เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ต้องขออภัยท่านทั้งหลายที่รอบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ เนื่องจากว่าวันนี้กระผม/อาตมภาพประชุมอยู่เกือบทั้งวัน และบรรดา "มนุษย์หิมะ" ทั้งหลายที่ชอบอากาศเย็นมาก ๆ เปิดเครื่องปรับอากาศกันจนกระผม/อาตมภาพไม่มีที่จะไป ไข้ขึ้นจนกระทั่งฉันยาในระหว่างประชุมไป ๒ รอบ เมื่อกลับถึงที่พัก ฉันยาเข้าไปอีก ๑ รอบ ก็สลบไสลลืมโลกไปเลย เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาดูโลก ตั้งสติได้ว่ายังไม่ได้บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน จึงต้องมานั่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้

    สำหรับการประชุมในวันนี้นั้น ข้อใหญ่ใจความที่ได้จากบรรดาผู้บังคับบัญชาของคณะสงฆ์ก็คือ หลักการและวิธีการต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งประสบการณ์ในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว ผู้บังคับบัญชาแต่ละท่านมีแนวทางในการแก้ไขอย่างไร แต่ว่าในลักษณะแบบนี้ก็จะต้องพินิจพิจารณา ปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของเราด้วย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งแก้ไขเหตุการณ์ด้วยเมตตา แล้วเราจะไปเมตตาตามไปตลอดนั้น ย่อมไม่ได้


    กระผม/อาตมภาพนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ หรือหลวงปู่จันทร์ กุสโล วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ สมัยที่พระเดชพระคุณท่านยังเป็นพระเทพกวี อยู่ที่วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านบอกว่า ถ้าเมตตาเกินประมาณก็จะเจอแต่คนพาลทั้งเมือง..!


    ดังนั้น..ในเรื่องของการปกครอง ไม่ว่าจะทางโลกหรือว่าทางธรรมก็ตาม เป็นทั้งศาสตร์ ก็คือความรู้ประสบการณ์ ซึ่งสามารถที่จะบอกกล่าวให้แนวทางต่อกันได้ และเป็นทั้งศิลป์ ก็คือทักษะ ในการที่เราจะนำเอาความรู้นั้นไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเราเถรตรง ทำตามที่ผู้บังคับบัญชาบางท่านแนะนำมา แต่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ก็อาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับสถานการณ์ตรงนั้นหนักเข้าไปอีก


    ส่วนหนึ่งที่อยากจะบอกกล่าวเอาไว้ตรงนี้ก็คือว่า ในปัจจุบันนี้นั้น สื่อโซเชียลของเราสามารถสร้างความเสียหายให้กับคณะสงฆ์หนักมาก โดยเฉพาะการออกสื่อแบบ "สิ้นสติ" อย่างเช่นเมื่อวันก่อน ก็มีการบันทึกเสียงออก TikTok แต่ว่าไม่ใช่การบันทึกเสียงธรรมแบบวัดท่าขนุน หากแต่ว่าท่านร้องเป็นเพลงลูกทุ่ง เสียงดีมาก ร้องได้ไพเราะมาก แต่ว่าไม่ได้ดูสารรูปของตนเองว่าตอนนี้อยู่ในฐานะไหน อยู่ในลักษณะที่โบราณกล่าวว่า "สึกก็อยากจะสวด บวชก็อยากจะร้อง" ไม่รู้จักหักห้ามใจตนเองยังไม่พอ ยังสิ้นสติ..บันทึกคลิปแล้วเอามาออกสื่อโซเชียลอีกต่างหาก..!

    ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะอยู่ในลักษณะที่พระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ รูปปัจจุบัน ซึ่งท่านเคยปรารภกับกระผม/อาตมภาพว่า "ถ้าพวกมึงทำแบบนี้บ่อย ๆ กูก็เหนื่อยแหละ..!" ก็คือตนเองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แทนที่จะพยายามช่วยกันสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้กับวงการคณะสงฆ์ ก็กลายเป็นว่าช่วยกันสร้าง "ชื่อเสีย" มากกว่า "ชื่อเสียง" ทำให้ผู้บังคับบัญชาต้องหนักใจ คอยวิ่งมาแก้ไขปัญหา ซึ่งจะบอกว่าเป็นปัญหา "ขี้หมูราขี้หมาแห้ง" ก็ใช่ แต่เป็นปัญหาที่ทำให้ภาพพจน์คณะสงฆ์นั้นเสียหายเป็นอย่างมาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ระยะนี้เพื่อนพ้องพระภิกษุสงฆ์ของเราออกไปแจกข้าวแจกของช่วยเหลือผู้ที่ถูกน้ำท่วม แทนที่จะเอาเรี่ยวเอาแรงไปช่วยเขา กลับเอาแรงมาบันทึกเสียงเพลงลง TikTok ถ้าอยู่ใกล้ ๆ ก็น่าประมาณว่า "ตบให้หัวหลุด..!" จะได้สติมีจิตสำนึกเสียบ้างว่า ตอนนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำอาการกริยานั้น ๆ

