เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,580
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,580
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเช้าเศษ ยังไม่ทันจะ ๗ โมงเช้า กระผม/อาตมภาพก็ได้ทำพิธีบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย เพื่อกราบขอบารมีพระ พรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ ในการปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ.๖ ประธานดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์วัดราษฎร์ประชุมชนาราม และพระครูกาญจนปริยัติคุณ (ชุมพร ปิยธมฺโม ป.ธ.๓) เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม

    ในขณะที่ทำการบวงสรวงนั้น ร่างกายก็ทำงานส่วนหนึ่ง ใจก็ทำงานอีกส่วนหนึ่ง เมื่อว่าไปถึง "...ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม..." ก็ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ถ้าผมเปลี่ยนเป็น "ทีเป" เป็น "โลเก" จะได้ไหมครับ ?" ท่านถามว่า "แกจะเปลี่ยนไปทำอะไรวะ ?" ก็กราบเรียนท่านไปว่า "ทีเปคือทวีปเท่านั้น ถ้าผมเปลี่ยนเป็นโลเก เทวดาทั้งโลกก็จะมาหมด"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านหัวเราะ บอกว่า "ยังคงโง่อยู่ตามเคย คำว่า ทีเป หรือทวีป ในที่นี้เป็นบาลี และเป็นคำโบราณ หมายถึงดวงดาวทั้งดวง ก็คือโลกที่เป็นหมู่สัตว์ หรือว่าโอกาสโลกก็คือดวงดาว อย่างเช่นว่า อุตรกุรุทวีปก็คือดาวดวงหนึ่ง อมรโคยานทวีปก็คือดาวดวงหนึ่ง ปุพวิเทหทวีปก็คือดาวดวงหนึ่ง ส่วนดาวโลกของเราคือชมพูทวีป ไม่ใช่แค่ทวีปเอเชียอย่างที่แกเข้าใจ"

    อย่างเช่นคำว่า รัฏเฐ หรือว่ารัฐ
    ในที่นี้คือประเทศ บางทีก็เป็นประเทศที่มีการปกครองอย่างชัดเจน แต่ว่า คาเม ที่ส่วนมากแปลกันว่าหมู่บ้านนั้น ก็อาจจะเป็นประเทศหรือเขตแดนก็ได้ ถ้าเป็นเขตคามที่ใหญ่ ๆ ก็อาจจะนับเป็นประเทศหนึ่งไปเลย

    กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะ "ถึงบางอ้อ" ได้อวดโง่กับครูบาอาจารย์ไป เพราะเคยได้ยินท่านกล่าวล้อเล่นว่า "การที่เราจะอธิษฐานพรรษา แทนที่จะใช้คำว่า อิมัสมิง อาวาเส คือภายในอาวาสแห่งนี้ ก็ให้เปลี่ยนเป็น อัสมิง โลเก ภายในโลกนี้ แกก็ไปได้ทุกที่แล้ว" ก็แปลว่ากระผม/อาตมภาพเข้าใจบาลีผิดไป คำว่า ทีเป ที่เราแปลว่าทวีปนั้น หมายถึงดวงดาวทั้งดวง หรือว่าโลกทั้งโลกนั่นเอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,580
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เมื่อเริ่มพิธีในการปลุกเสก กระผม/อาตมภาพก็ส่งจิตขึ้นไปกราบขอบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พรหม เทวดา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า "ทิ้งไปได้เลย"

    ด้วยความที่เคยชินคือ การใช้มโนมยิทธิตามสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ท่านขอบารมีพระ ให้เหลือความรู้สึกส่วนหนึ่งไว้กับร่างกาย เพื่อที่ถึงเวลาใครสอบถามอะไรจะได้ตอบได้ ไม่เช่นนั้นถ้าทิ้งไปหมดเลย สภาพจิตกับกายแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ร่างกายจะทำงานไม่ได้ เหมือนอย่างกับหุ่นที่โดนทิ้งเอาไว้เฉย ๆ จึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า "การที่เราปลุกเสกวัตถุมงคล ก็ไม่ได้ใช้กำลังของตนเองอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น ถึงต้องทำอย่างนี้ด้วยครับ ?"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาอธิบายว่า "เพราะว่าแกเป็นสื่อกลาง สื่อกลางที่จะรับพลังงานจากที่อื่น เป็นต้นว่าจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พรหม เทวดา หรือว่าครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งพลังงานอื่น ๆ ที่มีอยู่ในจักรวาล เพื่อที่จะครอบคลุมลงไปยังวัตถุมงคล ดังนั้น..ถ้าหากว่าแกไม่สามารถที่จะทิ้งร่างกายไปได้เลยทีเดียว เพื่อให้ร่างกายเหมือนกับภาชนะเปล่า จะได้บรรจุพลังงานเอาไว้ให้มากที่สุด แล้วถ่ายทอดต่อลงไปยังวัตถุมงคล แกก็ต้องทำร่างกายให้ว่างเปล่าให้ได้ชั่วคราว"

