เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพลงมารอคณะตั้งแต่ตี ๕ เพื่อที่จะเดินทางไปขึ้นบอลลูนกัน แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงตี ๕ ครึ่งตามนัดแล้ว ยังไม่เห็นรถยนต์ที่ทาง "มัคคุเทศก์นุ" บอกว่าจะมารับ ด้วยความที่สังหรณ์ใจ จึงเดินออกมาข้างนอกโรงแรม แล้วก็เห็นว่ารถยนต์นั้นมารออยู่ก่อนแล้ว แต่ว่าเป็นรถสองแถว พลขับจึงไม่กล้าเข้าไปในโรงแรมอมารีวังเวียงที่ค่อนข้างจะหรูหรามาก

    เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึงต้องออกมาขึ้นรถยนต์ แล้วตรงไปยังสนามปล่อยบอลลูน อากาศค่อนข้างจะเย็น อยู่ที่ ๑๙ องศาเซลเซียส มีบอลลูนอยู่ ๓ ลูก คือขนาดใหญ่ สามารถขึ้นได้ได้ ๑๔ ถึง ๑๖ คน ขนาดกลางสามารถขึ้นได้ ๑๒ คน และขนาดเล็กสามารถขึ้นได้ ๖ คน

    เมื่อพวกเราพร้อมแล้วก็ขึ้นบอลลูนขนาดกลางพร้อมกับบุคคลจากคณะอื่นด้วย เนื่องเพราะว่าคณะของเรานั้นมีผู้กล้าหาญอยู่แค่ ๗ คนเท่านั้น บอลลูนลมร้อนนั้นสามารถลอยขึ้นไปได้มั่นคงมาก ๆ โดยเฉพาะกับบุคคลที่ไม่มีอาการเมารถเมาเรือใด ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพแล้ว ก็เหมือนอย่างกับยืนอยู่บนพื้นดินนั่นเอง เขาบังคับให้บอลลูนลอยสูงลอยต่ำ เพื่อที่พวกเราจะได้ชมทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองวังเวียงได้อย่างทั่วถึง

    ตอนแรก
    อากาศด้านบนก็รู้สึกว่าจะเย็นมาก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่บังคับบอลลูนปล่อยแก๊ส เพื่อที่จะทำลมร้อนพยุงบอลลูนให้สูงขึ้น ก็เล่นเอาบางคนถึงขนาดเหงื่อตก โดยที่มีบอลลูนอีก ๒ ลูกของเจ้าเดียวกันลอยตามกันขึ้นมา ซึ่งเป็นขนาดใหญ่และขนาดเล็ก พวกเราวนเวียนถ่ายรูปกันจนครบ ๓๐ นาทีก็ลงจอด โดยที่รถสองแถวมารับกลับไปยังโรงแรมอมารีวังเวียง

    รับประทานอาหารเช้ากันแล้ว ก็ขึ้นไปเข้าห้องน้ำห้องท่า เสร็จเรียบร้อยค่อยลงมาคืนห้อง แล้วทางด้านมัคคุเทศก์คือ "ท้าวนุ" มารับพวกเราตอน ๘ โมงเศษ พาวิ่งตรงไปในสถานที่ซึ่งนึกไม่ถึง ก็คือมุดทางแคบ ๆ แล้วก็ลาดลงต่ำไปทุกที ตอนแรกก็สงสัยว่ามาทำอะไร ? ปรากฏว่ามาจอดอยู่ริมลำน้ำซอง ซึ่งเป็นแม่น้ำประจำเมืองวังเวียง ตรงจุดนี้มีเรือหางยาวจอดอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นโปรแกรมที่ทางเอ็นซีทัวร์แถมให้ เนื่องจากว่าเรามีเวลาเหลือในช่วงเช้าเยอะมาก

    พวกเราทุกคนจึงได้นั่งเรือหางยาวลำละ ๒ คน ท่องลำน้ำซองชมทิวทัศน์ภูเขา ป่าไม้และสายน้ำ ไปเป็นระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตรแล้วย้อนกลับมา โดยที่กระผม/อาตมภาพนั้นคอยส่งสัญญาณบอกทางให้ผู้ขับขี่เรือหางยาว เลี่ยงจากสถานที่น้ำตื้นไปยังร่องน้ำลึก ได้ยินว่ามีเรือบางลำที่ดูร่องน้ำไม่เป็น ทำให้ถึงขนาดเกยหินใต้น้ำขึ้นไป ท้องเรือขูดเสียงดังจนกระทั่งอกสั่นขวัญแขวน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เมื่อพวกเราย้อนกลับมาถึงที่เดิม แต่ขึ้นจากเรือคนละฝั่งแม่น้ำกันแล้ว ก็ได้เดินทางต่อไปยังถ้ำปูคำ ซึ่งเป็นปูป่าสีทอง น่าจะประมาณ "ปูทูลกระหม่อม" ของบ้านเรา ถ้ำนี้เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นแหล่งศึกษาสัตวศาสตร์ของปูชนิดนี้ด้วย เมื่อข้ามลำห้วยที่มีสีฟ้าอ่อน ซึ่งทางฝรั่งเรียกว่า Blue Lagoon เข้าไป ในลำห้วยนั้นมีปลาอยู่เป็นจำนวนมาก มารอรับอาหารจากนักท่องเที่ยว แต่ว่าเป็นปลามังสวิรัติ..กินแต่ผักเท่านั้น..!

