เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖

​

 

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางด้านอำเภอทองผาภูมิของเรา มีพิธีพระบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ไม่ว่าจะเป็นการเจริญการพระพุทธมนต์ การใส่บาตรพระสงฆ์ ๗๒ รูป ซึ่งงานก็ผ่านไปด้วยดี เพราะว่าฝนเว้นช่วงให้พอดี ไม่เช่นนั้นก็จะบิณฑบาตไม่ได้

คราวนี้ญาติโยมทั้งหลายที่มาร่วมปฏิบัติธรรม โดยการบวชเนกขัมมะเฉลิมพระเกียรติรุ่นที่ ๕/๒๕๖๖ สิ่งที่พวกเราทำ ตั้งใจจะถวายเป็นพระราชกุศล การที่เราจะถวายอะไรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยทั่วไปก็คือต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่

ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลายต้องตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ พยายามรักษากำลังใจ ให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่เราจะได้ถวายส่วนกุศล ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในฐานะพสกนิกรที่จะตอบแทนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นหลักชัยของประเทศชาติของเรา

คราวนี้การปฏิบัติของพวกเรานั้น เรื่องของกาย เรื่องของใจไม่ขอกล่าวถึง วันนี้ขอกล่าวถึงเรื่องของวาจาอย่างเดียว ก็คือในส่วนของไตรสิกขานั้น สัมมาวาจา คือการใช้คำพูดที่ถูกต้อง ก็คือ ต้องเว้นจากการโกหก เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการพูดส่อเสียดให้คนอื่นแตกร้าวกัน เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์

ในส่วนที่จะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือในส่วนของปิสุณาวาจา หรือว่าการกล่าวคำพูดส่อเสียดให้บุคคลแตกร้าวกัน เนื่องเพราะว่าช่วง ๒ - ๓ วันที่ผ่านมา มีข่าวว่า หลวงพี่น้ำฝน หรือพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ วัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ซึ่งตามข่าวใช้คำว่า "จวกเจ้าคุณพยอม" ทำให้มีการตอบโต้กันไปใหญ่โต เนื่องเพราะว่ามีบางท่านก็มาปกป้องท่านเจ้าคุณพยอม เปรียบว่าท่านเหมือนกับเป็นทองคำ

สาเหตุนั้นเกิดจากการที่ท่านเจ้าคุณพยอมไปกล่าวชื่นชมคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกล แล้วมีนักข่าวไปสัมภาษณ์พระครูปลัดน้ำฝน ซึ่งเป็นหัวหน้าพระวินยาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ที่ต้องบอกว่ามีผลงานในฐานะหัวหน้าตำรวจพระที่ชัดเจนที่สุด ว่าสิ่งที่ท่านเจ้าคุณพยอมพูดไปนั้น ถูกต้องหรือว่าผิดพลาดอย่างไร ?

 

พระครูปลัดน้ำฝนก็ให้ข้อมูลไปว่า ถ้าหากว่ากล่าวถึงในเรื่องของศีลแล้วไม่ผิด แต่ถ้าหากว่าเป็นมติมหาเถรสมาคม ซึ่งห้ามไว้ชัดเจนว่า "ห้ามพระภิกษุสามเณรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง" ถ้าลักษณะอย่างนี้ถือว่าผิดมติมหาเถรสมาคม ข่าวมีแค่นี้จริง ๆ แต่ปรากฏว่านักข่าวไปจัดการ "เสี้ยม" เรียบร้อย ด้วยการออกข่าวว่า "หลวงพี่น้ำฝนจวกเจ้าคุณพยอม..!"

