เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เอาแล้วไง ย้อนกลับมาดู

    21 ส.ค. 2015
    [พุทธวจน ลพบุรี ๑๖๒๐]

    เอาความผิดของตนไปโยนให้พระพุทธเจ้า


    ถ้าเราสอนผิด งั้นก็ผิดมาตั้งแต่พระพุทธเจ้า
    [ame]https://youtu.be/LF5qYK-HEqQ[/ame]

    อ้างลอกมาจากสยามรัฐทั้งหมด แต่ไม่เอาพระอรหันต์สาวก และพระมหาเถระนุเถระทั้งหลายฯ ตลอดจนพระอริยะบุคคลทั้งสิ้น


    อุบาสกที่เป็นเอตทัคคะ

    อุบาสิกาที่เป็นเอตทัคคะ


    ตลอดจนถึงพระสงฆ์หรือพระอริยะบุคคลในประเทศไทยในปัจจุบัน


    ไม่เอาปาฎิหาริย์ ไม่เอาพระเครื่องพระพุทธรูป ไม่เอารอยพระพุทธบาท ไม่เอาการเวียนเทียนทักษิณาวัตร ไม่เอาพุทธทำนายมหาสุบิน ไม่เอาราชพิธีการ ไม่เอาบทสวดฯ ไม่เอาพระอภิธรรม ไม่เอาพระไตรปิฏกฉบับใดๆยกเว้นของสำนักตนเอง และอีก ฯลฯ


    นี่หรือ พระพุทธเจ้าท่านสอนมาอย่างนี้หรือสำหรับวัดนาป่าพง



    พระพุทธเจ้าท่านสอนผิดอย่างนั้นหรือ?


    เปรียบตนเองเสมอพระพุทธเจ้าไปแล้ว ท่านสาธุชน จะไม่ให้ประเทศชาติและบ้านเมือง พระพุทธศาสนาเกิดความระส่ำระสายฉิบหายได้เยี่ยงไร ?

    เวรกรรมสัตวฺโลก


    สากัจฉสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรสนทนาของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภสีลสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภสมาธิสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภปัญญาสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภวิมุตติสัมปทาได้ ๑
    ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภวิมุตติญาณทัสสนสัมปทาได้ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรสนทนาของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ฯ
    จบสูตรที่ ๕





    องค์ของภิกษุผู้ไม่ควรสนทนาด้วย

    อุ. ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์เท่าไรหนอแลพระพุทธเจ้าข้า?

    พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง? คือ:
    ๑. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองศีล ของพระอเสขะ
    ๒. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ ของพระอเสขะ
    ๓. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา ของพระอเสขะ
    ๔. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติ ของพระอเสขะ
    ๕. เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ ของพระอเสขะ

    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.


    องค์ของภิกษุผู้ควรสนทนาด้วย

    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง?คือ:
    ๑. เป็นผู้ประกอบด้วยกองศีล ของพระอเสขะ
    ๒. เป็นผู้ประกอบด้วยกองสมาธิ ของพระอเสขะ
    ๓. เป็นผู้ประกอบด้วยกองปัญญา ของพระอเสขะ
    ๔. เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติ ของพระอเสขะ
    ๕. เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ ของพระอเสขะ

    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.


    องค์ของภิกษุผู้ไม่ควรสนทนาอีกนัยหนึ่ง

    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง? คือ:
    ๑. ไม่เป็นผู้บรรลุอรรถปฏิสัมภิทา
    ๒. ไม่เป็นผู้บรรลุธรรมปฏิสัมภิทา
    ๓. ไม่เป็นผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา
    ๔. ไม่เป็นผู้บรรลุปฏิภาณปฏิสัมภิทา
    ๕. ไม่พิจารณาจิตตามที่วิมุติ

    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.

    องค์ของภิกษุผู้ควรสนทนาด้วย

    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕. องค์ ๕ อะไรบ้าง?คือ:
    ๑. เป็นผู้บรรลุอรรถปฏิสัมภิทา
    ๒. เป็นผู้บรรลุธรรมปฏิสัมภิทา
    ๓. เป็นผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา
    ๔. เป็นผู้บรรลุปฏิภาณปฏิสัมภิทา
    ๕. พิจารณาจิตตามที่วิมุติ

    ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายพึงสนทนากับภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.
    ภิกขุนีโอวาทวรรค ที่ ๘ จบ


    แล้วใคร? ที่คิดว่า พุทธวจนปิฏก ดีเลิศกว่าพระไตรปิฏกสำนักอื่นที่มีแต่คำปลอม

    แน่ใจเหรอว่าสามารถรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ทั้งหมด

    คุณสมบัติในการเป็นครูบาอาจารย์ยังไม่มีด้วยซ้ำ จะเปลี่ยนแปลงยกเลิกพระไตรปิฏก หลอกลวงเหล่าสัตว์ตาบอดให้โง่งมงายด้วย พุทธพาณิชย์

    ฐานะผู้ที่จะเป็นครูอาจารย์สั่งสอนธรรมผู้อื่นเขา ควรมีคุณสมบัติอย่างไร? ไปหามั่วๆ ย่อม ไปได้แบบมั่วๆ ประเภทสอนลัดขั้นตอน วิสัชนาธรรมผิดพลาด ตื้นเขิน สติปัญญาของผู้เล่าเรียน ฝึก ปฎิบัติ ก็จะได้แต่ปริยัติงูพิษ ไม่มีทางที่จะเจริญไปกว่านั้นได้ในชาติ แถมชาติหน้าจะต้องตกไปอยู่ในภพภูมิต่ำกว่าที่เดิมอีกเพราะไปปรามาสพระสัทธรรม พระธรรม พระธรรมวินัยเข้า

    สิ่งที่เราไปยึดนั้นหากเป็นสิ่งที่เป็น๐สัมมาทิฐิ๐จะเป็นเส้นสายตรงดิ่ง ทอดยาวถึงจุดหมายมีผลในการเจริญเข้าถึงสรรพธรรม แต่ถ้าเป็น#มิจฉาทิฐิ# ก็จะหมุนวนพันกันไปกันมาจับต้นชนปลายไม่ถูกทำให้ไม่มีทางเข้าถึงสรรพธรรมอันเจริญกว่าที่เสวยเวทนาอยู่ได้ อรรถนี้สาธยายโดยพิสดารโดย "เผยให้เห็นวิมุตติ แต่ถ้าผู้มีปัญญาธรรมอันสั่งสมมาดีแล้ว จะทราบรส อันสืบเนื่องมาจาก วิมุตติรส

    จึงควรเลือกเฟ้นหาครูบาอาจารย์ให้ดีๆ อย่าลัดขั้นตอน ทำให้ได้ ทั้ง ปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ ด้วยความเพียรพยายาม

    ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ. ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ
    ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ฝึกตนดีแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด


    สิ่งที่คึกฤทธิ์ ทำคือการทำลายอรรถกถา จึงเป็น พุทธวจนะปลอม คือแปลบาลีไม่ให้เป็น บาลี ทำลายคุณความหมายที่เจือด้วยวิมุตติทัสสนะญาน อันเป็นสัจฉิกัฐปรมัตถ์ธรรม คือความเป็นจริง เป็นสัจธรรม เพราะไม่รู้จักปฎิสัมภิทา ๔ และเข้าใจว่า พระไตรปิฏกทั้งหลาย ล้วนสืบทอดมาจากการจารึกบันทึกทรงจำของพระสงฆ์สาวก ว่าด้วยสาวกจดจำมาจากพระดำรัสตรัสสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่ออีกทอดหนึ่ง นี่จึงแสดงให้เห็นว่าคึกฤทธิ์ไม่รู้จัก ปฎิสัมภิทา ๔ อันมี นิรุตติทัสสนญาน และ วิมุตติทัสสนญาน


    ผู้ที่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงแก้ไข พระไตรปิฏก อย่างชัดเจนคือผู้มีปฎิสัมภิทาญานเท่านั้น สำหรับพระไตรปิฎกที่ตีพิมพ์ในโลกมนุษย์ อย่างที่เราเห็นกันทุกๆวันนี้ โดยลอกแบบออกมาจากพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท (ทิพย์) เป็นแบบตรวจทานแก้ไข ต่อให้ไม่ครบบุบสลายเพียงไร?ไปก็ตาม ใครจะเปลี่ยนอย่างไร? เขียนอย่างไร? สุดท้ายก็จะมีผู้มาทะนุบำรุงรักษา เหมือนเดิมจนกว่าจะสิ้นอายุพระศาสนานี่คือความพิเศษ วิเศษ ของพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา คือ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำลายได้ ถึงกาลเวลาอันสมควร พระธรรมอันบริสุทธิ์คุณนั้นก็จะปรากฎขึ้นมาดังเดิม และแน่นอน ท่านผู้นั้น ย่อมแสดง สถานะการมีอยู่ ของพระสัทธรรม ให้ผู้มีบุญได้เห็นเป็นขวัญตา ในที่นี้ยังหมายถึง การสาธุการของเหล่าเวไนยสัตว์ที่จะปรากฎตนขึ้นด้วย เพราะอานุภาพใหญ่


    ปฐมสังคายนา : สังคายนาครั้งที่ ๑ พระมหากัสสปะเถระคัดเลือกพระอรหันตขีณาสพ ผู้มีอภิญญาเพียบพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ทรงพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนมากพระผู้มีพระภาคทรงตั้งไว้ในตำแหน่าเอตทัคคะ จำนวน ๔๙๙ รูป หย่อนจำนวน ๕๐๐ ไว้รูปหนึ่ง เพื่อให้โอกาสแก่พระอานนท์ เพราะเล็งเห็นว่าการสังคายนาครั้งนั้นเว้นพระอานนท์เสีย ก็จะทำให้ขาดความสมบูรณ์ เพราะท่านเป็นดุจคลังแห่งสัทธรรม ทรงจำคำสอนของพระศาสดาไว้มากแต่หากจะเลือกท่านเข้าในจำนวนพระสังคีติการก ๕๐๐ รูป ในขณะนั้นก็ยังขาดคุณสมบัติที่สำคัญ คือท่านยังเป็นพระเสขบุคคลยังมิได้บรรลุอรหัตผล ที่ประชุมจึงมีมติให้หย่อนจำนวน ๕๐๐ ไว้ ๑ รูป เพื่อรอให้พระอานนท์เป็นพระอริยบุคคลโดยสมบูรณ์ แล้วเข้าร่วมเป็นพระสังคีติกาจารย์ด้วย



    ทุติยสังคายนา : สังคายนาครั้งที่ ๒ ภิกษุผู้ปูอาสนะ คือ พระอชิตภิกษุ สวดสมมุติเสร็จแล้ว ได้พากันเดินทางไปวาลุการาม เมืองไพศาลี โดยให้พระสงฆ์ฝ่ายปาวาโดยพระเรวตเถระเป็นผู้ทำหน้าที่ถาม ฝ่ายปาจินกภิกษุโดยพระสัพพกามีมหาเถระสังฆวุฑฒาจารย์ พรรษา ๑๒๐ เป็นผู้แทนทำหน้าที่ตอบในที่ประชุมสงฆ์เพื่อระงับอธิกรณ์ จำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ รูป
    เสร็จจากการระงับอธิกรณ์แล้ว พระเรวตเถระจึงปรึกษาสงฆ์ซึ่งได้ตกลงกันจะทำสังคายนาและคัดเลือกพระขีณาสพปฏิสัมภิทา ๗๐๐ รูป เป็นพระสังคีติการก มีพระเรวตเถระเป็นประธาน มีพระเจ้ากาลาโศกราชทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภก
    ทุติยสังคายนานี้ คณะพระสังคีติการกทั้ง ๗๐๐ รูป ได้มอบหมายให้พระเรวตเถระเป็นผู้ไตร่สวนพระธรรมวินัย และพระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชชนา ทำที่วาลุการาม เมืองไพศาลี ในพระบรมรูปถัมภ์พระเจ้ากาลาโศกราช ทำอยู่เป็นเวลา ๘ เดือน เมื่อหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี


    ตติยสังคายนา : สังคายนาครั้งที่ ๓พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้เลือกพระจำนวน ๑,๐๐๐ รูปเฉพาะท่านที่ทรงพระปริยัติ (เล่าเรียนพระธรรมวินัย) แตกฉานในปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานมี ๔ คือ ๑. แตกฉานในอรรถ ๒. แตกฉานในธรรม ๓.แตกฉานในนิรุกติคือ ภาษา ๔. แตกฉานในปฏิภาณ) และชำนาญในวิชชา ๓ เป็นตัวแทนของพระสงฆ์จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ รูป เพื่อประชุมกันทำสังคายนา ตติยสังคายนาครั้งนี้ทำอยู่เป็นเวลา ๘ เดือน ที่อโศการาม พระนครปาตลีบุตรมในพระบรมราชูปถัมภ์ ของพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๑๘


    ฉนั้นการทำสังคายนาธรรม พระผู้มีปฎิสัมภิทาญาน จึงเป็นเลิศยิ่งในการน้อมนำอัญเชิญพระสัทธรรมลงมาสู่ พระไตรปิฏก


    อีกทั้งยังต้องตรวจทาน ตามหลักฐานรำลึกตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ณ ที่โอกาสในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พรหมโลก อมฤตยูโลกธาตุอื่นๆ มนุษย์โลก เทวโลก ฯ เป็นต้นเทียบเคียง ด้วยอตีตังสญาณ

    เวลา ๗ เดือน นั้นยาวนานเพียงพอเป็นแบบแผนขั้นต้น เป็นแม่แบบ สำหรับการทำสังคายนาเป็นต้นไป เพราะเวลาของทางโลกและทางสูญญตาอมฤตธรรม นั้นแตกต่างกันมาก หากจะกล่าวตามตรง การทำสังคายนา อาจจะใช้เวลาไม่กี่วันเสียด้วยซ้ำ หากจะนำมาถ่ายทอดลงตรงๆ ทันที แต่เพื่อรายละเอียดปลีกย่อย ในการแจกแจงรวบรวมที่มานั้น ย่อมเป็นกิจของพระสาวก ฉนั้นในยุคหลังๆจึงใช้เวลามากขึ้นตามลำดับ เพราะจำกัดด้วยญานของพระสงฆ์สาวกผู้มีปฎิสัมภิทาญาน จากปัญหา สูญเสีย สูญหาย อันเป็นหลักฐานเก่าอันเป็นเหตุที่เกิดจากภัยต่างๆที่ทำให้พระสัทธรรมลบเลือนเสื่อมสูญไปตามกาลเวลา ด้วยภัยธรรมชาติ ภัยจากสงคราม ภัยจากมนุษย์หรืออมนุษย์ โดยรวมคือ โมฆะบุรุษที่เกิดขึ้นมาเพื่อ บิดเบือนแต่งเติมพระธรรมคำสั่งสอนในพระไตรปิฏกให้ลบเลือนสูญหายไปนั่นเอง

    ส่วนการสังคายนาในครั้งหลังๆ ใช้เวลาน้อยลง เพราะจำกัดด้วยผู้มีปฎิสัมภิทาญาน จึงนิยมใช้วิธีตรวจทาน แก้ไขคำผิด ประดิษฐ์อักษร แก้ความหรือแต่งโคลงร้อยแก้ว หรือร้อยกรองเขาไป ส่วนที่ลอกแบบของเดิมเท่าที่จะพึงมีพึงเก็บรักษาให้เหลือรอดไว้ได้ ก็มีเจือปนอยู่

    เพราะฉนั้น การกำเนิด การบรรลุจุติธรรม ขั้นปฎิสัมภิทาญานของธรรมทายาทจึงสำคัญมาก ที่จะช่วยส่งเสริมรักษาพระสัทธรรม พระธรรมและพระธรรมวินัย ให้อยู่รอดสืบไป ให้พ้นภัยจากสัทธรรมปฎิรูป และ อสัทธรรม นอกพระพุทธศาสนา เพื่อให้พ้นภัย ๕ ประการที่จักมาเยือน


    ใจความสำคัญขอให้ท่านทั้งหลายจดจำไว้ว่า " เมื่อพระสัทธรรมถูกทำลายด้วยการสร้างสัทธรรมปฎิรูปโดยโมฆะบุรุษอย่าง คึกฤทธิ์แห่งสำนักวัดนาป่าพง ผู้ไร้คุณสมบัติในการทำสังคายนาพระไตรปิฏก แต่ได้กระทำการล่วงเกิน ลุแก่อำนาจด้วยตัณหา หมิ่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกตลอดจนพุทธบริษัททั้งหลายฯ นับตั้งแต่อดีตกาลจนมาถึงกาลบัดนี้ คึกฤทธิ์และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพง ได้ทำลาย กระแสนิรุตติญานทัสสนะอันเป็นวิมุตติญานทัสสนะกถาเป็น สัจฉิกัฐฐะปรมัตถ์ธรรม ที่ปรากฎในพระไตรปิฏก ว่าด้วยอรรถกถา เถรคาถา คำสอนของพระอรหันต์ เป็นเหตุที่จะให้เกิดภัยภยันตรายอันมากต่อพระพุทธศาสนา ทั้งในประเทศไทย ในโลกมนุษย์และในสหโลกธาตุต่างๆในอนัตริยะจักวาล "