    ในวันนี้พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดไตรมิตรวิทยาราม ท่านก็ได้กล่าวตักเตือนว่า "เราต้องไม่กระทำอาการประหนึ่งฆราวาส คือถ้าหากว่าเราสำรวมในจริยาของตน มีสติรู้อยู่ รักษาสมณสารูปตามพระธรรมวินัย แบบนี้เราไม่ต้องไปสนใจหลักการปกครองคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้านก็ได้"

    ถ้าทำตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นกฎเกณฑ์เอาไว้ในศีลของพระ ไม่ว่าจะที่มาในพระปาฏิโมกข์หรือว่ามาในอภิสมาจารก็ตาม ถ้าสามารถรักษาได้ครบถ้วน ท่านก็จะเป็นพระที่สมกับเป็นพระแล้ว ไม่ต้องใส่ใจว่าจะต้องดูแลจัดการในเรื่องของการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ การสาธารณสงเคราะห์ หรือว่าการศึกษาสงเคราะห์ เพราะว่าถ้าเราทำตนสมกับเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สร้างความเลื่อมใสให้แก่ญาติโยมได้มาก เราเองก็จะทำหน้าที่ของศากยบุตรพุทธชิโนรส ในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงไปเอง

    ส่วนเรื่องของการปกครองคณะสงฆ์นั้น เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้น ถ้าเรารู้จักสำรวม ระวัง ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เรื่องที่จะเดือดร้อนถึงผู้บังคับบัญชาก็ไม่มี

    แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในเรื่องของพระสงฆ์ ปัจจุบันนี้เหมือนอย่างกับว่ามีการสมคบคิดกัน ก็คือบุคคลใดบุคคลหนึ่งสร้างเรื่องให้เกิดขึ้นมา ก็จะนำมีการนำไปแพร่กระจายในสื่อโซเชียลอย่างรวดเร็ว ทำให้สร้างความเสียหายให้แก่คณะสงฆ์ในวงกว้าง จึงต้องระมัดระวังในการใช้สื่อเป็นอย่างยิ่ง

    อย่างที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้กล่าวเอาไว้ว่า "เวลาที่เราจะออกสื่อ ต้องนึกอยู่เสมอว่าเราเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สิ่งใดที่ควรพูด สิ่งใดที่ควรทำ ออกสื่อไปแล้ว สร้างความเลื่อมใสให้แก่พระพุทธศาสนาได้มาก ให้เรากระทำในสิ่งนั้น สิ่งใดที่พูดและทำแล้ว สร้างความเสียหายให้เกิดกับพระพุทธศาสนา เราก็ต้องตั้งสติ รู้ตัวอยู่เสมอว่า เราต้องงดเว้นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เรื่องเหล่านี้ความจริงแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้บังคับบัญชามาคอยตักเตือนเรา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่ขึ้นมาเป็นตั้งแต่ระดับผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และเจ้าอาวาสขึ้นไป มีสำนึกในหน้าที่อย่างชัดเจน ศึกษาเรียนรู้ว่าตำแหน่งหน้าที่ของตนนั้น ต้องกระทำสิ่งหนึ่งประการใดบ้าง ที่จะช่วยให้การคณะสงฆ์ของเราเป็นไปด้วยดี แล้วพยายามทำตามหน้าที่ทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะช่วยให้คณะสงฆ์ของเราเจริญมั่นคงได้ไปเอง

    แต่ว่าในปัจจุบันนี้นั้น ส่วนใหญ่แล้วพระภิกษุสามเณรของเรา ปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจมาก จนลืมสถานภาพของตนเอง อยู่ในลักษณะที่แสวงหาประโยชน์ ไม่ว่าจะทางตรง หรือว่าทางอ้อมจากญาติโยมแบบไม่บันยะบันยัง จนทำให้เกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีมาตั้งแต่ก่อนที่กระผม/อาตมภาพจะบวชเสียอีก ด้วยความที่เห็นแล้วรู้สึกรำคาญตา รำคาญใจ เมื่อมีโอกาสมาเป็นเจ้าอาวาส ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดก็ตาม กระผม/อาตมภาพก็จะออกระเบียบเอาไว้ว่า "ห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร" แต่ว่าภายในวัดของเรา ถึงจะไม่บอกบุญ ไม่เรี่ยไร ก็ยังมีบรรดาท่านทั้งหลายที่ออกไป "แหลม" อยู่ทางด้านนอก ก็คือถือว่าไปทำลับหลังเจ้าอาวาส ไม่น่าจะเป็นอะไร แต่ลืมไปว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นใคร แอบไปทำอยู่ที่ไหนคิดหรือว่าเจ้าอาวาสจะไม่รู้ !!?