    เมื่อพวกเราเดินเข้าไปถึงทางช่วงใน ซึ่งมีบุคคลตั้งร้านให้เช่าไฟฉายใช้ในการเข้าถ้ำอยู่ "มัคคุเทศก์นุ" บอกกับพวกเราว่าไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะว่าพวกเราไปแค่ถ้ำใหญ่เท่านั้น แล้วก็ชี้ทางให้พวกเราเดินสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งหนทางประเภทนี้ กระผม/อาตมภาพถนัดมาก จึงได้เดินทิ้งคนอื่นไปลิบ ๆ มานั่งรออยู่ที่บริเวณปากถ้ำ

    แต่ส่วนที่อันตรายที่สุดก็คือว่า สองข้างทางนั้นมีแต่ "ต้นมอญทิ้งหาบ" หรือที่ทางนี้เรียกว่า "หานไก่" ซึ่งเป็นตำแยต้นชนิดหนึ่ง ถ้าโดนแล้วเกาก็จะลามไปทั่วตัวเหมือนกับเป็นลมพิษ เมื่อชี้ให้ "ท้าวนุ" ดู มัคคุเทศก์ของเราก็ยังตกใจ บอกว่าทำไมเขาถึงไม่เอาออก ? ปล่อยให้อยู่ในรัศมีที่นักท่องเที่ยวจะเอื้อมมือคว้าก้อนหินพยุงตัวขึ้นไปเสียด้วย กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร เพราะว่ามีขึ้นเป็นดง มากเกินกำลังที่จะถอนทิ้ง

    รอจนกระทั่งทุกคนขึ้นมาครบ ยกเว้นคุณยายเล็ก หรือ คุณยายภัทริณ จันทรนิภาพงศ์ ที่อายุเกิน ๘๐ แล้ว รออยู่ข้างล่างคนเดียว พวกเราก็ตรงเข้าไปภายในถ้ำ ซึ่งมีทางให้เข้า ๒ ทาง ทางที่กระผม/อาตมภาพลงนั้นค่อนข้างลื่นและชันมาก ตลอดจนสูงมากอีกด้วย แม้ว่า "ท้าวนุ" จะบอกว่าให้ไปทางอ้อมที่สะดวกกว่านี้ แต่กระผม/อาตมภาพถนัดกับภูมิประเทศแบบนี้อยู่แล้ว จึงลงไปถึงข้างล่างก่อน กราบพระ สวดมนต์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะก็ยังมาไม่ถึง

    เมื่อรอคณะมาถึงเรียบร้อย ทุกคนกราบพระ สวดมนต์กันแล้ว จึงได้ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน ณ ที่นี้ บางคนก็ใช้ Night Mode ก็คือการถ่ายรูปภาพกลางคืน เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงว่า รูปในถ้ำนี้จะไม่มืด หลังจากนั้นพวกเราก็เดินย้อนออกมาโดยที่ไม่ได้ไปดูปูคำ เพราะ "ท้าวนุ" บอกว่า ตั้งแต่นำนักท่องเที่ยวมายังถ้ำแห่งนี้ เคยเจอปูคำแค่ ๒ ครั้ง ๆ ละตัวเดียวเท่านั้น..!

    กระผม/อาตมภาพซึ่งดูจากภาพถ่ายที่นักท่องเที่ยวถ่ายแล้วติดเอาไว้ทางด้านล่าง หน้าตาปูคำก็คล้าย ๆ กับปูทูลกระหม่อมของบ้านเรา จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เมื่อกลับลงมาถึงด้านล่างแล้ว ปรากฏว่าเจอสิ่งที่ถูกใจมากที่สุดในโลก ก็คือ "ห้องน้ำฟรี" ซึ่งโดยปกติแล้ว แหล่งท่องเที่ยวนั้นหาห้องน้ำฟรีได้ยากมาก แต่ว่าสถานที่นี้มี ซ้ำยังสะอาดมาก ๆ อีกด้วย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    "ท้าวนุ" มาปรึกษาว่า คณะของเราทำอะไรรวดเร็ว จึงมีเวลาเหลืออยู่มาก จะพาไปยังแหล่ง Blue Lagoon อีกแห่งหนึ่ง เพื่อที่หลวงพ่อจะได้ชมสถานที่เพิ่มเติม แต่กระผม/อาตมภาพตัดสินว่า ให้ตรงไปยังร้านอาหารกลางวันเลย พวกเราไม่มีเวลาเหลืออยู่ในที่นี่อีกแล้ว เนื่องจากว่าต้องผ่อนแรงคณะของ "เจ้าลุง" ที่คอยตามดูแลพวกเรา ซึ่งกำลังพยายามยับยั้งสภาพอากาศสุดชีวิต เนื่องจาก "พายุไต้ฝุ่นเนสาท" กำลังเข้ามา..!