    {O}องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมมหาศาสดา{O}

    ทรงตรัสสอนเหล่าเวไนยสัตว์เอาไว้ว่า

    จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน
    องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต

    พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
    เมื่อเล็งเห็นประโยชน์สูงสุด พึงสละทั้งอวัยวะ และชีวิต เพื่อรักษาธรรมไว้

    ผู้มีปฎิสัมภิทาญานและพระอรหันต์ที่เป็นอเสขะแล้วเท่านั้นที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สมควรแก่การฝากเนื้อฝากตัวเข้าเรียนเข้าศึกษา ที่สมควรสนทนาด้วย และผู้มีปฎิสัมภิทาญานเท่านั้น จึงจะสามารถรู้ อรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ และประกอบด้วยสุญญตธรรม อย่างบริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง ซึ่งก็ตรงเข้ากับหลักมหาประเทศ ๔ ที่พระองค์ทรงประทานพุทธดำตรัสไว้ ว่าให้พึงสนทนา กับพระอรหันตผู้มีวิมุตติของพระอเสขะ หรือ พระอริยะบุคคลผู้มีปฎิสัมภิทาญาน เมื่อท่านผู้ดำรงสถานะทั้งสองนี้ กล่าวธรรมอยู่ด้วย อรรถะ, พยัญชนะ, ลึกซึ้ง มีอรรถลึกซึ้ง ประกาศโลกุตระ ประกอบด้วยสุญญตาจึงสมควร

    ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ ที่แค่เพียงอ่านออกเขียนเป็น หรือท่องได้ ไม่อย่างนั้นก็วิมุตติ อรหันต์โสดาบันอนาคามีกันหมดเหมือนอย่างคึกฤทธิ์และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพง



    "สำคัญผิดไปเลย ยิ่งสำคัญผิดมากยิ่งดี โลกจะได้สงบสุข" แน่นอนนั่นเป็นโลกของบัวสามเหล่าของสำนักวัดนาป่าพง ที่มีแต่พระพุทธศาสนา ไม่มีเดียร์ถีย์ลัทธิศาสนาอื่น โลกนี้ต้องปลอดอาวุธ ปลอดการทำร้าย มิจฉาทิฏฐิทุกรูปแบบ ไม่มีใครได้ไปนรก ไม่มีคนทำบาป ด้วยกายวาจาใจ โลกแบบนี้ ธรรมข้ออื่นก็จะไม่เกิด เมื่อสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้ก็จักไม่มีตาม มีดีแต่นโยบายสโลแกน เอาไว้หาเสียงหลอกคนโง่ไม่รู้ธรรม แล้วยังทำให้พระสัทธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วนั้น เศร้าหมอง


    เป็นธรรมดาวิสัยที่ต้องจำกัดอยู่ในภูมิของพระเสขะผู้เจริญแล้วย่อมรู้ดีว่า ไม่สามารถวิสัชนาธรรมีกถาต่างๆ ได้เทียบเท่า เพราะมีแต่พระอเสขะโดยวิมุตติและพระอริยะวิมุตตญานทัสสนะไม่ต้องกล่าวถึง ปฎิสัมภิทามรรคเลย ว่าจะรู้จะเห็นวิสัชนาปัญหาในกถาที่มาได้มากมายขนาดไหน?

    พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยมาคธีภาษา ยังไม่บรรลุถึงคลองแห่งโสตประสาทของพระอริยบุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทานั้น เป็นการเนิ่นช้า. แต่เมื่อโสตประสาทพอพระพุทธพจน์กระทบแล้วเท่านั้น เนื้อความก็ปรากฏตั้งร้อยนัย พันนัย. ก็พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยภาษาอื่น ก็ย่อมต้องเรียนเอาแบบตีความแล้วตีความเล่า.
    อันธรรมดาว่า การเรียนพระพุทธพจน์แม้มากมายแล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ย่อมไม่มีแก่ปุถุชน, แต่พระอริยสาวกที่จะชื่อว่าไม่บรรลุปฏิสัมภิทานั้น ย่อมไม่มีเลย.
    ความรู้แตกฉานในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้นของพระอริยบุคคลผู้กระทำญาณอันมีในที่ทั้งปวงให้เป็นอารมณ์แล้วพิจารณาอยู่, หรือว่า ญาณอันถึงความกว้างขวางในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้น ด้วยสามารถแห่งอารมณ์และกิจเป็นต้น ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา.
    ก็บัณฑิตพึงทราบปฏิสัมภิทา ๔ เหล่านี้ว่า ย่อมถึงซึ่งประเภทในฐานะ ๒. ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕.
    ย่อมถึงซึ่งประเภทในฐานะ ๒ เป็นไฉน?
    คือ ในเสกขภูมิ ๑ อเสกขภูมิ ๑.
    ใน ๒ ภูมินั้น ปฏิสัมภิทาของพระมหาเถระ ๘๐ องค์ มีพระเถระผู้มีนามอย่างนี้ คือ พระสารีบุตรเถระ, พระมหาโมคคัลลานเถระ, พระมหากัสสปเถระ, พระมหากัจจายนเถระ, พระมหาโกฏฐิตเถระเป็นต้น ถึงซึ่งประเภทในอเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาของพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระอริยบุคคลผู้มีนามอย่างนี้ คือพระอานนทเถระ, ท่านจิตตคฤหบดี, ท่านธรรมมิกอุบาสก, ท่านอุบาลีคฤหบดี, ขุชชุตตราอุบาสิกาเป็นต้น ถึงซึ่งประเภทในเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาย่อมถึงซึ่งประเภทในภูมิ ๒ เหล่านี้ด้วยประการฉะนี้.


    “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยากเป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลง สู่ความตรึก ละเอียดเป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
    ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
    เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวงเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิทหากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเราข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เราจะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา” เมื่อสภาวะที่ปฎิบัตินั้นบริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ รวมทั้งเพศพรหมจรรย์สมบูรณ์ ด้วยบุญบารมีธรรมที่สั่งสมมาในกาลก่อน ก็จะสามารถเข้าสู่สภาวะอย่างนั้นได้อีก และจะสามารถเล่าเรียนได้ไม่รู้จบ

    ต่อให้ไม่ได้เรียนมา ต่อให้อ่านไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อได้อ่านแล้วเพียงครั้งเดียว จะสามารถจดจำได้ตลอด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผู้ที่เข้าสู่ปฎิสัมภิทาญาน จึงสามารถอ่านออก รู้และเข้าใจภาษาต่างๆได้ ก็ด้วยเพราะมี องค์พระสัทธรรม พระธรรมราชา ท่านเอื้อเฟื้ออนุเคราะห์ให้ ในกาลต่างๆที่สมควรแก่กาล อันบทธรรมทั้งหลายนั้น ผู้ใดมีสภาวะบุญที่ส่งเสริมเกี่ยวข้องอันเป็นการสงเคราะห์ธรรมตามเหตุและปัจจัย มิใช่ว่าทุกๆท่านจะเริ่มหรือจะได้รอบรู้เหมือนกันหมดทุกๆบททุกๆตอน แต่เป็นไปตามกำลังความสามารถที่จะเข้าถึงของแต่ละท่าน เช่นเดียวกับการระลึกชาติ ได้ชาติเดียวบ้าง สองชาติ หรือมากกว่านั้น แต่สำหรับองค์พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม พระสัทธรรมราชาแล้ว พระองค์ท่านมี สัจธรรม อันเป็นที่ตั้ง อันเป็นระเบียบและแบบแผนเดียว จึงเป็นไปตามบทที่กล่าวถึงการตรัสรู้ธรรมอันเสมอกัน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายฯ รองลงมา ก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพ พระอรหันตสาวก อุบาสก อุบาสิกา ผู้บรรลุธรรม ทั่วทั้งสหโลกธาตุ


    ผู้มีปฎิสัมภิทาญานและพระอรหันต์ที่เป็นอเสขะแล้วเท่านั้นที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สมควรแก่การฝากเนื้อฝากตัวเข้าเรียนเข้าศึกษา ที่สมควรสนทนาด้วย และผู้มีปฎิสัมภิทาญานเท่านั้น จึงจะสามารถรู้ อรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ และประกอบด้วยสุญญตธรรม อย่างบริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง ซึ่งก็ตรงเข้ากับหลักมหาประเทศ ๔ ที่พระองค์ทรงประทานพุทธดำตรัสไว้ ว่าให้พึงสนทนา กับพระอรหันตผู้มีวิมุตติของพระอเสขะ หรือ พระอริยะบุคคลผู้มีปฎิสัมภิทาญาน เมื่อท่านผู้ดำรงสถานะทั้งสองนี้ กล่าวธรรมอยู่ด้วย อรรถะ, พยัญชนะ, ลึกซึ้ง มีอรรถลึกซึ้ง ประกาศโลกุตระ ประกอบด้วยสุญญตาจึงสมควร

    ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ ที่แค่เพียงอ่านออกเขียนเป็น หรือท่องได้ ไม่อย่างนั้นก็วิมุตติ อรหันต์โสดาบันอนาคามีกันหมดเหมือนอย่างคึกฤทธิ์และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพง


    อาณิสูตร
    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่า ทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมา โครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด

    ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มี อักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จัก ปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน

    ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขา กล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ ด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่ง จิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

    ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
    จบสูตรที่ ๗


    จงเข้าหาผู้มีปฎิสัมภิทาญาน แล้วเธอจักได้เข้าถึงธรรมที่บุคคลผู้นั้นวิสัชนา เพราะประกอบด้วยวิมุตติญานทัสสนะ ผู้แสดงธรรมโดยวิมุตติ ธรรมนั้นย่อมประกอบ วิมุตติ


    นี่คือ ความหมายของ อาณิสูตร

    ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ ที่แค่เพียงอ่านออกเขียนเป็น หรือท่องได้ ไม่อย่างนั้นก็วิมุตติ อรหันต์โสดาบันอนาคามีกันหมดเหมือนอย่างคึกฤทธิ์และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพง


    เมื่อมีปฎิสัมภิทาญาน ย่อมเห็นธรรม ที่บริสุทธิคุณ ถูกต้องชัดเจน งดงาม ไพเราะ ในเบื้องตน ท่ามกลาง และบั้นปลาย ตามนามพระสัทธรรมอันเป็นธรรมราชาของอนันตริยจักรวาลทั้งปวง อันเป็นสิ่งเหนือสหโลกธาตุทั้งสิ้น สุดจะพรรณนาหาความได้

    มีปฎิสัมภิทาญาน ย่อมมีธรรม อันเป็นรูปแบบเดียวกันของศาสนาพุทธในทุกๆยุคสมัยของแต่ละห้วงช่วงพุทธันดรของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆตามลำดับมา อย่าไปค้นหาที่มา ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าด้วยกัน อันความนึกคิดตริตรองพระองค์ล้วนมีแบบฉบับส่วนของพระองค์เอง ไม่ใช่ฐานะที่จะไปหยั่งรู้ความคิดพิจารณาได้ ถ้าไม่มีคุณสมบัติปัญญาญานที่มากพอ รู้ไว้ตรงนี้


    ถึงเวลานั้นบรรดาคำสั่งสอนที่แอบอ้างเป็นของพระพุทธศาสนา พวกสัทธรรมปฎิรูป คำสอนลัทธิพุทธอื่นนอกนิกายดั้งเดิมหนึ่งเดียวทั้งหลายฯ รวมทั้ง อสัทธรรมนอกพระพุทธศาสนาก็จะจนมุมทำมาหากินที่เบียดเบียนพระพุทธศาสนาเบียดเบียนหลอกลวงเหล่าพุทธบริษัท


    คงโกลาหลกันน่าดู สวนกระแสโลก สงสัยพวกนักสิทธิ การศาสนาลัทธิต่างๆ พวกล่าอาณานิคมที่ทำลายพุทธมาตลอด และที่หวังจะทำลายพุทธ คงผิดหวังในสิ่งที่พยายามทำกันมา หมดท่าไปตามๆกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2016
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    Best radio 89


    เมื่อวานนี้ 8/9/2559 เวลา 15:07 น.

    ฟังแล้วขนลุก! 16 คำทำนายพระพุทธเจ้า กว่า 2500 ปี ได้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยแล้ว !!!!

    ยังเป็นที่น่าสนใจเสมอๆ 1,581,880 คนถูกใจเพจนี้ ผ่านตาสาธารณะชนจำนวนไม่น้อย ใครว่างๆ กีอปลิงค์ไปวางให้ทีนะครับ โดนสำนักวัดนาป่าพงรายงานบล๊อก! 555

    ฟังแล้วขนลุก! 16 คำทำนายพระพุทธเจ้า กว่า 2500 ปี ได้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยแล้ว !!!!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จากใจศิษย์สำนักวัดนาป่าพง
    "การที่จะให้ใครช่วยงานธรรม จะเป็นพระ หรือฆราวาส ถ้ารู้ธรรมของพระองค์อย่างคล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็นแล้ว..จะเป็นใครก็ได้ เพราะธรรมะจะฆราวาส หรือภิกษุ ธรรมะของพระองค์ก็ความหมายเดียวกันไม่เป็นอื่น เพราะผู้ที่จะทำได้ ปัญญาต้องมีอย่างมากเช่นกัน"

    *** ต่อไปเป็นความเห็นจากเพื่อนสมาชิก***

    ลดคำแต่งใหม่เหลือแต่คำตถาคตหรอ ไม่ทราบว่าผู้ที่เอ่ยหรือเขียนไว้บนคำโฆษณานั้นเขาไปอยู่ในสมัยพุทธกาลได้ยินได้ฟังคำพูดจากปากของพระพุทธเจ้าท่านทุกคำเลยหรอ ถึงได้กล้ามาบอกว่าเหลือแต่คำตถาคตอะครับ ผมว่าคิดเองเออเองทั้งนั้น

    อย่างน้อยพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยเอาธรรมะคำสอนมาเป็นสิ่งของซื้อขาย ลด 70% กันแบบนี้หรอกครับ แม้กระทั่งวันที่จะปรินิพพานท่านยังให้โอวาทแก่สุภัทปริพาชกไปปฏิบัติ และให้บวชจนได้บรรลุอรหันต์ในไม่นาน พระพุทธเจ้าท่านทำงานโปรดเหล่าสัตว์จนถึงวาระสุดท้ายโดยไม่เคยต้องการเงินทองหรือสิ่งใดตอบแทน

    ใครก็ตามที่กำลังเอาธรรมะมาบิดเบือน อวดอ้าง เกทับ เพียงเพื่อแสวงหาเงินทองเข้ากระเป๋าตัวเอง กรรมอันหนักได้เกิดขึ้นแก่คุณแล้ว


    โต้ตอบจากศิษย์วัดนา

    บักPiagk3 สาวกวัดนาป่าพง ที่มาเผยแผ่คำคึกบอก************ท่านตีความหมายผิดแล้ว ของคำว่าลด70% มันไม่ใช่ในทางการค้า แต่ความหมายของผู้โปรโมทหนังสือ คือ 70 % ของของเนื้อหา ในพระไตรปิฎกที่เป็นอรรถกถาที่ถูกแต่งใหม่โดยสาวกที่แทรกอยู่ ถูกตัดออกไปต่างหาก

    ข้อสังเกตุ
    70 เปอร์เซนต์ในเนื้อหา พระไตรปิฏกบาลีสยามรัฐ ถูกตัดออกไปหมด เหลือ 30 เปอร์เป็นคำตถาคต แล้วที่บอกว่าลอกมาทั้งหมดตรงๆ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี จะแถไปไหนก็พันคอตนเองหมด

    เดี่ยวมีแถตัดจากเล่มอื่น แล้วมันจะไปเกี่ยวกับเล่มอื่นฉบับอื่นหรือสำนักอื่นได้อย่างไร? ในเมื่อบอกว่าลอกมาจากบาลีสยามรัฐเท่านั้น

    ในเมื่อตัดที่มีมาในสยามรัฐออก ไป70 เปอร์เซนต์ตามโพย ก็แปลว่า บาลีสยามรัฐก็มีคำปลอมไม่แตกต่าง พระไตรปิฏกฉบับอื่น เพราะฉนั้น ก็ไม่สามารถเอามาการันตีได้ ว่า พระไตรปิฏกสยามรัฐเป็นต้นแบบที่ถูกต้องที่สุด ขนาดสยามรัฐที่เป็นแบบมันยังตัดออก 70 เปอร์เซนต์แล้วมันจะเหลืออะไร? กดโปรแกรมคลิกง่ายๆ ค้นหา84000 พันพระธรรมขันธ์ กดคลิ๊กเดียว หายไปหมดเลย ทั้ง 84000ฯจริงๆ ตามนี้แล คึกเอย



