เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพและคณะได้เดินทางมาสู่ประเทศลาว หรือในชื่อเต็ม ๆ ว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งขณะที่บันทึกเสียงอยู่นี้ ได้พักอยู่ที่โรงแรมแกรนด์หลวงพระบาง ซึ่งเป็นวังเก่าของท่านเจ้าเพชรราช รัตนวงศา ต้องบอกว่าเป็นคนคุ้นเคยเก่าแก่กันมา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกท่านว่า "เจ้าลุง" ซึ่งคำว่า "เจ้าลุง" นี้ท่านทั้งหลายมิบังควรที่จะเรียกเช่นนั้น เพราะว่าถ้าไม่เคยมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ก็อาจจะทำให้ท่านเกิดความไม่พอใจขึ้นมาได้ เรียกว่า "ท่านเจ้าเพชรราชฯ" น่าจะเหมาะสมกว่า...

    ตั้งแต่เช้ามา พวกเราก็เดินทางออกจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง โดยมีเจ้าหน้าที่ของเอ็นซีทัวร์ซึ่งทางคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม และคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) ส่งมาคอยดูแลอย่างดีเยี่ยม แล้วคุณเอซึ่งเดินทางไปกับคุณนวลจันทร์เพื่อไปทอดกฐินตกค้างที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย เพิ่งกลับมาถึงตอนตีสาม ตอนตีห้ากว่ายังอุตส่าห์มาส่งคณะของกระผม/อาตมภาพที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง ทั้ง ๆ ที่ได้กำชับแล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น

    เมื่อเดินทางออกจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองไปยังสนามบินนานาชาติอุดรธานี ปรากฏว่าไปถึงเร็วกว่าเวลาปกติ ๑๑ นาที ทางด้านเจ้าหน้าที่ซึ่งเอ็นซีทัวร์ได้ส่งมาต้อนรับ นำรถตู้ข้ามจากเวียงจันทน์มา ๒ คัน นำพวกเราวิ่งจากสนามบินนานาชาติอุดรธานีตรงมาจังหวัดหนองคาย ผ่านด่านพรมแดนจังหวัดหนองคาย ทำการประทับตราหนังสือเดินทาง จ่ายค่าธรรมเนียมคนละ ๒๐ บาท พวกเราก็ก้าวเข้าสู่เขตแดนของประเทศลาวแล้ว

    การที่ข้ามมายังประเทศลาวนั้น ถ้าไม่ใช่ว่ารถยนต์วิ่งชิดขวาแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากประเทศไทยเลย ต้องบอกว่าแม้แต่สำเนียงพูดก็ยังเป็นสำเนียงเดียวกัน เมื่อพวกเรามาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อเข้าสู่เขตนครเวียงจันทน์ ซึ่งเมืองแรกนั้นก็คือเมืองศรีสัตตนาค พวกเราได้ตรงไปยังจุดแรกที่จะท่องเที่ยวในครั้งนี้ ก็คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหอพระแก้วเวียงจันทน์ ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นคือท้าวภัทรนุ หรือ ที่กระผม/อาตมภาพเรียกสั้น ๆ ว่า "ท้าวนุ" มีความหนักใจมากที่จะบรรยายอย่างไรไม่ให้กระทบกระเทือนทั้งคนไทยและคนลาว..!

    เนื่องจากว่าตามประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยเรามาตีประเทศลาว แล้วยึดเอาพระแก้วมรกตกลับคืนไป เหลือแต่หอพระแก้วทิ้งเอาไว้ ปัจจุบันนี้ทางประเทศลาวได้ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ โดยเฉพาะเป็นพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนา มีพระพุทธรูปเก่า ๆ งดงามอยู่มากมายทีเดียว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ถ้าหากว่าไม่ใช่เวลาจำกัดเนื่องจากว่าใกล้เวลาฉันเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็คงจะวนอยู่ที่นี่เป็นวัน ๆ เพราะว่าพระพุทธรูปแต่ละองค์นั้นงดงามมาก ดูแล้วไม่เบื่อตาเลย โดยเฉพาะเนื้อโลหะสำริดสีเขียวปลอด ซึ่งเป็นโลหะที่ปัจจุบันนี้ แม้ว่าการโลหะศาสตร์จะก้าวหน้าไปขนาดไหนก็ตาม ยังไม่สามารถที่จะหลอมออกมาเช่นนี้ได้

