จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ตจปัญจกกรรมฐาน
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    ตจปัญจกกรรมฐาน (อ่านว่า ตะจะปันจะกะกำมะถาน) แปลว่า กรรมฐานที่มีหนังเป็นที่ครบห้า หมายถึงการทำกรรมฐานที่กำหนดพิจารณาอวัยวะ ๕ อย่าง คือ

    1. ผม (เกสา)
    2. ขน (โลมา)
    3. เล็บ (นขา)
    4. ฟัน (ทันตา)
    5. หนัง (ตโจ)
    เป็นอารมณ์ โดยพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งปฏิกูล ไม่งาม เป็นต้น เพราะมีคำว่า ตโจ เป็นคำที่ ๕ จึงเรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกรรมฐาน คือเป็นกรรมฐานเบื้องต้น กรรมฐานที่เป็นพื้นฐาน กรรมฐานนี้พระอุปชฌาย์จะสอนแก่ผู้บวช (นาค) ในท่ามกลางสงฆ์ก่อนที่จะมอบผ้าไตรให้ไปนุ่งห่มเพื่อให้อุปสมบทต่อไป เรียกขั้นตอนนี้ว่า บอกกรรมฐาน
    ;- https://th.wikipedia.org/wiki/ตจปัญจกกรรมฐาน







     
  2. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    คนวัดแจ้ง มีอากู๋เป็นครู เนาะ..

    "กูเกิ้ล" ระวังจะกลายเป็น "กูเกิน" นะ นะ นะ..
     
  3. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    ส่วนคนห้วยผึ้ง กาฬสินธุ์ มีอาจารย์ "ยู" คอยสั่งสอน..






    "ยูทูป" ไง..
     
  4. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    ถนัด ดู แล ฟัง

    ไม่ถนัด อ่าน..
     
  5. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    เกิดมานานแล้วค่ะและกําลังเป็นอยู่ก็คือภัยพิบัติที่"ใจ"เราไงคะ ถึงได้ก่อภพชาติกันไม่มีที่สิ้นสุด
     
  7. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    มันมีที่สิ้นสุดอยู่นะ..

    "หยุดจิต" ให้ได้แล้วจะพบกับความจริงอันประเสริฐ..

    "หยุดจิต" ได้ก็จะพบพระตถาคต..

    ทำให้มาก เจริญให้มาก เข้าให้ถึง ก็พ้นภพพ้นขันธ์ สิ้นความยึดมั่นถือมั่น..

    "ใจว่าง" "ใจสบาย" เป็นอิสระตราบนิจนิรันดร์
     
  8. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    นิพพาน หรือ ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง..

    มันไม่เลือกพระเลือกเณร หรือ ฆราวาส หรอกนะจ๊ะ..

    อยู่ที่ใครปฏิบัติ อยู่ที่ใครปรารภความเพียร นั้นล่ะจ่ะ..


    :):)
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    คนเรามักจะชอบฤทธิเดชอยากเหาะได้มากกว่าความหลุดพ้นค่ะหารู้ไม่ว่ามารเขามีแผนมากมายที่จะให้เราติดอยู่ในนั้น
     
  10. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    กิเลสในใจตนนั้นแหละเป็นมารอันร้ายกาจนัก..

    ขัดเกลาจิตใจตนนั้นแหละเป็นทางรอดพ้นจากมารทั้งปวง..
     
  11. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    คนวัดแจ้งอย่าให้แจ้งแต่วัดสิ..

    หูแจ้ง ตาแจ้ง ปัญญาแจ้ง ด้วยซี..

    วิบ วับ..

    เกิด ดับ..

    อกาลิโก..

    โย่ว โย่ว โอ้ละน้อ ออ ออ ออ..
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    Fishing.gif
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    VesakDay.jpg
    เวียนเทียนวันวิสาขบูชา

    สมัยพุทธกาลมีการเวียนเทียนหรือไม่?