    สรุป เอาบาลีสยามรัฐมาเป็นต้นแบบ ได้ยังไง ทั้งๆที่เมิงก็ตัดออก70เปอร์เซนต์ จะแตกต่างจากพระไตรปิฏกสำนักอื่นแค่ไหนกัน และที่อ้างว่าของสำนักอื่นๆล้วนเอาต้นแบบมาจากสยามรัฐทั้งนั้น แต่สำนักวัดนาป่าพงไม่เอาตาม แต่จงใจตัดทอนต้นแบบเองเลย ไอ้ที่ตัดออกนี่ ไปเอาต้นแบบมาจากสำนักไหนอีกวะ ฮ่าๆ ฉบับสวนโมกข์เหรอ เห็นว่าไปตัดของสวนโมกข์จนเขาด่าเอาอีก งั้นปิฏกต้นแบบของไอ้คึกเนี่ย มันมาจากโลกธาตุไหนกัน ไอ้คึกเอ๊ย ตายน้ำตื้นจริงๆ

    อกตัญญูแม้บาลีสยามรัฐที่ลอกมา ระยำเถร ไหลเถร งมเถร

    [ame]https://youtu.be/dWcDsWE4Aus[/ame]

    จบสิ้นสำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกสร้างพุทธวจนปลอม

    จบเนาะ

    สวัสดี จบบริบูรณ์ ผู้ร้ายตายทั้งเป็น

    เคสคึกฤทธิ์ จะไม่นำมากล่าวอีก พอแล้วสำหรับ พุทธวจน เดรัจฉานวิชา สมชื่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2016
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรื่องพระศรีอารย์ที่อยู่นอกพระพุทธศาสนา


    [ame]https://youtu.be/l9-24VZAMIg[/ame]

    กรณีศึกษา พิจารณาจากกลามสูตรและการกำเนิดบุคคล๑๐ ที่แสดงไว้ขั้นต้น
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ยังอยู่ในช่วงตามล่าเหรียญที่ระลึกของโปรตุเกส เหรียญที่ระลึกในการประกาศชัยชนะทุบทำลายพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว

    นี่ขนาดเป็นเว็บนอก ถ้าหาไม่เจอแสดงว่าไม่กล้าเอาลง นี่จะแสดงว่าขี้ขลาดมากๆ แต่ถ้าไม่มีนี่ตำนานเปลี่ยนเลยนะ ความภาคภูมิใจระดับโลกขนาดนี้ของบรรพบุรุษโปรตุเกส

    หรือท่านใดชอบสะสมเหรียญเงินตราต่างประเทศต่างๆ ชอบส่อง ลองดู อาจจะสนุกในกิจกรรมงานอดิเรกนี้

    http://colnect.com/th/coins/list/co...5B8%2587%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599/page/1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2016
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2016
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    รัฐบาลโปรตุเกสได้ออกเหรียญที่ระลึกในงานนี้ รูปเหรียญด้านหนึ่งเป็นรูปผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสจารึกว่า "ผู้พิทักษ์อันเที่ยงแท้" อีก ด้านหนึ่งเป็นรูปบาทหลวงตำพระเขี้ยวแก้ว

    https://books.google.co.th/books?id...zAC#v=onepage&q=โปรตุเกส บุก ลังกา ปี&f=false


    ปีค.ศ 1505 โปรตุเกสบุกลังกา
    เหรียญที่ผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ 1438-2016 ตรวจสอบกว่า1,000 เหรียญ ไม่ปรากฏเหรียญที่มีรูปลักษณะดังกล่าว เอกอัครราชทูตที่โปรตุเกสหรือคนไทยที่อาศัยในโปรตุเกสนี่สามารถหาเหรียญโบราณรุ่นนี้ มาให้ชมเป็นขวัญตาได้ไหม?หนอ


    หรือว่ามีการเพิกถอนออกไปจากคำขอของนานาชาติเพราะมีการหมิ่นศาสนาจึงทำลายทิ้งทั้งหมด ข้อนี้อาจเป็นไปได้

    ถ้าไม่มีก็จะกลายเป็นเรื่อง โอละพ่อ ทันที

    http://colnect.com/th/coins/years/country/2279-โปรตุเกส
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เอาใจคนไทย 17 ชุด, 450 เหรียญกษาปณ์ เผื่อใครชอบการสะสมหรือพบเห็นเหรียญมีค่า เห็นให้ราคาแพงกันจัง

    จากปี 2394 - 2559

    http://colnect.com/th/coins/series/country/2462-ไทย
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    (kiss)เดือน ตุลาคม ถัดไปหลังจากนี้คงต้องย้ายไปออกราชการสนามที่กองร้อยครับ ไปอยู่แถวป่าภูเขา เพราะมีการเคลื่อนย้ายสับเปลี่ยนกำลัง ด้วยสัญญานหรือ การใช้ internet คงจะไม่มีและยากแก่การมาร่วมสนทนาต่างๆ หาโอกาสโม้ยาก

    “ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ    ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ  
     เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ    น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารีฯ” 


    “ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมบุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้  นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ” 


    ภารกิจทางโลกบีบคั้น ทางธรรมไปปฎิบัติเอาในป่า จะได้มีเวลาพิจารณาในส่วนตน การจับต้องอาวุธสำหรับผมแล้ว เป็นเรื่องจำใจจริงๆ ที่จะต้องคอยไประแวดระวังคอยวุ่นวายกับการที่จะเที่ยวคอยป้องกันการทำร้ายหรือจะต้องไปทำร้ายเบียดเบียนสัตว์ให้ถึงแก่ชีวิตอีก รอเวลาปลดพันธนาการให้หลุดพ้น เพื่อเดินเข้าสู่เส้นทางที่แท้จริง สวัสดีครับ




    ขอให้ท่านทั้งหลายฯ เจริญในพระสัทธรรม ยิ่งๆขึ้นไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    มีอะไรน่าสนใจ ของคำทำนาย ISIS

    [ame]https://youtu.be/dbycp5EwFVo[/ame]

    นิตยสารของกลุ่มไอซิสภาษาอังกฤษชื่อนิตยสาร 'ดาบิก' (Dabiq) ซึ่งออกมา 7 ฉบับแล้ว จากการศึกษานิตยสารฉบับนี้เบอร์เกนพบว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดที่จะมองไอวิสในฐานะกลุ่มที่มีเหตุมีผล เพราะสิ่งที่ไอซิสนำเสนอผ่านสื่อของตนคืออุดมการณ์แบบกลุ่มลัทธิคลั่งคำพยากรณ์ที่เชื่อว่าพวกเรากำลังอยู่ในช่วงโลกใกล้จะแตกแล้วการกระทำของพวกไอซิสเองก็เร่งให้เกิดภัยพิบัติต่อมนุษยชาติเร็วขึ้น

    นิตยสารของไอซิสระบุว่าเมืองทางตอนเหนือของซีเรียที่ชื่อ 'ดาบิก' ในเขตปกครองอเล็ปโป จะเป็นแหล่งของสงครามครั้งสุดท้ายระหว่าง "กองทัพอิสลาม" กับ "โรม" ที่จะทำให้เกิดจุดจบของโลกและชียชนะจะเป็นของ "ผู้เป็นอิสลามที่แท้จริง" ในนิตยสารของไอซิสยังระบุอีกว่าผู้ที่จะชนะในสงครามครั้งใหญ่นี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่เข้าร่วมสงครามด้วย ผู้ที่เป็นคนดูอยู่เฉยๆ จะถือว่าพ่ายแพ้ ซึ่งตีความได้ว่าไอซิสอ้างให้คนต้องเข้าร่วมเป็นพวกเขาเท่านั้นคนอื่นที่นอกเหนือจากกลุ่มของตัวเองถือเป็น "พวกนอกรีต" หรือ "ผู้ทำสงครามศาสนา" (Crusader) ทั้งหมด

    ก่อนหน้านี้ที่กลุ่มไอซิสได้สังหารปีเตอร์ แคสซิก คนทำงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชาวอเมริกัน โดยสมาชิกกลุ่มไอซิสรายหนึ่งที่สื่อตั้งชื่อว่า "ญิฮาดิ จอห์น" พูดผ่านวีดิโอว่า "พวกเราฝังผู้ทำสงครามศาสนา (Crusader) คนแรกไว้ในดาบิกแล้ว และกำลังตั้งตารอกองทัพที่เหลือของพวกคุณบุกเข้ามา"

    เบอร์เกนระบุว่าในแง่นี้กลุ่มไอซิสต้องการให้ประเทศตะวันตกรุกรานซีเรียซึ่งจะกลายเป็นการทำให้คำทำนายเรื่องดาบอกของพวกเขาเป็นจริง

    สำหรับโลกยุคปัจจุบันที่มีการแยกรัฐออกจากศาสนามากขึ้นอาจจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการเชื่อในคำทำนายศาสนาอย่างจริงจังเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ แต่เบอร์เกนก็ระบุว่าไอซิสถือคำทำนายเรื่องดาบิกเป็นเรื่องจริงจังและพวกเขาคิดว่าตัวเองกำลังทำสงครามศาสนาตามคำทำนายอยู่จริง เช่นที่เขียนไว้ในหนังสือเกี่ยวกับไอซิส โดย เจ เอ็ม เบอรฺเกอร์ และเจสสิกา สเติร์น ว่า "กลุ่มเชื่อในคำทำนายของศาสนาหัวรุนแรงมักจะมองว่าพวกเขาเองกำลังเข้าร่วมในสงครามที่ยิ่งใหญ่ระหว่างความดีกับความชั่ว ซึ่งไม่ได้สนใจหลักการจริยธรรมใดๆ"

    เปิดคำทำนายหญิงตาบอดชาวบัลแกเรีย "ยุโรปจะถูกมุสลิมหัวรุนแรงบุกรุกในปี 2016 และกรุงโรมจะกลายเป็นศูนย์กลางรัฐอิสลามในปี 2043"

    'บาบา แวนกา'หญิงนักทำนายตาบอดชาวบัลเกเรียผู้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1996 ด้วยวัย 85 ปี เคยได้ทิ้งคำทำนายไว้ว่า จะเกิดเหตุสงครามมุสลิมครั้งยิ่งใหญ่ในโลกอาหรับในปี 2010 และในปี 2016 ยุโรปจะถูกบุกรุกคุกคามโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงซึ่งจะเป็นฉนวนให้เกิดการยึดกรุงโรมเป็นศูนย์กลางรัฐอิสลามในปี 2043

    "มุสลิมจะสู้รบกับยุโรปด้วยสงครามเคมี" หญิงทำนายเคยกล่าวไว้

    แวนกายังระบุว่า ยุโรปที่เราเคยรู้จักจะสิ้นสุดลงในปีหน้านี้ โดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงจะเป็นผู้หาวิธีกำจัดประชาชนออกไป ทำให้ทวีปยุโรปนั้นแทบว่างเปล่าซึ่งสิ่งมีชีวิต หรือกลายเป็นดินแดนรกร้างในที่สุด

    ก่อนหน้านี้ แวนกายังเคยได้ทำนายเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วหลายเหตุการณ์ด้วยกัน ตั้งแต่ปี 1950 เธอเคยทำนายว่าโลกจะเข้าสู่สภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งละลายและเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์กลืนมนุษย์และเมืองลงสู่มหาสมุทร ซึ่งเชื่อว่าตรงกับเหตุการณ์สึนามิในปี 2004

    ในปี 1989 เธอยังเตือนด้วยว่า"คู่พี่น้องอเมริกัน" (American brethren) จะถูกโจมตีโดย "นกเหล็ก 2 ตัว" (two steel birds) ซึ่งคาดว่าหมายถึงเหตุการณ์ชนตึกเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ 9/11

    เธอยังได้ทำนายว่าประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ จะเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งก็คือ"บารัค โอบามา"นั้นเอง พร้อมทั้งได้เตือนด้วยว่าผู้นำคนนี้จะเป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายของสหรัฐฯ


    ทหาร ISIS ในอิรัก


    หนังสือที่กลุ่ม ISIS พิมพ์เผยแพร่ในภาษาอังกฤษ ได้ปฏิเสธความคิดที่ว่า อิสลามเป็น”ศาสนาแห่งสันติภาพ” และพวกนี้ยืนกรานว่า อิสลามเป็น”ศาสนาแห่งดาบ”
    ในบทความของ Dabiq magazine ซึ่งเป็นแมกกาซีนของกลุ่มนี้กล่าวว่า อัลลาห์สั่งให้อิสลามเป็นศาสนาแห่งความรุนแรงและมุสลิมคนใดที่เชื่อแตกต่างไปจากสิ่งนี้ถือเป็นพวกนอกรีต
                ISIS ได้ก่ออาชญากรรมอันป่าเถื่อนต่อชนกลุ่มน้อยและผู้ที่นับถือศาสนาอื่น โดยใช้กฎหมายอิสลาม  ทำให้ชาวมุสลิมทั่วโลกประณามกลุ่ม ISIS ที่ก่ออาชญากรรมในนามของอิสลาม

               บทความนี้ยังกล่าวอีกว่า อัลลาห์และโกรานได้สั่งให้ชาวมุสลิมตัดศีรษะผู้ไม่มีความเชื่อทุกคน  ดังที่มีเขียนในโกรานว่า

    “อัลลาห์ ยังได้อธิบายว่าควรใช้ดาบอย่างไร (จงจำถึงวาจาของพระเจ้าของเจ้าที่ได้ตรัสแก่บรรดาเทวดา ‘เราและพวกท่านจะทำให้ผู้ที่เชื่อในเรามีความแข็งแกร่ง  เราจะให้ความกลัวเกิดขึ้นในหัวใจของผู้ไม่มีความเชื่อ  ดังนั้นจงเฉือนที่คอของพวกมันและตัดเล็บทุกเล็บของพวกมัน’) [โกราน 8:12] “ และบทความได้กล่าวต่อไปว่า “พระองค์ยังตรัสอีกว่า (ดังนั้นเมื่อเจ้าพบผู้ที่ไม่มีความเชื่อ  จงตัดคอของพวกมัน , ทำให้พวกมันมีบาดแผล, แล้วให้มันรู้สึกปลอดภัย หรือหารือหลังจากเรียกค่าไถ่พวกมัน  จนกระทั่งสงครามจะเป็นภาระอันหนักที่สุด) [โกราน 47:4]
               บทความโฆษณาชวนเชื่อนี้ระบุว่าดาบเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้บรรลุถึงสวรรค์ของอิสลาม ดังที่เขียนว่า
    “ผู้นำสาส์นของพระองค์...ยังอธิบายว่าดาบเป็นการช่วยให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายและการต่อสู้กัน (fitnah) พระองค์ยังประกาศว่าบทบัญญัติของพระองค์ตั้งอยู่ในเงาของคมหอกและวิถีชีวิตของมุสลิมที่ดีที่สุดในอนาคตก็คือการจับดาบของเขาต่อสู้กับศัตรู”
    บทความนี้กล่าวสรุปถึงการกระทำที่มุสลิมจะจับดาบต่อไปจนกว่าพระเยซูจะเสด็จมาปราบแอนตี้ไครส์
    “ดาบจะถูกจับขึ้นมาและแกว่งต่อไปจนกว่า ‘Isa (พระเยซู – สันติภาพอยู่บนพระองค์) จะฆ่า Dajjal (แอนตี้ไครส์) และปลดปล่อย jizyah (ภาษีรัชชูปการ)”  บทความกล่าวต่อไป “หลังจากนั้น  kufr และการปกครอบแบบเผด็จการของมันจะถูกทำลาย  อิสลามและความยุติธรรมจะได้รับชัยชนะต่อโลกทั้งมวล...แต่จนถึงบัดนี้  กลุ่มของ kafirin จะถูกทำให้ล้มลงด้วยดาบของอิสลาม”

