เรื่องเด่น @.. บุพการีกับการสร้างบารมี ฯลฯ..@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 ธันวาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ?temp_hash=c66009b9b7cdc605a5fdf210522bc6d4.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๔๗ : แม่คนที่สอง

    “แม่” คำเดียวสั้น ๆ ที่บุพการีทุกคน ต้องใช้เลือดเนื้อและชีวิตเข้าแลกจึงจะได้มา แม่ต้องทุกข์ยากลำบากเพียงไหน กว่าจะครบเก้าเดือนที่อุ้มท้องมา ต้องอดอยากปากแห้ง กินอะไรตามใจก็ไม่ได้ เพราะห่วงใยว่าจะกระทบกระเทือนกับลูกในท้อง...

    ความเจ็บปวดแทบขาดใจยามคลอดลูกแต่ละคน แม่ก็ต้องทนแทบชีวิตจะดับดิ้น ต้องอดตาหลับขับตานอน เฝ้าถนอมกล่อมเลี้ยงมาจนใหญ่ ยามลูกเจ็บไข้ไม่สบาย ดังแม่จะป่วยไปด้วย ยามลูกมีทุกข์ แม่ยิ่งทุกข์ระทมใจ เอาชีวิตเข้าแลกความสุขเพื่อลูกได้แม่ก็ยินดี...

    แล้วฉะนี้ควรหรือ...? เด็กยุคใหม่ทั้งหลายเอ๋ย...ที่เจ้าเฝ้าแต่หมิ่นแคลนพ่อ – แม่ของตน ถ้าท่านไม่รักเรา มีหรือที่เราจะรอดมาจนเติบใหญ่ มีหน้ามากล่าวหาว่าท่านไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา ตนเป็นเพียงผลพวงแห่งกามารมณ์เท่านั้น นี่นะหรือ...ความคิดของปัญญาชน...!

    พ่อ – แม่เป็นดั่งพระอรหันต์ของลูก มีแต่ความรักความปรารถนาดีต่อลูกอย่างแท้จริง แม้แต่มหาโจร เสือปล้น ฆาตกรโหด ก็ล้วนต้องการให้ลูกเป็นคนดีทั้งสิ้น ปรารถนาจะให้ลูกอยู่ดีมีสุขกันทั้งนั้น แล้วเราเล่า...? ทำอะไรให้พ่อ – แม่ชื่นใจบ้าง...?

    ถ้าเราสามารถระลึกชาติย้อนหลังไปได้ จะพบว่าในชาติที่กุศลกรรมส่งผล บางชาติเราได้พบพระพุทธเจ้า บางชาติเราพบพระปัจเจกพุทธเจ้านับแสนองค์ บางชาติเราพบพระอรหันต์เจ้านับร้อยนับพันองค์ เราพบท่านผู้ทรงความดีสูงสุดมากถึงเพียงนั้น พ่อ – แม่เป็นแดนเกิด ถ้าไม่มีท่าน มีหรือที่เราจะได้เกิดมา และได้ทำความดีอย่างทุกวันนี้ ชาติที่เราพบพระผู้บริสุทธิ์นับหมื่นนับแสนองค์ เราก็มีพ่อมีแม่อย่างละหนึ่งท่านเท่านั้น ไม่ว่าใครก็มาทดแทนตำแหน่งอันยิ่งใหญ่นี้ ในใจของเราไม่ได้เป็นอันขาด...

    พระคุณของพ่อ – แม่ ยากจะเปรียบปานได้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “บุรุษผู้มีกำลัง นำบิดา-มารดาวางไว้บนบ่าแห่งตน เลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี ให้ท่านกิน ถ่าย นอน อยู่บนนั้น สิ้นเวลาร้อยปี ยังทดแทนไม่ได้แม้แต่คุณค่าคำหนึ่งแห่งน้ำนมที่กลืนกิน”

    ในโลกนิติคำโคลง เปรียบพระคุณพ่อ – แม่เอาไว้ว่า “คุณแม่หนา หนักเพี้ยงพสุธา คุณบิดรดุจอา กาศกว้าง” นับว่ามากมายจนประเมินค่าไม่ได้ ผู้ฆ่าพระอรหันต์ต้องอนันตริยกรรม ผู้ฆ่าพ่อ – ฆ่าแม่ก็ต้องอนันตริยกรรมเช่นกัน ดังนั้น การเปรียบว่า พ่อ – แม่ คือพระอรหันต์ของลูก จึงไม่นับว่าเกินเลยแม้แต่น้อย...

    เรื่องพระอรหันต์ของลูกนั้น ชาวจีนกล่าวถึงนิทานไว้ว่า ชายหนุ่มผู้ใฝ่รู้ต้องการพบพระอรหันต์ เพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ จึงลามารดาคนเดียวของตน เพื่อเดินทางไปแสวงหาครูบาอาจารย์ แม้มารดาจะทัดทานเช่นไรก็ไม่เป็นผล...

    เขาบุกป่าฝ่าดงจนได้พบเซียนผู้วิเศษกลางป่าเขา พอทราบความประสงค์เข้า ท่านผู้วิเศษก็หัวเราะลั่น กล่าวว่า “เจ้าไม่น่าลำบากลำบนมาถึงเพียงนี้เลย ละแวกบ้านของเจ้าก็มีพระอรหันต์ ท่านใส่เสื้อกลับตะเข็บ และใส่รองเท้ากลับข้าง จงสังเกตให้ดี...”

    ชายหนุ่มดีใจนัก รีบเดินทางกลับภูมิลำเนาแห่งตน วันหนึ่งก็ถึงบ้านเกิด เขาจึงกลับบ้านไปหามารดาก่อน ฝ่ายแม่เฒ่าพอได้ยินเสียงลูกก็ผวาออกจากบ้านมาด้วยความดีใจ ชายหนุ่มมองดูมารดาอย่างพินิจพิจารณา แล้วทรุดกราบลงแทบเท้า...

    ที่แท้ดวงใจผู้เป็นแม่นั้น เฝ้าห่วงใยครุ่นคะนึงมิรู้วาย พอแว่วเสียงลูกชายก็ดีใจดังได้แก้ว คว้าเสื้อสวมรองเท้าอย่างรีบร้อน เลยใส่เสื้อกลับตะเข็บ ใส่รองเท้ากลับข้าง ชายหนุ่มจึงทราบทันทีว่า นี่คือพระอรหันต์ที่ท่านผู้วิเศษกล่าวถึง...!

    “ขาดแม่เหมือนแพแตก” นาวาชีวิตคล้ายดังจมหาย ถ้าไร้ซึ่งแม่คอยคัดท้าย “ขาดพ่อมีแม่ ก็เหมือนมีทั้งพ่อและแม่ ขาดแม่มีพ่อก็เหมือนไม่มีอะไรเลย...” ในพระไตรปิฎกก็กล่าวไว้ชัดเจนว่า ผู้ฆ่าแม่ต้องอนันตริยกรรมหนักกว่าฆ่าพ่อ ๑ เท่าตัว...

    ถ้าดูจากความทุกข์ยากแสนสาหัส ยามอุ้มท้องมาก็ดี ยามคลอดก็ดี ทั้งยังต้องกลั่นเลือดในอกของตน ให้ลูกดื่มกินเพื่อยังชีวิตก็ดี เราก็จะเห็นได้ว่า พระคุณของแม่นั้น ดูท่าจะล้ำหน้าพ่อไปแล้วจริง ๆ...

    อาตมามีแม่ที่เป็นยอดวีรสตรีของลูก ๆ ท่านทำงานลำบากตรากตรำราวเครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หาเลี้ยงลูก ๆ ทั้งสิบสองชีวิต ส่งเสียให้เล่าเรียนทุกคน ทั้งยังต้องเลี้ยงดู – รักษาพยาบาลพ่อที่ป่วยหนักมาเป็นสิบ ๆ ปี...

    ในสามโลกนี้หาใครยิ่งใหญ่กว่าแม่คงจะไม่มี ไม่ว่าจะเจ็บไข้เหนื่อยยากเพียงไหนไม่เคยบ่น ดูจากผลงานยามลูกทุกคนตั้งหลักปักฐานได้แล้ว คงต้องให้แม่คนอื่นซักสิบสองคน จึงจะสามารถสร้างผลงานนี้ขึ้นมาเท่ากับแม่ของอาตมาคนเดียว...

    ยามเป็นฆราวาส อาตมายังพอจะหาเลี้ยง – รักษาพยาบาลยามแม่เจ็บป่วยบ้าง พอบวชเข้ามา ก็ทำได้เพียงแต่ส่งขนมไปให้แม่ทุกเดือน อย่าตำหนิกันเลยนะ... พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ภิกษุเลี้ยงดูบิดา – มารดาได้ โดยไม่ผิดธรรมวินัย...

    อาตมาเป็นคนโชคดี บวชมาถึงจะห่างแม่ไปบ้าง ก็ได้พบกับแม่อีกท่านหนึ่งคือ อาจารย์เบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์ พอเห็นหน้าท่าน อาตมาก็เรียกแม่อย่างเต็มปากเต็มคำ... ไม่ทราบว่าเป็นวาสนาผูกพันมาแต่ปางไหน พอเห็นก็รักเคารพท่านออกจากใจ และท่านเองก็รับในความเป็นแม่ในทันทีเช่นกัน ต่างคนต่างบอกไม่ถูก คล้ายกับแม่ลูกที่จากกันนานแสนนาน แล้วพลันมาพบหน้ากันฉะนั้น...

    ยามเจ็บไข้ได้ป่วย แม่ก็เฝ้าห่วงใย เหมารถรับไปรักษาพยาบาลจนสุดความสามารถ ฐานะแม่ก็ใช่ว่าจะดีนัก แต่ด้วยความรักความห่วงใน “ลูกพระ” แม่ก็ยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่แม่เองก็ยอบแยบออกปานนั้น...

    ไปเยี่ยมแต่ละครั้งแม่ก็แสนจะยินดี ตื่นเต้นจนแทบทำงานไม่ได้ ขอแว่บกลับมาสงเคราะห์ลูกพระซักนิดก็ยังดี ทั้งอาหารการกิน ที่อยู่ ที่นอน แม้แต่สบงจีวร แม่ก็ซักให้เสร็จสรรพ ถ้าไม่ให้ทำ แม่ก็ห่อเหี่ยวท้อแท้ ลูกพระไม่รักแม่แล้วหรือไร...?

    เมื่อออกธุดงค์ ความจริงอาตมาจะรีบเดินทางไปหาญาติโยมที่กรุงเทพฯ กลับต้องรีบตีรถไปหาแม่ที่อู่ทองอย่างด่วนจี๋ ไปถึงจึงทราบว่าทำไมต้องมานี่ก่อน แม่อดข้าวเย็นรักษาศีลแปด ขอผลบุญคุ้มครองลูกพระให้ปลอดภัย ถ้ายังไม่เห็นลูกพระเพียงใด ก็จะยอมอดทนรักษาศีลแปดเรื่อยไป...โธ่...แม่จ๋า...!