    การเวียนเทียนเป็นธรรมเนียมที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เวลามีการแสดงความเคารพต่อสิ่งใดจะใช้การเวียนเทียน ซึ่งมีศัพท์เรียกว่าเวียนประทักษิณที่เราเรียกว่าเวียนขวา คือเวลาเราจะแสดงความเคารพสิ่งใด อย่างเช่นจะเวียนเทียนรอบโบสถ์รอบพระพุทธรูป รอบพระสถูป ให้เอาแขนขวาของเราเข้าใกล้สิ่งนั้น หรือบางทีเราก็อาจจะอาราธนาพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ มาวางไว้ แล้วเวียนเทียนรอบ ๆ พระพุทธรูปองค์นั้น ไม่จำเป็นต้องเวียนเทียนรอบโบสถ์ก็ได้ เพราะบางที่ไม่มีโบสถ์ให้เราอาราธนาพระพุทธรูปมาวางไว้ แล้วเดินเวียนรอบ ๆ ก็ถือเป็นการเวียนเทียนเหมือนกัน คือเวียนประทักษิณระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

    ทำไมต้องมีการเวียนเทียน?


    ที่เรียกว่าเวียนเทียนเพราะว่าเราถือเทียนไว้ในมือ ซึ่งบางทีก็มีทั้งเทียน ทั้งธูป แต่เราไม่เรียกเวียนธูป เพราะธูปเป็นควันมองเห็นไม่ชัด แต่เทียนมันสว่าง มองเห็นง่าย เราก็เลยเรียกว่าเวียนเทียนการเวียนเทียนคือการบูชาด้วยความสว่างเพราะถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำความสว่างแห่งปัญญามาให้เราได้รู้จักความจริงของโลกและชีวิต เราบูชาปัญญาซึ่งมีตัวแทนคือความสว่างโดยใช้เทียน ส่วนธูปเป็นการบูชาด้วยของหอม ว่ากลิ่นศีลของพระองค์หอมทวนลม

    เคยมีคำถามว่า อะไรเอ่ยหอมทวนลม ปกติความหอมทั่วไปจะหอมตามลม เพราะความหอมเกิดจากโมเลกุลของสิ่งนั้นมากระทบต่อเซลล์ประสาทรับกลิ่นของเราที่โคนจมูก พอเราหายใจเข้าไป โมเลกุลของสิ่งนั้นจะไปกระทบกับใยประสาททำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา แล้วอะไรจะหอมทวนลมได้ ท่านบอกว่ากลิ่นศีลจะหอมทวนลม ปกติเทวดาอยากอยู่ห่างมนุษย์มาก ๆ ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเทวดารู้สึกว่ากลิ่นมนุษย์เหม็นเหมือนศพ ไม่อยากเข้าใกล้ ยกเว้นมนุษย์ผู้มีศีล ถ้าวันไหนเทวดาจะลงมาดูแลรักษาเรา ก็เพราะกลิ่นศีลหอมทวนลม

    เพราะฉะนั้นเราบูชาว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระบริสุทธิคุณด้วยการจุดธูประลึกถึงศีลของพระองค์ และเราเองก็ต้องปฏิบัติให้มีศีลอย่างพระองค์ด้วย

    ศีล 5 คือศีลเบื้องต้นของฆราวาส แต่ถ้าวันพระหรือวันคล้ายวันเกิด เช่น ใครเกิดวันจันทร์ก็รักษาศีล 8 วันจันทร์ อาทิตย์หนึ่งสักครั้งหนึ่งถ้าทำได้จะดีมาก เพราะถ้าเรารักษาศีล 5 เดี๋ยวนี้สิ่งยั่วยวน สิ่งเร้ามีมาก เกิดเราใจอ่อนไปผิดศีล ศีลเราก็จะขาด แต่ถ้าเรายกใจเราสูงขึ้นเป็นศีล 8 ถึงคราวจะร่วงลงมาเป็นศีล 5 ก็ยังดี คือเหมือนกับชกรุ่นเฮฟวีเวทแล้วพอเจอรุ่นฟลายเวทก็สบาย ๆ ฉะนั้นอาทิตย์หนึ่งก็เอาวันเกิดตัวเองสัก 1 วันวันพระอีก 1 วัน รักษาศีล 8 ให้ได้ 2 วันต่อสัปดาห์ อย่างนี้เยี่ยมเลย

    ปัจจุบันประเทศอินเดียยังมีการเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชาไหม?