    (CNN) เมื่อกลุ่ม ISIS ตัดศีรษะคริสตชนอียิปต์  จับสตรีของยาซีดิสเป็นทาส หรือเผานักบินทั้งเป็น  มีคำถามขึ้นว่า ทำไมกลุ่ม ISIS จึงทำสิ่งนี้? อะไรเป็นเป้าหมายของพวกมัน?
    ISIS ยังท้าทาย พวกชีอะห์  เคริดส์  ยาซีดิส  คริสตชน และ มุสลิมที่มีความคิดเห็นและความเชื่อไม่ตรงกับพวกมัน  ISIS ยังทำสงครามกับกลุ่มอัลไคด้าในซีเรียอีกด้วย
    นาซีและเขมรแดงพยายามปกปิดการกระทำประทุษร้ายต่อมนุษยชาติของพวกเขา  แต่ ISIS กลับเปิดเผยอาชญากรรมของพวกมันทางโซเชียลมีเดียให้ทั่วโลกรับรู้
    ISIS ยังคงสร้างความประหลาดใจให้แก่โลก  ด้วยการกระทำของพวกเขาซึ่งดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย  และเป็นการทำลายตัวเองมากกว่า
    กุญแจที่จะไขปริศนาและเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่ม ISIS ได้มาจากแมกกาซีนภาคภาษาอังกฤษชื่อ "in-flight magazine" Dabiq. ฉบับที่เจ็ด
    ISIS เชื่อว่าพวกเขากำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของโลกและปฏิบัติการของพวกเขาจะเป็นการเร่งให้เหตุการณ์ตามคำทำนายบังเกิดเร็วขึ้น
    ชื่อของ Dabiq magazine  เองก็ช่วยให้เราเข้าใจทัศนคติของพวกนี้   Dabiq เป็นชื่อของเมืองเล็กๆในซีเรีย สถานที่ซึ่งโมฮัมหมัดทำนายว่าศัตรูของอิสลามและ “โรม” จะทำสงครามครั้งสุดท้ายและทำให้เกิดวาระสุดท้าย    นั่นคือชัยชนะของอิสลามที่แท้จริง
    บทความกล่าวว่า “โลกกำลังก้าวไปสู่ al-Malhamah al-Kubra (สงครามครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ Dabiq ) การเลือกยืนบนเส้นแบ่งเขตเพื่อเป็นแต่เพียงผู้เฝ้ามองเท่านั้นเป็นการสูญเสีย”  หมายความว่า คุณจะเลือกอยู่ข้าง ISIS หรือจะอยู่ข้าง Crusaders ผู้เป็นศัตรู
    เมื่อ Peter Kassig คนงานชาวอเมริกันถูกกลุ่มนี้ตัดศีรษะในเดือนพฤศจิกายน  ฆาตกรที่ปรากฏตัวในวีดีโอพูดว่า  “เราได้ฝัง crusader คนแรกใน Dabiq  และเรากำลังรอคนอื่นๆซึ่งจะมาถึง”

    พูดอีกอย่างก็คือ ISIS ต้องการให้ชาติตะวันตกยกกำลังเข้ามารุกรานซีเรีย  เพราะพวกมันมั่นใจในคำทำนายเกี่ยวกับ Dabiq
    บางครั้งเป็นเรื่องยากที่เข้าใจในความเชื่ออย่างเอาจริงเอาจังทางศาสนาของผู้อื่น  หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่วาระสุดท้ายจะมาถึงด้วยสงครามระหว่าง “โรม” และอิสลามในเมืองเล็กๆของซีเรียที่ชื่อว่า Dabiq  นั่นก็เหมือนกับการที่ชาวมายันเชื่อว่าการสังเวยมนุษย์จะมีอิทธิพลต่ออนาคตของพวกเขา
    แต่สำหรับกลุ่ม ISIS  คำทำนายนี้เป็นเรื่องจริงจังมาก  สมาชิกของ ISIS เชื่อว่าพวกเขาเป็นนักรบในสงครามศาสนา และอัลลาห์จะประทานชัยชนะให้ด้วยกองกำลังอิสลามที่แท้จริง
    สมาชิกของ ISIS เชื่อว่าในการทำสงครามครั้งนี้ พวกเขาอยู่ข้างความดี  จึงทำให้พวกเขาสามารถที่จะฆ่าใครก็ได้ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นศัตรู  แน่นอน นี่เป็นความคิดที่หลงผิด  แต่มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก

    http://freewill14.blogspot.com/2015/02/isis.html


    พุทธบริษัทในพุทธศาสนาโดยส่วนใหญ่ทั่วโลก พยายามที่จะอยู่อย่างร่มเย็นโดยปราศจากการรุกรานกันและกัน ปฎิบัติธรรมรักษาศีลสั่งสมบุญบารมีเพื่อบรรลุธรรมและรอพระผู้มาโปรด

    ISIS ทำสงครามฆ่าฟันรอคอย ผู้มาร่วมทำลายล้างครั้งใหญ่

    และที่สำคัญที่สุด ในสภาวะนั้น ถ้าผู้มาโปรดของเขามีอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
    บุคคลนั้น ได้เข้าสู่ คัมภีร์อักขระพยัญชนะมาร อาถรรพ์ของอหังการวิเศษมาร อย่างแน่นอน


    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เตรียมตัวกันได้เลย ที่จะต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่คาดไม่ถึง โดยไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงๆในชีวิตได้เลย

    มหานิมิตวิปัสนาญาน ๙
    (ด้วยมหานิมิตแห่งเรา ในกาลนั้น ได้ปรากฎต้นไม้พฤกษชาติที่มีขนาดใหญ่โต หนึ่งต้น ขนาดมหึมาที่สุด สูงกว่าเหล่าบรรพตทั้งหลายในโลกธาตุนี้ นั่นคือเท่าที่จะประมาณได้ เราปรากฎในรูปของบรรพชิต นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ ปลายลำต้นไม้นั้น ที่แยกแตกออกเป็นเสนาสนะแห่งเราโดยเฉพาะ ท้องฟ้านภาอากาศมีสีแดงเทาดำชวนให้เศร้าหมอง เราเหลือบมองดูผืนพสุธาที่ครุ่กกรุ่นด้วย ถ่านเพลิงมหาไฟประลัยกันต์เหล่านั้น ด้วยความปลงตกสังเวชใจ เราครุ่นคิดพิจารณาอยู่หนอว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดสภาวะขึ้นกับโลกธาตุนี้ เราไม่อาจจักเห็น น้ำ หรือ สิ่งมีชีวิตอื่นใดเลย นอกจากเราเองและพฤกษชาตินั้น)

    เป็นการเจริญภาวนาแล้วไปปรากฎในสถานที่แห่งนั้น ไม่ใช่นั่งนึกคิดมโนวาดภาพแต่งเรื่องเอา

    จดจำไว้ให้ดีๆ
    มีแต่การอคอยไม่ว่าจะหันไปทางไหนๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2016
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    วันที่: 8 ก.ย. 59 เวลา: 12:27 น.

    เมื่อคืนนี้ เวลาประมาณ 20.28 น.ตามเวลาประเทศไทย ขณะที่ชาวกรุงกำลังตื่นตกใจกับเหตุการณ์ตึกถล่มย่านประชานิเวศน์ เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าก็มีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเล็ก ๆ เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน

    รายงานข่าวจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(นาซา) แจ้งว่า ดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง ชื่อว่า 2016 อาร์บี 1 (2016 RB1) ได้เฉียดโลกบริเวณจุดที่ใกล้โลกที่สุดอยู่สูงจากผิวโลกไปราว 38,463 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าใกล้มากจนแทบจะเรียกว่าถากเขตดาวเทียมสื่อสารไปเพียงไม่กี่พันกิโลเมตรเท่านั้น

    ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ถูกค้นพบเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้เองโดยกล้องโทรทรรศน์เมาต์เลมมอนในทูซอน แอริโซนา

    เบื้องต้นคาดว่ามีขนาดประมาณ 7.3-16 เมตร ซึ่งเล็กกว่าดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งใส่เมืองเชลยาบินสค์ของรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เพียงเล็กน้อย

    ข้อมูลจากศูนย์ดาวเคราะห์น้อยระบุว่า ในเดือนกันยายนนี้มีดาวเคราะห์น้อยที่เฉียดโลกในระยะที่ใกล้กว่าระยะของดวงจันทร์มาแล้วถึงสามดวง ก่อนหน้านี้สองดวงคือดาวเคราะห์น้อย 2016 อาร์อาร์ 1 (2016 RR1) เฉียดโลกไปด้วยระยะ 0.32 เท่าของระยะห่างโลก-ดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 2 ตามมาด้วยดาวเคราะห์น้อย 2016 อาร์เอส 1 (2016 RS1) เฉียดโลกไปด้วยระยะ 0.48 เท่าของระยะห่างโลก-ดวงจันทร์ แต่สำหรับกรณีของดาวเคราะห์น้อย 2016 อาร์บี 1 ที่เฉียดโลกไปเมื่อวานนี้ มีระยะห่างเพียง 1/10 ของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์เท่านั้น

    จากการวิเคราะห์เบื้องต้น นักดาราศาสตร์คาดว่า 2016 อาร์บี 1 เป็นดาวเคราะห์น้อยในกลุ่มเอเทน ซึ่งเป็นกลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรตัดวงโคจรโลก จัดเป็นวัตถุอันตรายที่นักดาราศาสตร์ต้องจับตามองต่อไป


    NASA
    https://twitter.com/NASA?ref_src=twsrc^tfw

    เกิดเหตุอุกกาบาตพุ่งชนโลก เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 56 ที่ผ่านมา ในประเทศรัสเซีย ก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ที่มีเพลิงลุกไหม้อย่างน่ากล้ว

    [ame]https://youtu.be/egRlWNjMj5I[/ame]

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ภาพระทึกเมื่ออุกกาบาตได้ตกในเมืองเรซิเฟ่ของบราซิล เมื่อเวลา 22.00 น.ของวันพฤหัสบดีที่ 16 ต.ค.2557
    [ame]https://youtu.be/Tmhpt4CZBjo[/ame]


    นาซ่าชี้ลูกไฟเหนือท้องฟ้าในไทยเป็น อุกกาบาตยักษ์หนัก 66 ตัน (15 ก.ย.58)
    [ame]https://youtu.be/xgaIWIlaLEw[/ame]


    ********************************************************************
    จับตาปะทะ5กพ.2040 ใหญ่460ฟุต-ตายนับล. เรียกนักวิจัยถกรับมือ

    เว็บไซต์สเปซดอทคอมรายงานเมื่อวันพุธว่า นักวิทยาศาสตร์ขององค์การการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซา กำลังติดตามดูอุกกาบาตลูกหนึ่ง ซึ่งอาจเข้ามาใกล้และ ส่งผลกระทบกับโลกในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า และเตรียมหามาตรการรับมหันตภัยที่อาจจะเกิดขึ้น

    โดยอุกกาบาตลูกนี้ค้นพบเมื่อเดือนมกราคม 2011 ที่เมืองทูซอน รัฐแอริโซนา ของสหรัฐอเมริกา มีชื่อ เรียกว่า 2011 AG5 ขนาดกว้าง 460 ฟุต หรือ 140 เมตร ซึ่งจะเดินทางมาใกล้โลกมากในปี 2040 แต่จนถึงขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนประกอบของอุกกาบาตดังกล่าว ทำให้นักวิจัยเปิดหัวข้ออภิปรายถึงแนวทางที่จะหันเหทิศทางของ
    อุกกาบาตลูกนี้ ระหว่างการ ประชุมเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในงาน The Scientific and Technical Subcommittee of the United Nations Committee on the Peaceful Uses of Outer Space (COPUOS) โดยนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า อุกกาบาตลูกนี้เคลื่อนที่เข้าใกล้โลก และมีความเป็นไปได้ว่า อาจพุ่งชนโลกในอีก 28 ปีข้างหน้า นักวิทย์นาซาเร่งระดมสมองหลังพบมีโอกาสที่อุกาบาตชื่อ เอจี 5 พุ่งชนโลกในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2583 และก่อให้เกิดวิบัติภัย "วันสิ้นโลก"

    รายงานระบุว่า ขณะนี้ โลกมีความเสี่ยง 1:625 ที่จะถูกอุกกาบาตพุ่งชน ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2040 ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงในอนาคตก็เป็นได้ โดยในเบื้องต้น นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุกกาบาตดังกล่าว นอกเหนือจากความกว้าง โดยจะมีการตรวจสอบอีกทีปีหน้า

    นายเดทเลฟ คอส์ชนี่ นักวิทยาศาสตร์ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า อุกกาบาต 2011 AG5 มีโอกาสพุ่งชนโลกในปี 2040 แต่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งสำรวจได้เพียงครึ่ง วงโคจรของอุกกาบาตเท่านั้น จึงยังไม่มั่นใจ เกี่ยวกับการพุ่งชนโลกของอุกกาบาต สรุปได้ว่า อุกกาบาตลูกนี้อาจไม่ได้เป็นภัยคุกคามโลกจริงๆ แต่ควรต้องสำรวจวงโคจรเต็มวงของอุกกาบาต อย่างน้อย 1 หรือ 2 ครั้งก่อน

    ด้านนายโดนัลด์ เยโอแมนส์ นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซา ระบุว่า ความเป็นไปได้ที่อุกกาบาต 2011 AG5 จะพุ่งชนโลกในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2040 อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 625 เท่านั้น ซึ่งในอนาคตความเสี่ยงดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ทั้งนี้ แนวคิดของนาซาในการเบี่ยงเบน วงโคจรของดาวเคราะห์น้อย 2011 AG 5 มีหลายวิธี ทั้งฝังอุปกรณ์ติดตาม พร้อมเครื่อง สร้างแรงโน้มถ่วงเทียมไว้ที่ดาวเคราะห์น้อย แล้วผลักออกไปให้ไกลจากโลก อีกอย่างคือ การใช้อาวุธนิวเคลียร์แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า อาจทำให้ดาวเคราะห์น้อยแตกกระจายเป็นหลายชิ้นและชนโลกได้เช่นกัน

    ขณะที่นาซาประเมินว่า แม้มีความเป็นไปได้ว่า การพุ่งชนของอุกกาบาตครั้งนี้ จะคร่าชีวิตผู้คนหลายล้านคน แต่นักวิทยาศาสตร์ มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ถึงกับสิ้นมนุษยชาติ เหมือน ยุคไดโนเสาร์ ที่เชื่อกันว่าถูกดาวเคราะห์น้อย ขนาดความกว้าง 9 ไมล์ ประมาณ 14.4 กิโลเมตร พุ่งชน ขณะนี้ นาซาและสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ร่วมมือกัน เพื่อหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าว

    *********************************************************************************************
    Aug 5, 2016
    มีคำเตือนออกมาจากนาซา กรณีที่ดาวเคราะห์น้อย ‘เบนนู’ เปลี่ยนเส้นทางโคจร จนอาจพุ่งชนโลก ซึ่งหากเป็นความจริง จะสร้างความเสียหายอย่างหนัก และมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

    เมื่อวานนี้ (4 ส.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะนักวิทยาศาตร์ประจำองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ นาซา ออกประกาศเตือนว่า อาจมีดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ พุ่งชนโลกจนสร้างความเสียหายแก่โลก อาจมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

    รายงานระบุว่า ดาวเคราะห์น้อยชื่อว่า เบนนู ‘Bennu’ สามารถมองเห็นจากโลกได้ในทุกๆ 6 ปีนั้น ในปี 2678 หรือ 119 ปี ข้างหน้า นักวิทยาศาสตร์ของนาซา คาดว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะเปลี่ยนแปลงวิถีโคจร มาเคลื่อนตัวตัดผ่านระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ซึ่งอาจทำให้พุ่งชนโลกได้ และหากเป็นเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายอย่างหนัก

    ศาสตราจารย์ แดนเต้ ลอเรตตา แห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา ในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบัน ยังทำงานเป็นหัวหน้าโครงการส่งยานสำรวจ ‘Osiris-Rex’ (โอซิริส-เร็กซ์) ได้เก็บตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนูกลับมาตรวจสอบยังโลกมนุษย์ พร้อมทั้งเตือนว่า ดาวเคราะห์น้อย เบนนู อาจเปลี่ยนวิถีโคจรและพุ่งชนโลก

    ด้าน นายไมเคิล บุสช์ นักดาราศาสตร์ด้านดาวเคราะห์ แห่งสถาบัน SETI ยังกล่าวด้วยว่า ความรุนแรงจากการที่ดาวเคราะห์เบนนูพุ่งชนโลก สามารถสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่เป็นบริเวณกว้างในรัศมี 500 กม.

