้สังเกตว่าถ้าวันไหนเราเผลอลืมสวดมนต์ไหว้พระ ออกรถไปอาจจะมีสิทธิ์โดนเฉี่ยวโดนชน ท่านบอกว่าที่แก้ไม่ได้มีอยู่อย่างเดียวคือแก่ตาย ธรรมะอะไรก็แก้ไม่ได้ จงยอมตายเสียเถอะ..!

    เพราะฉะนั้น..จะเห็นว่าอานิสงส์ของการสวดมนต์สามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ แต่คราวนี้เราต้องมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัยจริง ๆ ยึดท่านเป็นที่พึ่งเหมือนไม่มีอะไรในโลกนี้ให้เรายึดแล้ว ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับคนตกเหวแล้วไปคว้าเถาวัลย์เอาไว้ได้ ต้องยึดสุดชีวิตขนาดไหนก็ยึดแบบนั้นแหละ..!

    ญาติโยมจะเห็นว่า ไม่ว่าจะอดตาย ป่วยตาย อุบัติเหตุตาย แก้ได้หมด แต่ถ้าแก่ตายนี่ปล่อยไปเถอะ เพราะว่าแก่แล้ว สมัยนี้อายุขัยของคนก็แค่ ๗๔ ปีครึ่ง นับจากไหน ? ก็นับจากอายุพระพุทธศาสนา กาลเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุขัยของมนุษย์เสื่อมทรามลงไป ๑ ปี ตอนนี้ผ่านไปประมาณ ๒,๕๖๓ ปี ก็หายไป ๒๕ ปี ๖ เดือนกว่า ๆ ลบจากอายุขัยของมนุษย์ ๑๐๐ ปี ก็จะเหลือประมาณ ๗๔ ปีนิด ๆ ใครยังไม่ถึงให้พยายามหายใจไว้ ถ้าหากว่าใครถึงแล้วที่เหลืออยู่ก็เป็นกำไรล้วน ๆ

    ที่บอกให้หายใจไว้นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ คนเราตายเพราะอะไร ? อายุกขยะ คือหมดอายุ มีอยู่แค่นั้น...เกินนั้นไม่ได้ อาหารักขยะ หมดอาหาร อาหารนี้มีหลายอย่าง มีตั้งแต่กวฬิงการาหาร อาหารคือข้าวคือน้ำตามปกติ ผัสสาหาร อาหารคือลมหายใจเข้าออก คราวนี้เห็นหรือยังว่าถ้าหายใจไว้นี่จะไม่ตาย วิญญาณาหาร อาหารคือสิ่งที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องการ ตาเห็นรูปสวย ๆ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ จมูกได้กลิ่นหอม ๆ ลิ้นได้รสอร่อย กายสัมผัสที่นุ่มนวลชวนสัมผัส รู้สึกชื่นใจก็อยู่ไปได้อีกหน่อยหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครมีพ่อมีปู่แก่ ๆ เอาไปรักษาในโรงพยาบาล ก็ให้จ้างนางพยาบาลสวย ๆ ไว้ เผื่อจะได้อยู่ได้อีกหน่อยหนึ่ง..! แต่ถ้าหากว่าอยากให้ไปเร็ว ๆ ก็ต้องจ้างที่ตรงกันข้ามเอาไว้ ...(หัวเราะ)...

    ปุญญักขยะ ตายเพราะว่าหมดบุญ หมดบุญก็ตายได้นะ กำลังส่งมาได้แค่นั้น กัมมักขยะ ตายเพราะหมดกรรม อ้าว...อันนี้ประหลาด ไม่ได้ประหลาดหรอก ให้ดูตัวอย่างพระภิกษุลูกศิษย์พระสารีบุตร ตั้งแต่เกิดมาจนพระสารีบุตรไปพบก็น่าจะอายุเกิน ๒๐ ปี สร้างกรรมหนักเอาไว้ วันหนึ่งกินอาหารเป็นข้าวได้ไม่เกิน ๗ เม็ด ถ้าเกินนั้นเมื่อไร อาหารทั้งหมดจะหายไปจากตรงหน้า ต่อให้กองอยู่ก็มองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้ เพราะว่าอดีตชาติสร้างกรรมกับพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้หนักมาก กรรมรักษาจริง ๆ กินแค่ข้าววันละ ๗ เม็ด อยู่มาได้อย่างไร ๒๐ กว่าปี

    จนกระทั่งพระสารีบุตรไปพบเข้าก็เลยชวนมาบวช บวชแล้วออกบิณฑบาตก็ไม่มีคนใส่บาตรให้ พระสารีบุตรต้องกล่าวว่า “อาวุโส เธอจงอยู่ที่วัดเถอะ เราจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง” บิณฑบาตได้อาหารมา เอาไปส่งให้ ท่านก็มองไม่เห็น เห็นแต่บาตรเปล่า ๆ พระสารีบุตรต้องยืนจับบาตรไว้ ท่านจึงสามารถที่จะหยิบอาหารไปฉันได้

    ในชีวิตได้ฉันอาหารอิ่มครั้งเดียวก็ตอนนั้นแหละ ร่างกายสบายขึ้นมาก็พิจารณาธรรมเห็นว่า ตลอดที่อยู่มา ๒๐ กว่าปีนี้ทุกข์เหลือเกิน ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่เอาอีกแล้ว จิตปลดจากการยึดเกาะในร่างกาย เป็นพระอรหันต์ก็นิพพานเลย..หมดกรรมแล้ว

    เราเองไม่ว่าจะหมดอาหาร หมดอายุ หมดบุญ หมดกรรม ก็ตายทั้งนั้น ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เพราะฉะนั้น..วิธีที่ผู้ฉลาดเขาทำกันก็คือสั่งสมบุญ ไม่ได้สะสมบุญเพื่อให้อายุยืน เพราะว่าอย่างไรก็ต้องตาย สะสมบุญไว้เป็นเสบียงเพื่อเดินทางไกลข้ามวัฏสงสาร คนเราถ้าข้าวของเครื่องใช้เสบียงอาหารพร้อม เดินทางไกลเท่าไรก็ไม่ท้อ แต่ถ้าไม่ได้สะสมอะไรไว้เลย ถึงเวลาก็จะลำบากมาก
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...