    เมื่อกราบเรียนถามว่า "คำว่า ว่างเปล่าชั่วคราว คืออะไรครับ ?" ท่านเมตตาตอบว่า "บุคคลที่เข้าไม่ถึงตรงจุดที่ทิ้งร่างกายได้ทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้าอัปปนาสมาธิระดับใดระดับหนึ่ง ที่กำลังใจจะว่างจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ได้ชั่วคราว ถึงจะสามารถรับพลังงาน หรือว่าดึงเอาพลังงานของครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งพรหม เทวดา หรือว่าพระท่านที่สงเคราะห์ ลงมาสู่วัตถุมงคลได้มากเท่าที่ต้องการ ถ้าหากว่าสามารถวางกำลังใจได้สูง ก็สามารถเสกวัตถุมงคลได้มีอานุภาพสูง ถ้าวางกำลังใจได้ต่ำ ก็สามารถเสกวัตถุมงคลที่มีพลังงานต่ำ"

    เมื่อกราบเรียนถามท่านว่า "คำว่า สูงต่ำ ในที่นี้เอาอะไรเป็นประมาณครับ ?" พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า "ต่ำสุดอย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌานละเอียด สูงสุดก็คือการเข้าถึงสภาวะวิปัสสนาที่ปราศจากตัวตนอย่างแท้จริง หรือถ้าหากว่ากล่าวตามภาษาบาลีคือ "อนัตตา" พิจารณาเห็นอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เราสักแต่ว่ายึดถือ สักแต่ว่าอาศัยอยู่เท่านั้น"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,580
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    กระผม/อาตมภาพจึงได้กราบเรียนถามต่อไปว่า "แล้วถ้าเป็นนิโรธสมาบัติละครับ ?" พระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวว่า "นั่นเป็นสมาธิพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งใช้กำลังของฌาน ๔ หรือว่าสมาบัติ ๘ ก็ได้ แต่เป็นกำลังที่ต้องผ่านการพิจารณาวิปัสสนาญาณมาอย่างเต็มที่แล้ว หลังจากนั้นก็คลายกำลังใจออกมา ให้อยู่กึ่งกลางระหว่างสมถกรรมฐาน คือตัวสมาธิ กับวิปัสสนากรรมฐาน ก็คือตัวปัญญาในการพินิจพิจารณา กำลังใจวางอยู่ตรงกลางนั้น ก็นับเป็นนิโรธสมาบัติ"

    "บุคคลที่สามารถถอดจิตได้ตามหลักมโนมยิทธินั้น สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ทุกคน เพียงแต่ว่าสามารถที่จะรักษากำลังใจได้นานเท่าไรเท่านั้นเอง การที่จะรักษากำลังใจเอาไว้นั้น ส่วนที่ต้องชัดเจนที่สุดก็คือ ไม่เกาะเกี่ยวกับสภาพร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นการไปท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ ก็ดี หรือว่ากำลังใจที่นิ่งอยู่ภายใน ไม่สนใจอาการภายนอก ตัดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเด็ดขาด นิ่งสงบอยู่ภายใน โดยที่กำหนดเวลาไว้ว่าต้องการเท่าไร จะเอา ๓๐ นาที ๑ ชั่วโมง ครึ่งวัน ๑ วัน ๓ วัน ๗ วัน ครึ่งเดือน ๑ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี ก็อยู่ที่เราตั้งใจเอาไว้ ถึงเวลากำลังสมาธิจะรักษากายสังขารนี้เอาไว้ได้"

    เมื่อกราบเรียนถามว่า "ถ้าไม่ได้กินนานขนาดนั้นแล้วร่างกายจะอยู่ได้อย่างไรครับ ?" พระเดชพระคุณหลวงพ่อตอบว่า "ร่างกายจะหากินด้วยตนเอง ก็คือดึงเอาธาตุ ๔ ที่เป็นของละเอียด คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่รอบข้างเข้าไปทางผิวหนังทุกส่วน สามารถที่จะประคับประคองขันธ์นี้เอาไว้ได้ แต่ว่าเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญ เพราะเป็นการกระทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ก่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก ไม่ได้ก่อความสุขแก่ชนหมู่มาก ไม่ได้อนุเคราะห์แก่โลก แบบหลวงพ่อขี้ค้างคาว ที่เข้าสมาธิอยู่ตลอดเวลาหลายสิบปี เป็นต้น"

    กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะเข้าใจว่า ในเรื่องของการที่เราทำอยู่ทุกวันนี้นั้น ส่วนไหนเรียกว่าอะไร ? บางสิ่งบางอย่าง ถ้าไม่ถึงวาระ ไม่ถึงเวลา บางทีก็ไม่มีกำลังใจที่คิดจะสอบถาม บางสิ่งบางอย่าง ถ้าเวลาและวาระมาถึง พระหรือว่าพรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ บางทีท่านก็บอกกล่าวเอง บางทีเราระลึกถึงขึ้นมาได้ก็กราบเรียนสอบถามบ้าง