    พวกเราจึงได้เดินทางไปยังร้านอาหาร ซึ่ง "ท้าวนุ" ได้โทรแจ้งกับทางร้านว่า พวกเราจะเข้าไปก่อนเวลา เมื่อไปนั่งกดดันกันอยู่ รอจน ๑๑ โมงพอดี ข้าวปลาอาหารถึงเสร็จ พวกเรากินกันเรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องน้ำ ที่ทางด้านนอกมีป้ายเขียนบอกเอาไว้ชัดเจนว่า "ห้องน้ำ" แต่ด้านในมีป้ายภาษาลาวเขียนเอาไว้ว่า "ห้องสะบายก้น" ซึ่งก็น่าจะเป็นความจริงตามนั้น

    หลังจากนั้นแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางออกจากเมืองวังเวียง มาขึ้นทางด่วนสายวังเวียง - เวียงจันทน์ ซึ่งเป็นทางด่วนจีนลาวสัมพันธ์ ได้สร้างเอาไว้เพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่างเมืองจีนและประเทศลาว ถ้าเราวิ่งตามเส้นทางปกติ จากวังเวียงถึงเวียงจันทน์จะใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง แต่วิ่งบนทางด่วนนี้ เหลือแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น เมื่อมาถึงปลายทางแล้ว ต้องจ่ายค่าผ่านทางเป็นเงิน ๑๖๖,๐๐๐ กีบ คิดเป็นเงินไทยก็ ๓๕๐ กว่าบาท ถึงแม้ว่าจะแพงแต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะว่าประหยัดเวลาไปได้มาก

    พวกเราตรงเข้าไปในตัวเมืองเวียงจันทน์ ไปยังวัดสีเมือง (ศรีเมือง) เป็นวัดที่มีเสาหลักเมืองโบราณของนครหลวงเวียงจันทน์แห่งนี้ ซึ่งตั้งมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และมีการนำเอาผู้ที่มีนามมงคล ก็คือนางศรีเมือง มาใส่หลุมเสาหลักเมือง ทำเป็นอารักษ์ประจำเมืองอีกด้วย..! เรื่องพวกนี้เป็นความเชื่อโบร่ำโบราณ ที่คนสมัยนี้อาจจะเห็นว่าค่อนข้างจะโหดร้าย หลังจากที่พวกเรากราบพระกันเรียบร้อยแล้ว ยังได้ร่วมทำบุญกฐินสามัคคีกับทางวัดศรีเมืองอีกด้วย

    เมื่อจะเดินทางต่อ ปรากฏว่านางสาวจันทร์สุดา ซึ่งทุกคนเรียกว่า "FC วัดท่าขนุน" ได้มาดักรออยู่ที่นี่ ความจริงคณะญาติโยมจากประเทศลาว ซึ่งติดตามบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนมีอยู่มาก และพยายามที่จะติดต่อเพื่อขอพบ แต่กระผม/อาตมภาพไม่อนุญาต เพราะว่าการเดินทางของเรานั้นกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ ต้องเป็นไปตามสภาพตรงหน้า ถ้านัดแนะบุคคลเอาไว้ พวกเราก็ต้องเร่งรัดตัวเอง ทำให้ลำบากเสียเปล่า ๆ ใครที่มีบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์กันมา ก็จะมาดักรอจนเจอแบบนางสาวจันทร์สุดานี่เอง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,581
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    หลังจากนั้นพวกเราก็วิ่งไปยังจุดมุ่งหมายสำคัญของการมาประเทศลาวครั้งนี้ ก็คือพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ หรือที่ชาวลาวเรียกง่าย ๆ ว่า "ธาตุหลวง" หรือ พระธาตุโลกจุฬามณี เมื่อไปถึงที่นั่น ยังไม่ทันที่จะขยับไปไหน ปรากฏว่าบรรดา FC วัดท่าขนุน ที่มีนางน้อยและนางมานิดานำมาที่นี่อีกกลุ่มใหญ่ บอกว่า "มาท่าอาจารย์ตั้งแต่เช้าแล้ว" คำว่า "มาท่า" ก็คือ "มารอ" นั่นเอง