ลักษณะอย่างนี้ก็คือ ปิสุณาวาจาในส่วนของการส่อเสียด ทำให้คนอื่นแตกร้าวกัน เอาเรื่องของคนข้างนี้ไปพูดไม่ดีกับข้างโน้น เอาเรื่องของคนข้างโน้นไปพูดไม่ดีกับข้างนี้ แล้วทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วเวลาคนเรามีอารมณ์โกรธขึ้นมาก็มักจะขาดสติ ไม่ได้สืบเสาะหรือสอบถามไปถึงต้นตอว่าอะไรเป็นอะไร

แต่ที่กระผม/อาตมภาพรู้เรื่องนี้ดี เกิดจากสองสาเหตุ สาเหตุแรกก็คือร่วมงานกับพระครูปลัดน้ำฝน ในฐานะคณะกรรมการดำเนินงานโครงการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่า "โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕" มาด้วยกัน ประการที่สองก็คือ เมื่อวานนี้มีการประชุมคณะสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ เมื่อมีการสอบถามเรื่องนี้ขึ้นมาในที่ประชุม พระครูปลัดน้ำฝนก็ชี้แจงให้ทราบว่าพูดไปแค่นี้

เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพเชื่อสนิทใจ เพราะว่ารู้สันดานของบรรดาผู้สื่อข่าวดีมาก แม้กระทั่งเรื่องของวัดท่าขนุน ซึ่งช่วงนั้นมีข่าวคราวที่ว่า วัดท่าขนุนของเรามีพระอุปคุตมหาลาภอยู่กลางน้ำ ถ้าหากว่าใครมาอธิษฐาน โยนเหรียญลงในบาตรพระอุปคุตได้ เรื่องที่อธิษฐานนั้นจะสำเร็จ แล้วก็มีหนังสือพิมพ์ฉบับหัวสีบานเย็น มาขอสัมภาษณ์เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน กระผม/อาตมภาพกำลังทำวัตรเย็นอยู่ ประมาณช่วงเวลานี้ จึงปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ไป

แต่พอรุ่งขึ้น ปรากฏว่าเขาเอาเรื่องราวไปลง โดยบอกว่าสัมภาษณ์พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ได้ข้อมูลมาอย่างนี้ ก็คือในเรื่องที่เราไม่ได้พูดเองสักคำ แต่เขาสามารถจับยัดมาให้เราครึ่งค่อนหน้าหนังสือพิมพ์ ว่าเป็นคำพูดของกระผม/อาตมภาพเอง..!

 

ดังนั้น..การที่พระครูปลัดน้ำฝนพูดไปตั้งเยอะตั้งแยะ จึงเป็นเรื่องที่เขาสามารถที่จะเขียนหัวข่าวอย่างไรก็ได้ เพื่อที่จะขายข่าว ก็คือต้องการยอดไลค์ ถ้าเขียนหัวข่าวให้ตื่นเต้น ในลักษณะพระทะเลาะกัน คนจะได้แห่กันเข้าไปดู ต้องบอกว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะเลวร้ายมาก..!

ปัจจุบันนี้สังคมไทยของเราตกต่ำลงไปมาก ก็เพราะบรรดาสื่อมวลชนต่าง ๆ นี่เอง อย่างเช่นว่า เมื่อวานนี้หลวงปู่ทอง - พระราชมงคลวุฒาจารย์ วัดดอนไก่ดี มรณภาพด้วยอายุ ๑๐๗ ปี ๘๖ พรรษา แทนที่ข่าวจะเสนอในลักษณะของความสลดใจ หรือว่าไว้อาลัยต่อพระมหาเถระผู้อายุกาลพรรษาขนาดนั้น กลับไปเสนอข่าวในลักษณะที่ว่า "เลขมงคล" ก็คือเตรียมตัวที่จะซื้อหวยอย่างเดียว..!