    ออกจากป่ามา แข้งขามีแต่บาดแผลยับเยิน อาตมาคิดว่า ถ้าแม่เห็นเข้าคงแทบช็อคตาย เลยปรากฏมโนภาพขึ้นในใจ ว่าชาติไหน ๆ ก็เป็นอย่างนี้ ยามจากไปแม่ก็แทบขาดใจ กลับมาทีไรเจ็บโทรมกลับมาให้แม่รักษาเหนื่อยยากทุกที...

    ภาพที่น่าขันที่สุดคือ ลูกหมาวัยคะนองไปหยอกแมวเล่น ถูกแมวตบซะร้องเอ๋ง ๆ วิ่งหัวซุกหัวซุนหาที่พึ่ง แม่ไก่ที่คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงลูกอยู่ไม่ไกล ตรงรี่เข้าช่วยเหลือประจัญบานกับเจ้าแมวจนฝุ่นตลบ...เจ้าแมวโดนโจมตีแบบตั้งตัวไม่ทัน ก็เผ่นแน่บด้วยความตกใจ...

    เออหนอ...ต่างเผ่าต่างพันธุ์กันถึงเพียงนั้น ความเป็นแม่ที่รักลูก คอยปกป้องยามลูกมีภัยก็ไม่ได้น้อยลงเลย ดูเจ้าตัวแสบอีกที...ไม่มีละที่จะเข็ด คอยหาเรื่องให้แม่ตัว แม่ไก่วุ่นวายได้ไม่รู้จักจบจักสิ้นซีน่า...!

    “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลัง เมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล...

    แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนากระไร ไม่ใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม...

    ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม โอ้ว่าแม่จ๋า...ลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกประสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน...

    ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น... หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย...”

    “มยฺหํ มาตาปิตุ ปาเท วนฺทามิ”
    ลูกขอกราบลงแทบเท้าบิดา มารดา ในทุกชาติ ทุกภพ จวบจนชาตินี้ภพนี้ พระคุณความดีที่ให้การสงเคราะห์ อุ้มชูเลี้ยงดูลูกมาในทุกชาติ ลูกขอเทิดไว้เหนือเศียรเกล้าตราบสิ้นกาลนาน...!

    ๕ เมษายน ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    zvcgX76XlaeXHSwUFnohEokCNPlBveWkmkeVeFpPTFA0wBubSQV5UH-j808NgtME3W5r70Pd&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พระอาจารย์กล่าวว่า “คนแก่ไม่ได้หวังอะไรจากลูกหลานมากหรอก หวังแค่ ๓ อย่าง ยามแก่เฒ่าหวังเจ้าเฝ้ารับใช้ ยามป่วยไข้หวังให้เจ้าเฝ้ารักษา ยามเมื่อถึงคราวตายวายชีวา หวังลูกช่วยปิดตายามสิ้นใจ

    ประโยคสุดท้ายนั้นไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าคนตายเราต้องไปปิดตาให้ แต่หมายความว่าลูกหลานสร้างสมแต่คุณงามความดี อยู่ในศีลในธรรม เป็นพลเมืองดี ทำให้พ่อแม่ไม่มีห่วง ภาษาโบราณใช้คำว่า ตายตาหลับ หวังลูกช่วยปิดตายามสิ้นใจ ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก มีความกตัญญูดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องตัวเองให้เต็มที่ก็พอแล้ว”
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๒
    ภาพและที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    23959278081_o.jpg?_nc_cat=100&_nc_sid=8024bb&_nc_ohc=9qhhQ-54Vn0AX-pJAzi&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    . #พ่อแม่คือผู้ควรกราบไหว้สักการะ

    ตสฺมา หิ เน นมสฺเสยฺย, สกฺกเรยฺย จ ปณฺฑิโต;
    อนฺเนน อโถ ปาเนน, วตฺเถน สยเนน จฯ

    เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงกราบไหว้และ
    สักการะ มารดาบิดา ด้วยข้าวปลาอาหาร
    น้ำดื่มน้ำใช้ ผ้าผ่อนท่อนสะไบ
    และที่หลับที่นอนอันสมควรเถิด.

    (ธรรมนีติ ปกิณณกกถา ๔๐๖, นรทักขทีปนี ๒๑๑, องฺ. ๒๐/๔๗๐, ๒๑/๖๓)

    ศัพท์น่ารู้ :

    ตสฺมา หิ (เพราะเหตุนั้นแล) สมูหนิบาต
    เน (เหล่านั้น) ต+โย สัพพนาม
    นมสฺเสยฺย (นอบน้อม, นมัสการ) √นมสฺส+อ+เอยฺย ภูวาทิ. กัตตุ.
    สกฺกเรยฺย (สักการะ, บูชา) สํ+√กร+โอ+เอยฺย ตนาทิ. กัตตุ. (ฉบับไทย พม่า สกฺกเรยฺย ไทยเป็น สกกเรยฺยถ)
    ปณฺฑิโต (บัณฑิต, ผู้มีปัญญา) ปณฺฑิต+สิ
    อนฺเนน (ด้วยข้าว) อนฺน+นา
    อโถ (และ, อนึ่ง) นิบาต
    ปาเนน, (ด้วยน้ำดื่ม) ปาน+นา
    วตฺเถน (ด้วยผ้า) วตฺถ+นา
    สยเนน จ (และด้วยที่นอน) สยน+นา

    ตสฺมา หิ เน นมสฺเสยฺย, สกฺกเรยฺย จ ปณฺฑิโต;
    อนฺเนน อโถ ปาเนน, วตฺเถน สยเนน จฯ

    ตสฺมา หิ เพราะเหตุนั้นแล ปณฺฑิโต ชโน อ. ชนผู้เป็นบัณฑิต นมสฺเสยฺย พึงนอบน้อม สกฺกเรยฺย จ และพึงสักการะ เน มาตาปิตโร ซึ่งมารดาและบิดา ท. เหล่านั้น อนฺเนน ด้วยข้าว อโถ ปาเนน และด้วยน้ำดื่ม วตฺเถน ด้วยผ้า สยเนน จ และด้วยที่นอนด้วย.

    iwdMmUxOZxMqdQsUo3RWMBEvw1gakM02JYUSENt2DY8t&_nc_ohc=mGQ20pS7tE4AX_Iiu3a&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.png
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473