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น ท่านทั้งหลายที่คิดว่าตนเองน่าจะทำได้ โปรดระมัดระวังเอาไว้ด้วย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เราพลาดจากหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ง่ายที่สุด อย่างเช่นท่านคิดว่าท่านจะเข้านิโรธสมาบัติ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป ไม่รู้ว่าอะไรถูก ไม่รู้ว่าอะไรผิด เพราะว่าไม่มีครูบาอาจารย์ที่ปราศจากตัวตนคอยแนะนำ คอยแก้ไขให้ ถ้าหากว่าท่านไปผิดทาง ก็แปลว่าเสียเวลาในการปฏิบัติไปเปล่า ๆ ถ้าเอามาพินิจพิจารณาในวิปัสสนาญาณ อาจจะบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้าระดับใดระดับหนึ่งไปนานแล้วก็ได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,580
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ดังนั้น..สิ่งที่กระผม/อาตมภาพได้นำมาบอกเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังนั้น ก็เพื่อเป็นเนตติ หรือว่าแบบอย่างแก่ท่านทั้งหลายที่จะศึกษาและปฏิบัติตาม แล้วในขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมสิ่งที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านกล่าวเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง แม้กระทั่งหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ก็บอกกล่าวเอาไว้หลายต่อหลายครั้งด้วยกันว่า นักปฏิบัติที่ดี อย่างน้อยต้องปฏิบัติไปถึงระดับที่มีครูบาอาจารย์ซึ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น มาเมตตาสั่งสอนได้ จึงจะถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้ได้ เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องระมัดระวังเอาไว้ให้มากด้วย

    ต้องนึกถึงสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังเอาไว้เสมอว่า มีอยู่วันหนึ่งท่านขึ้นไปกราบพระเพื่อเรียนถามว่า วันนี้บุคคลที่มาทำบุญที่วัดท่าซุง มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ลักษณะแบบไหน ? ต้องสงเคราะห์อย่างไร ? ปรากฏว่าเมื่อได้รับคำตอบไปแล้ว ถึงเวลาไม่เป็นไปตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว..!

    ครั้นเลิกงานแล้ว หลวงพ่อท่านส่งกำลังใจขึ้นไปกราบถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระองค์ท่านตอบว่า "ไม่ใช่ฉัน" เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อถามว่า "แล้วเป็นใครกันครับ ?" พระองค์ท่านชี้ให้ดูทางด้านหลัง ปรากฏว่ารูปร่าง ลักษณะ สีสัน รัศมีกาย เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกอย่าง เพียงแต่ว่ามีเขี้ยวเท่านั้นเอง จึงได้ทราบว่าเป็นพญามารปลอมแปลงมา

    ถ้าหากท่านทั้งหลายสงสัยว่าพญามารสามารถปลอมแปลงเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยหรือ ? ก็ให้ไปศึกษาในประวัติ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชต้องอัญเชิญพระอุปคุตเถระมาช่วยป้องกัน ในขณะที่พระองค์ท่านจะจัดฉลองพระเจดีย์บรรจุบรมสารีริกธาตุ ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แล้วพญามารมารบกวน โดนพระอุปคุตเถระปราบได้
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,580
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เมื่อถึงเวลาจะปล่อย พระอุปคุตเถระก็ขอพญามารว่า ท่านไม่เคยเห็นกายเนื้อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะว่ารัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น อยู่ในยุคหลังพุทธกาลถึง ๓๐๐ กว่าปี ขอให้พญามารช่วยแสดงกายเนื้อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นสักหน่อยเถิด

    พญามารก็ตกลงกับพระอุปคุตเถระว่า "เมื่อเห็นแล้ว อย่าได้กราบผมนะครับ เพราะว่าจะเป็นเวรเป็นกรรมแก่ผมด้วย" หลังจากนั้นก็เดินหลบเข้าไปหลังภูเขา ก้าวออกมาอีกทีเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพุทธลีลา พร้อมฉัพพรรณรังสีงดงามสุดที่จะประมาณ

    พระอุปคุตเถระ ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสงฆ์ พระเจ้าอโศกมหาราชและประชาชนทั้งหลาย ก็พร้อมใจกันกราบลง ทำเอาพญามารตกใจ คลายกำลังฤทธิ์กลับคืนเข้าสู่ร่างเดิม ต่อว่าว่าทำไมถึงมาสร้างเวรสร้างกรรมให้กับท่านแบบนี้ ? พระอุปคุตเถระตอบว่า "ไม่ได้สร้างเวรสร้างกรรม เพราะว่า กราบและระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น..โทษที่จะเกิดขึ้นกับพญามารจึงไม่มี"

    เรื่องที่พญามารแปลงเป็นพระพุทธเจ้าได้เหมือนทุกประการ ที่พระอุปคุตเถระได้พบมาก็ดี ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงได้พบมาก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายระลึกอยู่เสมอว่า พระระดับนั้น เขายังสามารถที่จะแสดงออกให้เห็นได้แบบนั้น แล้วตัวเราเป็นใคร ? จึงต้องไม่ประมาทอยู่ทุกวินาที ไม่เช่นนั้นก็อาจจะโดนดึงหลงทางจนเสียเวลาในการปฏิบัติของตนไป กลายเป็นบุคคลที่เสียชาติเกิดไปเปล่า ๆ..!

    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...