แล้วทุกครั้งประมาณ ๑ อาทิตย์ก่อนที่หวยออก ก็จะมีการเสนอข่าวในลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นเลขของแม่นั่น เลขของแม่นี่ เลขของสามเณรโน้น เลขขันน้ำมนต์หลวงพ่อนั้น เลขทะเบียนรถหลวงพ่อนี้ แม้กระทั่งทะเบียนรถนายกฯ ก็เอา เท่ากับว่าสื่อมวลชนเป็นผู้หยิบยื่นเอาอบายมุขเข้าไปถึงในบ้าน แล้วจะไปตำหนิว่าคนไทยของเราหลงงมงายก็ไม่ได้ เพราะว่าไปยัดเยียด กรอกหู กระทบตา อยู่ทุกวัน

กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ถ้าหากว่าโลกนี้ไม่มีสื่อมวลชนแบบนี้ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นกว่านี้มาก เพราะว่าสื่อมวลชนในปัจจุบันก็อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบ ก็คือ ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีต้องเสียเงิน พระภิกษุสงฆ์สามเณรของเราที่สร้างความดีมากมายมหาศาล ช่วยเหลือทั้งสังคม ประชาชน ตลอดจนกระทั่งวัดวาอารามด้วยกัน ไม่รู้ปีละเท่าไรต่อเท่าไร ช่วยอย่างชนิดที่รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณลงไปก็ทำไม่ได้ขนาดนั้น แต่ไม่มีการเสนอข่าวให้ มีแต่เสนอข่าวในเรื่องเสียหายทั้งสิ้น..!

 

กระผม/อาตมภาพเคยทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีอยู่ประมาณ ๗ เดือน เพราะว่าเลขานุการตัวจริงก็คือพระมหาทองดี โชติปญฺโญ ป.ธ. ๖ ป่วยเป็นวัณโรค ต้องรักษาตัว

กาญจนบุรีของเรามีวัดอยู่ ๕๐๐ กว่า เกือบ ๖๐๐ วัด สำนักสงฆ์อีก ๙๐ กว่าแห่ง ต่อให้ตีเฉลี่ยว่ารวมกันแล้ว ๖๐๐ แห่ง ต่อให้เกิดเรื่องวันละ ๑ แห่ง ก็ใช้เวลาเกือบ ๒ ปีกว่าที่จะครบถ้วน ประเทศไทยมีอยู่ ๓๐,๐๐๐ กว่าวัด ถ้าเกิดเรื่องวัดละครั้งหนึ่ง ก็เกือบ ๑๐ ปีกว่าจะเป็นไปครบถ้วน แต่เขาลงข่าวอยู่ทุกวัน เหมือนอย่างกับพระภิกษุสามเณรทุกวัดจะทำแต่เรื่องชั่วช้าสารเลวอยู่ตลอดเวลา..!

ดังนั้น..ในเรื่องของสื่อมวลชน จึงเป็นเรื่องของบุคคลที่กระทำผิดในส่วนของสัมมาวาจา ก็คือละเมิดในการกล่าวคำพูดส่อเสียดให้บุคคลแตกร้าวกัน ที่เป็นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุด

สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังวัยรุ่นอยู่ จริยธรรมของสื่อมวลชนยังเข้มข้นเข้มแข็งกว่าสมัยนี้มาก จะมีสมาคมผู้สื่อข่าวเป็นผู้ควบคุม หนังสือพิมพ์หรือว่าวิทยุโทรทัศน์ เล่มใดช่องใด ออกข่าวในลักษณะนี้ จะโดนตำหนิในที่ประชุมและต้องไปแก้ไข แต่ปัจจุบันนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ายังมีคณะกรรมการชุดนี้อยู่หรือเปล่า ? การเสนอข่าวจึงออกมาอยู่ในลักษณะทำลายสังคมของเราได้ขนาดนี้..!

ขอให้รู้ว่าท่านใดก็ตาม ต่อให้ไม่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ถ้าหากว่าท่านละเว้นเรื่องผิดของวาจาทั้ง ๔ ประการ ซึ่งเป็นของไม่ดีไม่งามตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาได้ ก็ถือว่าท่านเป็นผู้มีธรรมะอยู่ในหัวใจ แต่บุคคลที่ต่อให้เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่สามารถที่จะละเว้นในส่วนของวาจาที่ผิดพลาดทั้ง ๔ ประการได้ ก็ไม่ถือว่าท่านเป็นพุทธศาสนิกชนเช่นกัน..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)