    หลังจากอิสลามรุกเข้ามายึดอินเดีย พระพุทธศาสนาก็หายจากอินเดียไปช่วงใหญ่ แต่ตอนนี้เริ่มฟื้นกลับมาแล้ว เมื่อวิสาขบูขาที่ผ่านมาก็มีการนิมนต์และเชิญตัวแทนจากวัดพระธรรมกายไปจัดงานวิสาขบูขาที่อินเดีย ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ส่งหมู่คณะไปปรากฏว่ามีรัฐมนตรีมาร่วมงานกันหลายท่านเขาปลื้มใจมาก ขอให้ไปช่วยจัดตามเมืองต่าง ๆ อีก หลายแห่ง และบอกว่าปีหน้าช้าไป ขอเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม มีงานอะไรก็อยากให้ไปช่วยจัด ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้กลับไปสู่แดนพุทธภูมิคือประเทศอินเดียอย่างจริงจังแล้ว

    พิธีกรรมวันวิสาขบูชาของอินเดียกับไทยเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?


    โดยพื้นฐานก็คล้าย ๆ กัน เพราะตอนนี้เราเอาต้นแบบธรรมเนียมพุทธของเรากลับไปให้เขาเขากำลังดูชาวพุทธไทยเป็นต้นแบบ แต่ก็ต้องปรับให้เข้ากับธรรมชาติบ้านเมืองเขาเหมือนกัน เช่น การปล่อยโคมลอย เมืองเขาลมแรงมาก บางทีพัดจนกระดาษที่หุ้มโคมโป่ง ถูกไฟข้างในไหม้ก็มี แต่คนอินเดียเขาก็สู้ พยายามจนสามารถปล่อยได้สำเร็จเป็นร้อย ๆ โคม แล้วเขาก็เบิกบานกัน อยากจะให้จัดอีก มีชาวอินเดียมาร่วมงานเป็นหมื่นเป็นแสนคนอย่างเงียบสงบและเป็นระเบียบ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอินเดีย ทำให้เกิดความทึ่งและตะลึงไปตาม ๆ กันเราเอาธรรมเนียมปฏิบัติที่วัดของเราไปทำที่อินเดีย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสงบเสงี่ยม ทุกอย่างเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อพระรัตนตรัย แสดงความเคารพต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสร้างความประทับใจและความศรัทธาแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ของอินเดียได้เป็นอย่างดี

    อานิสงส์ของการร่วมพิธีเวียนเทียนมีอะไรบ้าง?


    อานิสงส์มหาศาล มีเรื่องจริงเกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาล คือมีเทพธิดาเกิดใหม่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชั้นเดียวกับพระอินทร์ เทพธิดาที่เกิดขึ้นมามีวิมานสวยมาก มีสีทอง เทวรถก็สีทอง พัดก็สีทองอะไร ๆ ก็สีทองทั้งนั้น สีเหลืองทองสวยงามมากพระอินทร์เห็นยังทึ่งเลย และไปถามเทพธิดาเจ้าของวิมานว่า “ดูก่อนเทพธิดา เธอทำบุญอะไรมาหรือทำไมวิมานสวยอย่างนี้” เทพธิดาไม่กล้าตอบเพราะอาย พอพระอินทร์ถามรุกเร้าเข้า ก็เลยตอบว่า “ดิฉันเพิ่งมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตอนเป็นมนุษย์กำลังจะไปบูชาพระสถูปเจดีย์ด้วยดอกบวบขม เคยเห็นชาวบ้านเขาถือธูปเทียนไปไหว้พระสถูปเจดีย์ ก็อยากจะไปบ้าง แต่ไม่มีเงินซื้อธูปเทียนของหอมอย่างคนอื่นเขา เพราะจนมากจึงเด็ดดอกบวบขมข้างทางมา 4 ดอก ตั้งใจจะไปบูชาพระสถูปเจดีย์”

