เรื่องเด่น คนเรียนเก่งความจำดี เรียกว่ามี "สัญญา" ดี ไม่เรียกว่ามี "ปัญญา" ดี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 26 เมษายน 2022.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    rZIHZ80G4GkqDqvxayDx7MNKBOsbQspHjcauGV90vosl&_nc_ohc=jvGOIeWeYfUAX8-6d2O&_nc_ht=scontent.fbkk5-6.jpg

    คนเรียนเก่งความจำดี เรียกว่ามี "สัญญา" ดี
    ไม่เรียกว่ามี "ปัญญา" ดี
    โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
    จากหนังสือ "สู่แสงธรรม" โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป

    ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้หาโอกาสถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ การที่ผมดูหนังสือเรียนเที่ยวเดียว แล้วจำได้โดยไม่ต้องท่องแล้วท่องเล่าเหมือนคนอื่นเขา จะเรียกว่าผมมีปัญญาดีไหมครับ?"

    "ไม่ใช่ปัญญาดีหรอก เขาเรียกว่าความจำดีต่างหากเล่า" หลวงพ่อตอบเรื่อย ๆ

    "แล้วคนเรียนเก่ง ๆ ที่เขาไปทำปริญญาโท ปริญญาเอก ได้เล่าครับ จะยกย่องว่าเขามีปัญญาดีไหมครับ?" ข้าพเจ้าถามต่ออย่างไม่ลดละ

    "ไม่ใช่ปัญญาดีอีกนั่นแหละ แต่เขามีความจำดีอย่างคุณนี่แหละ" หลวงพ่อตอบยิ้ม ๆ

    "อ้าว! หลวงพ่อ ความจำดีก็ต้องมีปัญญาดี ไม่ใช่เหรอครับ" ข้าพเจ้ารีบถาม

    "ความจำดีก็เพราะสมองดี สมองดีก็คือเครื่องบันทึกความจำดี เหมือนเช่นเครื่องบรรทึกเสียง หรือเครื่องบันทึกความจำของคอมพิวเตอร์ดีนั่นแหละ บันทึกไว้ หากต้องการใช้เมื่อไร ก็นึกย้อนเอา รีไวนด์เอาหรือกดเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ ก็จะออกมานั่นเอง เขาไม่เรียกว่าปัญญาดีนะ เขาเรียกว่าสัญญาดีต่างหากเล่าคุณ" หลวงพ่ออธิบาย

    "เอ! เท่าที่ผมจำได้ผมก็ไม่เคยไปสัญญากับใครที่ไหนนะครับ" ข้าพเจ้าชักงง

    "สัญญาน่ะ เขาแปลว่า ความจำได้ อย่างงไปเลย คุณมีความจำดีก็เพราะมีสัญญาดี คุณหรือใครก็ตาม เรียนหนังสือเก่ง ก็เพราะจำคำสอนของครูบาอาจารย์และผู้รู้ได้ดีกว่าคนอื่น และเพราะความจำดีนี้เอง ทำให้มีโอกาสค้นคว้าอ่านตำรับตำราได้มากกว่าคนอื่น และจำได้แม่นยำกว่าคนอื่น

    ดังนั้นเมื่อสอบทีไร ใครเขาจะไปสู้คนที่มีความจำดีได้เล่าคุณ แต่อย่าลืมนะ ถ้าครูเขาสอนผิด คุณก็จะจำได้แบบผิดๆ ถ้าตำรับตำราผิด คุณก็จำผิด เหมือนเครื่องบันทึกเสียงหรือเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นแหล่ะ หากป้อนข้อมูลผิดเข้าไปละก็ เสร็จเลย มันก็ต้องบันทึกผิดจำผิด ด้วยจริงไหม?"

    "คุณเคยจำคำในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงได้ไหม?" หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถาม

    "ที่ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ใช่ไหมครับหลวงพ่อ?" ข้าพเจ้าถาม

    "เออ! นั่นแหละ คุณว่าเดี๋ยวนี้มันยังคงเป็นความจริงอยู่ทั้งหมดไหม?" หลวงพ่อถาม

    ทำให้ข้าพเจ้าต้องนิ่งคิดอยู่สักครู่ จึงตอบว่าในสมัยตอนผมเด็ก ๆ เป็นความจริงครับหลวงพ่อ ในน้ำมีทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา มากมาย และทุ่งนาในกรุงเทพ ฯ ทั้งแถบพระโขนง สะพานควาย บางเขน เขียวชอุ่มไปด้วยข้าวทั้งนั้น แต่ตอนนี้น่าเสียดายจริงๆ ครับ ผมยังแอบเปลี่ยนข้อความเสียใหม่เลยว่า