    นาซาเตรียมส่งยานสำรวจ โอซิริส-เร็กซ์ เพื่อสำรวจดาวเคราะห์น้อยเบนนูในวันที่ 8ก.ย.59 โดยจะเดินทางถึงที่หมายในปี 2561 โดยใช้เวลาสำรวจนาน 1 ปีโดยการตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู และจากนั้น ยานสำรวจจะกลับมาถึงโลกในปี 2566

    อย่างไรก็ตาม ดาวเคราะห์น้อยเบนนู มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 500 เมตร และหากพุ่งชนโลก จะก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ กว้างถึงประมาณ 7 กม. รวมทั้งความรุนแรงจากการกระแทกขณะพุ่งชนโลก จะก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเทียบเท่ากับการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7 แมดนิจูด โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยอัตราเร็ว 63,000 ไมล์ต่อชั่วโมง


    *****************************************************************************************
    ทีมนักดาราศาสตร์จากยูเครนเผย พบ “ดาวเคราะห์น้อย” ขนาดใหญ่ที่มีความกว้างมากกว่า 400 เมตร โดยระบุดาวเคราะห์น้อยนี้จะพุ่งเข้าชนโลกของเราในปี 2032 หรือในอีก 19 ปีข้างหน้า ชี้ความรุนแรงของมันเทียบเท่ากับแรงระเบิดของ “ระเบิดทีเอ็นที 2,500 เมกะตัน”
           
           ทีมผู้เชี่ยวชาญจากหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ “ไครเมียน แอสโทรฟิสิคอล ออบเซอร์วาทอรี” ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ทางภาคใต้ของยูเครนเผยว่า พวกเขาค้นพบดาวเคราะห์น้อยที่มีชื่อว่า “2013 ทีวี 135” เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
           
           โดยเจ้าดาวเคราะห์น้อยที่ว่านี้มีความกว้างถึง 410 เมตร หรือกว่า 1,350 ฟุต โดยข่าวการค้นพบดาวเคราะห์น้อยของทีมนักดาราศาสตร์ยูเครนครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศทั้งในสหราชอาณาจักร สเปน อิตาลี รวมถึงศูนย์ศึกษาดาราศาสตร์ของรัสเซียที่ตั้งอยู่ในไซบีเรีย
           
           จากการคำนวณอย่างละเอียด ทีมนักดาราศาสตร์ยูเครน ซึ่งนำโดย ติมูร์ เคอร์ยาชโก เปิดเผยว่า ดาวเคราะห์น้อยที่มีชื่อว่า 2013 ทีวี 135 ดวงนี้มีทิศทางการเคลื่อนตัวอยู่ห่างจากวงโคจรของโลกไม่ถึง 1.7 ล้านกิโลเมตร โดยคาดการณ์ว่า มันจะพุ่งเข้าชนโลกของเราราววันที่ “26 สิงหาคม ค.ศ. 2032”
           
           รายงานข่าวระบุว่า หากดาวเคราะห์น้อย 2013 ทีวี 135 พุ่งเข้าชนโลก จะส่งผลให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่บนพื้นผิวโลกโดยความรุนแรงของมันสามารถเทียบเท่ากับแรงระเบิดของ “ระเบิดทีเอ็นที 2,500 เมกะตัน” (1 เมกะตัน = 1 ล้านตัน)
           
           ด้าน ดมิตรี โรโกซิน รองนายกรัฐมนตรีของรัสเซียออกมาให้สัมภาษณ์ที่กรุงมอสโก หลังทราบข่าวการคาดการณ์ของทีมนักดาราศาสตร์ยูเครนถึงความเสี่ยงที่ดาวเคราะห์น้อย 2013 ทีวี 135 จะพุ่งเข้าชนโลกในอีก 19 ปีข้างหน้า โดยระบุว่าขณะนี้รัฐบาลรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กำลังเร่งพัฒนาระบบป้องกันการโจมตีจากดาวเคราะห์น้อยและวัตถุจากนอกโลก เพื่อหาทางรับมือกับภัยคุกคามจากอวกาศ หลังจากที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในเขตยูราลส์ของรัสเซียต้องเผชิญกับการถูกถล่มด้วยกองทัพอุกกาบาตน้ำหนักรวมกว่า 10,000 ตัน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บราว 1,000 คน และอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายกว่า 3,000 หลัง
    ****************************************************************************************

    การโคจรของ "อะโพฟิส" รอบดวงอาทิตย์ ทำให้มันเปลี่ยนเส้นทางโคจรมาใกล้โลกมากยิ่งขึ้น จนอาจพุ่งชนโลกของเราในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ.2036 หรือ พ.ส.2579 และทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้คนล้มตายจำนวนมาก

    สมาคมดาราศาสตร์อังกฤษ หรือ Planetary Society เปิดเผยว่า "อะโพฟิส (Apophis)" น้ำหนัก 45 ล้านตัน เส้นผ่าศูนย์กลาง 300 เมตร ปัจจุบันโคจรห่างจากโลกอยู่หลายล้านกิโลเมตร จะโคจรมาใกล้โลกที่สุดคือประมาณ 36,000 กิโลเมตร ในปี ค.ศ.2029 ซึ่งเป็นระยะการโคจรที่ใกล้กว่าดาวเทียมหลายๆ ดวง จากนั้นใช้เวลาเดินทางอีก 7 ปี ในการเดินทางเฉียดโลกอีกครั้ง ซึ่งจะตรงกับวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2579 และมีโอกาสชนโลก 1 ใน 45,000 หรือ 0.002% นอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นทั้งที่พบแล้วและยังไม่พบที่มีโอกาสเป็นอันตรายต่อโลกได้ในอนาคต ดังนั้นการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

    ทางสมาคมยืนยันว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาถึงความเสี่ยงของดาวหางดวงนี้ เพราะโอกาสในการพุ่งชนโลกนั้นมีสูงมาก จึงต้องใช้เวลาในการเตรียมแผนการต่างๆ เพื่อผลักให้ "อะโพฟิส" โคจรห่างจากโลก และตามประวัติศาสตร์แล้ว สะเก็ดดาวขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลจะพุ่งชนโลกทุกๆ ร้อยปี ซึ่งครั้งล่าสุดนั้น คือการที่สะเก็ดดาวพุ่งชนโลกที่ทันกัชคา ในแคว้นไซบีเรีย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ.1908 แรงระเบิดนั้นเทียบกับระเบิดนิวเคลียร์ 15 ลูก ทำให้พื้นที่ป่า 400 ตารางไมล์ ราบทันที



    สมาคมดาราศาสตร์อังกฤษ เสนอรางวัล 25,000 ปอนด์ ให้แก่ผู้ที่หาทางขัดขวางการพุ่งชนโลกของ "อะโพฟิส" ซึ่งมีคณะนักวิทยาศาสตร์กว่า 100 ทีมทั่วโลกให้ความสนใจ เช่น "บริษัท EADS Astrium" ได้พัฒนา "ยานเอเป็กซ์" ให้เดินทางไปที่ดาวเคราะห์น้อย "อะโพฟิส" ภายในเดือนมกราคม ค.ศ.2014 เพื่อสังเกตความเสี่ยงที่มันจะสร้างความหายนะกับโลก โดยยานเอเป็กซ์จะอยู่บน "อะโพฟิส" 3 ปี และส่งข้อมูลกลับมาให้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่อยู่บนโลก

    ดร.ไมก์ ฮีลลี่ ผู้อำนวยการ "บริษัท EADS Astrium" กล่าวว่า ถ้าโอกาสชนสูงมาก จะต้องมีการเตรียมการผลัก "อะโพฟิส" ออกไปเพื่อเปลี่ยนการโคจร และถ้ารอเวลาเนิ่นนานไปกว่านี้ ก็จะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสร้างยานอวกาศที่มีกำลังมหาศาลเพื่อไปเปลี่ยนการโคจร ซึ่งทางที่ดีที่สุด คือควรมีปฏิบัติการก่อน ค.ศ.2025 เพื่อจะมั่นใจได้ว่า "อะโพฟิส" จะไม่ชนโลก

    ในการประชุมขององค์การนาซ่า ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นักวิทยาศาสตร์คาดว่า มีดาวหางกว่า 100,000 ดวง โคจรอยู่ใกล้โลก และมีความใหญ่โตพอที่จะทำลายเมืองใหญ่ๆ ได้ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุชื่อดาวหางและจับเส้นทางการโคจรของมันได้เพียง 4,000 ดวงเท่านั้น และสะเก็ดดาวหางเล็กๆ ที่มีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล 1 สนาม สามารถทำลายพื้นที่กว้างๆ ได้ราบเป็นหน้ากลอง ก่อให้เกิดเพลิงเผาผลาญไปสู่ชั้นบรรยากาศพร้อมกับทำให้เกิดคลื่นยักษ์



    ส่วน "อะโพฟิส" จะสร้างหายนะกับโลกขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับบริเวณที่พุ่งชน ถ้าชนกับพื้นโลก ก็จะทำให้เกิดแอ่งกว้างประมาณ 6 กิโมตร ถ้าตกลงไปในทะเล ก็อาจทำให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 3-22 เมตร และจะทำลายชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด

    นายจีอานมาร์โค เรดิซ จากกลาสโกว์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์สองร้อยกว่าคนที่มาประชุม กล่าวถึงการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในการผลักดาวเคราะห์น้อยออกจากวงโคจร เหมือนอย่างวิธีที่ บรู๊ซ วิลลิส ใช้ใน เรื่อง "อาร์มาเก็ดดอน" ว่า การใช้ระเบิดนิวเคลียร์จะทำให้ดาวเคราะห์น้อยแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แทนที่จะมีดาวเคราะห์น้อยใหญ่เพียง 1 ดวง แต่กลายเป็นสะเก็ดดาวใหญ่ที่อาจมีถึง 5 สะเก็ด นอกจากนี้ เรายังไม่ทราบส่วนประกอบของดาว ว่ามันประกอบด้วยหิน น้ำแข็ง หรือสสารชนิดอื่น

    ทั้งนี้ องค์การนาซ่าได้ทำการทดลองที่เรียกว่าภารกิจ "ดีพ อิม แพ็ก" เพื่อทดลองให้ยานอวกาศชนดาว 9P/Tempel ไปเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.2005 และองค์ การอวกาศยุโรปวางแผนที่จะทำการทดลองอย่างเดียวกับนาซ่า โดยให้ยานอวกาศไปชนกับดาวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 500 เมตร และให้ยานอื่นสังเกตการณ์ระหว่างการชน

    นอกจากนี้ บริษัท Space Works ที่นครแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ยังได้รับอนุญาตจากองค์การนาซ่าให้สร้างยาน Modular Asteroid Deflection Mission Ejector Node หรือ MADMEN ซึ่งแนวความคิดของการสร้าง MADMEN คือการขุดเจาะพื้นผิวของดาวหางและนำหิน ดินข้างใต้ทิ้งไปที่อวกาศ ด้วยการใช้วิธีที่เรียกว่า Electromagnetic acceleration จนทำให้ดาวหางเคลื่อนที่จากวงโคจรเดิม

    ถ้าจะพูดให้ง่ายและได้ใจความ ก็เปรียบเหมือนกับการที่เราทิ้งหินไปข้างๆ เรือ เมื่อหินกระทบกับน้ำบ่อยครั้งเข้า เรือก็จะเคลื่อนที่ซึ่งเป็นไปตามหลักฟิสิกส์นั่นเอง



    ไม่ต้องแวะมาทักทายกันก็ได้นะ 2016 RB1


    ที่เหลืออีกหลายลูกยังไม่รวมลูกใหม่นี่ หลายลูกจังแล้วทำไมต้องมาห้วงกึ่งพุทธกาลล่ะครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2016
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เคล็ดลับรอดตายจากดาวเคราะห์น้อยชนโลก

    เคล็ดลับรอดตายจาก ดาวเคราะห์น้อยชนโลก


    [ame]https://youtu.be/8up0zKRrm28[/ame]

    ขุดหลุมทำบังเกอร์ด่วน ตู้มมมมมมม!! เกิดเป็นโกโก้ คั้น เขาว่าอย่างนั้น


    เเอเรีย 51
    https://www.facebook.com/เเอเรีย-51-653149568111935/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2016
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เท่าที่ทราบมาค่ะว่า อุกาบาตจะทำลายล้างโลกมีกรณีเดียวเท่านั้น คือ พลังอำนาจของแม่เหล็กโลกอ่อนแอ หรือสนามแม่เหล็กโลกไม่มีพลังอำนาจในการป้องกันตัวเอง หรือสนามแม่เหล็กโลกไร้พลังอำนาจไม่สามรถเป็นรั้วป้องกันภัยให้กับโลกได้ วัตถุพลังงานที่ล่องลอยไร้ทิศทางเพราะไม่มีพลังอำนาจเป็นของตัวเองจึงล่องลอยไร้ทิศทางการควบคุมอย่างเช่นอุกาบาตเป็นต้น

    โลกจึงแตกต่างจากอุกาบาตดังนี้ค่ะ. โลกมีพลังอำนาจเป็นของตัวเอง ในสนามพลังงานจักรวาล. โลกของเราไม่ได้ลอยไปมาอย่างไร้ทิศทาง แต่โลกของเรามีพลังอำนาจเป็นของตัวเอง. พลังอำนาจของโลกจึงเปรียบเสมือนเป็นรั้วป้องกันภัย ตราบใดพลังอำนาจอ่อนแอก็เปรียบเหมือนรั้วที่ไม่แข็งแรง สิ่งภายนอกก็มาบุกรุกได้ง่าย

    สนามแม่เหล็กโลกจึงเปรียบเป็นรั้วของโลก แล้วพลังสนามแม่เหล็กโลกเพิ่มขึ้นหรือลดลง เข้มแข็งและอ่อนแอเพราะว่ามีสาเหตุอะไรเป็นสำคัญ พลังงานที่เข้มแข็งก็สามารถป้องกันภัยได้ หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาจะำม่สามารถผ่านหรือเล็ดลอดเข้ามาได้ จะถูกผลักดันหรือว่าหากเล็ดลอดเข้ามาได้ก็จะเสียดสีให้แตกกระจายแตกสลายไปไม่สามารถมีอิทธิพลทำลายล้างโลกได้ค่ะ ตราบใดที่โลกยังมีพลังอำนาจที่มากพอ ไม่ไร้พลังอำนาจไปเสียก่อน

    ความเป็นไปของโลกแค่ละยุคสมัย. การที่โลกมีลักษณะสภาพของโลกแตกต่างกัน ถ้าเราได้ฟังว่ายุคข้างหน้ายุคพระศรีอาริย์ โลกจะน่าอยู่สวยงามดั่งสวรรค์ก็เพราะว่าจิตใจของคนยุคนั้นทีแต่คุณธรรมและศีลธรรม ทุกคนสวยงามอายุยืนยาวไม่มีการเบียดเบียกันมีแต่ความสุข โลกยุคนั้นจึงสวยงามดั่งสวรรค์ แต่คนยุคนี้ สภาพจิตใจกับความเป็นไปของโลกจึงมีความสอดคล้องกัน หากมนุษย์ไม่รักโลกของตนมุ่งแต่ทำลายและเบียดเบียนไร้มนุษยธรรมไร้คุณงามความดีในจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีพลังคุณธรรมความดีงามในกระแสจิตมอบให้แก่โลกเพื่อสร้างพลังอำนาจในตนเอง ความรักความสามัคคีคือพลังอำนาจของโลก คือสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่ใจของตนและคนอื่นค่ะ

    แต่เมื่อขณะนี้มนุษยชาติไม่สามารถทำได้ จึงไร้ความสามารถมอบให้แก่โลกได้ โลกจึงไร้พลังงานปกป้องตนเองจะทำให้โลกเสียระบบความสมดุลทางพลังงานไปมากกว่านี้ หากยังไม่ถึงที่สุดของการเสื่อมและแตกสลาย คิดว่าสิ่งที่น่าจะทำได้ดีที่สุดก็คือการปรับระดับพลังงานให้แก่โลกใหม่ มากกว่าการถูกทำลายจากอุกาบาตเพราะว่าการปรับพลังงานใหม่ยังควบคุมได้ แต่ถ้าอุกาบาตอันตรายใหญ่หลวงภัยวงกว้างจะมีเกิดขึ้นได้บ้างก็สถานที่นั้นสนามแม่เหล็กอ่อนแอมากจริงๆจึงไม่มีแรงต้านทานเสียดสีอุกาบาตให้แตกสลายได้ค่ะ

    การปรับพลังงานความสมดุลพลังงานของโลกน่าจะเกิดจากภัยธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เพียงแค่เสนอความคิดเห็นประกอบเพื่อพิจารณาเหตุผลของความเป็นไปได้ของยุคนี้คือโลกกับจิตใจของคนว่าเป็นไปได้ไหมกับคำว่ายุคนี้นะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2016
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เหมือน The Coreนะ :cool:แต่นาทีนี้ ความยากจนหรือร่ำรวย สะดวกสบาย หรือ ลำบากแล้งแค้น การศึกษาน้อยหรือมาก อำนาจและความร่ำรวย ในโลกธรรม8ครอบงำ จะทำให้คนหลงและเสื่อม รูป เวทนา สังขาร วิญญาน ไม่ใช่ข้อแตกต่างกันแล้ว ผู้ที่ขาดทุนคือ ผู้ไม่มีศีลธรรม ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาติ เหมือนนายเสรีวะ อดีตผู้ต้องบุพกรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มีความสงสารเวทนาโดยส่วนมาก ในกรณีนี้ คือผู้ที่ด้อยกว่า หาใช่บุคคลที่ร่ำรวยอยู่ดีมีสุข จนหลงไปกับความสุขสบาย ถ้าบุคคลเหล่านั้นระลึกชาติเก่าก่อนได้ว่าเคยมั่งมีศรีสุขมากกว่านั้น แล้วพิจารณาด้วยปัญญา เกิดมาชาตินี้ย่อมทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย


    ออ ปล.ฝากถึงบางท่านที่ชอบเรื่องหวยๆ เลขเด็ด ผมไม่ใช่บุคคลใบ้หวย แน่นอนครับก่อนนี้ ผมเคยเล่นซื้อ4-5 งวดถูกรางวัลที่ 1 ไทยและ มาเลย์ บ่อยๆ ดังทั้งหมู่บ้าน แถวผมทำงานนี่ล่ะ นั่นเป็นเพราะผมเจริญภาวนา เงินที่ได้มาทำบุญเลี้ยงข้าวลูกน้อง ผมไม่ยินดีที่จะสนับสนุนนะครับ ผมรู้ในสิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่นำพาความเจริญมาเพียงอย่างเดียวผมว่า ผมพอแล้วครับ เรื่องอื่นหนักสมอง