    เมื่อได้รับการถวายสังฆทานจากคณะญาติโยมทางเวียงจันทน์นี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้ผาติกรรมปราสาทผึ้ง ตลอดจนกระทั่งบายศรี ซึ่งคิดแล้วเป็นเงิน ๕๐๐ บาทไทย ถวายบูชาพระธาตุหลวงเวียงจันท์ สวดมนต์ ไหว้พระ อุทิศส่วนกุศลเสร็จเรียบร้อย ก็ลงมานำญาติโยมทั้งชาวไทยและชาวลาว เดินประทักษิณบูชาพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งด้านข้างวิหารคดนั้น มีพระพุทธรูปเก่าแก่งดงามอยู่เป็นจำนวนมาก

    ต้องขอชมเชยว่าชาวลาวนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในศีลในธรรมดีมาก ไม่เช่นนั้นแล้วพระพุทธรูปองค์ไม่ได้ใหญ่เกินกำลังแบบนั้น ถ้าตั้งอยู่ในเมืองไทย น่าจะอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง..! เพราะว่าเป็นของเก่าแก่ ซ้ำยังแท้แน่นอนอีกด้วย..!

    แล้วสิ่งหนึ่งที่คิดไม่ถึงก็คือมาเจอพระบรมรูปของ "จอมคนแห่งกัมโพช" ที่อาตมภาพตั้งฉายาให้ หรือว่าสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ผู้ยิ่งใหญ่ทางพระพุทธศาสนาของอาณาจักรขอม ซึ่งรูปสลักหินอันงดงามสมบูรณ์ที่สุดของพระองค์ท่าน กลับมาอยู่ที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์นี่เอง

    หลังจากที่ได้ถ่ายรูปหมู่กับบรรดาญาติโยมชาวเวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็กลับออกมาด้านนอก ปรากฏว่ามีญาติโยมมารออยู่ทางด้านนี้อีก เมื่อรับการทำบุญและถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย พวกเราจึงรีบเผ่นขึ้นรถโดยด่วนจี๋ เพราะว่าถ้าขืนอยู่ก็คงจะมีการโทรศัพท์บอกต่อกันและมามากขึ้นไปเรื่อย ๆ โปรแกรมการที่จะไปร้านสินค้าปลอดภาษีหรือร้านขายเครื่องเงินจึงต้องตัดทิ้งไปโดยปริยาย

    พวกเราวิ่งมาประทับตราออกจากประเทศลาวที่บริเวณด่านออกจากนครเวียงจันทน์ แล้วก็ไปทำเรื่องเพื่อที่จะเข้าสู่ประเทศไทย "ท้าวนุ" กราบขอขมาพระและลากันแค่นี้ ช่วงนี้กระผม/อาตมภาพยังกังวลอยู่เหมือนกันว่า อาการบาดเจ็บจากการล้มนั้น น่าจะมีการกระทบกระเทือนถึงประสาท หรือมีเส้นเลือดฝอยในสมองแตก เพราะว่าทำให้หน้าเบี้ยวไปข้างหนึ่ง อาจจะทำให้ไม่สามารถออกจากประเทศลาวได้ เพราะว่าหน้าตาแปลกไปจากเดิม แต่ปรากฏว่า "น้องหนู" เจ้าหน้าที่ชาวลาว อะลุ้มอล่วยให้ออกมาได้

    พวกเราวิ่งออกจากทางด้านนครหลวงเวียงจันทน์เข้ามาสู่ประเทศไทย คณะของ "เจ้าลุง" มาส่งถึงตรงเขตแดนนี้ก็ถอนกำลังกลับ อากาศดูมืดฟ้ามัวฝนไปทันตา ทั้งที่เพิ่งจะสี่โมงเย็น แต่ดูเหมือนจวนจะหกโมงเย็นแล้ว ต้องเจริญพรขอบคุณ "เจ้าลุง" และคณะเป็นอย่างยิ่ง ที่เมตตาต่อพวกเรามากมายแบบนี้ ขอให้ทุกท่านมีภพภูมิที่เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด คณะของเราข้ามเข้ามายังหนองคาย วิ่งตรงไปยังอุดรธานี จนกระทั่งมาเช็คอินที่สนามบินนานาชาติอุดรธานี

    ตอนนี้กระผม/อาตมภาพมานั่งอยู่บริเวณที่พักพระสงฆ์ เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับสู่สนามบินนานาชาติดอนเมือง จึงฉวยโอกาสนี้ในการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้พวกเราได้ฟังในวันนี้แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...