    เมื่อจบภารกิจที่ทางด้านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหอพระแก้วเวียงจันทน์แล้ว พวกเราก็เดินทางไปยังร้านรุ่งนะพา (รุ่งนภา) แหนมเนือง เพื่อที่จะรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งทางร้านได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แถมยังสอนพวกเราอีกว่าจะอิ่มอร่อยอย่างแท้จริงนั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง

    แต่ว่ากระผม/อาตมภาพเป็นประเภท "ลิ้นทอง" ก็คือสามารถรับรู้รสอาหารได้มากกว่าคนอื่นเขา จึงรู้สึกว่าน้ำต้มแหนมเนืองนั้น ค่อนข้างจะหวานมาก จนเกือบจะเป็นขนมอยู่แล้ว..! จึงไม่สามารถที่จะฉันได้มากนัก ได้แต่ฉันในลักษณะที่เรียกว่าพอประทังร่างกายไปเท่านั้น


    ในช่วงนี้ทางคณะมีการถามหาร้านแลกเงินกีบ "ท้าวนุ" บอกว่า "แลกกับผมก็ได้ครับ" โดยให้อัตราที่ ๑,๐๐๐ บาท เท่ากับ ๔๕๐,๐๐๐ กีบ..! ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่ากระผม/อาตมภาพประเมินเอาไว้มาก เพราะได้ประเมินเอาไว้ว่า ๓๕๐ กีบ เท่ากับ ๑ บาท และ "ท้าวนุ" แจ้งว่า เมื่อวานนี้ทางประเทศลาวเพิ่งจะออกธนบัตรใบละ ๑๐๐,๐๐๐ กีบแบบใหม่ ออกมาให้ประชาชนได้ใช้กัน...

    พวกเราส่วนใหญ่แลกกันคนละ ๑,๐๐๐ บาท แต่หลายคนเมื่อเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่แลกเลย เพราะว่าใช้เงินไทยได้ จึงรวมกัน ๓ - ๔ คนแลกไว้ ๔๕๐,๐๐๐ กีบ บอกว่า "แลกไว้เข้าห้องน้ำ" ซึ่ง "ท้าวนุ" บอกว่าค่าเข้าส้วมครั้งละประมาณ ๒,๐๐๐ กีบ..!

    จนกระทั่งเวลาบ่ายโมงคณะของเราก็ได้เดินทางออกจากร้านรุ่งนะพาแหนมเนือง ตรงไปยังประตูชัยนครเวียงจันทน์ ซึ่งทางด้าน "ท้าวนุ" มัคคุเทศก์ได้บรรยายว่าสร้างขึ้นมาในปี ๒๕๐๒ เมื่อทราบว่ากระผม/อาตมภาพเกิดในปีนี้ จึงได้บอกว่าเป็น "เสี่ยว" กันกับประตูชัย ก็คือเป็นเพื่อนกัน เพราะว่าเกิดปีเดียวกัน..!

    ส่วนทางด้านข้างประตูชัยนั้นประกอบไปด้วยอาคารสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศลาว ต้องบอกว่า ถ้าหากว่าเป็นบ้านเราก็คงประมาณ "บ้านพิษณุโลก" แต่ว่าตอนที่มาถึงนั้น อาคารไม่ได้มีการเปิดใช้งาน พวกเราจึงได้แต่ถ่ายรูปกันเท่านั้น