    ระหว่างเดินไป วิบากกรรมเก่าตามมาถึงถูกแม่โควิ่งมาขวิดตายกลางทาง ขณะที่ใจเต็มเปี่ยมด้วยความศรัทธา พอละจากโลกนี้ก็ได้เกิดเป็นเทพธิดามีวิมานสีเหลืองทองนี่ขนาดยังไปไม่ถึงพระสถูปเจดีย์ แต่ความตั้งใจมีอยู่ ของที่บูชาก็เป็นของที่ราคาถูกมาก คือดอกบวบที่เก็บจากข้างทาง อานิสงส์ยังส่งขนาดนี้ถ้าตั้งใจเวียนเทียนบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจศรัทธาเลื่อมใสมั่นคงแน่วแน่ ยิ่งทำสมาธิ(Meditation)ไปด้วยลองคิดดูว่าบุญขนาดไหน อานิสงส์มหาศาลเลยท่านถึงสรุปว่า “เมื่อมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้วทักษิณาทานหาชื่อว่าเป็นของน้อยไม่”



     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont)
    ในระหว่างการเวียนเทียน 3 รอบต้องมีการสวดมนต์ไหม?

    ส่วนใหญ่สวดนะโมตัสสะ... และ อิติปิโส...อิติปิโส... คือการบูชาพระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าสวดมนต์ไปด้วยใจจะไม่คิดวอกแวกไปที่อื่น ฉะนั้นในการเวียนเทียนถ้าไม่ได้สวดมนต์ สำหรับคนที่ยังฝึกสมาธิมาน้อยบางทีก็เวียนไปคุยกันไป ฉะนั้นสวดมนต์ดีกว่าจะได้อยู่ในบุญ บทสวดก็เป็นบทบูชาพระรัตนตรัยจะใช้บทไหนที่เราคุ้นเคย อะระหังสัมมา... ก็ได้ อิติปิโส... ก็ได้ นะโมตัสสะ... ก็ได้ สวดไปใจก็ทำสมาธิไปด้วย ถ้าคนไหนเคยฝึกสมาธิมาแล้วใจจดจ่อบูชาพระรัตนตรัยอย่างนี้ยิ่งดีมาก

    การเวียนเทียน 3 รอบมีความหมายอะไรหรือเปล่า?


    เป็นธรรมเนียมแต่ครั้งพุทธกาลแล้วที่ทำอะไรมักจะทำ 3 รอบ รอบที่ 2 เรียกทุติยัมปิ รอบที่ 3 เรียกตะติยัมปิ อาราธนาศีลก็ยังต้องอาราธนา 3 ครั้ง เวลาขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งยังต้อง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ และยังมีทุติยัมปิ คือรอบ 2 ตะติยัมปิ คือรอบ 3 แม้แต่บวชพระก็เหมือนกัน เวลาบวช พระคู่สวดต้องตั้งญัตติขึ้นมาว่า ดูก่อน สงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังข้าพเจ้าว่า มีบุคคลชื่อนี้ (ชื่อบาลี) ซึ่งเป็นศิษย์ของพระอุปัชฌาย์ชื่อนี้ตั้งใจจะมาขอบวชต่อสงฆ์ ถ้าสงฆ์เห็นพร้อมกันแล้วโปรดอนุญาตให้บุคคลผู้นี้บวชด้วย นี่เป็นญัตติตั้งญัตติขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ทวน 3 รอบ ถามความเห็น รอบที่ 1 ถ้าสงฆ์ทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันขอให้นิ่ง ถ้าไม่เห็นพ้องต้องกัน ก็ให้ทักท้วง ถามอย่างนี้ 3 รอบ

    พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนามีประโยชน์อย่างไร?