    .....น่าชื่นชมครับ

    .....แต่ไม่ต้องรอให้เงินเยอะ ไปเยี่ยมท่านบ้าง พาท่านไปทำบุญ ให้ท่านสวดมนต์ภาวนาได้ เงินอาจซื้ออะไรได้มาก แต่ ซื้อภพชาติที่ดีเพื่อการพ้นทุกข์ยังไม่ได้..
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    nuAmV5DGU4oPJyIf3h5LcC9Dn2RIbdr9RzdKHEbyoxZr&_nc_ohc=VTVYEpevRdwAX87iR1U&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    GDGqz2kn4rdG-qM3PQJFzpTV7qMcCBgdVcQPHHAg-K6V&_nc_ohc=LXW8iI43z8wAX-xw4rF&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    #อาตมาพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน
    วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ วันนี้อาตมาป่วยมาก หลังจากไปสั่งงานให้นายช่างทำมณฑปพระยืน ๘ ศอก เสร็จแล้วก็กลับมานอนพัก รู้สึกว่างงมากและเหนื่อยมาก มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้คงจะทรงตัวได้ไม่นาน อาจจะตายภายในไม่ช้านี้ก็ได้ จึงได้รวบรวมกำลังใจขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าที่วิมานบนพระนิพพาน คำว่า นิพพาน นี้ใครจะว่าสูญก็เป็นเรื่องของท่าน แต่อาตมามีความรู้สึกว่าไม่สูญ ความจริงเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะอ่านกันแต่เพียงหนังสืออย่างเดียว ก็คงไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาแน่นอนนัก เพราะความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่ดีก็ควรจะค้นคว้าด้วยวิธีปฏิบัติ แนวปฏิบัติมี ๔ อย่างคือ
    ๑) สุกขวิปัสโก
    ๒) เตวิชโช
    ๓) ฉฬภิญโญ
    ๔) ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    ถ้าเราทำได้ครบทุกอย่าง ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่ออาตมาไปถึงพระนิพพานแล้ว ก็ไปนั่งที่ที่เคยนั่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับอยู่หลายองค์ ไปถึงก็กราบนมัสการท่าน ท่านก็ตรัสว่า "คุณ เทวดา นางฟ้า พรหม เขาคอยอยู่ที่เทวสภาเต็มไปหมด ทำไมไม่ไปแวะที่นั่นก่อน กลับไปที่เทวสภาก่อน" จึงได้กราบท่านแล้วมาที่เทวสภา พอมาถึงก็เห็นท่านผู้มีพระคุณคือ บิดามารดาเดิม ครูบาอาจารย์ ท่านย่า ท่านปู่ใหญ่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายรวมทั้งในชาติปัจจุบัน ก็ถือว่า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด เป็นผู้มีพระคุณทั้งหมด เพราะว่างานทุกอย่างทุกประเภทท่านช่วย ที่ทำสำเร็จขึ้นมาได้ก็เพราะพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา นางฟ้า และท่านย่ากรุณาส่งลูกแก้วให้ แก้วจักรพรรดิพิมานหรือแก้วเพชรจักรพรรดิก็ตาม ตามใจจะเรียก องค์นี้หลวงปู่ชุ่มให้ไว้ก่อน
    ต่อมาท่านย่านำองค์เล็กมาให้บอกว่า เป็นองค์น้อง มีไว้ ๒ องค์ งานทุกอย่างจะสำเร็จหมดตามประสงค์ เมื่อกราบขอบคุณท่านเสร็จ อาตมาก็บอกว่า "ต่อนี้ไปอาตมาจะไปพระนิพพาน มีท่านผู้ใดบ้างจะไปพระนิพพานกับอาตมา เชิญไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิมานหลังใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ทุกท่านไปพักได้ทุกเวลา โดยไม่ต้องมีอาตมานำไป บริเวณทั้งหมดกว้างใหญ่ไพศาลเดินเล่นตามสบาย หลังจากนั้นต่างองค์ต่างมีวิมานบนพระนิพพานอยู่แล้ว ทุกท่านจะไปวิมานของท่านก็ได้ หรือจะไปเที่ยววิมานของอาตมาก็ได้"
    เมื่อพูดจบอาตมาก็ลุกจากที่ เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็ตามมา พอมาถึงอาตมาก็นั่งที่เดิมนมัสการพระพุทธเจ้า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็นั่งที่วิมานหลังใหญ่ สำหรับวิมานหลังที่อาตมานั่งก็มีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดนั่งอยู่เต็ม พอดีหันไปทางขวาพบโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านั่งอยู่ด้านขวา จึงถามท่านว่า "โยมขึ้นมาบนสวรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อโยมมีบาปมากเพราะอาศัยความรักลูกเป็นห่วงลูก เกรงว่าลูกจะอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีล ๔ ข้อ โยมครบถ้วน แต่ศีลข้อที่ ๑ คือปาณาติบาต โยมจับสัตว์คือปลามาให้ลูกกิน มันก็บาป แล้วโยมทำไมถึงมาสวรรค์ได้" โยมก็ตอบว่า "ขณะที่ผมหนุ่มๆผมทำอย่างนั้นจริง และไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่การปฏิบัติในศีลในธรรมทุกอย่างครบถ้วน เว้นไว้แต่ปาณาติบาต เหล้าก็ไม่กิน ฝิ่นก็ไม่สูบ บุหรี่ก็ไม่สูบ ทุกอย่างครบถ้วน แต่ทว่าตอนแก่ตัว คุณอยู่ที่วัดบางนมโคก็ดี อยู่ที่กรุงเทพฯก็ดี ผมมีความเป็นห่วงคุณเป็นอันมาก ทุกวันทุกคืนนึกถึงแต่คุณองค์เดียวว่า อยู่ไกลจากพี่จากน้องจะมีความลำบาก นึกถึงอย่างนี้จนกระทั่งถึงป่วย ยิ่งเวลาป่วยยิ่งนึกถึงมากขึ้น เพราะอาศัยนึกถึงคุณเป็นอารมณ์อย่างนี้อย่างเดียวโดยเฉพาะ อย่างนี้เรียกว่าเป็น "#สังฆานุสสติ #คือนึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์" พอตายจากความเป็นคน โยมก็ขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา" ตามปกติสมัยเป็นมนุษย์โยมก็ชอบบูชาพระ สวดมนต์อยู่เสมอ ถึงวัดจะไม่ค่อยได้ไปก็ไม่เป็นไรแต่ทำที่บ้าน จึงถามว่า "วิมานของโยมบนพระนิพพานมีแล้วหรือยัง" โยมก็ตอบว่า "มี" และชี้มือไปทางด้านขวาบอกว่า "วิมานของโยมตั้งด้านขวาวิมานของคุณด้านโน้น" อาตมาก็เดี๋ยวไปดูก็เห็นวิมานของโยมสวยสดงดงามมาก
    หลังจากนั้นอาตมาได้ถามโยมผู้หญิงในชาติปัจจุบันว่า "โยม ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็นนักบุญชอบบูชาพระ ชอบไปวัดชอบฟังเทศน์ไม่ขาดเกือบทุกวันพระ เรื่องเกี่ยวกับบุญเกี่ยวกับอะไรก็ตามสนใจทุกอย่าง เวลานี้โยมอยู่ชั้นไหน" โยมผู้หญิงตอบว่า "อยู่ชั้นยามาเหมือนกับโยมพ่อ แต่ว่าฉันชอบบูชาพระ ทุกวันจะให้นางฟ้าก็ดี ฉันก็ดี จะช่วยกันเก็บดอกไม้ในวิมานเป็นดอกไม้สีขาว ชั้นยามานี้สีขาวหมด แล้วนำมาบูชาพระ" อาตมาถามว่า "ดอกไม้ที่เหลือจากการบูชาพระมันไม่เหี่ยวไม่แห้งหรือ" ท่านก็บอกว่า "ไม่เหี่ยวไม่แห้ง ถ้าเราไม่ต้องการดอกไม้ก็หายไป ไม่ต้องเอาไปทิ้ง แล้วก็ไปเก็บมาใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน" ถามว่า "ในเมื่อโยมเป็นนักบุญแบบนี้ เวลานี้โยมมีวิมานบนพระนิพพานแล้วหรือยัง"
    ท่านตอบว่า "ยัง" อาตมาแปลกใจ ถามว่า "โยมผู้ชายความจริงเสียเปรียบโยมผู้หญิง เพราะทำปาณาติบาตมาก แต่โยมผู้หญิงไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาต บาปไม่ค่อยได้ทำ ทำแต่บุญ ทำไมจึงไม่มีวิมานบนพระนิพพาน พระพุทธเจ้าเทศน์ตั้งหลายครั้ง โยมจำไม่ได้หรือ" ท่านบอกว่า "จำเหมือนกันแต่มันเพลินความสุข ไม่เคยคิดว่าจะจุติ ไม่เคยคิดว่าจะตายจากวิมานนี้" จึงบอกว่า "นับว่ามีความประมาทมาก ถ้าอย่างนั้นขอให้โยมออกมานั่งข้างหน้า" ท่านก็มานั่งข้างหน้า อาตมาบอกให้ท่านหันหน้าไปทางพระพุทธเจ้า ท่านก็หันหน้าไปทางพระพุทธเจ้าแล้วกราบพระพุทธเจ้า
    สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงเทศน์ว่า "เจ้าผู้เจริญ เจ้ายังไม่มีวิมานอยู่บนพระนิพพานใช่ไหม" โยมผู้หญิงก็ตอบว่า "ใช่เจ้าค่ะ" พระองค์ตรัสต่อว่า "ทั้งนี้เพราะเจ้ามีความประมาทมากเกินไป มีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ถือตัวว่ามีบริวารมาก มีวิมานใหญ่ มีความสุขตั้งใจบูชาพระ แต่การบูชาพระของเธอเป็นการบูชาพระแต่ผิวเผิน เป็นการเข้าถึงพระแบบผิวเผินไม่ใช่ลึกซึ้งนัก ฉะนั้นจึงไม่มีวิมานอยู่บนนิพพาน เธอจงทบทวนถึงความจริงของเธอในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอมีบาปอะไรบ้าง" โยมก็ตอบว่า "มีบาปหลายอย่างเจ้าค่ะ" ท่านก็ถามว่า "เธอรู้จักนรกไหม" โยมก็ตอบว่า "ไม่รู้จักเจ้าค่ะ" ท่านถามว่า "เธอเชื่อไหมว่ามีนรก" โยมก็ตอบว่า "เชื่อเจ้าค่ะ" ท่านตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอจงดู" แล้วท่านก็ชี้มือลงเบื้องต่ำ เห็นนรกแดงฉานไปหมด มีตั้งหลายขุม ขุมใหญ่ ๘ ขุม ขุมเล็กรวมแล้ว ๔๐๐ กว่าขุม
    ท่านบอกว่า "บาปของเธอที่มีอยู่ ตถาคตจะพูดให้ฟัง บาปอย่างนี้ในเมื่อเธอจุติจากชั้นยามา จะพุ่งหลาวลงนรกขุมนี้ เธอจงดูการลงโทษ การถูกเผาไฟจะมีอย่างนี้ตลอดเวลา ไฟนรกโชติช่วง พื้นเหล็กก็แดงฉาน ทั้งหอกทางดาบ ดาบก็ฟัน หอกก็แทง ฆ้อนก็ทุบ เมื่อพ้นบาปขุมนี้แล้วต่อไปก็ลงขุมที่ ๒ ไม่ใช่นับ ๑,๒,๓ ตามลำดับขุมนรกนะ เป็นขุมที่ ๒ ที่ต้องลง เมื่อลงแล้วก็ต้องลงขุมที่ ๓ จากนั้นก็มาขุมที่ ๔ ขุมที่ ๕ ลงหลายขุม เธอจงจำไว้ว่า การที่เธอมาเกิดเป็นนางฟ้าชั้นยามานี่เพราะอาศัยบุญเล็กน้อย ที่ชอบการบูชาพระ ชอบให้ทาน ชอบรักษาศีล ชอบเจริญภาวนา แต่กำลังใจของเธอไม่มีความจริงจัง ทำตามประเพณีเสียส่วนมาก เห็นผู้ใหญ่เขาทำก็ทำ จิตใจมีความไม่มั่นคงนัก เพราะอาศัยบุญเล็กน้อยที่เธอนึกถึงก่อนตาย บันดาลให้เธอมาเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา จงอย่าลืมว่าในอีกไม่ช้านัก เธอก็หมดบุญ ในเมื่อหมดบุญแล้วก็จะต้องลงนรก เธอกลัวไหม" เธอก็บอกว่า "กลัวเจ้าค่ะ"
    ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าท่านจะซีด ผิวพรรณไม่ค่อยผ่องใสแสดงว่ากลัวนรก สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า "ดูก่อน หญิงผู้เจริญ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตถาคตจะแนะนำให้ตัดนรกดีไหม เอาไหม ถ้าปฏิบัติได้ นับแต่นี้ไปเธอจะไม่ลงนรก จะไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า ไม่ต้องเกิดเป็นพรหม จะมานิพพานเลย ความเป็นมนุษย์ เธอก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทรัพย์สินที่หามาได้มันก็ไม่ค่อยจะพอใช้ ตัวเองนะเหลือใช้แต่ลูกๆบ้าง เพื่อนบ้านใกล้เคียงบ้างช่วยกันใช้บ้าง เธอก็มีแต่ความหนักใจ ความเป็นมนุษย์มีความแก่เป็นประจำ เธอก็ไม่นึกถึงความแก่ ความเป็นมนุษย์มีความป่วยเป็นประจำ เธอก็ลืมนึกถึงความป่วย ความเป็นมนุษย์ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นประจำ พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย ลูกตาย หลานตาย เห็นอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยนึกว่าจะตาย อาศัยที่เป็นคนประมาทในสมัยที่เป็นมนุษย์ มาเป็นนางฟ้าก็เป็นนางฟ้าประมาท เพลิดเพลินในทิพยสมบัติมากเกินไป มีวิมานหลังใหญ่ มีบริวารมาก มีความสุข ไม่มีการงาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความเป็นทิพย์ มีความสุขมากเกินไป จนลืมนึกถึงความตายจากการเป็นนางฟ้า ถ้าตายจากความเป็นนางฟ้าเมื่อไร ต้องลงนรกเมื่อนั้น ต่อไปนี้ตถาคตจะแนะนำว่า ถ้าเธอปฏิบัติได้จะไม่ต้องลงนรกต่อไป บาปทั้งหมดจะไม่ให้ผล มีอย่างเดียวคือก้าวเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเธอตัดสินใจได้ตามนั้น วิมานจะปรากฏบนนิพพาน"
    หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ ๕ ข้อคือ ข้อ ๑ "เธอจงคิดไว้เสมอว่า #ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง #ความตายเป็นของเที่ยง การเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะไม่มีอายุอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตายหรือที่เรียกว่า "จุติ" ศัพท์ชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย เธอเข้าใจและแน่ใจไหม" โยมก็ตอบว่า "แน่ใจเจ้าค่ะ จุติหน้าแต่ไม่รู้เวลา" ท่านก็บอกว่า "ใช้ได้ ให้มั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องจุติ วิมานหลังที่เธออยู่ทั้งหมดจะหายไป สมบัติปัจจุบันจะไม่มีสำหรับเธออีก เหมือนกับสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอสะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แต่เธอตายจากความเป็นมนุษย์แล้วคนอื่นเข้ามาปกครอง เวลานี้สมบัติเป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน จากชิ้นใหญ่เป็นชิ้นเล็ก บางชิ้นก็ถูกขายไปบ้าง เธอก็ไม่สามารถจะห้ามปรามเขาได้ เธอเหน็ดเหนื่อยมากฉันใด ทรัพย์สมบัติส่วนนั้นเธอก็ไม่สามารถปกครองระวังรักษาได้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น ขอเธอจงนึกว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า วิมานที่สวยสดงดงามของเธอ บริวารของเธอ ร่างกายที่เป็นทิพย์ของเธอจะสลายตัว นั่นคือตาย" ท่านถามว่า "นึกออกไหมและมีความมั่นใจไหม" โยมก็ตอบว่า "มีความมั่นใจเจ้าค่ะ คราวนี้มั่นใจแล้วว่าต้องจุติ เพราะเทวดา นางฟ้า พรหม เคยจุติให้เห็นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยคิดว่าตัวเองจะต้องจุติ เวลานี้คิดแล้วเจ้าค่ะ" ท่านถามว่า "เธอมั่นใจรึ" โยมก็ตอบว่า "มั่นใจเจ้าค่ะ"
    ข้อที่ ๒ "ต่อไปนี้เธอจงกลับใจเสียใหม่ การบูชาพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่เธอทำอยู่เป็นของดีแต่ว่าความมั่นคงมีน้อย ยังมีความเคารพตามแบบประเพณีนิยม หลังจากนี้ไป จงตัดกำลังใจว่า เราจะมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เคารพในพระธรรมอย่างยิ่ง เคารพในพระอริยสงฆ์อย่างยิ่ง หมายความว่าจิตของเราจะไม่ปล่อยพระพุทธเจ้า ไม่ปล่อยพระธรรม ไม่ปล่อยพระอริยสงฆ์ จิตจะจดจ่ออยู่ที่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นปกติ" ท่านถามว่า "เธอทำได้ไหม" โยมก็ตอบว่า "ทำได้แล้วเจ้าค่ะ เวลานี้มีความมั่นใจเพราะอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ต่อหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ และต่อหน้าพรหม เทวดาทั้งหมด ทุกอย่างมีความมั่นใจหมด"
    ข้อที่ ๓ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เธอต้องการมาพระนิพพานไหม" โยมก็ตอบว่า "ต้องการอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ทีแรกไม่เคยทราบเลยว่านิพพานมีอยู่" ท่านก็ถามว่า "ลูกชายของเธอพาเทวดา นางฟ้า พรหม มาอยู่เสมอ ทำไมจึงไม่ตามมา" โยมตอบว่า "ไม่อยากจะไปไหนมีความสุขกับวิมาน มีความสุขกับการบูชาพระ เวลาบูชาพระแล้วไม่อยากเลิกนั่งอยู่ข้างหน้าพระ" ท่านบอกว่า "ทีหลังเอาใหม่ เอากายนั่งที่นี้ เอาใจนั่งไว้ที่พระ กายจะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินก็ได้ แต่ใจนั่งไว้ที่พระ คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรม ใจนึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นนิจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ก่อน เธอทำได้ไหม" โยมก็ตอบว่า "มั่นใจแล้วเจ้าค่ะ"
    ข้อที่ ๔ ต่อไปท่านก็บอกว่า "ศีล ๕ เธอสามารถรักษาได้ไหม" โยมตอบว่า "เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ศีล ๕ บางสิกขาบทบกพร่องเจ้าค่ะ" สมเด็จองค์ปฐมจึงตรัสว่า "นี่เธอ ฉันถามในฐานะที่เป็นนางฟ้านะ ไม่ใช่ถามถึงความเป็นมนุษย์ เวลานี้ความเป็นมนุษย์หมดไปแล้ว เรื่องบาปประเภทนั้นไม่ต้องคิดถึงมัน เวลานี้เราไม่มีบาปจะทำ มีทำอย่างเดียวคือบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดา นางฟ้า ชั้นยามา ได้เปรียบกว่าชั้นอื่นนอกจากชั้นดุสิต นั่งบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลตลอดเวลา" แล้วท่านก็ถามว่า " มีความมั่นใจไหมว่าจะรักษาศีล ๕ ได้ครบ" โยมก็นิ่ง ท่านก็บอก
    ๑. "ปาณาติบาต การไม่ฆ่าสัตว์เธอทำได้ไหม" โยมนิ่งประเดี๋ยวก็ตอบว่า "ได้เจ้าค่ะ"
    ๒. "อทินนาทาน การไม่ลักทรัพย์เธอทำได้ไหม" โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ"
    ๓. "กาเมสุมิจฉาจาร เธอจะไม่ละเมิดความรักของผู้อื่นทำได้ไหม" โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ"
    ๔. "มุสาวาท จะไม่กล่าวเท็จทำได้ไหม" โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ"
    ๕. "สุราและเมรัย เราจะไม่ดื่มทำได้ไหม" โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราเมรัย การพนัน ในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ทำอยู่แล้ว"
    สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า "ความจริงการเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ก็มีศีล ๕ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะการฆ่าสัตว์ก็ไม่มีสัตว์จะฆ่า การขโมยทรัพย์ก็ไม่มีความจำเป็นจะขโมย ถ้าไม่ใช่ทรัพย์สินของเรา เราเอามาไม่ได้ เพราะที่นี่มีแต่ความเป็นทิพย์ ความรักในระหว่างเพศก็ไม่มี การพูดมุสาวาทก็ไม่มี เพราะไม่มีความจำเป็น การดื่มสุราเมรัยก็ไม่มีจะดื่ม รวมความว่าการเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม มีศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว"
    ข้อที่ ๕ "ต่อนี้ไปเธอจงตัด ทำลายอวิชชาคือความโง่ เธอนึกว่ามนุษย์โลกดีหรือไม่ดี" โยมก็ตอบว่า "ไม่ดีเจ้าค่ะ" ท่านถามว่า "ไม่ดีเพราะอะไร" โยมตอบว่า "เพราะว่า เกิดแล้วก็แก่ มีการงาน มีการป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องตาย ตายแล้วก็ไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติที่หามาได้ติดตัวไป และความเป็นมนุษย์ก็วุ่นวายเรื่องการงาน เหน็ดเหนื่อยๆอยู่เสมอ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ" ท่านบอก "ก็ถูกแล้ว เธอต้องการเป็นมนุษย์อีกไหม" โยมบอกว่า "ไม่ต้องการเจ้าค่ะ" ท่านถามว่า "การเป็นนางฟ้า เทวดา พรหม จะต้องจุติเธอต้องการอีกไหม" โยมก็ตอบว่า "ไม่ต้องการเจ้าค่ะ"
    ท่านก็ถามว่า "การมาอยู่ที่นิพพานนี่ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องจุติ ไม่มีการป่วย ไม่มีกิจการงานใดๆ อะไรก็ตามถ้าเป็นความเหมาะสมก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องไปจับ ไม่ต้องนึก เธอต้องการไหม" โยมตอบว่า "ต้องการเจ้าค่ะ" และท่านก็บอกว่า "ให้เธอนิ่งสักประเดี๋ยวหนึ่ง ตัดสินใจว่าทั้ง ๕ ข้อนี้จะทำได้ไหม" โยมก็นั่งนิ่งสักอึดใจหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า "ตัดสินใจได้แล้วเจ้าค่ะ พร้อมแล้วที่จะมานิพพาน ร่างกายในความเป็นทิพย์นั้นจะจุติเมื่อไหร่ไม่เสียดาย ขอมานิพพานอย่างเดียว" พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ก็จบแค่นี้" พอท่านบอกว่าจบแค่นี้ วิมานก็ปรากฏทันที ท่านชี้ให้ดูทางด้านขวามือของท่าน ท่านหันหน้าไปทางทิศใต้บอกว่า "โน้น วิมานของเธอปรากฏแล้ว สวยสดงดงามอย่างยิ่ง หลานหญิงคือ พรทิพย์ กับ พวงทิพย์ พาย่าไปชมวิมานซิ" โยมก็บอกว่า "ยังไม่ไปเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่ขอลุกไปก่อน"
    หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าวิมาน เทวดา นางฟ้า และพรหมทั้งหมด ต่างคนต่างเข้าวิมาน แยกย้ายไปสู่วิมานของตนในนิพพาน ที่ยังไม่มีวิมานก็กลับที่เดิมและบอกว่า ตั้งใจจะปฏิบัติให้ได้ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อกี้นี้เป็นของไม่ยาก ต้องพยายามมีวิมานให้ได้.."
    คัดลอกจากหนังสือ
    ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน (หน้าที่ ๘๒-๘๘)
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี




    ************************************************************
    #อาตมาพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน..๒/๓
    ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ วันนี้อาตมาป่วยมาก หลังจากไปสั่งงานให้นายช่างทำมณฑปพระยืน ๘ ศอก เสร็จแล้วก็กลับมานอนพัก รู้สึกว่างงมากและเหนื่อยมาก มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ร่างกายนี้คงจะทรงตัวได้ไม่นาน อาจจะตายภายในไม่ช้านี้ก็ได้ จึงได้รวบรวมกำลังใจขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรคือ พระพุทธเจ้าที่วิมานบนพระนิพพาน
    คำว่า "นิพพาน" นี้ใครจะว่าสูญก็เป็นเรื่องของท่าน แต่อาตมามีความรู้สึกว่าไม่สูญ ความจริงเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะอ่านกันแต่เพียงหนังสืออย่างเดียว ก็คงไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาแน่นอนนัก เพราะความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่ดีก็ควรจะค้นคว้าด้วยวิธีปฏิบัติ แนวปฏิบัติมี ๔ อย่างคือ
    ๑) #สุกขวิปัสโก
    ๒) #เตวิชโช
    ๓) #ฉพภิญโญ
    ๔) #ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    ถ้าเราทำได้ครบทุกอย่าง ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เมื่ออาตมาไปถึงพระนิพพานแล้ว ก็ไปนั่งที่ที่เคยนั่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับอยู่หลายองค์ ไปถึงก็กราบนมัสการท่าน ท่านก็ตรัสว่า..
    "คุณ เทวดา นางฟ้า พรหม เขาคอยอยู่ที่เทวสภาเต็มหมด ทำไมไม่ไปแวะที่นั่นก่อน กลับไปที่เทวสภาก่อน"
    จึงได้กราบท่าน แล้วมาที่เทวสภา พอมาถึงก็เห็นท่านผู้มีพระคุณคือ บิดามารดาเดิม ครูบาอาจารย์ ท่านย่า ท่านปู่ใหญ่ ท่านผู้มีคุณทั้งหลายรวมทั้งในชาติปัจจุบัน ก็ถือว่า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดเป็นผู้มีคุณทั้งหมด
    เพราะว่า งานทุกอย่างทุกประเภทท่านช่วย ที่ทำสำเร็จขึ้นมาได้ก็เพราะพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา นางฟ้า และท่านย่ากรุณาส่งลูกแก้วให้ แก้วจักรพรรดิพิมานหรือแก้วเพชรจักรพรรดิก็ตาม ตามใจจะเรียก องค์นี้หลวงปู่ชุ่มให้ไว้ก่อน
    ต่อมาท่านย่านำองค์เล็กมาให้บอกว่า เป็นองค์น้อง มีไว้ ๒ องค์ งานทุกอย่างจะสำเร็จหมดตามประสงค์ เมื่อกราบขอบคุณท่านเสร็จ อาตมาก็บอกว่า..
    "ต่อนี้ไปอาตมาจะไปพระนิพพาน มีท่านผู้ใดบ้างจะไปพระนิพพานกับอาตมา เชิญไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิมานหลังใหญ่ที่พระพุทธเจ้า ท่านอนุญาตให้ทุกท่านไปพักได้ทุกเวลา โดยไม่ต้องมีอาตมานำไป
    บริเวณทั้งหมดกว้างใหญ่ไพศาล เดินเล่นตามสบาย หลังจากนั้นต่างองค์ต่างมีวิมานบนพระนิพพานอยู่แล้ว ทุกท่านจะไปวิมานของท่านก็ได้ หรือจะไปเที่ยววิมานของอาตมาก็ได้"
    เมื่อพูดจบอาตมาก็ลุกจากที่เทวดานางฟ้า พรหมทั้งหมดก็ตามมา พอมาถึงอาตมาก็นั่งที่เดิม นมัสการพระพุทธเจ้า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็นั่งที่วิมานหลังใหญ่ สำหรับวิมานหลังที่อาตมานั่งก็มีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดนั่งอยู่เต็ม
    พอดีหันไปทางขวาพบโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านนั่งอยู่ด้านขวา จึงถามท่านว่า.. "โยมขึ้นมาบนสวรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อโยมมีบาปมากเพราะอาศัยความรักลูกเป็นห่วงลูก เกรงว่าลูกจะอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีล ๔ ข้อโยมครบถ้วน แต่ศีลข้อที่ ๑ คือปาณาติบาต โยมจับสัตว์คือปลามาให้ลูกกิน มันก็บาป แล้วโยมทำไมจึงมาสวรรค์ได้"
    โยมก็ตอบว่า.. "ขณะที่ผมหนุ่มๆ ผมทำอย่างนั้นจริง และไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่การปฏิบัติในศีลในธรรมทุกอย่างครบถ้วน เว้นไว้แต่ปาณาติบาต เหล้าก็ไม่กิน ฝิ่นก็ไม่สูบ บุหรี่ก็ไม่สูบ ทุกอย่างครบถ้วน แต่ทว่าตอนแก่ตัว คุณอยู่ที่วัดบางนมโคก็ดี อยู่ที่กรุงเทพฯก็ดี ผมมีความเป็นห่วงคุณเป็นอันมาก
    ทุกวันทุกคืนนึกถึงแต่คุณองค์เดียวว่า อยู่ไกลจากพี่น้องจะมีความลำบาก นึกถึงอย่างนี้จนกระทั่งถึงป่วย ยิ่งเวลาป่วยยิ่งนึกถึงมากขึ้น เพราะอาศัยนึกถึงคุณเป็นอารมณ์อย่างนี้อย่างเดียวโดยเฉพาะอย่างนี้เรียกว่าเป็น " #สังฆานุสสติ" คือนึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ พอตายจากความเป็นคน โยมก็ขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา"
    ตามปกติสมัยเป็นมนุษย์โยมก็ชอบบูชาพระ สวดมนต์อยู่เสมอถึงวัดจะไม่ค่อยได้ไปก็ไม่เป็นไรแต่ทำที่บ้าน จึงถามว่า.. "วิมานของโยมบนพระนิพพานมีแล้วหรือยัง"
    โยมก็ตอบว่า.. "มี" และชี้มือไปทางด้านขวาบอกว่า.. "วิมานของโยมตั้งด้านขวาวิมานของคุณด้านโน้น"
    อาตมาก็เหลียวไปดูก็เห็นวิมานของโยมสวยสดงดงามมาก
    หลังจากนั้นอาตมาได้ถามโยมผู้หญิงในชาติปัจจุบันว่า "โยม ในสมัยที่เป็นมนุษย์เป็นนักบุญชอบบูชาพระ ชอบไปวัดชอบฟังเทศน์ไม่ขาดเกือบทุกวันพระ เรื่องเกี่ยวกับบุญเกี่ยวกับอะไรก็ตามสนใจทุกอย่าง เวลานี้โยมอยู่ชั้นไหน"
    โยมผู้หญิงตอบว่า.. "อยู่ชั้นยามาเหมือนกับโยมพ่อ แต่ว่าฉันชอบบูชาพระ ทุกวันจะให้นางฟ้าก็ดี ฉันก็ดี จะช่วยกันเก็บดอกไม้ในวิมานเป็นดอกไม้สีขาว ชั้นยามานี้สีขาวหมด แล้วนำมาบูชาพระ"
    อาตมาถามว่า.. "ดอกไม้ที่เหลือจากการบูชาพระมันไม่เหี่ยวไม่แห้งหรือ"
    ท่านก็บอกว่า.. "ไม่เหี่ยวไม่แห้ง ถ้าเราไม่ต้องการดอกไม้ก็หายไป ไม่ต้องเอาไปทิ้งแล้วก็ไปเก็บมาใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน"
    ถามว่า.. "ในเมื่อโยมเป็นนักบุญแบบนี้ เวลานี้โยมมีวิมานบนพระนิพพานแล้วหรือยัง"
    ท่านตอบว่า.. "ยัง"
    อาตมาแปลกใจ ถามว่า.. "โยมผู้ชายความจริงเสียเปรียบโยมผู้หญิง เพราะทำปาณาติบาตมาก แต่โยมผู้หญิงไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาต บาปไม่ค่อยได้ทำ
    ทำแต่บุญ ทำไมจึงไม่มีวิมานบนพระนิพพานพระพุทธเจ้าเทศน์ตั้งหลายครั้ง โยมจำไม่ได้หรือ"
    ท่านบอกว่า.. "จำเหมือนกัน แต่มันเพลินความสุข ไม่เคยคิดว่าจะจุติ ไม่เคยคิดว่าจะตายจากวิมานนี้"
    จึงบอกว่า.. "นับว่ามีความประมาทมากถ้าอย่างนั้นขอให้โยมออกมานั่งข้างหน้า"
    ท่านก็มานั่งข้างหน้า อาตมาบอกให้ท่านหันหน้าไปทางพระพุทธเจ้า ท่านก็หันหน้าไปทางพระพุทธเจ้าแล้วกราบพระพุทธเจ้า
    สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงเทศน์ว่า..
    "เจ้าผู้เจริญ เจ้ายังไม่มีวิมานอยู่บนพระนิพพานใช่ไหม"
    โยมผู้หญิงก็ตอบว่า.. "ใช่เจ้าค่ะ"
    พระองค์ตรัสต่อว่า.. "ทั้งนี้เพราะเจ้ามีความประมาทมากเกินไป มีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ถือตัวว่ามีบริวารมาก มีวิมานใหญ่ มีความสุขตั้งใจบูชาพระ แต่การบูชาพระของเธอเป็นการบูชาพระแต่ผิวเผิน เป็นการเข้าถึงพระแบบผิวเผินไม่ใช่ลึกซึ่งนัก ฉะนั้นจึงไม่มีวิมานอยู่บนนิพพาน เธอจงทบทวนถึงความจริงของเธอในสมัที่เป็นมนุษย์ เธอมีบาปอะไรบ้าง"
    โยมก็ตอบว่า.. "มีบาปหลายอย่างเจ้าค่ะ"
    ท่านก็ถามว่า.. "เธอรู้จักนรกไหม"
    โยมก็ตอบว่า.. "ไม่รู้จักเจ้าค่ะ"
    ท่านถามว่า.. "เธอเชื่อไหมว่ามีนรก"
    โยมก็ตอบว่า.. "เชื่อเจ้าค่ะ"
    ท่านตรัสว่า.. "ถ้าอย่างนั้นเธอจงดู" แล้วท่านก็ชี้มือลงเบื้องต่ำ เห็นนรกแดงฉานไปหมด มีตั้งหลายขุม
    ขุมใหญ่ ๘ ขุม ขุมเล็กรวมแล้ว ๔๐๐ กว่าขุม
    ท่านบอกว่า.. "บาปของเธอที่มีอยู่ ตถาคตจะพูดให้ฟัง บาปอย่างนี้ในเมื่อเธอจุติจากชั้นยามจะพุ่งหลาวลงนรกขุมนี้ เธอจงดูการลงโทษ การถูกเผาไฟจะมีอย่างนี้ตลอดเวลา ไฟนรกโชติช่วง พื้นเหล็กก็แดงฉาน ทั้งหอกทั้งดาบ ดาบก็ฟัน หอกก็แทง ฆ้อนก็ทุบ เมื่อพ้นบาปขุมนี้แล้วต่อไปก็ลงขุมที่ ๒ ไม่ใช่นับ ๑,๒,๓ ตามลำดับขุมนรกนะ เป็นขุมที่ ๒ ที่ต้องลง เมื่อลงแล้วก็ต้องลงขุมที่ ๓ จากนั้นก็มาขุมที่ ๔ ขุมที่ ๕ ลงหลายขุม
    เธอจงจำไว้ว่า การที่เธอมาเกิดเป็นนางฟ้าชั้นยามานี่ เพราะอาศัยบุญเล็กน้อย ที่ชอบการบูชาพระ ชอบให้ทาน ชอบรักษาศีล ชอบเจริญภาวนา แต่กำลังใจของเธอไม่มีความจริงจัง ทำตามประเพณีเสียส่วนมาก เห็นผู้ใหญ่เขาทำก็ทำ จิตใจมีความไม่มั่นคงนัก เพราะอาศัยบุญเล็กน้อยที่เธอนึกถึงก่อนตายบันดาลให้เธอมาเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา จงอย่าลืมว่าในอีกไม่ช้านัก เธอก็จะหมดบุญ ในเมื่อหมดบุญแล้วก็จะต้องลงนรก เธอกลัวไหม"
    เธอก็บอกว่า.. "กลัวเจ้าค่ะ
    ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าท่านจะซีด ผิวพรรณไม่ค่อยผ่องใสแสดงว่ากลัวนรก
    ต่อ..๓
    #หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (#พระมหาวีระ_ถาวโร ป.ธ.๔)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
    1f4d6.png : ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน หน้า ๘๒-๘๕
    1f58a.png ..Moddam Thammawong
    ****************************************************************
    #อาตมาพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน..๓/๓
    สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า...
    "ดูก่อน หญิงผู้เจริญ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตถาคตจะแนะนำให้ตัดนรกดีไหม เอาไหม ถ้าปฏิบัติได้ นับแต่นี้ไปเธอจะไม่ลงนรก จะไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า ไม่ต้องเกิดเป็นพรหม จะมานิพพานเลย
    ความเป็นมนุษย์ เธอก็เต็มไปด้วยความทุกข์
    ทรัพย์สินที่หามาได้มันก็ไม่ค่อยจะพอใช้ ตัวเองนะเหลือใช้ แต่ลูกๆ บ้าง เพื่อนบ้านใกล้เคียงบ้างช่วยกันใช้บ้าง เธอก็มีแต่ความหนักใจ ความเป็นมนุษย์ก็มีความแก่เป็นประจำ เธอก็ไม่นึกถึงความแก่ ความเป็นมนุษย์มีความป่วยเป็นประจำ เธอก็ลืมนึกถึงความป่วย ความเป็นมนุษย์ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นประจำ พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย ลูกตาย หลานตาย เห็นอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยนึกว่าจะตาย