    โดยเฉพาะปีนี้กระผม/อาตมภาพชี้ตัวพระภิกษุในวัดท่าขนุนรูปหนึ่ง บอกว่าท่านอื่นจะอยู่ก็อยู่ต่อไป จะสึกหาลาเพศเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าท่านนี้ เมื่อออกพรรษาแล้วให้สึกทันที โดยเฉพาะแจ้งต่อคณะสงฆ์เอาไว้ ซึ่งทางบรรดาผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเลขานุการเจ้าอาวาส ก็ได้ทำการสึกหาลาเพศไปแล้วทันทีที่ตักบาตรเทโวเสร็จ ไม่เปิดโอกาสให้รับกฐินเสียด้วยซ้ำไป..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านนี้เคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน แล้วน่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้นในระหว่างที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ ต้องสึกหาลาเพศออกมา แล้วก็มาบวชที่นี่ใหม่ แต่ว่าเมื่อบวชแล้วขาดสำนึกของความเป็นพระใหม่ ยังคงไปเอาความรู้เดิม ๆ ว่าตนเองเป็นเจ้าอาวาส เคยทำแบบนี้ได้ กระผม/อาตมภาพตักเตือนในท่ามกลางสงฆ์ไป ๒ วาระด้วยกัน แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะของการที่ "แหลม" คือทำอะไรเกินหน้าคนอื่นออกมาอยู่ดี จึงเปลี่ยนจากการป้องปราม มาเป็นการปราบปราม ก็คือจัดการให้พ้นจากเพศภาวะพระภิกษุสงฆ์ไปเลย..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,583
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,544
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าหากว่าท่านทำตัวเหมือนกับพระภิกษุบางรูป ก็คือกัดฟันทนทำดี จนกระทั่งได้รับหนังสือสุทธิแล้วค่อยออกลาย คือพาตัวหายไปจากวัดท่าขนุน จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ไม่กลับมา ไม่ทราบว่าไปสร้างความเสียหายไว้กับที่ใดบ้าง

    แต่ว่าทางวัดเราก็มีการกระทำที่เด็ดขาดชัดเจนอยู่แล้ว ก็คือท่านใดที่สร้างความเสียหายให้กับทางวัด ถ้าจัดการให้สึกหาลาเพศไปไม่ทัน ก็จะขึ้นบัญชีดำเอาไว้ และประกาศให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะแจ้งต่อทางคณะสงฆ์

    ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมินั้น กระผม/อาตมภาพผลักดันตั้งแต่สมัยที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่ ๆ ให้กลายเป็นมติในที่ประชุมคณะสงฆ์ว่า หากพระภิกษุสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง โดนขับไล่ออกจากวัดใดวัดหนึ่ง ตลอดจนสำนักสงฆ์ หรือว่าที่พักสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิแล้ว ห้ามวัด สำนักสงฆ์ หรือว่าที่พักสงฆ์อื่น ๆ ทั้งหมดรับเข้าสังกัด จนได้ออกเป็นมติคณะสงฆ์ออกมา

    แปลว่าหากบุคคลผู้นั้นได้กระทำความผิดแล้วโดนขับออกจากวัดใดวัดหนึ่ง ก็ต้องออกไปให้พ้นจากเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิไปเลย เพราะว่าจะไม่มีวัดใดรับเข้าสังกัดของตนเอง เป็นต้น

    ถ้าเราไม่มีความเด็ดขาดในตรงนี้ ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่สร้างความเสียหายให้กับทางด้านคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิต่อไปได้อีก เพราะว่าหลบจากวัดนี้ก็ไปอยู่วัดโน้น โดนขับจากวัดโน้นก็ย้ายต่อไป ในเมื่อทุกวัดมีแนวปฏิบัติอย่างเดียวกัน ก็ทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ไม่ได้ ในปัจจุบันนี้การปกครองคณะสงฆ์ในเขตอำเภอทองผาภูมิจึงอยู่ในลักษณะที่เรียบร้อย ได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาอยู่เสมอ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...