    ให้มองอย่างนี้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น หลักปฏิบัติต่าง ๆ เปรียบเหมือนต้นไม้ ที่มีตั้งแต่เปลือก กระพี้ และแก่น แก่นไม้คือส่วนที่เป็นสาระของต้นไม้ แต่แก่นก็ต้องมีเปลือกมาหุ้ม แล้วเปลือกก็มีกระพี้หุ้มอีกที บางคนบอกว่าเปลือกกับกระพี้ไม่สำคัญ จริง ๆ ถ้าไม่มีเปลือก ไม่มีกระพี้ต้นไม้ก็ตายเหมือนกัน เปลือกและกระพี้เป็นตัวหุ้มต้นไม้เอาไว้ แล้วน้ำเลี้ยงก็หล่อเลี้ยงให้แก่นค่อย ๆ โตขึ้น ชาวพุทธเราปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาก็มีทั้งเปลือก กระพี้ และแก่นตัวพิธีกรรมในพระพุทธศาสนาเช่นการเวียนเทียนถือว่าเป็นส่วนของเปลือกและกระพี้ แต่ถ้าระหว่างที่เวียนเทียนเราสวดมนต์ไปด้วย ทำสมาธิไปด้วย อันนี้ถือว่าได้ทั้งเปลือก กระพี้ และแก่นไปด้วยในตัว แต่บางคนที่ไปเวียนเทียนตามธรรมเนียมเห็นเขาเวียนเทียนก็เวียนไปด้วย เวียนไปคุยไปอย่างนี้ได้เฉพาะในส่วนของกระพี้กับเปลือก ยังไม่ไปถึงแก่น ฉะนั้นแต่ละคนที่ไปเวียนเทียนด้วยกันแม้เวียนที่เดียวกัน ก็ได้ประโยชน์ไม่เท่ากัน

    ในแง่ของหลักปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การปฏิบัติตามหลักศีลสมาธิ ปัญญา, ทาน ศีล ภาวนา นั่นคือส่วนของแก่น ที่เป็นสาระที่แท้จริง แต่ถ้าอยู่ ๆ ชวนกันไปวัดบอกให้มานั่งสมาธิเลย มีคนที่พร้อมจะเข้าวัดจริง ๆ ไม่มาก แต่ถ้าชวนไปเวียนเทียนง่ายกว่าไปเวียนเทียนวันวิสาขบูชา นั่นคือส่วนของพิธีกรรม คือส่วนของเปลือกและกระพี้ ชวนคนมาได้ง่าย พอมาถึงวัด ไหน ๆ มาเวียนเทียนแล้ว ใจเป็นกุศลขึ้นมา ทำความดีเพิ่มอีกนิด เพิ่มรักษาศีลอีกหน่อย อย่างนี้จะง่ายขึ้น

    เพราะฉะนั้น จะว่าพิธีกรรมไม่สำคัญก็ไม่ใช่พิธีกรรมมีความสำคัญ เพราะสามารถสร้างความศรัทธาให้เพิ่มขึ้นได้ ไปเวียนเทียนพร้อมกันคนที่ตั้งใจอยู่แล้วก็เลยเกิดปีติศรัทธามากขึ้นอีกตอกย้ำให้คนใหม่รู้สึกดีมากขึ้น คนเก่าก็เกิดความศรัทธาเพิ่มขึ้น พิธีกรรมมีส่วนเสริม แต่ต้องไม่ลืมว่าอย่าติดแค่พิธีกรรมอย่างเดียว พิธีกรรมเป็นเครื่องจูงใจ แต่สาระสำคัญจริง ๆ คือการปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา ตั้งใจทำให้ดี เพราะทำแล้วจะเกิดเป็นบุญกุศลติดตัวเราไป