    อาศัยที่เป็นคนประมาทในสมัยที่เป็นมนุษย์ มาเป็นนางฟ้าก็เป็นนางฟ้าประมาท เพลิดเพลินในทิพยสมบัติมากเกินไป มีวิมานหลังใหญ่ มีบริวารมาก มีความสุข ไม่มีการงาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความเป็นทิพย์ มีความสุขมากเกินไปจนลืมนึกถึงความตาย จากการเป็นนางฟ้า ถ้าตายจากความเป็นนางฟ้าเมื่อไรต้องลงนรกเมื่อนั้น
    ต่อไปนี้ตถาคตจะแนะนำว่า ถ้าเธอปฏิบัติได้จะไม่ต้องลงนรกต่อไป บาปทั้งหมดจะไม่ให้ผล มีอย่างเดียวคือก้าวเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเธอตัดสินใจได้ตามนั้น วิมานจะปรากฏบนนิพพาน"
    หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ ๕ ข้อคือ
    #ข้อ๑ "เธอจงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงความตายเป็นของเที่ยง การเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะไม่มีอายุอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตายหรือที่เรียกว่า "จุติ" ศัพท์ชาวบ้านเขาเรียกว่า "ตาย" เธอเข้าใจและแน่ใจไหม"
    โยมก็ตอบว่า.. "แน่ใจเจ้าค่ะ จุติแน่แต่ไม่รู้เวลา"
    ท่านก็บอกว่า.. "ใช้ได้ ให้มั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องจุติ วิมานหลังที่เธออยู่ทั้งหมดจะหายไป สมบัติปัจจุบันจะไม่มีสำหรับเธออีก เหมือนกับสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอสะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แต่เธอตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว คนอื่นเข้ามาปดครอง เวลานี้สมบัติเป็นชิ้น เป็นท่อน เป็นตอน จากชิ้นใหญ่เป็นชิ้นเล็ก บางชิ้นก็ถูกขายไปบ้าง เธอก็ไม่สามารถจะห้ามปรามเขาได้ เธอเหน็ดเหนื่อยมากฉันใด ทรัพย์สมบัติส่วนนั้นเธอก็ไม่สามารถปกครองระวังรักษาได้
    ข้อนี้ก็ฉันนั้น ขอเธอจงนึกว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า วิมานที่สวยสดงดงามของเธอ บริวารของเธอ ร่างกายที่เป็นทิพย์ของเธอจะสลายตัว นั่นคือตาย"
    ท่านถามว่า.. "นึกออกไหมและมีความมั่นใจไหม"
    โยมก็ตอบว่า.. "มีความมั่นใจเจ้าค่ะ คราวนี้มั่นใจแล้วว่าต้องจุติ เพราะเทวดา นางฟ้า พรหมเคยจุติให้เห็นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยคิดว่าตัวจะต้องจุติ เวลานี้คิดแล้วเจ้าค่ะ"
    ท่านถามว่า.. "เธอมั่นใจรึ"
    โยมก็ตอบว่า.. "มั่นใจเจ้าค่ะ"
    #ข้อที่๒ "ต่อไปนี้เธอจงกลับใจเสียใหม่ การบูชาพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่เธอทำอยู่เป็นของดี แต่ว่าความมั่นคงยังมีน้อย ยังมีความเคารพตามแบบประเพณีนิยม
    หลังจากนี้ไป จงตัดกำลังใจว่า เราจะมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เคารพในพระธรรมอย่างยิ่ง เคารพในพระอริยสงฆ์อย่างยิ่ง หมายความว่า จิตเราจะไม่ปล่อยพระพุทธเจ้า ไม่ปล่อยพระธรรม ไม่ปล่อยพระอริยสงฆ์ จิตจะจดจ่ออยู่ที่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นปกติ"
    ท่านถามว่า.. "เธอทำได้ไหม"
    โยมก็ตอบว่า.. "ทำได้แล้วเจ้าค่ะ เวลานี้มีความมั่นใจเพราะอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ต่อหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ และต่อหน้าพรหม เทวดาทั้งหมด ทุกอย่างมีความมั่นใจหมด"
    #ข้อที่๓ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า.. "เธอต้องการมาพระนิพพานไหม"
    โยมก็ตอบว่า.. "ต้องการอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ทีแรกไม่เคยทราบเลยว่านิพพานมีอยู่"
    ท่านก็ถามว่า.. "ลูกชายของเธอพาเทวดา นางฟ้า พรหม มาอยู่เสมอ ทำไมจึงไม่ตามมา"
    โยมตอบว่า.. "ไม่อยากจะไปไหนมีความสุขกับวิมาน มีความสุขกับการบูชาพระ เวลาบูชาพระแล้วไม่อยากเลิกนั่งอยู่ข้างหน้าพระ"
    ท่านบอกว่า.. "ทีหลังเอาใหม่ เอากายนั่งที่นี้ เอาใจนั่งไว้ที่พระ กายจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินก็ได้ แต่ใจนั่งไว้ที่พระ คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรม ใจนึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นนิจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ก่อน เธอทำได้ไหม"
    โยมก็ตอบว่า.. "มั่นใจแล้วเจ้าค่ะ"
    #ข้อที่๔ ต่อไปท่านก็บอกว่า.. "ศีล ๕ เธอสามารถรักษาได้ไหม"
    โยมตอบว่า.. "เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ศีล ๕ บางสิกขาบทบกพร่องเจ้าค่ะ"
    สมเด็จองค์ปฐมจึงตรัสว่า.. "นี่เธอ ฉันถามในฐานะที่เป็นนางฟ้านะ ไม่ใช่ถามถึงความเป็นมนุษย์ เวลานี้ความเป็นมนุษย์หมดไปแล้ว เรื่องบาปประเภทนั้นไม่ต้องคิดถึงมัน เวลานี้เราไม่มีบาปจะทำ มีทำอย่างเดียวคือบุญ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดา นางฟ้า ชั้นยามา ได้เปรียบกว่าชั้นอื่นนอกจากชั้นดุสิต นั่งบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลตลอดเวลา"
    แล้วท่านก็ถามว่า.. " มีความมั่นใจไหมว่า จะรักษาศีล ๕ ได้ครบ" โยมก็นิ่ง
    ท่านก็บอก..
    ๑." #ปาณาติบาต การไม่ฆ่าสัตว์เธอทำได้ไหม"
    โยมนิ่งประเดี๋ยวก็ตอบว่า "ได้เจ้าค่ะ"
    ๒." #อทินนาทาน การไม่ลักทรัพย์เธอทำได้ไหม"
    โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ"
    ๓." #กาเมสุมิจฉาจาร เธอจะไม่ละเมิดความรักของผู้อื่นทำได้ไหม"
    โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ"
    ๔." #มุสาวาท จะไม่กล่าวเท็จทำได้ไหม"
    โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ
    ๕." #สุราและเมรัย เราจะไม่ดื่มทำได้ไหม"
    โยมก็ตอบว่า "ทำได้เจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราเมรัย การพนัน ในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ทำอยู่แล้ว"
    สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า.. "ความจริงการเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ก็มีศีล ๕ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะการฆ่าสัตว์ก็ไม่มีสัตว์จะฆ่า การขโมยทรัพย์ก็ไม่มีความจำเป็นจะขโมย ถ้าไม่ใช่ทรัพย์สินของเรา เราเอามาไม่ได้ เพราะที่นี่มีแต่ความเป็นทิพย์ ความรักในระหว่างเพศก็ไม่มี การพูดมุสาวาทก็ไม่มี เพราะไม่มีความจำเป็น การดื่มสุราเมรัยก็ไม่มีจะดื่ม รวมความว่า การเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม มีศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว"
    #ข้อที่๕ "ต่อนี้ไปเธอจงตัดทำลายอวิชชาคือความโง่ เธอนึกว่ามนุษยโลกดีหรือไม่ดี"
    โยมก็ตอบว่า.. "ไม่ดีเจ้าค่ะ"
    ท่านถามว่า.. "ไม่ดีเพราะอะไร"
    โยมตอบว่า.. "เพราะว่า เกิดแล้วก็แก่ มีการงาน มีการป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องตาย ตายแล้วก็ไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติที่หามาได้ติดตัวไป และความเป็นมนุษย์ก็วุ่นวายเรื่องการงานเหน็ดเหนื่อยอยู่เสมอ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ"
    ท่านบอก.. "ก็ถูกแล้ว เธอต้องการเป็นมนุษย์อีกไหม"
    โยมบอกว่า.. "ไม่ต้องการเจ้าค่ะ
    ท่านถามว่า.. "การเป็นนางฟ้า เทวดา พรหม เธอต้องการอีกไหม"
    โยมก็ตอบว่า.. "ไม่ต้องการเจ้าค่ะ"
    ท่านก็ถามว่า.. "การมาอยู่ที่นิพพานนี่ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องจุติ ไม่มีการป่วย ไม่มีกิจการงานใดๆ อะไรก็ตามถ้าเป็นความเหมาะสมก็จะปรากฏขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่ต้องจับ ไม่ต้องนึก เธอต้องการไหม"
    โยมตอบว่า.. "ต้องการเจ้าค่ะ"
    และท่านก็บอกว่า.. "ให้เธอนิ่งสักประเดี๋ยวหนึ่ง ตัดสินใจว่าทั้ง ๕ ข้อนี้จะทำได้ไหม"
    โยมก็นั่งนิ่งสักอึดใจหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า.. "ตัดสินใจได้แล้วเจ้าค่ะ พร้อมแล้วที่จะมานิพพาน ร่างกายในความเป็นทิพย์นั้นจะจุติเมื่อไรไม่เสียดาย ขอมานิพพานอย่างเดียว"
    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า.. "ก็จบแค่นี้"
    พอท่านบอกว่าจบแค่นี้ วิมานก็ปรากฏทันที ท่านชี้ให้ดูทางด้านขวามือของท่าน ท่านหันหน้าไปทางทิศใต้บอกว่า.. "โน้น วิมานของเธอปรากฏแล้ว สวยสดงดงามอย่างยิ่ง หลานหญิงคือ #พรทิพย์ กับ #พวงทิพย์ พาย่าไปชมวิมานซิ"
    โยมก็บอกว่า.. "ยังไม่ไปเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ที่นี่ยังไม่ขอลุกไปก่อน"
    หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าวิมาน เทวดา นางฟ้าและพรหมทั้งหมด ต่างคนต่างเข้าวิมาน แยกย้ายไปสู่วิมานของตนในนิพพาน ที่ยังไม่มีวิมานก็กลับที่เดิมและบอกว่า ตั้งใจจะปฏิบัติให้ได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อกี้นี้เป็นของไม่ยาก ต้องพยายามมีวิมานให้ได้..."
    #หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (#พระมหาวีระ_ถาวโร ป.ธ.๔)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
    1f4d6.png : ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน หน้า ๘๕-๘๘
    1f58a.png ..Moddam Thammawong
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ?temp_hash=ff0fa5cf845a38bea4f782e7ada48a02.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 36780.jpg
      36780.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.4 KB
      เปิดดู:
      329
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    T4Ect89F8KnBqxxuUoVpkVMR4CSXEoVqgVnKm3UELfWS&_nc_ohc=ZXgvWOCIt3EAX_KvHAh&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    งานวันเกิดยิ่งใหญ่ใครคนนั้น
    ฉลองกันในกลุ่มผู้ลุ่มหลง
    หลงลาภยศสรรเสริญเพลินทะนง
    วันเกิดส่งชีพสั้นเร่งวันตาย