    "ในน้ำมีไร (ตัวไร เพราะน้ำเน่า), ในไร่มีรา (เชื้อรา), ในนามีบ้านจัดสรร"

    "แล้วข้อความท่อนอื่น ๆ ในหลักศิลาจารึกล่ะว่าอย่างไร?" หลวงพ่อถามต่อ

    "ครับ ผมพอจำได้อยู่บ้างว่า ใครใคร่ค้าช้างค้า ค้าม้าค้า ค้าวัวค้า ค้าควายค้า อะไรทำนองนี้แหละครับ แล้วก็มีว่า ไพร่ฟ้าหน้าใส ครับ" ข้าพเจ้าตอบ

    "เอาละจำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น แล้วคุณว่าเดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้นหรือไม่?" หลวงพ่อถามยิ้ม ๆ
    "เดี๋ยวนี้หรือครับ จะเปิดเขียงขายหมูสักเขียงยังยุ่งวุ่นวาย จะหาอะไรไปขายสักหาบก็หาที่วางขายไม่ได้แล้วครับ ต้องขายเป็นที่เป็นทาง ถูกรีดไถทั้งตำรวจ ทั้งเจ้าหน้าที่สรรพากร ยิ่งไพร่ฟ้าในกรุงเทพ ฯ เจอมลภาวะที่เป็นพิษ และการจราจรติดขัดด้วยแล้ว หาหน้าใสไม่มี หรอกครับ ทุกวันนี้มีแต่ไพร่ฟ้าหน้าเหลืองซีดเสียส่วนใหญ่ครับ"ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง
    "แล้วสุภาษิตโบราณที่ว่า สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยงล่ะ คุณว่าเดี๋ยวนี้เป็นจริงไหม?" หลวงพ่อถามต่อ

    "ไม่จริงแล้วครับ ผมเห็นสิบพระยาเดินตามตูดพ่อค้า นักธุรกิจออกบ่อยไป" ข้าพเจ้าตอบอย่างขัดใจ
    "เอ้อ! แล้วที่ว่า ไม่มีขยะมูลฝอย หมาไม่ขี้ล่ะ?" หลวงพ่อถามอย่างสนุก

    "ก็ไม่จริงอีกแหละครับ เพราะหมาบ้านผม มันไปคุ้ยกองขยะเล่นจริง แต่มันไม่ขี้ เพราะมันกลัวขยะแขยงก้น เห็นกลับมาขี้ที่สนามหญ้าหน้าบ้านบ้าง บนถนนในบ้านบ้าง ผมต้องโกยทิ้งทุกวันเลยครับ" ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

    "เห็นไหม แม้แต่หลักศิลาจารึกก็ดี สุภาษิตโบราณต่าง ๆ ก็ดี อาจถูกต้องเป็นจริงได้เฉพาะสมัยหนึ่ง ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง หาได้เป็นความจริงตลอดกาล ไม่แม้แต่วิชาคำนวณที่คุณเรียน เคยจำกันได้มิใช่หรือว่า 1+1 เป็น 2, 0+0 เป็น 0 แล้วเดี๋ยวนี้ภาษาคอมพิวเตอร์เขาว่า 0+0 เป็น 1 แต่ 1+1 กลับเป็น 0 มิใช่หรือ?"

    หลวงพ่ออธิบายแล้วถามยิ้มๆ เล่นเอาข้าพเจ้าตัวแข็ง ด้วยเป็นความจริงตามที่หลวงพ่อพูดทุกอย่าง
    "ดังนั้น แม้คุณฟังมาก ดูตำรับตำรามาก เรียนมาก ค้นคว้ามาก จนมีความรู้ เพราะความจำดี มีสัญญาดีสักเพียงไรก็ตาม ความรู้ที่คุณได้มานั้น ก็หาได้เป็นความจริงตลอดกาลไม่ อาจผิดหรือถูกก็ได้ ดังนั้น จึงจะยังเรียกว่ามี "ปัญญา" ไม่ได้นะ" หลวงพ่ออธิบายต่อ


    ขอบคุณที่มา https://www.facebook.com/BuddhaSattha.Saraburi/
     
  2. ashitastudio

    ashitastudio สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2016
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +12
    สาธุครับ
     
  3. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,761
    ถูกต้องตามหลวงพ่อพูดไว้ทุกประการ สมัยนี้คนมีความรู้เยอะมาก อยากต่ำก็ปริญญาตรี โท แต่ปัญญาที่จะแยกแยะดีชั่ว ถูกต้อง ไม่ค่อยมีกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...