    ฉะนั้น เราชาวพุทธเมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต้องปฏิบัติให้ครบ โดยมุ่งไปหาแก่น แต่ไม่ถึงขนาดปฏิเสธเปลือกและกระพี้ แล้วสุดท้ายต้องนำไปสู่สาระคือการปฏิบัติเสมอ คนที่เข้าใจอยู่แล้วไปชวนคนใหม่เข้ามาโดยอาศัยพิธีกรรมเป็นอุปกรณ์ในการชักชวน และนำมาสู่การปฏิบัติ คนที่เข้าใจแก่นก็เหมือนกับต้นไม้ที่แก่นโตขึ้น ๆ จากไม้ต้นเล็ก ๆ ก็โตขึ้น สุดท้ายใหญ่จนต้องโอบเลย

    อยากให้พระพุทธศาสนาในทุกถิ่นในประเทศไทยทั้งประเทศ แต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ แต่ละตำบล แต่ละหมู่บ้าน เป็นไม้ใหญ่ที่มีความมั่นคงแข็งแรง เป็นต้นโพธิ์ต้นไทรที่ให้ร่มเงาให้ผู้คนทั้งหลายเกิดความสงบร่มเย็น ถ้าชาวพุทธทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ พระสงฆ์ตั้งใจสอนประชาชน ตัวเองปฏิบัติด้วย สอนประชาชนด้วย และชาวพุทธเองก็ตั้งใจเข้าวัดปฏิบัติธรรม อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสงฆ์ บำรุงพระพุทธศาสนาด้วย แล้วตั้งใจปฏิบัติด้วย จากพิธีกรรมที่เป็นเปลือก กระพี้ จนกระทั่งถึงแก่นแห่งการปฏิบัติจริง ๆ อย่างนี้แล้วพระพุทธศาสนาในประเทศไทยของเราจะสถิตสถาพรยั่งยืนนาน ภัยใด ๆ ข้างนอกก็ทำอันตรายเราไม่ได้ สมดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ตราบใดที่ชาวพุทธยังรักการประพฤติปฏิบัติธรรมพระพุทธศาสนาก็จะมั่นคงไปตราบนั้น”

    “การเวียนเทียน คือ
    การบูชาด้วยความสว่าง
    เพราะถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงนำความสว่างแห่งปัญญา
    มาให้เราได้รู้จักความจริง
    ของโลกและชีวิต“