    อีกมุมหนึ่งซึ่งเหงาน่าเศร้าแท้
    หญิงแก่ๆ นั่งหงอยและคอยหาย
    โอ้วันนั้นเป็นวันอันตราย
    แม่คลอดสายโลหิตแทบปลิดชนม์

    วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่
    เจ็บท้องแท้เท่าไหร่ก็ไม่บ่น
    กว่าอุ้มท้องกว่าจะคลอดรอดเป็นคน
    เติบโตจนบัดนี้นี่เพราะใคร

    แม่เจ็บเจียนขาดใจในวันนั้น
    กลับเป็นวันลูกฉลองกันผ่องใส
    ได้ชีวิตแล้วก็หลงระเริงใจ
    ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา

    ไฉนจึงเรียกกันว่าวันเกิด
    วันผู้ให้กำเนิดจะถูกกว่า
    คำอวยพรที่เขียนควรเปลี่ยนมา
    ให้มารดาเราเป็นสุขจึงถูกแท้

    เลิกจัดงานวันเกิดกันเถิดนะ
    ควรที่จะคุกเข่ากราบเท้าแม่
    ระลึกถึงพระคุณอบอุ่นแด
    อย่ามัวแต่จัดงานประจานตัว

    อันพระคุณใครๆ ในพิภพ
    ยังรู้จบแจ้งคำมาพร่ำขาน
    แม่และพ่อคุณต่อบุตรสุดประมาณ
    ขอกราบกรานระลึกถึงซึ้งพระคุณ

    เจ้าข้าเอ๋ยใครหนอใครให้กำเนิด
    จึงก่อเกิดเติบใหญ่ด้วยไออุ่น
    ทั้งกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาด้วยการุณย์
    ช่วยค้ำจุนจนรอดพ้นเป็นคนมา

    ถึงลำบากร่างกายใจห่วงลูก
    จิตพันผูกดวงใจให้ห่วงหา
    หัวอกใครจะอุ่นเท่าอีกเล่านา
    คอยปลอบเช็ดน้ำตาคราระทม

    เป็นแดนใจใสสะอาดปราศกิเลส
    เป็นสรรเพชญ์ของบุตรพิสุทธิ์สม
    ความรักเปี่ยมด้วยเมตตาน่านิยม
    ประดุจลมโชยเย็นให้เย็นดี

    หอบสังขารทำงานเลี้ยงลูกน้อย
    เกรงจะด้อยใจทรามต่ำศักดิ์ศรี
    จึงส่งให้ได้ศึกษาวิชาดี
    ให้ได้ดีกว่าแม่พ่อที่รอคอย

    เหมือนนกกาหาเหยื่อมาเผื่อลูก
    เปรอความสุขหาทรัพย์ไว้ให้ใช้สอย
    ยามไกลพรากจากอุราตั้งตาคอย
    ใจละห้อยนอนสะอื้นขื่นขมทรวง

    กว่าลูกๆ จะสำนึกพระคุณท่าน
    ช่างเนิ่นนานบ้างชีวาลาลับล่วง
    บ้างก็ป่วยจนแทบสิ้นแดดวง
    ลูกจึงห่วงเอาใจใส่ในกายา
    *********************
    อย่าให้รอใกล้ตายจึงกรายใกล้
    เป็นศพไปจึงรู้บุญคุณท่านหนา
    ยามท่านอยู่ควรรู้ชัดสร้างศรัทธา
    ตอบแทนคุณมารดาบิดาเอย

    ******************
    แม่.....เป็นครูผู้สอนแต่ตอนต้น
    แม่.....ทุกคนอุดมพรหมวิหาร
    แม่.....เมตตากรุณามุทิตาการ
    แม่.....มีญาณอุเบกขาเป็นอารมณ์

    แม่.....เหมือนพระอรหันต์อันสูงสุด
    แม่.....หวังบุตรธิดาอย่าขื่นขม
    แม่.....กับลูกผูกมิตรจิตชื่นชม
    แม่.....จึงสมภาษิตมิตรในเรือน
    **********************

    เพียงตั้งครรภ์ยังไม่ทันเห็นหน้าเจ้า
    ในจิตเฝ้าผูกพันรักมั่นหนอ
    เป็นเลือดก้อนในอุทรท่านพะนอ
    สายเลือดหล่อเลี้ยงปลื้มลูกดื่มกิน

    มนุษย์เรามากมายหลายพันล้าน
    ที่แผ่ซ่านในพิภพจนจบสิ้น
    ผ่านบัณฑิตรวยจนบนแผ่นดิน
    ทุกคนสิ้นสืบกำเนิดเกิดจากครรภ์

    สตรีใดให้กำเนิดเกิดมนุษย์
    โลกสมมุตินามนิยมไว้คมสันต์
    เรียกว่าแม่มาแต่แรกที่แบกครรภ์
    เพราะแม่นั้นครอบครองป้องโลกไว้

    ถึงยากจนก็อดทนเพราะรักลูก
    จิตพันผูกรักยิ่งเกินสิ่งไหน
    ยามคลอดบุตรสุดสวาทแทบขาดใจ
    คลอดพ้นภัยเห็นหน้าเจ้าเฝ้าปรีดา

    เมื่อยามลูกอยู่ในครรภ์พรั่นใจนัก
    กลัวลูกรักจะเป็นทุกข์ไม่สุขา
    จะลุกนั่งเวียนระวังกินข้าวปลา
    คอยรักษาของเผ็ดร้อนก็ผ่อนคลาย

    พร่ำสวดมนต์ภาวนาฟ้าพิทักษ์
    ให้ลูกรักเลิศล้นคนทั้งหลาย
    แม้นเป็นชายก็ประเสริฐเลิศเกินชาย
    เป็นหญิงหมายยอดหญิงยิ่งกว่าใคร

    เมื่อลูกคลอดจากครรภ์แม่หรรษา
    มีเมตตายิ่งนักสุดรักใคร่
    พะนอเลี้ยงเพียงแก้วตายอดยาใจ
    ทั้งมดไรยุงริ้นมิไต่ตอม

    เฝ้าฟูมฟักรักเลี้ยงเพียงชีวิต
    แม่ตั้งจิตโลมเล้าเฝ้าถนอม
    ลูกหลายคนแม่ก็ทนเฝ้าอดออม
    คอยถนอมขวัญลูกผูกดวงมาลย์

    น้ำใจแม่เกื้อกูลการุณย์บุตร
    บริสุทธิ์สูงส่งพรหมวิหาร
    เป็นแม่พระป้องกันภัยอันธพาล
    คุณโอฬารใครไม่เกินกว่ามารดา

    จะเทียบท่าทบเท่าคุณแม่นี้
    ปฐพีท้องทะเลกว้างเวหา
    ทั่วเขตคามสามภพจบโลกา
    คุณมารดามากนักเพราะรักแรง
    *******************

    อันรักใดไหนอื่นมีหมื่นแสน
    ไม่เหมือนแม้นแม่รักสมัครหมาย
    รักของแม่คงมั่นตราบวันตาย
    หญิงหรือชายรักเจ้าเท่าดวงมาลย์

    ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่กรองกลั่น
    เลือดแม่นั้นเลี้ยงหล่อก่อสังขาร
    กว่าจะเป็นตัวตนต้องทนทาน
    ครั้นถึงกาลคลอดเจ้าร้าวระบม

    แม่เจ็บปวดเจียนวายชีวาสิ้น
    หรือถวิลคิดใดให้ขื่นขม
    หวังเพียงลูกปลอดภัยได้ชื่นชม
    ก็สุขสมใจแม่อย่างแท้จริง

    ตั้งแต่น้อยจนใหญ่ใครกันเล่า
    ที่ป้อนข้าวป้อนน้ำทำทุกสิ่ง
    จะหนักเบาเจ้าถ่ายไม่ประวิง
    ไม่ทอดทิ้งกอดกกยามตกใจ

    ขวัญเอ๋ยขวัญมาอยู่มาสู่เจ้า
    แม่คอยเฝ้าชูช่วยยามป่วยไข้
    ยามลูกนอนสายเปลแม่เห่ไกว
    แม้นริ้นไรจะขบกัดแม่พัดวี

    แม่ยอมอดให้ลูกอิ่มก็ยิ้มชื่น
    ทุกวันคืนหวังให้ลูกเป็นสุขศรี
    พระคุณแม่ยิ่งกว่าฟ้าปฐพี
    ชีวิตนี้เกิดมาควรแทนคุณ