    งวดเมื่อกี้ 62 ถ้าบอกก็ถูกสำหรับคนที่ติดตามสนใจล่ะครับ ตรงๆ ครั้งนี้ก็บอกทั้งที่สำนักงานด้วย คนเสียดายที่ไม่ซื้อตามมีเยอะ เรียกว่า แค่เห็นหรือมีผู้มาบอก เกิดวันไหนเขาอยากแกล้งผมให้มั่วๆมา ผมไปบอกคนซื้อตาม ผมไม่หน้าหงายเหรอครับ ผมไม่ค่อยอยากเชื่อนิมิตที่เป็นไปในทางอบายมุขนัก เดากันสนุกๆ แล้วไปตั้งใจทำมาหากินอดออมจะเป็นการดีกว่าครับ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเตือนมา ผมยังจำมาตลอด คนในเว็บพลังจิตนี่แหละ! ไม่ควรส่งเสริมให้เล่นหวย

    เดาเล่นๆครับ งวดนี้ 117 537 ใครอยากเดาบ้างก็เชิญสนุกเดากัน
    ถ้าไปประกาศไปว่าให้หวย ถ้าไม่ออกมาหน้าหงาย เดี๋ยวผมโดนเขาแกล้งให้มั่วมา หรือ นิมิตมั่วมา อายครับ ขายหน้าประชาชี


    ไม่ได้ให้นะครับ ลบคำสบประมาทท่านที่ แซวเรื่องหวยครับ ผมรู้และศึกษาและเจริญในธรรมพอแล้ว ถ้าจะเอาหลักฐานว่า ถูกรางวัลที่หนึ่ง งวด 149 และรางวัลที่หนึ่ง มาเลย์เซียติดต่อกันอีก 3 งวดว่าจริงหรือเปล่า เชิญที่ หมู่บ้าน ไอย์เจี๊ยะ ศรีสาคร จ.นราธิวาสครับ

    ดูประวัติใบ้หวยขำๆครับ เรื่องอื่นผมแม่นกว่านี้ก็มี แต่ไม่ควรทำให้คนหลงทาง

    ไม่ต้องมาขอนะครับ เข้าใจเนาะ พุทธทำนายกับหวย มันคนละโยชน์กันครับ อย่าเอามารวมกันเป็นเรื่องเดียว รู้ในสิ่งที่ควรรู้อันจักได้ประโยชน์ในที่มาแห่งอริยทรัพย์ดีกว่าครับ

    คนไม่มีโชคเรื่องหวยน่ะ มีโชคใหญ่กว่านั้นรออยู่ครับ อย่ากลัวการอาภัพ

    แซวมาราคายางจะขึ้นเมื่อไหร่?
    เรื่องราคายางเป็นไปตามกลไกของการตลาดครับ สงสัยให้ไปถามบิ๊กตู่ ไม่ใช่มาถามว่าราคาจะขึ้นเมื่อไหร่ ที่ประชุมนานาชาติเขาให้เจริญไปด้วยกันทั้งหมดครับ ประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ พัฒนาดีแล้ว และด้อยพัฒนา เขาพยายามบอกว่าอย่าทิ้งกันครับ มูลค่าการนำเข้าและส่งออก การขาดดุลการค้าไปศึกษาก่อนครับ



    http://palungjit.org/threads/ฝันเห็นเลขสามตัวตรงเกือบทุกงวดแต่ไม่เคยจำได้.556121/



    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนักเลงสกา


    ลิตตชาดก
    ว่าด้วย ลูกสกาอาบยาพิษ
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการบริโภคปัจจัยที่มิได้พิจารณาตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ลิตฺตํ ปรเมน เตชสา ดังนี้.
    ได้ยินมาว่า ในกาลนั้น พวกภิกษุได้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้นโดยมากไม่ได้พิจารณาแล้วบริโภค ภิกษุเหล่านั้นผู้ไม่ได้พิจารณาปัจจัย ๔ แล้วบริโภค โดยมากจะไม่พ้นจากนรกและกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน.
    พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น ตรัสธรรมกถาแก่ภิกษุทั้งหลายโดยปริยายเป็นอันมาก ตรัสถึงโทษในการไม่พิจารณาปัจจัย แล้วใช้สอย ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุได้รับปัจจัย ๔ แล้ว ไม่พิจารณาบริโภคไม่ควรเลย เพราะฉะนั้น จำเดิมแต่นี้ พวกเธอต้องพิจารณาแล้วจึงค่อยบริโภค เมื่อทรงแสดงวิธีพิจารณา ทรงวางแบบแผนไว้ โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงใช้สอยจีวร ฯลฯ เพื่อต้องการปกปิดอวัยวะที่น่าละอาย แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การพิจารณาปัจจัย ๔ อย่างนี้แล้วบริโภค ย่อมสมควร ขึ้นชื่อว่าการไม่พิจารณาแล้วบริโภค เป็นเช่นกับบริโภคยาพิษที่ร้ายแรงยิ่งใหญ่ ด้วยว่า คนในครั้งก่อนไม่พิจารณา ไม่รู้โทษ บริโภคยาพิษ ผลที่สุดต้องเสวยทุกข์ใหญ่หลวง ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลมีโภคะมากตระกูลหนึ่ง เจริญวัยแล้ว เป็นนักเลงสกา ครั้นเวลาต่อมา มีนักเลงสกาโกงอีกคนหนึ่ง เล่นกับพระโพธิสัตว์ เมื่อตนเป็นฝ่ายชนะ ก็ไม่ทำลายสนามเล่น แต่ในเวลาแพ้ ก็เอาลูกสกาใส่เสียในปาก กล่าวว่า ลูกสกาหายเสียแล้ว พาลเลิกหลีกไป.
    พระโพธิสัตว์ทราบเหตุของเขา คิดว่า ช่างเถิด เราจักหาอุบายแก้เผ็ดในเรื่องนี้ ดังนี้แล้ว รวบเอาลูกสกาไปย้อมด้วยยาพิษอย่างแรง ในเรือนของตน แล้วตากให้แห้ง บ่อยๆ ครั้ง แล้วนำเอาลูกสกาเหล่านั้นไปสู่สำนักของเขา กล่าวว่า มาเถิดเพื่อน เราเล่นสกากันเถิด. เขารับคำว่า ดีละเพื่อน จัดแจงสนามเล่น เล่นกับพระโพธิสัตว์เรื่อยไป พอเวลาตนแพ้ ก็เอาลูกสกาลูกหนึ่งใส่ปากเสีย ครั้นพระโพธิสัตว์เห็นเขาทำอย่างนั้น เพื่อจะท้วงว่า กลืนเข้าไปเถิด ภายหลังเจ้าจักรู้ว่า นี้มันชื่อนี้ จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า

    บุรุษกลืนลูกสกาอันเคลือบด้วยยาพิษอย่างแรง ยังไม่รู้ตัว ดูก่อนเจ้าคนร้าย เจ้านักเลงชั่ว จงกลืนเถิด จงกลืนกินเข้าไปเถิด ภายหลังผลร้ายจักมีแก่เจ้า ดังนี้.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลิตฺตํ ความว่า ลูกสกาที่เคลือบไว้แล้ว ย้อมไว้แล้ว. บทว่า ปรเมน เตชสา ความว่า ด้วยยาพิษอันร้ายแรง สมบูรณ์ด้วยฤทธิ์เดชอันสูง. บทว่า คิลํ แปลว่า กลืน. บทว่า อกฺขํ แปลว่า ลูกสกา. บทว่า น พุชฺฌติ ความว่า ไม่รู้ตัวว่าเมื่อเรากลืนลูกสกานี้อยู่ ชื่อว่าต้องกระทำกรรมนี้. บทว่า คิล เร ความว่า กลืนเถิดเจ้าคนร้าย. พระโพธิสัตว์กล่าวย้ำซ้ำเตือนอีกว่า คิล จงกลืน. บทว่า ปุจฺฉา เต กฏุกํ ภวิสฺสติ ความว่า เมื่อเจ้ากลืนลูกสกานี้ไปแล้ว ภายหลังพิษอันร้ายแรงจักมี.

    ขณะเมื่อ พระโพธิสัตว์กำลังพูดอยู่นั่นแหละ เขาสลบไปแล้ว ด้วยกำลังของยาพิษ นัยน์ตากลับคอตก ล้มฟาดลง พระโพธิสัตว์คิดว่า ควรจะให้ชีวิตเป็นทานแม้แก่เขา จึงให้ยาสำรอกที่ปรุงด้วยโอสถ จนสำรอกออกมา และให้กินเนยใส น้ำอ้อย น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดเป็นต้น ทำให้หายโรคแล้วสั่งสอนว่า อย่าได้กระทำกรรมเห็นปานนี้อีก ดังนี้แล้ว กระทำบุญมีทานเป็นต้น ไปตามยถากรรม.


    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า การไม่พิจารณาแล้วบริโภค ย่อมเป็นเช่นกับการบริโภคยาพิษ อันตนเคยกระทำไว้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า
    นักเลงผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต
    ส่วนนักเลงโกงจะไม่กล่าวถึงในเรื่องนี้ เหมือนอย่างผู้ใดไม่ปรากฏในกาลนี้ ผู้นั้นก็ไม่กล่าวถึงในเรื่องทั้งปวง ฉะนี้แล.

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=91
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2016
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ทหารจะเป็นจ้าว ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแว่นแคว้นจะอดอยากยากเข็ญ

    [​IMG]

    คุณเว็บสโนว์ (ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต) ได้เตือนมาแล้วนะครับ ว่าปีหน้า พ.ศ. 2560 จะเกิดสงครามใหญ่ ทำให้เกิดข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก ค่าของเงินแทบจะไม่มีราคา ทองคำจะแพงลิบลิ่ว ข้าวปลาอาหารจะมีราคาแพงมาก เพราะขาดแคลน และมีไม่เพียงพอแก่การบริโภค

    ภัยจากสงครามจะลุกลามไปทุกประเทศ ภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ จะทำให้ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้สร้างไว้ให้กับชาวพุทธเรา เพื่อป้องกันรังสีนิวเคลียร์ และโรคระบาดต่างๆ เพื่อช่วยเหลือชาวพุทธยามขัดสนอดอยาก ก็คือพระคำข้าว ที่สามารถป้องกันรังสีนิวเคลียร์ และป้องกันโรคระบาดได้ (นำมาทำน้ำมนต์ไว้อาบกิน) และใช้แลกเป็นเงินทองเพื่อนำมาใช้ดำรงชีวิตในยามเกิดสงครามได้ (เพราะเมื่อเกิดศึกสงคราม พระคำข้าวจะหายากและมีราคาแพงมาก)

    ท่านที่สนใจจะหาเช่าบูชาพระคำข้าว ถ้าไม่สะดวกที่จะไปวัดท่าซุง ผมขอแนะนำที่เช่าบูชา ตามลิ้งค์ที่อยู่ด้านล่างนี้นะครับ เพราะจะได้พระคำข้าวของแท้ และจะได้ทำบุญกับวัดท่าซุงด้วยครับ

    บ้านสายลม | ศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแห่งประเทศไทย (ศปท.)
     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สำหรับผู้ที่ยังแยกความแตกต่างของมหาศีล และ ติรัจฉานวิชา ยังไม่ออก ไปพิจารณาใหม่ครับ เรื่องการทำนายทายทักลักษณะ ว่าไม่ให้ไปทำมาหากินในลักษณะนั้น มันหมายถึงอะไร? จำเพาะลักษณะนี้เพื่อใคร? เชื่อได้หรือไม่ได้

    เมื่อไม่ได้แสดงการพยากรณ์เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ แต่เป็นไปในทางที่เอื้อเฟื้อ อนุเคราะห์ นี่ไม่ใช่ ติรัจฉานวิชา หรือขวางทางธรรมแต่อย่างใด เพราะเป็นการเกื้อหนุนให้ในการเจริญเข้าสู่พระสัทธรรม


    ประวัติพระนาลกเถระ




    การที่ท่านพระนาลกเถระ ท่านนี้ได้รับโอวาทจากพระบรมศาสดาในเรื่องการปฏิบัติโมเนยยปฏิปทา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นปฏิปทาที่ทำได้โดยยาก ทำให้เกิดความยินดีได้ยาก และท่านได้สมาทานการปฏิบัติดังกล่าวอย่างอุกฤษฏ์ ซึ่งการปฏิบัติโมเนยยปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์นี้ ในพุทธธันดรหนึ่ง จะมีพระที่ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์ได้เพียงท่านเดียว และในพุทธันดรนี้พระเถระที่ปฏิบัติได้ก็คือท่านพระนาลกเถระผู้นี้เอง ที่เป็นดังนั้นเนื่องด้วยท่านได้ตั้งความปรารถนาในการนั้นไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้

    บุรพกรรมในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

    ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ เมื่อท่านได้เกิดมาและเติบใหญ่แล้ว วันหนึ่งท่านได้เห็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทา (ปฏิบัติเพื่อความเป็นมุนี) จึงปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นบ้างจึงตั้งความปรารถนาและบำเพ็ญบารมีตลอดแสนกัป เพื่อผลดังกล่าว

    กำเนิดเป็นนาลกมาณพในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

    ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านมีกำเนิดในวรรณะพราหมณ์ เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ เป็นบุตรของน้องสาวของท่านอสิตฤๅษี บิดามารดาเรียกชื่อว่า นาลกะ ตระกูลของท่านเป็นตระกูลใหญ่มี ทรัพย์ได้ ๘๗ โกฏิ

    ประวัติอสิตฤๅษีผู้เป็นลุงของพระเถระ

    อสิตฤษีนี้เป็นปุโรหิตของ พระเจ้าสีหหนุพระชนกของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้เป็นอาจารย์บอกศิลปะแต่ครั้ง พระเจ้าสุทโธทนะยังมิได้ครองราชย์ย์ ครั้นครองราชย์แล้วพระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นปุโรหิต เมื่ออสิตพราหมณ์เข้ามารับราชการในพระราชวังทุกเวลาเย็นและเวลาเช้า พระเจ้าสุทโธทนะก็มิได้ทรงทำความเคารพเหมือนเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ทรงกระทำเพียงยกพระหัตถ์ประนมเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามราชประเพณีของเจ้าศากยะทั้งหลายที่ได้อภิเษกแล้ว

    ต่อมาอสิตปุโรหิตเบื่อหน่ายด้วยการรับราชการ จึงกราบทูลพระมหาราชว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จะบรรพชาพระเจ้าข้า พระราชาทรงทราบว่าอสิตปุโรหิตมีความแน่วแน่ที่จะออกบวช จึงตรัสขอร้องว่า ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้น ขอให้ท่านอาจารย์อยู่ในอุทยานของข้าพเจ้าเถิด โดยที่ข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมท่านอาจารย์เสมอ ๆ ปุโรหิตรับกระแสพระดำรัสแล้ว บรรพชาเป็นดาบส พระราชาทรงอุปถัมภ์อยู่ในส่วนนั่นเอง ดาบสกระทำกสิณบริกรรมยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้ว ตั้งแต่นั้นมา อสิตดาบสนั้นก็ไปฉันในราชตระกูล แล้วไปพักกลางวัน ณ ป่าหิมพานต์ หรือบนสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา หรือในนาคพิภพเป็นต้น แห่งใดแห่งหนึ่ง

    อสิตฤๅษีทำนายลักษณะพระกุมารสิทธัตถะ

    วันหนึ่งขณะที่ท่านฤๅษีนั่งพักผ่อนกลางวันในดาวดึงส์พิภพอยู่นั้น ก็เห็นเหล่าเทวดา ขับระบำรำฟ้อน มีใจชื่นชม มีปีติโสมนัสอย่าง เหลือเกินนั้น ก็แปลกใจเพราะไม่เคยเห็นเหล่าเทวดามีปิติโสมนัสอย่างเหลือเกินเช่นนี้มาก่อน จึงถามถึงสาเหตุนั้นกับเหล่าเทวดา เทวดาทั้งหลายก็ตอบท่านฤๅษีว่า บัดนี้พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะอุบัติขึ้นแล้ว ต่อไปพระองค์จักประทับนั่งที่ลานแห่งต้นโพธิแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้าประกาศพระธรรมจักร พวกข้าพเจ้าต่างยินดีเพราะเหตุนี้ว่า พวกเราจักได้เห็นพระพุทธองค์ และจักได้ฟังพระธรรมของพระองค์

    ดาบสนั้นฟังคำของเหล่าเทวดาแล้ว ก็ลงจากเทวโลกทันที ตรงเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ นั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ได้ยินว่าพระราชโอรสของพระองค์อุบัติแล้ว อาตมภาพอยากเห็นองค์พระกุมาร พระราชาจึงมีรับสั่งให้พาพระราชกุมารมา แล้วทรงอุ้มไปเพื่อให้นมัสการดาบส พระบาททั้งสอง ของพระโพธิสัตว์กลับไปประดิษฐานอยู่บนชฎาของดาบส