    ในเรื่องของประตูชัยนั้น แม้ว่าจะสร้างเลียนแบบทางด้านประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมก็ตาม แต่ว่าลวดลายต่าง ๆ นั้นก็คือลวดลายของเทวดา หรือว่าพรหม โดยเฉพาะลวดลายจากเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมีทั้งสุครีพ มีทั้งหนุมาน เหล่านี้เป็นต้น ต้องบอกว่างดงามตามแบบศิลปะลาว แม้ว่ารูปทรงจะเหมือนประตูชัยฝรั่งเศสก็ตาม เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ปรากฏว่าระยะเวลาไม่พอที่พวกเราจะเดินทางไปไหว้พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ จึงได้ตัดออกไปเป็นโปรแกรมขากลับ

    พวกเราได้วิ่งตรงมายังสถานีรถไฟความเร็วสูงนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังหลวงพระบาง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ท่านเมตตาต่อ "คูบา" เป็นพิเศษ นิมนต์กระผม/อาตมภาพกับพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. ขึ้นรถไปก่อน กลายเป็นว่าตู้รถไฟความเร็วสูงชั้น ๑ ซึ่งมีเพียงตู้เดียวนั้น กลายเป็นของกระผม/อาตมภาพไปโดยปริยาย เนื่องจากว่ายังไม่มีใครขึ้นมาเลย อยากจะถ่ายรูปมุมไหนก็ทำได้อย่างใจของตนเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เมื่อถึงเวลา ๑๕.๐๕ น. ตามหน้าเวลาตั๋ว ถ้าหากว่าเป็นภาษาลาวก็คือ "ปี้" เมื่อเดินทางผ่านด้านประตูหน้าจะเห็นว่ามีป้ายเขียนว่า "บ่อนขายปี้" ก็คือที่จำหน่ายตั๋วของบ้านเรานั่นเอง แล้วก็มี "บ่อนกวดปี้" ก็คือด่านตรวจตั๋ว ซึ่งคำว่า กวดหรือตรวจนี้ ในสมัยโบราณไทยเราก็ใช้คำนี้เช่นกัน

    ปรากฏว่ารถไฟความเร็วสูงของเมืองลาวนั้นวิ่งด้วยความเร็วประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้รู้สึกว่าเร็วเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเคยนั่งทั้งรถไฟความเร็วสูง ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในประเทศจีน ๓๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในประเทศญี่ปุ่น และรถไฟ TGV ความเร็วสูง ๒๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในฝรั่งเศสมาแล้ว จึงรู้สึกว่ารถไฟความเร็วสูงที่นี่วิ่งได้ค่อนข้างจะช้ามาก..!

    รถไฟใช้เวลาค่อนข้างจะนานกว่าที่จะวิ่งบุกป่าฝ่าดง มุดอุโมงค์บ้าง ผ่าภูเขาบ้าง มาจนถึงวังเวียง ซึ่งเป็นสถานีแรกที่จอดลง กระผม/อาตมภาพรู้สึกสะท้อนใจว่า สมัยก่อนเขาสูงป่าทึบ พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีเพื่อที่จะเดินทางไปให้ถึง แล้วยังอุตสาหะยกกองทัพไปเพื่อรบกันอีก แม้ "เจ้าลุง" จะบอกว่าเป็น "ค่านิยม" ของคนยุคนั้น กระผม/อาตมภาพก็ยัง "เหนื่อยแทน" อยู่ดี..!


    รถไฟจอดที่สถานีวังเวียงเพียงไม่กี่นาที มีเสียงเตือนทั้งภาษาลาว ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ ให้ระมัดระวังเวลาลง ระวังจะหกล้ม และท่านที่จะไปสถานีต่อไป อย่าเผลอลงที่นี่ก่อนถึงหลวงพระบาง..! หลังจากนั้นจึงได้วิ่งต่อมาอีกนาน จนกระทั่งถึงสถานีหลวงพระบาง พวกเราลงจากรถแล้วหามัคคุเทศก์ไม่เจอ รอจนคนส่วนมากออกจากสถานีรถไฟที่หน้าตา "จีนมาก" แล้ว พวกเราจึงถ่ายรูปกับรถไฟจนเจ้าหน้าที่ต้องมา "เซิน" ออก เพราะว่าผู้โดยสารที่นี่จะขึ้นรถ..!

    ออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูงหลวงพระบางมาก็เจอ "ท้าวนุ" ที่บอกว่าระบบ "ขายปี้" รถไฟความเร็วสูงเป็นแบบสุ่ม ไม่สามารถกำหนดว่าจะนั่งที่ตรงไหน เมื่อมาถึงแล้วจึงลงจากรถมารอข้างนอกเลย เพราะว่ามีทางออกแค่ประตูเดียว ทางบริษัทเอ็นซีทัวร์ติดต่อให้รถตู้มารับพวกเรา ๒ คัน พาวิ่งผ่านถนนลาดยางที่คล้ายกับทางไปจังหวัดกาญจนบุรี คือมีป่าสองข้างทางไปยังที่พักคืนนี้

    ฟ้ามืดลงไปทุกที แค่ห้าโมงเย็นก็เริ่มมัวตาไปหมด เพราะว่าประเทศลาวอยู่ทางทิศตะวันออกมากกว่าประเทศไทย พระอาทิตย์จึงลับฟ้าเร็วกว่า จนกระทั่งมาถึงที่โรงแรมแกรนด์หลวงพระบาง ซึ่งเป็นวังเก่าของท่านเจ้าเพชรราช รัตนวงศา เพื่อที่จะเช็คอิน ซึ่ง "เจ้าลุง" พาคณะมารอรับเพื่อ "ดูแล" คณะของเราตลอดทริปนี้

    "เจ้าลุง" นั้นแม้ว่าคนลาวจะรักและศรัทธามากกว่า "เจ้ามหาชีวิต" เสียอีก แต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย แต่ไปรู้จัก "เจ้าสุภานุวงศ์" น้องชายของท่านที่มีบทบาททางการเมืองมากกว่า กระผม/อาตมภาพได้กุญแจห้องแล้ว ก็เดินตาม "เจ้าลุง" และเจ้าหน้าที่โรงแรมไปยังห้องพักหมายเลข ๒๒๑ สรงน้ำแล้ว รีบมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน แต่เจ้ากรรม..ที่น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) โทรมาถามว่าจะไป "ตลาดมืด" หรือไม่ ? ทำเอาการบันทึกเสียงต้องล่มไปกลางคัน จึงส่งไปให้ "ไอ้ตัวเล็ก" ตัดต่อจนพอที่จะฟังได้ แต่ก็ไม่ครบถ้วนตามที่ตั้งใจบอกกล่าวกับทุกท่าน

    พวกเราเดินทางไปยัง "ตลาดมืด" ซึ่งก็คือ "ตลาดที่เปิดขายของเฉพาะช่วงกลางคืน" ที่มีสารพัดร้านค้ายาวเหยียดเป็นร้อย ๆ ร้าน ส่วนมากก็เป็นพวกผ้าทอมือบ้าง ทอเครื่องบ้าง เครื่องจักสาน ภาพวาด เครื่องเงิน ของเก่าที่ "ไม่ดี" แทบทั้งสิ้นที่ "ดี" ก็ราคาแพงมาก..!

    ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง นอกจากบรรดาสาว ๆ ที่หาซื้อผ้าถุงไปเพื่อใส่ตอนใส่บาตรพระพรุ่งนี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็กลับที่พักแบบมือเปล่า ไม่ได้อะไรติดมาเลยนอกจากประสบการณ์เท่านั้น..!


    กลับอุทิศส่วนกุศลแก่ "เจ้าลุง" และบริวารทั้งหลาย ขอความสะดวกคล่องตัวทุกอย่างในการมา "เยี่ยม" ประเทศลาวครั้งนี้ แล้วฉันยาเพื่อป้องกันไข้กำเริบ ปรับเครื่องปรับอากาศไปที่ ๒๘ องศาเซลเซียส จากนั้นมุดขึ้นเตียงภาวนาจนหลับไป

    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

    *** หมายเหตุ : เนื่องจากการบันทึกเสียงล่ม จึงมีการ "เขียน" เพิ่มเติมเนื้อหาขึ้นมาจนครบตามที่ตั้งใจเล่าให้ทุกคนฟัง ***
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...