    :- https://www.dmc.tv/pages/buddha_biography/เวียนเทียนวันวิสาขบูชา.html
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงพ่อชอบกรรมฐานชนิดทูอินวัน (2-in-1)
    ทำกรรมฐานอย่างนี้ ได้สมาธิทั้ง ๒ ชนิด การที่เราเห็นใจที่ไหลแล้วรู้ ๆ ตรงนี้ไปเจริญปัญญาต่อได้เลย เพราะว่าจิตที่เป็นผู้รู้ก็ไม่เที่ยง จิตที่ไหล ก็ไม่เที่ยง จิตที่เป็นผู้รู้ ก็รักษาไม่ได้ จิตที่ไหล ก็ห้ามไม่ได้ ตรงนี้เห็นไตรลักษณ์แล้ว เห็นอนิจจัง เห็นอนัตตาของจิต เดินปัญญาต่อเข้าตรงนี้เลย ถ้าเราจะทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง ทำกรรมฐานไป แล้วคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อน รู้บ่อยๆ เวลาจิตมันต้องการพัก มันจะไปสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว มีความสุข ได้พักผ่อนมีแรง ถอยออกมา จิตเป็นคนดู ปล่อยให้จิตทำงาน ถ้าจิตถอยออกมาแล้วมันก็ยังนิ่งอยู่เฉยๆ ให้คิดพิจารณาร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก จิตมันจะเริ่มเคลื่อน พอจิตเริ่มเคลื่อนแล้ว คราวนี้ไม่ต้องไปยุ่งอะไรแล้ว ให้คอยรู้ทันจิตที่เคลื่อน เราจะเจริญปัญญา ด้วยการรู้ทันจิตที่เคลื่อนเลย ตรงนี้ เห็นแค่ตรงนี้ กุ๊กกิ๊กๆๆ แค่นี้เอง ได้ครบเลย ศีลก็ได้ สมาธิก็ได้ ปัญญาก็ได้ครบ แล้วมันประชุมลงที่จิตอยู่แล้ว เราทำกรรมฐานที่มันรวมลงที่จิตอยู่แล้ว พร้อมที่จะเกิดอริยมรรคได้ง่าย เพราะเวลาที่อริยมรรคเกิด จิตจะรวมลงที่จิต สมาธิจะประชุมลงที่จิต ด้วยกำลังของสมาธิ สมาธิมีลักษณะเหมือนเป็นหม้อ เป็นกระทะ มันจะดึงดูดองค์มรรคทั้งหลาย แล้วก็โพธิปักขิยธรรม ธรรมะฝ่ายที่ดีทั้งหลาย ฝ่ายตรัสรู้ทั้งหลาย มันจะมารวมตัวกัน รวมลงที่จิตดวงเดียว ด้วยอำนาจของสัมมาสมาธิ ฉะนั้นสัมมาสมาธิ เป็นตัวสำคัญมากเลย ถ้าไม่มี ไม่มีทางเกิดอริยมรรคเลย
    -- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

    วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑
    ไฟล์ 610301A ซีดีแผ่นที่ ๗๕
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    sati and life.jpg
    สมาธิที่จะเป็นไปเพื่อปัญญา จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตจะมีความเบา เรียกลหุตา ถ้าเราภาวนาแล้วจิตหนัก ๆ จิตตัวนั้นไม่ใช่สัมมาสมาธิ จิตหนัก จิตแน่น จิตแข็ง จิตซึม จิตทื่อ อันนั้นคือลักษณะของมิจฉาสมาธิ จิตต้องเบา อ่อนโยน นุ่มนวล คล่องแคล่วว่องไว ถ้าเซื่องซึม ใช้ไม่ได้ เพราะอย่างนั้น เราต้องฝึกให้จิตเป็นผู้รู้ที่แท้จริงขึ้นมา จนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีความเบา มีความอ่อนโยน นุ่มนวล มีความคล่องแคล่วว่องไว มีความเหมาะสมที่จะทำกรรมฐาน ที่จะเรียนรู้กาย ที่จะเรียนรู้ใจ ถ้าสงบแล้วก็นิ่งเฉย ขี้เกียจขี้คร้าน ที่จะเรียนรู้กายรู้ใจ ก็ยังไม่ใช่ (๒) จิตที่ดี จิตที่ทรงสมาธิที่ถูกต้อง มีองค์ประกอบมากมาย มีความเบา เรียกลหุตา มีอ่อนโยนความนุ่มนวล เรียกว่ามุทุตา มีความคล่องแคล่วว่องไว เรียกปาคุญญตา มีความคู่ควรแก่การทำงาน คือเจริญปัญญา เรียกกัมมัญญัตตา แล้วก็ซื่อตรง รู้ซื่อ ๆ รู้แล้วไม่เข้าไปแทรกแซงอารมณ์ เรียกอุชุกตา ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เป็นสภาวะที่รู้ ตื่น แล้วก็เบิกบาน สภาวะอันยืดยาวที่บรรยายมานี้ เกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว หลวงพ่อสังเกตดู สภาวะอันนี้ เกิดจากสภาวะที่เราไม่เผลอกับไม่เพ่ง เพราะอย่างนั้น เวลาสอนตั้งแต่แรก ๆ หลวงพ่อจะสอนสภาวะไม่เผลอกับไม่เพ่ง ถ้าเผลอไป ใจลอยไป ก็จะบอก รู้ไหมหลงไปแล้ว ใจลอยไปแล้ว จะได้หัดจำว่า อ๋อสภาวะที่หลง สภาวะที่ใจลอย สภาวะที่จิตถลำลงไป มันเป็นยังไง บางทีก็ใจลอย สะเปะสะปะไป อันนี้เรียกว่าเผลอ ถ้าใจลอย แล้วถลำลงไปจ้องนิ่ง อยู่ที่อารมณ์อันใดอันหนึ่ง เรียกว่าเพ่ง หลงด้วยกันทั้งคู่นะ อันหนึ่งหลงเตลิดเปิดเปิงไป อันหนึ่งหลงไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว จมลงไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ฉะนั้นในเวลาที่หลวงพ่อสอนกรรมฐาน หลวงพ่อจ้ำจี้จ้ำไช เรื่องไม่เผลอกับไม่เพ่ง นั่นคือการสอนสมาธิ บางคนจะบอกหลวงพ่อปราโมทย์ไม่สอนสมาธิ - หาใช่ไม่ เพราะหลวงพ่อปราโมทย์สอนสมาธิอย่างเข้มงวดเลย
    -- หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    LpChaBody.jpg
    เรียนรู้จากงานศพ