    ความจริงนั้น ชื่อว่าพระมหาสัตว์จะพึงไหว้ใครนั้นไม่มี ถ้าคนผู้ไม่รู้วางศีรษะของพระโพธิสัตว์ที่เท้าของดาบส ศีรษะของดาบสนั้นพึงแตกออก ๗ เสี่ยง ดาบสคิดว่า เราไม่สมควรทำตนให้พินาศเช่นนั้น จึงลุกจากอาสนะแล้วยกมือไหว้พระโพธิสัตว์ พระราชาทอดพระเนตรเห็นเหตุอัศจรรย์นั้น จึงทรงไหว้บุตรของตน

    ดาบสนั้นระลึกได้ชาติ ๘๐ กัป คือ ในอดีต ๔๐ กัป ในอนาคต ๔๐ กัป เห็นลักษณสมบัติของพระโพธิสัตว์ จึงใคร่ครวญดูว่า เธอจักได้ เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ ทราบว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยมิต้องสงสัย ท่านเห็นว่าพระราชบุตรนี้เป็นอัจฉริยบุรุษ จึงได้ยิ้มขึ้น ต่อนั้นจึงใคร่ครวญต่อไปว่า เราจักได้ทันเห็นความเป็นพระพุทธเจ้านี้หรือไม่หนอ ก็เห็นว่า เราจักไม่ได้ทันเห็น จักตายเสียก่อน แล้วจักไปบังเกิดในอรูปภพ ซึ่งที่นั้น แม้พระพุทธเจ้าตั้งร้อยพระองค์ก็ดี ตั้งพันพระองค์ก็ดี ก็ไม่สามารถที่จะเสด็จไปโปรดเพื่อให้เราตรัสรู้ได้ แล้วคิดว่าเราจักไม่เห็นอัจฉริยบุรุษผู้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นนี้ เราจักมีความเสื่อมใหญ่ คิดถึงตรงนี้แล้วก็ร้องไห้ออกมา พระราชาทรงเห็นดังนั้นแล้วจึงเรียนถามว่า ท่านนั้น เมื่อสักครู่ก็หัวเราะออกมา แล้วกลับมาร้องไห้อีกเล่า ข้าแต่ท่านดาบส อันตรายอะไรจักเกิด แก่พระลูกเจ้าของพวกเราหรือ ดาบสตอบว่า พระกุมารจักไม่มีอันตราย จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย

    ครั้นเมื่อทรงถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงร้องไห้ออกมาเล่า ดาบสตอบว่า เราเศร้าโศกถึงตนว่า จักไม่ได้ทันเห็นพระมหาบุรุษผู้เป็นพระ พุทธเจ้าเช่นนี้ ความเสื่อมใหญ่จักมีแก่เราดังนี้ จึงได้ร้องไห้

    อสิตฤๅษีจัดการให้หลานชายออกบวชเป็นดาบส

    ต่อจากนั้นเมื่อออกมาจากพระราชวังแล้ว อสิตฤษี รู้ด้วยกำลังปัญญาของตนว่าตนมีอายุน้อย จึงพิจารณาว่า ในวงญาติของเรามีใครบ้างจักได้เห็นความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้มองเห็นนาลกทารกผู้เป็นหลาน เป็นผู้ได้สะสมบุญไว้ตั้งแต่ ศาสนาพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า และคิดว่านาลกมาณพถ้าเติบใหญ่ขึ้นพอมีปัญญาแล้วจะตั้งอยู่ในความประมาท ท่านนั้นเพื่อจะอนุเคราะห์นาลกมาณพนั้น จึงไปยังเรือนของน้องสาว แล้วถามว่า นาลกะ บุตรของเจ้าอยู่ไหน นางผู้เป็นน้องสาวตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า เขาอยู่ในเรือน ท่านดาบสจึงสั่งให้เรียกเขามา เมื่อนาลกมาณพมาแล้ว ท่านดาบสก็พูดกับเขาว่า นี่แน่ะพ่อ บัดนี้พระราชโอรสอุบัติแล้วในตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชเป็นหน่อพุทธางกูร พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อล่วงได้ ๓๕ ปี เจ้าจักได้เห็นพระองค์ เจ้าจงบวชในวันนี้ทีเดียว

    ในอนาคตเมื่อเจ้าได้ยินคำว่า “พุทโธ” ดังระบืออยู่ทั่วไปแล้ว นั่นหมายความว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ย่อมทรงเปิดเผยทางปรมัตถธรรม เจ้าจงไปเข้าเฝ้าพระองค์แล้วทูลถามด้วยตนเอง ในสำนักของพระองค์ แล้วจงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด

    นาลกมาณพคิดว่า ลุงคงจักไม่ชักชวนเราในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทันใดนั้นนั่นเองให้คนซื้อผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตรดินจากตลาด ให้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ประคองอัญชลีบ่ายหน้าไปทางพระโพธิสัตว์ ด้วยกล่าวว่า บุคคลผู้สูงสุดในโลกพระองค์ใด ข้าพเจ้าขอบวชอุทิศบุคคลนั้น แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอาบาตรใส่ถุง คล้องที่ไหล่แล้วไปยังหิมวันตประเทศบำเพ็ญสมณธรรม

    นาลกดาบสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

    นาลกดาบสนั้นเป็นผู้สั่งสมบุญไว้ ได้บำเพ็ญเพียรเป็นดาบส รักษาอินทรีย์รอคอยพระชินสีห์อยู่ ครั้นเมื่อเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุสัมโพธิญาณ โดยลำดับแล้วทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐในกรุงพาราณสี เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ได้โมทนาสาธุการไปตลอดสามโลก นาลกดาบสนั้นรอคอยอยู่อย่างนั้น เมื่อได้ยินข่าวอันพวกเทวดาผู้หวังประโยชน์แก่ตนพากันมาบอกแล้วจึงได้เดินทางไปเฝ้าพระชินสีห์ผู้องอาจกว่าฤๅษีแล้ว ในเวลาที่ได้เห็นพระองค์ จิตเลื่อมใสอย่างสูงสุดก็บังเกิดขึ้นในใจของดาบสนั้น

    ครั้นเมื่อได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาแล้ว นาลกดาบสกล่าวว่า อสิตฤษีผู้เป็นลุงของข้าพระองค์ รู้ว่าพระกุมารนี้จัดบรรลุทางแห่งสัมโพธิญาณ ท่านได้บอกกะข้าพระองค์ว่า ท่านจงฟังประกาศว่า พุทโธ ในกาลข้างหน้า ผู้บรรลุสัมโพธิญาณย่อมประพฤติมรรคธรรมดังนี้ วันนี้ข้าพระองค์ได้รู้ตามคำของอสิตฤๅษีว่า คำที่ท่านกล่าวนั้นเป็นคำจริง เพราะการได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าในบัดนี้เป็นพยานในคำพูดของท่าน เพราะเหตุนั้น ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ทูลถามพระองค์ ขอพระองค์จงตรัสบอกปฏิปทาอันสูงสุดของมุนี ผู้แสวงหาการเที่ยวไปเพื่อภิกษา แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ




    ผู้ที่ทำนายลักษณะ รู้ไปไกลถึงกระทั่ง พุทธสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ และชัดเจนชัดแจ้ง ไม่ใช่ เดา เอาสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าพิจารณาข้อนี้ไม่ได้และไม่ยอมรับ การพยากรณ์ทำนายต่างๆ ก็ต้องไม่เอาเรื่องมหาปุริลักษณะนั้นด้วย นี่จึงเป็นความวิบัติขาดสูญของผู้ที่มีสติปัญญาน้อยที่ไม่สามารถแจกแจงวิสัชนาธรรมให้ละเอียดอ่อนได้ เปรียบประดุจบุคคลตาบอดผู้ไม่รู้จักช้างแล้วลูบคลำช้าง แต่ไม่รู้ว่าเหมือนอะไร?


    อีกกรณีถ้าไม่ได้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จไปโปรดอหิงสกะ ก็ต้องเป็นไปตามคำทำนายของโหราจารย์อยู่ดี

    การปฎิบัติธรรมของพระพุทธศาสนา สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง หลุดพ้นจากกรรมดำ กรรมขาว เข้าสู่กรรมไม่ดำไม่ขาวได้ จึงสิ้นกรรม


    ไม่ใช่ไม่แม่นยำหรือไม่ดี แต่มีสิ่งที่สูงส่งกว่ารู้จริงรู้ชัดกว่าและเปลี่ยนแปลงโชคชะตาเช่นนั้นได้เพราะการปฎิบัติธรรม


    จึงไม่ส่งเสริมให้ทำมาหากินในลักษณะนั้น และไปหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องแบบนั้น เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้



    นี่ยังไม่รวมที่ทรงให้นำบาตรไม้ที่ได้มาจากการแสดงฤทธิ์ของท่านปิณโฑลภารทวาชเถระ ไปทำยาหยอดตา ถ้าคิดแบบนี้ การปรุงยาในครั้งนี้ จะไปกล่าวหาว่าพระองค์ท่านส่งเสริมให้ปรุงยาอันผิด มหาศีล หากมีสติปัญญาคิดได้แค่นี้ ก็เอวังฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2016
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พอทีนี้เป็นเรื่องจริงกับตั้งท่ารับไม่ได้




    ใครก็ตามที่ส่งเสริมการแสดงให้คนหลงใหลใฝ่ต่ำไปตามกระแส แสดงในสิ่งที่ยั่วยวนให้ไหลหลง อะไรก็ตามที่สวนกระแสธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เป็นไปเพื่อ ลาภ สักการะ ชื่อเสียง เงินทอง ความสุขสบาย ที่นั่นคือที่ไปแห่งสัมปรายภพ อันมีนรกเป็นคติและสัตว์ติรัจฉานเป็นที่ไปคติ


    ไม่ว่าจะเป็น ดารา นักร้อง นักเขียน นักแต่ง นักแสดง นักพูด นักกีฬา นักเล่นเกมส์ นักธุรกิจฯลฯ ที่หากินในสิ่งที่เจือด้วยบาป ราคะ โทสะ โมหะ อันมีตัณหาเป็นที่ตั้ง เป็นต้น

    ชื่อว่า เป็นผู้ลบล้างพระธรรม เขาแสดงธรรมเสมือนว่าเขา กำลังทำฝนให้ตก แต่ที่จริงคนเช่นนั้น กำลังแสดงธรรมของมาร ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ครูของพวกเขาก็คือพญามาร และสาวกของเขาก็คือ บริวารของพญามาร คนที่หลงงมงาย ทำตามคำสอนเช่นนั้น ย่อมจมลงในทะเล แห่งการเวียนว่ายตายเกิดลึกลงไปเรื่อย ๆ



    ตาลปุตตสูตร

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถานใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆกล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้างในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง

    ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย ฯ

    แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตรก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้างในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาผู้ร่าเริง

    ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราห้ามท่านไม่ได้แล้วว่า อย่าเลยนาย คามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย แต่เราจักพยากรณ์ให้ท่าน ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะอันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรำย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้นนักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะ

    อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด

    ดูกรนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่างคือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตรร้องไห้สะอื้น น้ำตาไหล

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่าอย่าเลย นายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด อย่าถามข้อนี้กะเราเลย ฯ

    คามณี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้กะข้าพระองค์ หรอก แต่ว่าข้าพระองค์ถูกนักเต้นรำผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ ล่อลวงให้หลงสิ้นกาลนานว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะรื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชื่อปหาสะข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางหรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป

    ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคนายนฏคามณีนามว่าตาลบุตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้วท่านพระตาลบุตรอุปสมบทไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่ ฯลฯ ก็แลท่านพระตาลบุตรเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

    จบสูตรที่ ๒



    และก็เป็นไปไม่ได้ สำหรับบัณฑิตในพระพุทธศาสนานี้ จะมีความพึงพอใจในการดูการอ่านการเรียนการเขียนการทำในเรื่องที่จะต้องไปสู่คติสอง อย่างนั้น ต่อให้ดูให้เพ่งอยู่ก็จะเกิดความไม่สบายใจ ไม่ปรารถนา จนสามารถละได้ในที่สุด


    สำหรับบุคคลที่ยังหลงอยู่และเชิดชูบุคคลเหล่านั้น ว่าทำให้มีเสียงหัวเราะและมีความสุข สนุกสนาน ครายเครียดก็เตรียมตัวไปเป็นบริวารในคติสองของบุคคลเหล่านั้นได้เลย

    เรื่องบางเรื่องน่าหวาดกลัวเกินใจจะยอมรับได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่อยากจะตอบ ต้องรอดูความแน่วแน่ของผู้ฟังเสียก่อน เพราะบางทีเมื่อรู้แล้ว แต่ไม่มีศรัทธา ก็บ่ายหน้าหนีจากพระพุทธศาสนานี้ไปเลย


    ฉนั้น ก็จัดกันต่อไปเหล่าผู้มีคติสองทั้งหลายฯ แห่กันตามไปดูเถิดตามความพอใจและสมัครใจ เลือกเอาเองสัมปรายภพ เราคนหนึ่งที่ขอร่ำลา จ้างก็ไม่ไป

    [ame]https://youtu.be/fgGX610bsV4[/ame]


    อนาคตของคนจิตเศร้าหมองและผ่องใส
    http://84000.org/true/543.html

    ----------------------------------------------------------------
    มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้
    http://www.84000.org/true/021.html
    -------------------------------------------------------
    คนเกิดเป็นสัตว์ได้
    http://www.84000.org/true/073.html
    ------------------------------------------------------
    คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก
    http://www.84000.org/true/074.html
    ------------------------------------------------------
    นรกมีจริงหรือ
    http://84000.org/true/072.html
    ---------------------------------------------------
    ตรัสว่าคนตายแล้วเกิดจริง
    http://www.84000.org/true/495.html
    ----------------------------------------------------
    พระพุทธองค์ทรงรับรองการตายแล้วเกิด
    http://www.84000.org/true/526.html
    -----------------------------------------------------
    เหตุให้เชื่อชาติหน้า
    http://www.84000.org/true/061.html
    --------------------------------------------------------
    โลกหน้ามีจริงหรือไม่
    http://www.84000.org/true/037.html
    ----------------------------------------------------------- เหตุให้เกิดในภพ
    http://www.84000.org/true/166.html
    ------------------------------------------------------------
    พุทธทำนาย
    http://www.84000.org/true/046.html
    -------------------------------------------------------------

    พระอภิธัมมัตถสังคหะ

    อารมณ์ของสัตว์ที่มรณะ
    http://abhidhamonline.org/aphi/p5/083.htm
    --------------------------------------------------
    กรรมอารมณ์
    http://abhidhamonline.org/aphi/p5/084.htm
    -------------------------------------------------------
    กรรมนิมิตอารมณ์
    http://abhidhamonline.org/aphi/p5/085.htm

    -----------------------------------------------------------
    คตินิมิตอารมณ์
    http://abhidhamonline.org/aphi/p5/086.htm


    มิลินทปัญหา
    ปัญหาที่ ๒ ถามว่า ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ จะไปได้จริงหรือ ?
    http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-25-07.htm
    (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย

    พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่

    ม. ไม่ได้

    น. ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่

    ม. ก็ได้สิเธอ

    น. ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน

    ม. สมเหตุสมผลละ


    คนที่ทำชั่วอยู่จะนึกถึงเรื่องดีก่อนตายเป็นไปได้ยาก ถึงเป็นไปไม่ได้เลย ถึงมีก็น้อยนักแลฯ


    รู้ดังนี้แล้วก็กรี๊ดกร๊าด กรี๊ดสลบกัน แสดง โอ้อวดกันซะให้พอ สัมปรายภพจะได้ไปรอกรีดร้องอีกที่นึง จะได้รู้ว่า ปหาสะ ในกรรมแบบนั้นเป็นอย่างไร?