    #ร่วมเผยแพร่เตือนสติเพื่อนมนุษย์
    YIkOr7jm500Po8ncWgMGHc27sEYwh04KNyyra-2DButp&_nc_ohc=y7Od1QsVfHsAX8TdlK2&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    b5uOfwTJVULmjGYT64Q_2PbTEiu3tivFO9tjp6LgzlWE&_nc_ohc=C-cAOTaMSWoAX8L52o5&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    kqKSIthgS7SzAlcgCDKxEgB6YNBVau1R48eyzUW8XwMu&_nc_ohc=OKy23UsRDlgAX98YCCN&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    เมื่อถึงเวลาพระองค์ท่านก็เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ เสด็จไปโปรดพระนางพิมพา พระราหุล คือ ทำตามหน้าที่ "ปุตตะทารัสสะสังคะโห" สงเคราะห์บุตร ภรรยาและหมู่ญาติเหล่านี้

    ถ้าสงเคราะห์แล้วเกิดไม่ได้ผลขึ้นมา พระองค์ท่านก็ไม่กังวล ยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม แต่พวกเราถ้าสงเคราะห์แล้วไม่ได้ผล พวกเราจะกังวล จะต่างกันตรงนี้เอง
    ตัวอย่างพระสารีบุตร วาระสุดท้ายของท่านแล้ว ท่านถ่ายเป็นเลือดจะมรณภาพอยู่แล้ว รู้ว่าแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็อุตส่าห์กลับไปโปรด ท่านทำตามหน้าที่ของลูกที่ดี..ใช่ไหม ? สงเคราะห์แม่ได้เท่าไรก็แค่นั้น

    ถาม : หน้าที่ในที่นี้ อะไรคือขอบเขตหน้าที่ของเรา ที่เราคิดว่าไม่อกตัญญู และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เช่นว่าเราจะอกตัญญูเกินไปไหม ? ที่ทิ้งพ่อ แล้วพ่อจะคิดอย่างไร ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าสงเคราะห์ได้ ก็ให้การสงเคราะห์ ถ้ายังสงเคราะห์ไม่ได้ ก็ปล่อยวางไว้ แต่ให้ตั้งจิตหวังไว้ว่า ถ้ามีโอกาสเราจะสงเคราะห์ท่านอีก

    ถาม : แล้วเวลาพ่อว่ากล่าวพระอริยะ ทำให้เราโกรธ จะทำอย่างไรไม่ให้เราโกรธ ?
    ตอบ : แล้วจะไปโกรธทำไมล่ะ ?

    ถาม : กลัวเขาจะลงนรกค่ะ ?
    ตอบ : เห็นพ่อลงแล้วเราก็โดดตาม..! ใช่ไหม ? แหม..ที่โกรธของเรานั่น เท่ากับเราโดดตามไปด้วยแล้ว

    ถาม : ให้เฉย ๆ หรือคะ ?
    ตอบ : วางอุเบกขา ถือว่ากรรมของเขา

    "กัมมัง สัตเต วิภัชชะติ" กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ใครทำใครได้
    ถ้าเราจะสงเคราะห์ เพื่อให้พ่อได้รู้ ได้เข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นอย่างไร นาน ๆ ก็แหย่ไปหน่อย ถ้าเห็นว่าท่านยังรับไม่ไหว เราก็ถอยกลับมาก่อน ว่าไปเรื่อยจนกว่าท่านจะทำได้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    y01ixCYtiCvx8QtS2yoQwn0CT8LLhmMUQE88RqO0Xmhh&_nc_ohc=8-hmFEukRcYAX9WoxbJ&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    “...ขันติ ความอดทนต่อบิดามารดาของตนไม่ว่าจะมีเรื่องน้อยใจ เรื่องอะไร ก็แล้วแต่ห้ามไม่ให้ทะเลาะกับพ่อแม่ ไม่ให้ทำหน้ายักษ์หน้ามารเข้าใส่พ่อแม่ หรือในบางเรื่องที่เราถูกก็ห้ามต่อว่าพ่อแม่ อย่างเอาเหตุเอาผลอย่างเด็ดขาด เพราะในชีวิตประจำวันของเรานั้น
    บางครั้งกับเพื่อนกับฝูง หรือเพื่อนร่วมงานเขากลั่นแกล้งเรา ทุกอย่าง สาระพัดเรายังอดทนระงับโทสะเอาไว้ อดทนเก็บความโกรธไว้ในใจ แล้วกับพ่อแม่เรา ที่มีบุญคุณต่อเราอย่างที่สุด เหนือกว่าเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาทั้งหมดทำไมเราจะยอมทนยอมยกให้พ่อแม่ไม่ได้...”
    หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

    ?temp_hash=2b161d99b2311ad9c1f3b1fde0cc7ef2.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    8DLX_ZBK_nu4JlTkvz2oUe06r2iaLRDuKAdpEotmiBAy&_nc_ohc=nsKGT84NINMAX_WzxBi&_nc_ht=scontent.fbkk2-3.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ขออนุโมทนาขอบคุณในพลังบุญจากทุกๆ ท่าน ที่ได้อธิษฐานจิต แผ่บุญกุศลให้โยมแม่ แต่สุดท้าย ทุกๆ คนก็ต้องถึงวาระสุดท้าย หนีไม่พ้น......

    อาตมาได้เดินทางมาถึงบุรีรัมย์ ประมาณ 5 ทุ่ม เมื่อคืนนี้ และ ทันดูใจโยมแม่ และ สวดมนต์ให้โยมแม่ฟังได้ประมาณ 1 ชม.กว่า และเห็นท่านหายใจเฮือกสุดท้าย และ จากไปอย่างสงบเวลา เที่ยงคืน 50 นาที ทราบจากโยมหมอน้องชายว่า โยมแม่เกิดอาการ Air Hunger ตั้งแต่ประมาณบ่ายโมง และ โดยปกติ หลังจากอาการ Air Hunger คนป่วยจะอยู่ได้อีกประมาณ 2-3 ชม. ก็จะหมดลมหายใจ....

    จึงเป็นที่อัศจรรย์ใจว่าท่านรออาตมาเดินทางมาดูใจ และ สวดมนต์ให้ท่านฟัง ก่อนจะจากไปอย่างสงบ และ โยมแม่ได้ใส่บาตรพระทุกวันๆ ละ 9 รูป เป็นประจำเกือบทุกวัน มากกว่า 40 ปี วันไหนไม่สบาย ก็จะให้ลูกๆ ใส่บาตรแทน... นี่เอง จึงเป็นผลบุญให้ท่านมีอายุยืนโดยไม่มีโรคประจำตัวใดๆ และ จากไปเหมือนคนนอนหลับอย่างสงบ....

    .ขอบุญกุศลที่อาตมาได้บวชเรียน และ เผยแผ่ธรรมมาโดยตลอด จงเป็นแสงสว่างให้ดวงวิญญาณของโยมแม่ได้ไปสู่สุคติ และ เสวยสุข มีความอิ่มเอมใจในสัมปรายภพเบื้องหน้านี้ ด้วยเทอญ...

    อนึ่ง อาตมาจะอยู่บำเพ็ญกุศล และ ฌาปนกิจศพโยมแม่ ที่วัดกลางพระอารามหลวง จ.บุรีรัมย์ ประมาณ 3 วัน แล้วจึงจะเดินทางกลับวัดปิปผลิวนาราม....

    My beloved mom of 94 years just passed away peacefully at 0.50 (after midnight). She has fallen asleep peacefully with smile during my chanting and blessing her for the recollection of Buddha, Dhamma and Sangha until I could observe her last breath as I have my intention to do chanting the whole night. But sadly all beings cannot escape aging, sickness and death. According to the doctor, my mom got air hunger about early afternoon and patients usually die 2-3 hours after air hunger. It seems like she has been waiting for my arrival and do chanting and blessing for her. So I have a chance to take care of my mom and do chanting and blessing her about one hour until I observe her last breath. May the Buddha, Dhamma and Sangha as well as my parami from monkhood and teaching meditation be the light leading my mom to go reborn in the higher realm and with her 40 + years' food dana to monks every morning and all her merits from right livelihood and meritorious deeds in this life bring her rebirth in Buddhism again the next life to follow the Buddha path to the enlightenment in the near future. Buddho, Dhammo, Sangho..... Sangho Dhammo, Buddho......

    c5oygwXu02xMArf_TgSSNziWPpGlGH0WzmS2YyY2yb1&_nc_ohc=IEJ0V9sLG7IAX86hPNk&_nc_ht=scontent.fbkk22-6.jpg
    n3l_ADUvLalGlprcPq9d5hnByzDvW07y7qUT_YuVM9F&_nc_ohc=cp7fVCsjv6YAX8R7i1U&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
    -Wi27V9JwqqBPQtlhbKJcshPnpjpcQqEDSRNMhgzyou&_nc_ohc=DIiI9Xs7idgAX_SFgic&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    *********************************

    https://web.facebook.com/vimokkha.metino
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืดแม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ
    ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่ากินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”
    เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร
    ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ
    เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
    “ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”
    “เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน”
    ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป
    ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
    “แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”
    “ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย”แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย
    “แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า....”
    แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ....
    “อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก....
    ” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน
    ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้
    “แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”
    หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!
    แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?
    “คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย
    ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้
    “แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี
    ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว
    แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้
    เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ
    เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่
    ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา
    อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย
    เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว
    คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน
    นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่งกำลังก้มตัวลงไปเก็บขนม
    ที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก
    เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ
    แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด
    นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกราย
    เข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ
    “แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า
    ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ”
    อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด
    ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด
    จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
    “แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!”
    สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
    เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
    เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก
    เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยายกำลัง
    เก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
    ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขา
    ชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”
    พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิด
    ซึ่งเป็นของขวัญชินแรกที่เขาได้รับจากแม่
    ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ
    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?
    ” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด
    “ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?
    ”แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์
    “ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว
    พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”
    รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น
    มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก
    “นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”
    “มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง
    ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”
    “ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงาน
    เข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”
    (คนอ่านคงจะน้ำตาไหลแล้ว อ่านจบไปกราบแม่นะ)
    ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ
    ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง
    จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่
    เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึก
    ที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง
    แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
    เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู
    ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่
    และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
    “แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้...”
    เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป
    “ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้
    พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”
    เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
    “แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”
    ************************************
    ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมดค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท่า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม
    หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว
    ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!
    แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
    แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!
    ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?
    ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ
    ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน
    cr. นุสนธิ์บุคส์ / ฅนบ้านนอก))
    qoNrV6j1epFRTwLyFad0KgMc9zK4azzFFl4x-qdMotk&_nc_ohc=b4rdnTm9QI0AX9Jaz56&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    ********************

     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ?temp_hash=a075a195437cb9ad3a6b4d7e632cd08c.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    9Cjvsf4lRse0_hK-5yJDYwP6q_7uOPb6K4dhen0jVYf&_nc_ohc=dex6wTB1oIoAX9W2Uph&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...