    ถ้าใจยอมรับความจริงได้สักอย่างเดียว ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น การที่เราเรียนกรรมฐานแยกขันธ์ ๕ เราเห็นความจริงของขันธ์ ๕ ก็เพื่อให้ใจมันยอมรับความจริงได้ว่า ร่างกายนี้ก็ไม่เที่ยง สุขทุกข์ดีชั่วอะไรก็ไม่เที่ยง จิตใจของเราก็ไม่เที่ยง เป็นของมีชั่วคราวแล้วก็หายไป ทุกอย่างเหมือนภาพลวงตา พอเห็นอย่างนี้แล้ว เวลาคนที่เรารักพลัดพรากไป จากเป็นหรือจากตาย มันก็ไม่ทุกข์หรอก เรารู้เลย มันทุกข์เพราะสัญญา มันปรุงขึ้นมา สังขารมันก็ปรุงต่อ รับช่วงกันไป ความทุกข์มันก็เผาผลาญจิตใจของเรา นี่คือใจความที่เราควรจะเรียนจากงานศพ งานศพไม่ใช่งานสังสรรค์เฮฮา ตามต่างจังหวัด บางทีงานศพเขามานั่งกินเหล้ากัน มาเล่นการพนันกัน ตำรวจยกเว้นไม่จับ เป็นธรรมเนียม ก็ไม่จับ ทำไมต้องมาเล่นเฮฮา เค้าบอกเป็นเพื่อนศพ ไม่ได้เป็นเพื่อนศพหรอก เป็นเพื่อนเจ้าภาพ ถ้าแขกไปหมดแล้ว ไม่มีคนที่จะต้องคอยดูแลแล้ว มันเศร้าใจ มันก็เป็นวิธีแก้เศร้าของชาวบ้าน ของคนไม่ได้ศึกษาธรรมะ ถ้าคนศึกษาธรรมะ เฝ้ารู้เฝ้าดูลงในกายในใจ ความเศร้าโศกไม่มีหรอก
    ฉะนั้นถ้าเราฝึกกรรมฐานไปเรื่อย สิ่งที่เราจะได้มาก็คือความมั่นคงในจิตใจ เราจะไม่เศร้าโศก พ้นจากความเศร้าโศก เราก็เป็นอิสระขึ้นมา
    -- หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม 18 พฤษภาคม 2563
    ไฟล์ 630518 ซีดีแผ่นที่ 86
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    LpSod.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...