    ชอบสนุกกรี๊ดร้อง ก็จะได้ทำกิจกรรมอย่างนั้นล่ะ! สถานที่มีหลายเวอร์ชั่น ทั้งร้อน หนาว ปวดแสบปวดร้อน ทุกข์ทนทรมานแบบไม่ได้หยุดหายใจ จะตายก็ตายไม่ได้ คำว่าจนใจจะขาด ถึงเวลาก็จะรู้เอง


    ถ้ารู้ไม่ทัน ว่าอะไร? มาทำให้จิตที่บริสุทธิ์ เสียหาย จะหนีไปไหนพ้น ในสิ่งที่เข้ามากระทบ จนทำให้เกิดอกุศลจิต จนเป็นปัจจัยให้ไปก่อเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์ในที่นี้คือทุกข์ในเหล่าอกุศลกรรม มิใช่ทุกข์ที่มีมาในเหล่ากุศลกรรม

    หรือเรียกว่า" บาปอันเป็นทุกข์ "

    ๑. ขันธมาร มารคือขันธ์ ๕ ร่างกายไม่อำนวยให้ทำความดี เช่น เจ็บป่วย ทุพพลภาพทำให้หมดโอกาสดี ๆ ในชีวิต


    ๒. อภิสังขารมาร มารคือบุญบาป ความชั่วทำให้ขัดขวางมิให้บรรลุคุณธรรม และบางทีบุญก็ขัดขวางเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเหตุให้เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ผู้ที่ทำบุญไปเกิดในภพภูมิที่ดีเช่นสวรรค์ ก็หลงมัวเมาไม่รู้สร่าง อย่างนี้แหละที่ท่านว่าบุญก็เป็นมารมิให้บรรลุธรรม


    ๓. กิเลสมาร มารคือ กิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นมารเพราะขัดขวางมิให้บุคคลบรรลุผลสำเร็จดีงาม


    ๔. มัจจุมาร มารคือความตาย ความตายทำลายทุกสิ่งในชีวิต บางทีกำลังก้าวหน้าใน ชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม ก็มาด่วนตายเสียก่อน ความตายจึงตัดโอกาสดี ๆ ในชีวิต


    ๕. เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร เทวดาที่เกเรคอยขัดขวางมิให้คนทำดี หมายเอาเทวบุตรฝ่ายอันธพาลทั้งหลายอย่างสูง หมายเอาพญามารชื่อวสวัตตีที่กล่าวข้างต้น


    อวิชชา หมู่มวลอาชีวะการงานที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ


    อยาตนะภายนอกที่เข้ามากระทบและสัมผัสในแวดวงสังคมตลอดยุคสมัย


    อุปนิสัยที่สั่งสมมาตลอดหลายภพชาติ


    ล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิดความดำริ ความคิด โดยเฉพาะอกุศลจิต ก็ให้รู้ว่าโดนเล่นงานเอาเข้าแล้ว เมื่อรู้ไม่เท่าทันจิตของตนเอง ปราศจาก หิริโอตัปปะ ก็ต้องตกเป็นทาสมารวิสัยเช่นนั้น ก่อเหตุสร้างกรรมถ้วนทั่วไป

    เมื่อเกิดธรรมารมณ์ที่ประกอบด้วยอกุศลจิตที่โคจรมา




    อกุศลมูล ๓ (อกุศล=ความไม่ฉลาด, มูล=รากเหง้า)แปลตามตัวอักษรว่า รากเหง้าของความไม่ฉลาด หมายถึง รางเหง้าหรือต้นตอของความชั่วทั้งปวง เมื่อกำเริบจะแสดงออกมาเป็นทุจริตทางกาย วาจา ใจ รวมเป็นเหตุให้เกิดกิเลส มี ๓ ประการ คือ
    ๑. โลภะ ความอยากได้ โลภะ คือ ความอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน อยากให้ตนมีเหมือนคนอื่น หรือมีมากกว่าผู้อื่น ความอยากมีหลายรูปแบบซึ่งจะก่อให้เกิดรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เช่น อิจฉา ความอยาก ปาปิจฉา ความอยากอย่างชั่วช้าลามก มหิจฉา ความอยากรุนแรง อภิชฌาวิสมโลภะ ความอยากได้ถึงขั้นเพ่งเล็ง ความอยากจะเกิดมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความชั่วในตัวเอง วิธีแก้ไขความอยากคือการใช้สติ ระลึกรู้ในตน

    ๒. โทสะ ความคิดประทุษร้าย โทสะ คือ ความคิดประทุษร้าย ได้แก่ การอยากฆ่า การอยากทำลายผู้อื่นๆ ความคิดประทุษร้ายเป็นรากเหง้าให้เกิดกิเลสได้หลายอย่าง เช่น ปฏิฆะ ความหงุดหงิด โกธะ ความโกรธ อุปนาหะ ความผูกโกรธ พยาบาท ความคิดปองร้าย ถ้าปล่อยให้มีโทสะมาก ผู้นั้นจะเป็นคนชั่ว คนพาล และเป็นภัยต่อสังคม วิธีแก้ไขโทสะ คือการใช้สติระงับตน และฝึกตนให้เป็นผู้มีอโทสะ

    ๓. โมหะ ความหลงไม่รู้จริง โมหะ คือ ความหลงไม่รู้จริง ได้แก่ ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความมัวเมา ความประมาท เป้นรากเหว้าให้เกิดกิเลสได้ต่างๆมากมาย เช่น มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ปลาสะ ตีเสมอ มานะ ถือตัว มทะ มัวเมา ปมาทะ เลินเล่อ โมหะทำให้ขาดสติ ไม่รู้ผิดชอบร้ายแรงกว่าโลภะ และโทสะ รวมทั้งส่งเสริมให้โลภะและโทสะมีกำลังมากขึ้นยิ่งด้วย วิธีที่จะทำให้โมหะลดลงนั้นจะต้องปฏิบัติตนเป็นผู้ที่มี อโมหะ ความไม่หลงงมงาย

    กัสสกสูตรที่ ๙
    สาวัตถีนิทาน ฯ
    ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้
    สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน และภิกษุ
    เหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับ
    ธรรมอยู่ ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ทรงยัง
    ภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดมถึงที่ประทับเพื่อการกำบังตาเถิด ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปจึงนิรมิตเพศเป็นชาวนาแบกไถใหญ่
    ถือปะฏักมีด้ามยาว มีผมยาวรุงรังปกหน้าปกหลัง นุ่งผ้าเนื้อหยาบ มีเท้าทั้งสองเปื้อน
    โคลน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมณะ
    ท่านได้เห็นโคทั้งหลายบ้างไหม ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า แน่ะมารผู้มีบาป ท่านจะต้องการอะไรด้วย
    โคทั้งหลายเล่า ฯ

    มารกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา
    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
    ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่
    โสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ จมูกเป็นของเรา
    กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะ
    หนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือ
    วิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่
    สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กาย
    สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ใจเป็นของเรา
    ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของเรา
    ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมารผู้มีบาป

    จักษุเป็นของท่าน

    รูปเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุสัมผัสก็เป็นของท่านแท้


    ดูกรมารผู้มีบาป แต่ในที่ใด ไม่มีจักษุ ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ
    สัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน


    โสตเป็นของท่าน

    เสียงเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัสก็เป็นของท่าน

    แต่ในที่ใด ไม่มีโสต ไม่มีเสียง ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่โสตสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน

    จมูกเป็นของท่าน

    กลิ่นเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ

    ลิ้นเป็นของท่าน

    รสเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ

    กายเป็นของท่าน โผฏฐัพพะเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กายสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ

    ใจเป็นของท่านธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นของท่าน

    อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของท่าน

    แต่ในที่ใด ไม่มีใจ ไม่มีธรรมารมณ์ ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่
    มโนสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน ฯ

    มารกราบทูลว่า
    ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใดว่า นี้ของเรา และกล่าวว่า นี้เป็นเรา
    ถ้าใจของท่านมีอยู่ในสิ่งนั้น ข้าแต่สมณะ ท่านก็จะไม่พ้น
    เราไปได้ ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้นไม่มีแก่เรา ชนเหล่าใดกล่าว ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรา ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้ ท่านย่อมไม่เห็นแม้ทางของเรา ฯ


    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
    พระสุคตทรงรู้จักเรา
    ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ




    รู้ให้ทัน ก็มีสติอยู่ทุกเมื่อ และเป็นสติที่เหนือโลกธรรมแปด ครอบงำโลก อันเป็นเหตุให้เกิดสติปัญญาตามมา ความปรารถนาที่ผ่องใสขึ้น อย่างทันทีทันใด


    ที่เหลือก็ให้ปล่อยไปตามสภาวะ ธรรมสมบัติ ที่ได้รับการถ่ายทอดมา


    รู้ตามหรือยัง? ผู้หวังความเจริญในพระสัทธรรมควรรู้ตามและต้องทำให้ได้



    ไม่รู้จะบอกจะสอนจะเตือนอย่างไร? เลือกกันเอาเอง ถือว่าเตือนแต่ผู้มีสติปัญญาในธรรมที่ไม่ยอมให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์

    คงไม่ต้องนำภาพมาแสดงประกอบ คนบางคนรู้จักตนเองดีขึ้น คิดถึงเวลาสัจธรรมความเป็นจริงและประโยชน์ที่ได้รับไม่มี คงจะรู้สึกทุเรศ อับอาย เสียใจที่ตนเองเคยได้ไปขวนขวายเช่นนั้น


    เราขอเตือนผู้แสวงหาทางเช่นนั้นไว้ สิ่งที่เธอได้ขวนขวายกระทำเช่นนั้นมาตลอดชีวิต แม้ยามชรา เจ็บไข้ได้ป่วย ใกล้จักล้มหายตายจากไป ก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมเช่นนั้นอีกหรือ ยังจะทำมาหากินกับสิ่งเหล่านั้น พรากเหล่าบริษัทโดยการประทุษร้ายเช่นนี้ไปจนตายขาดดิ้นสิ้นลมหายใจหรือ เหล่าสาวกภาษิตเอย

    นี่ล่ะ สาวกภาษิต ในพระพุทธศาสนา ปฎิญานตนเป็นพุทธมามกะ หมายถึงผู้ประกาศตนว่าขอถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ หรือผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ทำมาหากินกับติรัจฉานวิชาเหล่านี้ สวนกระแสพระธรรมคำสั่งสอน เต้นกินรำกิน โดยแสวงหาลาภ สักการะ และสรรเสริญ แบบนี่ล่ะที่บรรพบุรุษท่านไม่ส่งเสริมให้นำเข้าสู่เหย้าเฝ้าเรือน เพราะจะนำความเสื่อมความฉิบหายมาสู่ตระกูล บรรพบุรุษก็พลอยเสื่อมจากบุญฯที่จะได้รับ


    สำหรับสมณะสาวก ถ้าไปทำอย่างนั้นก็ขอให้ฉิบหายตามโบราณจารย์เจ้าท่านว่ามา
    "เพิ่นสิฮ่อนหาคนดีไผผู้มีศีลธรรมอยู่เขิงคาค้าง ไผเดินทางผิดเส้นทำตนเป็นคนชั่ว มันสิลอดกระด้งบ่มีค้างแผ่นเขิง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2016
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    [ame]https://youtu.be/3LcPKKtTc_o[/ame]
    ทวดหัวนายแรง
    ทวดหัวนายแรง
    ว่าด้วยประวัติ นายแรงแห่งพัทลุง ที่เกี่ยวข้องกับชื่อสถานที(ส่งการบ้านเกลอคิม)4
    เมื่อนายแรงจัดการกับพญาแลนได้แล้วก็ใช้มีดโต้ชำแหละหนังแลนเอามีดไปล้างที่คลองอ้ายโต้ แล้วเอาหนังแลนไปตากที่ทุ่งขึงหนัง พาไปปรุงที่ เขา จุ้มโพ้ หรือเขาจุ้มโจ เอาตะไคร้ จากเขา "ไคร" (ปักษ์ใต้เรียกตะไคร้ว่าไคร") แล้วก็นำเนื้อแลนส่วนหนึ่งไปให้หมาที่ร่วมล่าแลนมาด้วยกัน แต่เพราะความเหนื่อยหมาได้สิ้นใจตายไปก่อนกลายเป็นภูเขา"หัวหมานายแรง"จนปัจจุบัน
    จากนั้นก็นำเนื้อแลนมาที่ปากพะยูน แต่พอน้ำจิ้มหมดนายแรงก็ปรุงน้ำจิ้มที่ "ควนน้ำชุบ" และพากินที่แหลมไก่ผู้ และหุงข้าวที่"ควนตั้งหม้อ"
    ครั้งหนึ่งหัวเมืองปักษ์ใต้เกิดสงครามนายแรงได้อาสาไปรบ ชนะข้าศึกมาได้ปูนบำเหน็จให้ปกครองคน มีบริวารใช้สอยเป็นอันมาก ทำให้ร่ำรวยขึ้น จึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเรื่อยมา ในครั้งทีพระยาศรีธรรมาโศการาช เจ้าเมืองนครจะสร้างพระเจดีย์พระธาตุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่หาดทรายแก้ว นายแรงทราบข่าวจึงรวบรวมเงินทองและไพร่พล ลงเรือไปยังนครศรีธรรมราช แต่พอไปถึงกลางทางเกิดพายุพัดเรือล่มเสียหาย ต้องหยุดซ่อมเรือหลายวันก็ทราบข่าวว่าพระธาตุได้สร้างเสร็จแล้ว
    นายแรงจึงให้ไพร่พลขนสมบัติ นับจำนวนได้เก้าแสน ไปยังเนินเขาโขดหิน ซึ่งอยู่ไกล้ที่จอดเรือ แล้วขนทรัพย์สินเก้าแสนไปไว้ในถ้ำ แล้วบอกว่า"เราจะฝังทรัพย์ที่นี้ เราจะอยู่ที่นี้ หากเราตายไปขอให้ตัดหัวเราปิดปากถ้ำไว้ บอกว่าลูกหลานเรามาพบขอใยกหัวเราขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วนายแรงตั้งจิตอธิษฐานกลั้นใจตาย บริวารก็ปฎิบัติตามนายแรงทุกประการ คือตัดหัวนายแรง
    ปิดปากถ้ำไว้แล้วให้นำสำเภากลับพัทลุง
    หัวนายแรงที่กลายเป็นหินปิดปากถ้ำ ชาวบ้านเรียกว่า "หินหัวนายแรง" ส่วนสมบัติเก้าแสนก็กลายมาเป็น"เก้าเส้ง " อยู่ที่ปลายเนินเขาเล็กๆที่ยื่นออกไปในทะเล ถัดจากหาดสมิหราลงมาทางใต้เป็นท่องเที่ยว เป็นตำนานเล่าขานกันมา หลายแง่หลายมุม
    และนี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่เล่าโดยคนพัทลุง "ทวดเกริกพล สุภาภรณ์เหมินทร์"แห่งพัทลุง คงจะไม่ต่างจากตำนานของครูแอนสักเท่าไหร่น่ะเกลอ สถานที่ในปัจจุบันที่เกี่ยวกับตำนานนายแรงมีดังนี้
    * เขาหลักโค อำเถอกงหราจังหวัดพัทลุง
    * บ้านคอกวัว ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง พัทลุง
    *บ้านคอกวัว ตำบลสามตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ นครศรีธรรมราช
    * บ้านวัวลุง อำเภอร่อนพิบูลย์ นครศรีธรรมราช
    * บ้านวังลุง อำเภอพรหมคีรี นครศรีธรรมราช
    *บ้านทุ่งลุง อำเภอหอยโข่ง สงขลา
    * บ้านคอกควาย ตำบลชะมวงอำเภอควนขนุน พัทลุง
    *บ้าน คอกควายนายแรง บ้านเกาะใหญ่อำเภอกระแสสินธ์ สงขลา
    * บ้านเขาหลักไก่ ตำบลพญาขัน พัทลุง
    *บ้านเขารูปช้างอำเภอเมือง สงขลา
    *คลองห้วยแลน ตำบลตะแพน อำเภอศรีบรรพต พัทลุง
    * หินหมานายแรง ที่เขาเมือง พัทลุง เขารุน
    *หินขี้จอบนายแรง บริเวณเขาเมือง เขาแดง ตำบลพญาขัน พัทลุง
    *คลองอ้ายโต้ คลองล้างมีดนายแรง ทุ่งขึงหนัง ตำบลพนมวังก์ อำเภอควนขนุน
    *เขาจุ้มโพ้ เขาไคร อำเภอกงหรา
    * เขาหัวหมา ตำบลปรางหมู่ อำเภอเมืองพัทลุง
    * ควนน้ำชุบ เขาตั้งหม้อ อำเภอปากพะยูน พัทลุง
    * หินหัวนายแรง บ้านเก้าเส้งอำเภอเมือง สงขลา

    เคยฝันถึงหลังจาก ตอนไปร่วมงานมงคลสมรสของเพื่อนที่สโมสรทหารเรือ ว่างแล้วเย็นๆก็ไปโดดน้ำที่หาดสมิหรา ครั้งแรกในชีวิต

    กลับมาคืนนั้นก็ฝันว่า ได้ไปผลักหินก้อนนี้ล้มลงทะเล น้ำทะเลก็หนุนสูงขึ้นทันที

    ระทึกขวัญน่าดู

    ก็จะหาโอกาสไปผลักลองดูสักครั้งในอนาคต สงสัยจะได้ยินเรื่องเล่าแล้วเก็บเอามาคิดมาก


    ท่านใดสนใจอยากจะไปลองผลักดู ก็ลองดูสักครั้งในชีวิตนะครับ

    ขออนุโมทนาบุญฯนั้นด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2016
  19. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    ทุกคนควรจะแขวนติดตัวตลอดเวลามตอนเกิดภัยจากสงครามนิวเคลียร์หรือเปล่าครับ และต้องอธิษฐานอย่างไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2016
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ในเวลาเกิดสงคราม ควรแขวนติดตัวไว้ตลอดเวลาครับ และควรนำไปเลี่ยมกรอบพลาสติก เพื่อเวลาอาบน้ำ พระคำข้าวจะได้ไม่เปียกน้ำครับ

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...